แลเห็นรถเกราะแล่นตรงมาสู่หน้าตำหนัก ก็ชักปืนพกยิงเปรี้ยงเข้าไปที่รถเกราะทันที พลประจำปืนในรถจึงลั่นปืนกลยิงขู่ออกไป พระยาอาษาพลนิกรจึงหลบกระสุนวิ่งอ้อมไปทางหลังตำหนัก ครั้นแล้วพระประศาสน์ฯ ก็ลงจากรถเกราะและสั่งให้นักเรียนนายร้อยขยายแถวเพื่อเตรียมรับการต่อสู้ ซึ่งตามรูปการณ์ในขณะนั้นแสดงให้เห็นว่ามีทางเป็นไปได้อย่างยิ่ง ถึงแม้คาดหมายภัยเฉพาะหน้าอยู่ก็ดี พระประศาสน์ฯ ก็ยังมั่นคงในวิธีการเชิญเสด็จในทางละมุนละม่อมอยู่นั่นเอง ได้ออกคำสั่งแก่นายตำรวจให้ขึ้นไปบนตำหนัก ทูลเชิญกรมพระนครสวรรค์ฯ และให้เวลาสำหรับพระองค์ท่านแต่งองค์หรือประกอบกิจใด ๆ ถึงครึ่งชั่วโมง
อย่างไรก็ดี เมื่อนายตำรวจผู้นั้นลับกายเข้าไปในตำหนักจนเวลาล่วงไปครึ่งชั่วโมง กรมพระนครสวรรค์ฯ ก็มิได้เสด็จออกมาพบ และนายตำรวจผู้นั้นก็มิได้กลับมารายงานเหตุการณ์อะไรเลย พระประศาสน์ฯ จึงออกคำสั่งให้นักเรียนนายร้อยและพรรคพวกนายทหารที่ไปด้วยกันขยายแถวลุกล่ำผ่านตำหนักหลังใหญ่เข้าไป ก็แลเห็นกรมพระนครสวรรค์ฯ ประทับอยู่ ณ ตำหนักท่าน้ำในท่ามกลางบริพารประมาณ 100 คนพร้อมด้วยอาวุธปืนและอื่น ๆ รวมทั้งท่านอธิบดีกรมตำรวจและพระยาอาษาพลนิกร พระประศาสน์ฯ ได้สั่งกำชับพรรคพวกร่วมใจว่า อย่าใช้อาวุธทำร้ายผู้ใดเป็นอันขาด เว้นแต่ทางฝ่ายเจ้าจะดำเนินการต่อสู้และใช้อาวุธทำร้ายขึ้นก่อน สั่งการแล้วพระประศาสน์ฯ ก็เดินตรงเข้าไปเฝ้ากรมพระนครสวรรค์ฯ ซึ่งเมื่อเข้าไปยืนอยู่เบื้องพระพักตรแล้ว ก็รับสั่ง