น้าเกียรติตอบขอบใจแล้วรับกุญแจมา พลางชวนผมขึ้นตึก ผมเดินตามไป เรื่องที่เขานตะกี้ผมฟังให้หูแตกก็ไม่รู้เรื่อง จึงเดินตามขึ้นตึกไปชั้นบน เดินสองเลี้ยวก็ถึงห้องน้าเกียรติ แกไขกุญแจ ในห้องมืดแกเปิดไฟฟ้าก็สว่างขึ้น ในห้องนั้นมีโต๊ะทำงานและเตียงนอน น้าเกียรติวางกระเป๋าเดินทางลงแล้วจัดเตียงเล็ก ๆ นั่งเล่นให้เป็นเตียงนอนของผม แกตั้งใจไปรับผมด้วยความจริงใจ เพราะแกมีมุ้งเล็กเตรียมไว้ให้ผมเลย
เราไปอาบน้ำกันที่ห้องหนึ่ง ที่กรุงเทพฯ เขาไม่ได้อาบน้ำกันที่ท่าน้ำหรือที่บ่อน้ำเหมือนบ้านผม น้าเกียรติอธิบายให้ฟังว่ามีห้องส้วมอยู่ในห้องน้ำนี้ด้วย ทั้งพาไปดูและอธิบายวิธีเข้าส้วมใช้ส้วม ช่างสบายกว่าบ้านนอกจริงไม่ต้องลงไปจากบ้านที่ส้วมตั้งห่างบ้านกลางคืนบางทีต้องระวังงูลำบากมากพออาบน้ำแล้วกลับห้อง น้าเกียรติบอกให้ผมนอน ส่วนแกจะต้องทำงานเขียนหนังสืออีก ผมก็นอนรำพึงถึงสิ่งใหม่ๆแปลกๆในกรุงเทพฯ ที่ได้เห็นล้วนแต่น่าระทึกใจ ดับไฟมืดไปทุกบ้าน เจ้าแฟงอีกคนร้องไห้ตามผมเมื่อตอนสายนั้นก็คงนอนแล้ว คงจะไม่ร้องไห้อีก ผมนึกแล้วก็ใจสะท้อน เมื่อวานแท้ ๆ ผมยังนอนอยู่โน่น วันนี้มานอนอยู่นี่ เจ้าแฟนมันคงใจหายที่ผมเป็นเพื่อนของมันจากมาเสียไกลกัน
ผมมาอยู่ที่นี่สองวันจึงรู้ว่าผมมาอยู่ที่ไหน และมีสภาพอย่างไร คือตึกนี้เป็นที่ทำการของหนังสือพิมพ์เพื่อนไทย ซึ่งน้าเกียรติเป็นนักเขียนบทความและไม่มีบ้านอยู่ของตัวเองจึงอาศัยที่ทำการนี้ เฉพาะผมกับน้าเกียรติเท่านั้นที่ต้องนอนที่นี่ นอกนั้นคนอีกมากมายเขาก็มีบ้านอยู่กันทั้งนั้น พวกเขามาทำงานกลางวันเย็นก็กลับบ้านหมด แต่เราสองคนยึดเอาที่นี่เป็นบ้านเลย ภายในโรงพิมพ์นี้นับจำนวนคนที่อยู่ในนั้นเวลากลางคืนก็มีด้วยกันห้าคนคือ แขกยามหนึ่งคน ลุงพัฒน์กับป้าน้อยเมียของแกสองคน เราอีกสองคน รวมเป็นห้าคน แต่แขกยามนั้นพอเช้าก็กลับไปบ้านเขา
อีกสองสามวัน ผมก็ถูกส่งให้ลงไปที่โรงใหญ่ หัดเรียงพิมพ์ น้าเกียรติ