ก็ปฏิเสธ ทางราชการจึงจำต้องจ่ายให้แต่เพียงเป็นค่ารถเท่านั้น เวลานี้ท่านนายพันตรีนอกราชการก็ไปช่วยราชการโรงเลื่อยของกรมพลาธิการทหารบก แต่ก็ไม่ยอมรับตำแหน่งประจำและเงินเดือนอยู่นั่นเอง
เมื่อยังรับราชการอยู่ในกรมทหารมหาดเล็กนั้น เจ้าคุณพหลฯ ได้เคยแนะนำให้น้องชายของท่านบวช แต่ก็ได้รับคำตอบว่า ถ้าบวชก็เห็นจะติดคุกเป็นแน่ พี่ชายถามว่า เพราะเหตุอะไรเล่า ท่านจมื่นได้ตอบว่า เมื่อออกบวชและรับบิณฑบาตรจากประชาชน รู้สึกบุญคุณของเขาเหล่านั้น ก็คงจะต้องบอกกล่าวชี้แจงความเหลวแหลกของราชการบ้านเมืองแก่เขาเหล่านั้นเป็นการตอบแทนบุญคุณตามสมควร และเมื่อรู้ตัวว่า ถ้าบวชก็คงจะอดเทศนาแก่ประชาชนตามนัยเช่นนั้นไม่ได้ แล้วก็เห็นว่า การบวชจะกลายเป็นโทษแก่ตัวเป็นแน่
อยู่ต่อมาได้ทราบว่าจะต้องถูกย้ายจากกรมมหาดเล็กไปประจำกรมทหารราบกองพัน 3 และดูเหมือนเนื่องแต่การย้ายนี้มีเลศนัยแฝงอยู่ข้างหลัง มิใช่เป็นการกระทำที่สะอาด จมื่นสุรฤทธิ์ฯ ก็ไม่พอใจ จึงลาออกจากราชการมาประกอบอาชีพทางการค้าขายอยู่พักหนึ่ง ก่อนหน้าเปลี่ยนการปกครอง ท่านจมื่นได้ใช้ชีวิตอยู่เงียบ ๆ โดยมิได้ประกอบกิจการอะไรเลย ทั้งนี้ อาจมุ่งประสงค์เพื่อจะอุทิศเวลาเพื่อแก่การนี้อย่างเต็มที่ก็เป็นได้
เจ้าคุณพหลฯ กล่าวว่า น้องชายของท่านผู้นี้เป็นผู้ที่มีลักษณะเป็นคนจริงคนหนึ่ง มีความคิดลึกซึ้งรอบคอบ ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้บวชก็ตาม แต่ก็เป็นผู้เลื่อมใสและเคร่งครัดในธรรม