หน้า:Phu Thi Mai Mi Rangkai 2547.djvu/92

หน้านี้ได้พิสูจน์อักษรแล้ว
๐๙๔│๐๙๕

เมื่อไหร่ก็ได้" วิชัยว่า

"ฉันยังเห็นสถานที่ที่กล่าวไว้ในเรื่องไม่หมดเลย"

"วันหน้าเถิดนะ ฉันจะพาไปดูให้ทั่ว แต่แกก็รู้แล้วนี่นะว่า จะเอาอะไรแน่กับข้ออ้างในการประพันธ์ เขาเพียงฝากไว้กับสถานที่นั้นเท่านั้น แต่จะจริงไม่จริงนั้นไปอีกเรื่องหนึ่ง"

"ถูกแล้ว! แต่มันก็ฝันไปได้อย่างสบาย ๆ ตามสันดานของฉัน" ผมว่า

ต่อนั้นมา ผมก็นั่งขรึม ๆ มาตลอดทางจนถึงตำบลอู่ทอง พอเลยมาหน่อย วิชัยก็ทักว่า ผมนิ่งไปไม่พูดบ้างเลย จะพลอยทำให้เขาง่วง ช่วยคุยเป็นเพื่อนหน่อย ผมจึงนึกขึ้นได้ว่า การขับรถในทางเปลี่ยวโดยคนเดียวไม่มีการคุยกันเลยทำให้ง่วงนอนได้ และภัยที่จะเกิดนั้น คือ เผลอสติไปเพียงเสี้ยววินาทีก็หมายถึงตาย ผมเลยนำเอาเรื่องประวัติศาสตร์ตอนดอนเจดีย์ขึ้นคุยกัน เพราะเป็นตอนที่ดุเดือดสมกับเป็นนักเลงรบ

ในชั่วครู่นั้นเอง ก็เกิดเรื่องประหลาดขึ้น คือ ข้างหน้าเรายังอีกห่างไกล ตามแสงไฟหน้ารถเราที่ฉายพุ่งไปอย่างแรงนั้น มีภาพการทุลักทุเลของใครคนหนึ่งกำลังลากอะไรข้ามถนนไปจากฟากหนึ่งจะไปอีกฟากหนึ่ง วิชัยเบาเครื่องลงฉับพลัน เพราะการลากของข้ามถนนั้น ผู้ลากได้หยุดขวางถนนเสียเฉย ๆ โดยคนลากนั้นจะหมดแรงลากไม่ไหว ลงท้ายหยุดยืนหันหลังให้รถเราเสียเฉย ๆ เมื่อเราใกล้เข้าไป ก็ต้องหยุด เห็นสิ่งที่เขาลากข้ามถนนได้ชัดว่าเป็นเลื่อน สิ่งนี้เป็นพาหนะบรรทุกข้าวเปลือกที่ชาวนาใช้ควายลากด้วยกำลัง มันไม่มีล้อดังเกวียน มันเป็นไม้สองท่อนที่ทำงอนหัวงอนท้ายแทนลูกล้อ ถ้าลากไปหัวชังต้นข้าว มันก็ลื่น ทำให้ลากได้เบา แต่ถ้ามาบนถนน มันก็หนัก ถ้าไม่ใช้ควายลาก แต่นี่เป็นคนลาก ก็หนักแรง ทั้งคนลากนั้นก็เป็นหญิงเสียอีก

แม่คนนั้นแกยกมือให้เราหยุด ผมกับวิชัยมองหน้ากัน เพราะการหยุดรถในเวลาค่ำคืนในหนทางเปลี่ยวนั้นไม่ควรทำทีเดียว ถ้ายังไม่อยากหมดเนื้อหมดตัว จริงอยู่ ผู้ที่ขอให้เราหยุดนั้นเป็นหญิงเพียงคนเดียว แต่จะรู้ได้อย่างไรว่า ข้าง ๆ ถนนที่มีแต่ซุ้มไม้นั้นจะไม่มีใครซุ่มอยู่ เรามองไปที่เลื่อนนั้นเพื่อตรวจดูว่ บรรทุกอะไร ทันทีเราก็ฉงนใจและ