ส่วนตานั้นนิ่ง ๆ ไม่ออกความเห็น จะได้ยินไม่ได้ยินไม่พูด ดูแกยาก แต่สังเกตว่า แกก็คงใจไม่ค่อยดีเช่นเดียวกับเรา แกทำอะไรคนเดียวเงียบ ๆ คือ เอายันต์ในตู้ออกมาแขวนที่ชายคาบ้าน ผมยิ่งแน่ใจว่า ตาเองก็รู้อะไร ๆ ทั้งหมด หากแต่เป็นพ่อบ้าน ย่อมจะต้องทำกิริยาให้หนักแน่นเยือกเย็นไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใดง่าย ๆ เพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวแก่ลูกบ้าน
"มีอะไรที่ทิ้งอยู่ข้างล่างก็เก็บขึ้นบ้านเสียแต่วัน ๆ โว้ย อ้ายเรือง" ตาร้องบอกผม และตัวแกเองก็คว้าอะไรต่ออะไรขึ้นบ้านเกี่ยวกับของที่จะใช้สอยในตอนกลางคืน คำพูดของตาและการกระทำของตาทำให้ผมหนาวใจนัก แสดงว่า เรื่องต่าง ๆ มันถึงขนาดแล้ว มิฉะนั้น คนชั้นตาจะไม่เป็นไปอย่างพวกเรา ๆ เย็นค่ำลงตาได้สั่งปิดหน้าต่างและประตู อ้างว่า อากาศหนาว ปิดเสียดีกว่าเปิด
เสียงฝีเท้าม้าในยามดึกนั้นมันอาจเป็นไปได้สองนัย นัยหนึ่ง อาจจะเป็นม้าของทิดหาญเที่ยวควานหาความจริงของคนร้ายว่ามาจากทางไหนกันแน่ นัยที่สอง ถ้าเป็นม้าของทิดกล้าล่ะ คิดแล้วถึงกลับครางออกมา รุ่งขึ้นได้ข่าวว่า พระที่วัดองค์หนึ่งเห็นทิดกล้าเดินอยู่ในวัดอย่างช้า ๆ วนไปวนมา แล้วออกจากวัดไป
"อ้ายกล้าชักจะยุ่งเสียแล้ว!" ตาพูดงึมงำขณะที่กินข้าวอยู่
"ไม่รู้ว่าเสียงม้าใคร" พี่พุกพูด เขาเพิ่งจะพูดว่า เขาเองก็ได้ยินอย่างผมและยาย
"มึงได้ยินเรอะ?" ยายถาม
"จ้ะ ได้ยิน" พี่พุกพูดแล้วก้มหน้าเปิบข้าว
"ทำไมท่านพระครูไม่ห้ามอ้ายพวกมาปลุกผีเสียนะ" ยายว่า
"ห้ามเดี๋ยวนี้จะมีประโยชน์อะไรล่ะ มันตื่นตัวเสียแล้ว" ตาว่า "อ้ายทิดหาญมันบ้า มันไม่คิดว่ามันเล่นกับไฟ และคนทั่ว ๆ ไปก็โกรธมันอยู่"
ยิ่งฟังไปก็ยิ่งกังวลใจ อยากจะกระอักออกมาด้วยความอัดอกอัดใจ ข่าวการปลุกผีได้กระจายไปทั่ว ๆ บ้าน ใครมีม้าขี่แทบจะบอกขายไปเลย เกรงทิดหาญจะคิดสงสัยว่าร่วมมือกับพวกที่ฆ่าทิดกล้า หากแต่หมู่บ้านเราไม่มีม้าขี่ เลยค่อยสบายใจไป