แห่งหนึ่ง ในป่าช้านั้นมีต้นอโศก บนต้นอโศกนั้นมีศพแขวนอยู่ศพหนึ่ง พระองค์จงไปพาศพนั้นมาให้ข้าพเจ้าโดยเร็ว"
พระราชาทรงฟังดังนั้น ก็จับพระหัตถ์พระราชบุตรพากันเดิรไปในทิศใต้ ทรงทราบแน่ในพระหฤทัยว่า ศานติศีลนี้เองคือโยคีซึ่งพระราชบิดาได้ทรงก่ออริ ในเวลานี้ ศานติศีลกำลังตั้งพิธีจะทำร้ายพระองค์และพระราชวงศ์ของพระองค์ จำเป็นพระราชาต้องคิดอุบายป้องกันมิให้โยคีกระทำการเป็นภัยแก่พระองค์ได้ ทรงพระราชดำริห์เช่นนี้พลางทรงดำเนิรไป ได้ยินเสียงดนตรีของโยคีและเสียงภูตผีปิศาจต่าง ๆ เต้นรำทำเพลงอื้ออึงในป่าช้า ทางที่เดินนั้นมืดถึงแก่จะเดิรให้ตรงมิได้ ทั้งมีภูตตามล้อหลอกให้ตกใจ บ้างก็แกล้งขวางจะให้สดุดล้ม บ้างก็เป็นงูมาพันพระชงฆ์ บ้างก็ทำแสงวูบวาบข้าง ๆ ทางเดิร บ้างก็ทำเสียงดังลั่นใกล้ ๆ พระองค์ แม้คนที่กล้าก็น่าหวาดเสียวไม่อาจดำเนิรต่อไปได้ แต่พระราชากับพระราชบุตรก็มิได้ถอย พากันทรงดำเนิรไปจนถึงป่าช้าซึ่งโยคีทูลนั้น สักครู่หนึ่ง เห็นต้นอโศกต้นใหญ่ลุกเป็นไฟแดงไปทั้งต้น พระราชาไม่ทรงย่อท้อ ก็เดิรตรงเข้าไป ประเดี๋ยวได้ยินเสียงผีร้องบอกว่า "ฆ่าเสีย ฆ่าเสียทั้งสองคน จับตัวให้ได้ ช่วยกันจับตัวเผาในไฟบนต้นไม้ให้ไหม้เป็นจุณไป ทำให้รู้สึกพิษไฟแห่งบาดาล"
พระราชาไม่ทรงครั่นคร้าม ก็ตรงเข้าไปถึงต้นไม้ แต่เปลวไฟบนต้นอโศกนั้นมิได้ร้อน เพราะเป็นไฟที่ปิศาจสำแดงหลอกเท่านั้น เมื่อเข้าไปถึงโคนต้นไม้ พระราชาก็หยุดพิศดูศพซึ่งแขวนอยู่บนกิ่งอโศก ศพนั้นลืมตาโพลน ลูกตาสีเขียวเรือง ๆ ผมสีน้ำตาล หน้าสีน้ำตาล ตัวผอมเห็นซี่โครงเป็นซี่ ๆ ห้อยเอาหัวลงมาทำนองค้างคาว