แม้แต่จะคิดถึงเจ้าแฟงก็งดพบกันไว้แล้ว พอเย็นก็รีบทำอะไร ๆ ที่ข้างล่างให้เสร็จและเก็บขึ้นบ้านหมด พระอาทิตย์ตกดินแล้วไม่ยอมลงจากบ้านอีก
พี่พุกเขาใจกล้ากว่าผม เขาเคยเป็นทหารมาแล้ว ตอนค่ำ ๆ เขายังไปคุยที่เรือนลุงโนดและเรือนใคร ๆ ที่ใกล้ แต่ก็ไม่อยู่นานนัก ทุ่มสองทุ่มก็กลับขึ้นเรือน เพราะสุนัขทั่ว ๆ ไปชักจะหอนรับกันน่าสะท้านใจ ทำไปทำมาหมู่บ้านที่ใกล้วัดชักจะไฟมีดเมื่อยามค่ำคืนเพราะปิดประตูหน้าต่างหมดเลยไม่มีแสงไฟลอดออกมา บางบ้านก็นอนเลยก็มี เลยดูเป็นตำบลที่น่าเกรงกลัวภูตผีปิศาจไปเลย
ตากับยายนเห็นใจผม รูู้ใจผม ไม่เคยใช้ผมลงไปจากเรือนเลยเมื่อเวลาค่ำคืน ยายก็เป็นคนหวาด ๆ ทางผี ๆ สาง ๆ เท่ากับผม ยิ่งมามีการเซ่นและปลุกผีตายโหงใกล้ ๆ บ้านเช่นนี้ แกยิ่งไม่สบายใจเลย สำหรับผมน่ะ เรื่องน้าเกียรติยังไม่ทันหายกลัว เกิดมาทิดกล้าเข้าอีกแล้ว นึกถึงกรุงเทพฯ เขาช่างสว่างไสวไปด้วยแสงไฟทั่ว ๆ ไป ไม่น่ากลัวอย่างบ้านเรา มันช่างมืดและเงียบเสียจริง ๆ หมูหมาก็พาลช่วยหอนผสม เสียงใบไม้ถูกลมไหวตัวดังเกรียวกรูในยามเงียบ หมาทางวัดก็หอนขึ้นเสียงยาว แล้วทางบ้านก็หอนรับขึ้น ผมขดตัวอยู่ในมุ้ง นึกไปว่า นี่คงเป็นเวลาที่ทิดกล้ากำลังก้าวขึ้นจากหลุม ค่อย ๆ ดัดตัวให้หายเมื่อยที่นอนนิ่งอยู่ในโลงมาทั้งวันทั้งคืน คิดไปก็หนาวสะท้านหัวอก
ในคืนต่อมา ผมได้ยินเสียงฝีเท้าม้าวิ่งอยู่ชายทุ่ง ไกลบ้างใกล้บ้าง ผมตัวสั่นเทา แน่ใจว่า นั่นมันเป็นเสียงฝีเท้าม้าของทิดกล้า และทิดกล้ากำลังควบขี่เพื่อควานหาผู้ที่ทำร้ายตัว ตื่นเช้าผมกระซิบถามพี่พุกว่า เมื่อคืนได้ยินเสียงฝีเท้าม้าหรือเปล่า ผมถามยาย ยายก็ว่า ไม่ได้ยิน แต่แกมองหน้าผมด้วยดวงตาที่ลุกวาว ผมได้ยินคนเดียวจริง ๆ และได้ยินเต็มหูเลย ทั้งหมาใต้ถุนก้หอนขึ้นเมื่อเสียงฝีเท้าม้าดังผ่านไป ในขณะนั้นผมแทบจะจับไข้
ในคืนหลังมาอีก เสียงนั้นและอื่น ๆ ก็เป็นไปอย่างคืนก่อน แต่รุ่งเช้ายายรับว่า ได้ยินอย่างผม และยังได้ยินม้าร้องอย่างคะนอง ลุงโนดก็รับอีกปากว่า ได้ยินเช่นเดียวกัน เป็นอันว่า หูผมไม่ได้แว่วไปคนเดียว