หน้า:Das Kapital Kritik der politischen Oekonomie Erster Band.djvu/61

หน้านี้ได้พิสูจน์อักษรแล้ว
——21——

ปรากฏว่าขนาดของมูลค่าสัมพัทธ์สามารถเปลี่ยนในทิศเดียวกันจากสาเหตุตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง ผ้าลินิน 20 หลา เสื้อคลุม 1 ตัวกลายเป็น: 1) ผ้าลินิน 20 หลา เสื้อคลุม 2 ตัว เพราะมูลค่าของผ้าลินินทวีคูณ หรือเพราะมูลค่าของเสื้อคลุมลดลงครึ่งหนึ่ง และ 2) ผ้าลินิน 20 หลา เสื้อคลุม 12 ตัว เพราะมูลค่าของผ้าลินินลดลงครึ่งหนึ่ง หรือเพราะมูลค่าของเสื้อคลุมเพิ่มขึ้นสองเท่า

III. ให้ปริมาณแรงงานอันจำเป็นในการผลิตผ้าลินินกับเสื้อคลุมเปลี่ยนพร้อมกันในทิศทางและอัตราส่วนเดียวกัน ในกรณีนี้ ไม่ว่ามูลค่าเปลี่ยนอย่างไร ผ้าลินิน 20 หลา เสื้อคลุม 1 เหมือนเดิม แต่เราจะพบว่ามูลค่าเปลี่ยนเมื่อเอาสินค้าอย่างที่สามที่มูลค่าคงที่มาเปรียบเทียบ หากมูลค่าของสินค้าทั้งหมดขึ้นลงพร้อมกันในอัตราส่วนเดียวกัน มูลค่าสัมพัทธ์ของพวกมันจะคงที่ไม่เปลี่ยน เราจะทราบการเปลี่ยนแปลงจริงของมูลค่าได้จากการขึ้นลงของปริมาณสินค้าที่ผลิตได้ในเวลาแรงงานเดียวกันเทียบกับแต่ก่อน

IV. ให้เวลาแรงงานอันจำเป็นในการผลิตผ้าลินินกับเสื้อคลุม ให้มูลค่าของทั้งสอง เปลี่ยนพร้อมกันในทิศทางเดียวกัน แต่คนละระดับ หรือในทิศตรงข้าม ฯลฯ ส่วนผสมที่เป็นไปได้ทั้งหมดส่งอิทธิพลต่อมูลค่าสัมพัทธ์ของสินค้าอย่างไร พลิกแพลงกรณีที่ I. II. และ III. หาได้โดยง่าย

การแสดงออกเชิงสัมพัทธ์หรือขนาดของมูลค่าสัมพัทธ์จึงไม่ได้สะท้อนการเปลี่ยนแปลงจริงของขนาดของมูลค่าอย่างแจ่มแจ้งหรือถี่ถ้วน มูลค่าสัมพัทธ์ของสินค้าอาจเปลี่ยนแม้มูลค่าคงที่ มูลค่าสัมพัทธ์อาจคงที่แม้มูลค่าเปลี่ยน และสุดท้าย ทั้งขนาดของมูลค่าและการแสดงออกเชิงสัมพัทธ์อาจเปลี่ยนพร้อมกัน แต่ไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกันเลย[1]


  1. หมายเหตุในฉบับที่ 2 เศรษฐศาสตร์แบบหยาบใช้ไหวพริบที่คุ้นกันดีฉวยประโยชน์จากความไม่สอดคล้องกันระหว่างขนาดของมูลค่ากับการแสดงออกเชิงสัมพัทธ์ เช่น: „เมื่อยอมรับว่า A ตกเพราะ B ซึ่งแลกเปลี่ยนกันมันขึ้น แม้ในขณะที่ A ไม่ได้ใช้แรงงานน้อยลง แล้วหลักการมูลค่าทั่วไปของคุณก็จะพังครืน … หากยอมรับว่าเมื่อมูลค่าของ A เพิ่มขึ้นเทียบกับ B แล้วมูลค่าของ B ลดลงเทียบกับ A รากฐานที่ค้ำยันประพจน์ยิ่งใหญ่ของริคาร์โด ว่ามูลค่าของสินค้ากำหนดโดยปริมาณของแรงงานที่ใส่ไปเสมอ จะหักสะบั้น เพราะเมื่อการเปลี่ยนแปลงต้นทุนของ A ไม่เพียงเปลี่ยนแต่มูลค่าของตัวเองในความสัมพันธ์กับ B ที่แลกเปลี่ยนกัน แต่ยังเปลี่ยนมูลค่าของ B เทียบกับ A แม้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงปริมาณแรงงานที่ต้องใช้ผลิต B แล้วใช่แค่หลักนั้นที่พังครืน ที่ยืนยันว่าปริมาณของแรงงานที่ใช้ในสิ่งหนึ่งกำกับมูลค่าของมัน แต่หลักว่าต้นทุนการผลิตกำกับมูลค่าของสิ่งหนึ่งเช่นกัน“ (จอห์น บรอดเฮิสต์: „Political Economy“, ลอนดอน 1842, หน้า 11, 14.)
    นายบรอดเฮิสต์กล่าวได้ไม่ต่างกันว่า: หากเราพิจารณาอัตราส่วนของตัวเลข 1020, 1050, 10100 ฯลฯ เลข 10 คงที่ไม่เปลี่ยน แต่ถึงอย่างนั้น ขนาดตามสัดส่วน หรือขนาดเทียบกับตัวหาร 20, 50, 100 กลับลดลงไปเรื่อย ๆ หลักการอันยิ่งใหญ่ว่าขนาดของจำนวนเต็ม 10 ถูก „กำกับ“ โดยจำนวนของเลขหนึ่งที่มีอยู่ข้างใน จึงพังครืน