ดีดกระดิ่งกันเกรียวกราว บางคราวพวกสามล้อนั่นก็ด่าทอกันเอง เสียงเอ็ดตะโรลั่นถนน
คืนหนึ่ง เสียงคนเดินขึ้นบันไดจากข้างล่างมาชั้นบน ผมคิดว่านั่นคือเสียงน้าเกียรติกลับมา ผมคอยฟังว่าจะมาเรียกประตูเมื่อใด ขอเสียงฝีเท้าเดินมาที่ประตู ผมก็จะเปิดรับ แต่ก็ไม่มีเสียงเรียก ผมก็นิ่งเสียไม่ยอมเปิดก่อนเรียก ครั้นไม่เห็นจริง ๆ ผมจึงค่อย ๆ เปิดประตูแง้มดู ข้างนอกห้องไม่มีน้าเกียรติอยู่ที่นั่นเลย แกหายไปไหน หรือจะไม่ใช่ ผมชะโงกมองขวาก็ไม่พบใครจึงกลับปิดประตู หรือแกจะเดินเลยไปห้องน้ำก่อน ถ้ากระนั้นแกก็เดินกลับมาเอง ผมลงนั่งคอยที่โต๊ะทำงานของแก คอยฟังว่าแกจะเรียกเมื่อไหร่ แต่คอยนานเท่าใดก็ไม่มีเสียงมาเรียก ผมเลยนั่งฟุบโต๊ะหลับไป สะดุ้งตัวตื่นขึ้นฟังเสียง เห็นเงียบสงัดไม่มีเสียงน้าเกียรติผมเลยเข้ามุ้งนอน
รุ่งขึ้นตอนสาย น้าเกียรติกลับมา ผมถามว่าเมื่อคืนแกกลับมาแล้วหายไปไหนเสียอีก ผมได้เล่าให้ฟังว่าเมื่อคืนผมได้ยินเสียงฝีเท้าขึ้นบันไดมาและมาหยุดยืนที่ประตู ครั้นผมเปิดประตูออกดูก็ไม่มีใคร น้าเกียรติฟังแล้วมีสีหน้ากังวลใจ แล้วตอบกับผมว่าเมื่อคืนไม่ได้กลับมาเลยนอนอยู่บ้านเพื่อน ผมก็ไม่สนใจอีกเพราะเป็นธรรมดาของแกที่กลับบ้างไม่กลับบ้างครั้นลงไปทำงานเรียงพิมพ์ กลับเกิดสงสัยใจขึ้นว่าในระหว่างที่ผมเล่าให้แกฟังว่ามีคนขึ้นบันไดมาชั้นบนในยามดึก น้าเกียรติมีสีหน้ากังวลใจ แต่ว่าแกไม่ออกความเห็นว่าอะไรเป็นอะไรเสียบ้างเลย หรือแกมีความนัยอะไรกระมัง? แกถึงทำหน้าอย่างนั้น แกคงจะหลบหลีกใครอยู่ก็เป็นได้ เรื่องของคนเล่นการเมืองก็ยุ่ง ๆ อย่างนี้เอง แต่ละคนที่มาหาน้าเกียรติดูพิลึก ๆ บางทีทำท่าขรึม แล้วจะพูดอะไรมีแง่มีมุมเป็นนัย ๆ คนอย่างผมฟังไม่ออกว่าเขาพูดอะไร แต่ละคนดูมีความสำคัญทุกคน เสมือนว่าจะไม่มีใครจะดีกว่าเขารู้อะไร ๆ ก็ไม่เท่าเขา บางทีเขาพูดอะไรอย่างดุ ๆ เรากับจะกินเลือดกินเนื้อ บางคราวพูดอะไรแดก ๆ ดัน ๆ ผมไม่สนใจนักเลยไม่ค่อยฟังเขาพูด