พหลฯ ณ บ้าน และได้บ่นแก่พี่ชายถึงความเหลวแหลกของการบริหารราชการแผ่นดิน พระยาพหลฯ ก็ฟังด้วยความสนใจ ครั้นแล้ว ท่านจมื่นสุรฤทธิฯ ผู้น้อง ก็ได้ปรารภแก่พี่ชายสืบต่อไปว่า เมื่อภาวะของราชการบ้านเมืองกำลังจะผันแปรไปสู่ความหายนะดังนี้แล้ว ก็เป็นหน้าที่ของผู้ซึ่งเกิดมาเป็นลูกผู้ชายที่มีสติปัญญาจะต้องคิดกู้บ้านเมืองไว้ อนึ่ง บิดาของท่านทั้งสองก็เป็นชาติทหาร และตัวท่านเจ้าคุณพหลฯ เองเล่าก็เป็นนายทหารผู้ใหญ่ที่ได้ชื่อว่ามีสติปัญญาผู้หนึ่งในกองทัพบก สมควรจะมีความเจ็บร้อนแทนคนทั้งปวง และคิดการกู้ราชการบ้านเมืองเสียแต่ในเวลาที่ยังไม่สายเกินไป
พระยาพหลฯ ได้ฟังน้องชามาปรารภเป็นการจริงจังดังนั้น ก็ได้สดับตรับฟังด้วยความตื่นเต้นสนใจ เมื่อจบคำปรารภของท่านจมื่นผู้น้อง พระยาพหลฯ ใคร่จะฟังความคิดความอ่านของท่านนายพันตรีแห่งกรมทหารมหาดเล็กต่อไป จึงได้ตอบไปว่า อันความเหลวแหลกของราชการบ้านเมืองนั้น ตัวท่านก็เห็นประจักษ์แก่ตาอยู่ แต่การที่จะให้คิดกู้บ้านเมืองนั้น ใคร่ทราบว่า จมื่นมีความเห็นประการใดเล่า
ท่านนายพันตรีแห่งกรมทหารมหาดเล็กได้ไขความว่า การกู้บ้านเมืองนั้นเห็นมีอยู่แต่ทางเดียว คือ พี่ท่านจะต้องคิดอ่านเปลี่ยนการปกครองแผ่นดิน บริหารราชการบ้านเมืองให้ชอบด้วยธรรมและชอบด้วยประโยชน์ของประชาราษฎร ล้มเลิกบรรดาเอกสิทธิ