เราเห็นว่า: เมื่อสินค้า (ผ้าลินิน) แสดงออกมูลค่าเป็นมูลค่าใช้สอยของสินค้า (เสื้อคลุม) สินค้าแรกจะกำหนดรูปมูลค่าประหลาดเฉพาะตัวให้สินค้าอย่างหลัง คือรูปสิ่งสมมูล สินค้าผ้าลินินเปิดเผยว่าตนเป็นมูลค่าด้วยการนับว่าเสื้อคลุมเสมอกับตนโดยไม่ต้องอยู่ในรูปมูลค่าที่ต่างจากรูปกาย ผ้าลินินจึงแสดงจริง ๆ ว่าตนเป็นมูลค่าด้วยการที่เสื้อคลุมแลกเปลี่ยนได้โดยตรงกับมัน ฉะนั้น รูปสมมูลของสินค้าคือรูปของการแลกเปลี่ยนได้โดยตรงกับสินค้าอื่น
เมื่อสินค้าชนิดหนึ่ง เช่นเสื้อคลุม ทำหน้าที่เป็นสิ่งสมมูลของสินค้าอีกชนิด เช่นผ้าลินิน เสื้อคลุมจะได้สมบัติอันเป็นลักษณะเฉพาะมาในรูปของการแลกเปลี่ยนได้โดยตรงกับผ้าลินิน แต่อัตราส่วนไม่ได้ถูกกำหนดไว้แต่อย่างใดว่าเสื้อคลุมแลกเปลี่ยนกับผ้าลินินได้เท่าไร แต่เพราะขนาดของมูลค่าของผ้าลินินถูกกำหนดไว้แล้ว ก็จะขึ้นอยู่กับขนาดของมูลค่าของเสื้อคลุม ไม่ว่าจะแสดงออกเสื้อคลุมเป็นสิ่งสมมูลและผ้าลินินเป็นมูลค่าสัมพัทธ์ หรือกลับกัน ผ้าลินินเป็นสิ่งสมมูลและเสื้อคลุมเป็นมูลค่าสัมพัทธ์ เวลาแรงงานอันจำเป็นในการผลิตเสื้อคลุมยังคงกำหนดขนาดของมูลค่าของมันดังก่อน และจึงกำหนดโดยไม่ขึ้นกับรูปมูลค่าที่เป็น แต่ทันทีที่สินค้าเสื้อคลุมอยู่ในตำแหน่งของสิ่งสมมูลในการแสดงออกมูลค่า ขนาดของมูลค่าของเสื้อคลุมไม่ได้แสดงออกเป็นขนาดของมูลค่า แต่ปรากฎในสมการมูลค่าเป็นแค่สิ่งของในปริมาณแน่นอน
ตัวอย่างเช่น: ผ้าลินิน 40 หลามี „ค่า“ —— เป็นอะไร? เสื้อคลุม 2 ตัว เพราะสินค้าเสื้อคลุมมีบทบาทเป็นสิ่งสมมูล มูลค่าใช้สอยของเสื้อคลุม ตรงข้ามกับผ้าลินิน นับเป็นกายของมูลค่า เสื้อคลุมปริมาณเท่าหนึ่งก็เพียงพอแล้วที่จะ