ฝูงปลวกพากันมาทำรังเกาะอยู่รอบตัวโยคี สัตว์เลื้อยคลานต่าง ๆ พากันไต่ตามกายแลหน้า หมาร่าทำรังห้อยอยู่บนผม แต่โยคีก็มิได้รู้สึกตัว นั่งนิ่งเหมือนคนไม่มีใจ ต่อเมื่อพิจารณาละเอียดจึงเห็นได้ว่ามีชีวิต พระราชาทอดพระเนตรเห็นดังนั้นก็แปลกพระหฤทัย สักครู่หนึ่ง ก็เสด็จคืนพระนคร ทรงม้านิ่งตรึกตรองตลอดทาง ครั้นถึงพระนคร ก็รับสั่งถึงโยคีนั้นร่ำไป ยิ่งทรงนึกถึงแลรับสั่งถึง ก็ยิ่งใคร่ทรงทราบเรื่องแลทดลองตบะแห่งโยคีนั้น ในที่สุด มีรับสั่งให้ป่าวทั่วพระนครว่า ถ้าผู้ใดทำให้โยคีเข้ามาในพระนครได้โดยลำพังความชักชวน จะประทานรางวัลมีจำนวน ๑๐๐ เหรียญสุวรรณ์
"ยังมีนางเวศยาคนหนึ่งชื่อ นางวสันตเสนา มีชื่อเสียงชำนาญการร้องรำทำเพลงยิ่งกว่าสามารถสำรวมฤดี นางนั้นเข้าไปเฝ้าพระราชาผู้พระราชบิดาของพระองค์ อาศาจะไปนำโยคีเข้ามายังท้องพระโรง แลจะให้แบกทารกมาด้วย พระราชาทรงฟังก็สงสัยคำที่นางกล่าวว่าจะทำได้ แต่ประทานใบพลูแก่นางใบหนึ่งเป็นสัญญา ตกลงให้ทำตามอาศา แล้วประทานอนุญาตให้ออกจากท้องพระโรงไป"
"นางวสันตเสนา ครั้นออกจากที่เฝ้าแล้ว ก็ไปยังป่า เที่ยวหาโยคี พบนั่งหิวแลกระหายน้ำอยู่แทบใกล้ต้นไม้ใหญ่ มีอาการเหมือนใกล้จะสิ้นชีวิตด้วยความร้อนแลความหนาว นางจึ่งทำอาหารน้ำอย่างหนึ่งซึ่งมีรสหวานแหลม ค่อยย่องเข้าไปใกล้ แล้วค่อย ๆ ป้ายอาหารนั้นที่ปากโยคี ๆ รู้สึกความหวานก็เลียอาหารนั้นเข้าไป นางก็ป้ายเติมอีกเป็นหลายครั้ง ครั้นวันที่ สามโยคีค่อยมีกำลัง พอรู้สึกนิ้วป้ายที่ปากก็ลืมตาขึ้นดู เห็นนางวสันตเสนา ก็ถามว่า 'เจ้ามาที่นี่ทำไม'"