เฉลียวขึ้นว่า เราจะถูกปล้นเสียแล้ว ในเลื่อนที่ลากมานั้นเป็นคนห่มผ้าทำนอนแน่นิ่ง มีผ้าคลุมโปงเหมือหนาวจัด
"รถว่างไหม?" หญิงผู้ลากเลื่อนร้องถามเราด้วยเสียงเหนื่อยอ่อน
"ทำไมล่ะ?" ผมถามออกไปด้วยใจนึกไหวทันว่า เรากำลังจะเข้าตาลำบากเสียแล้ว รถเราถ้าจะหลีกไปก็ยาก เพราะเลื่อนนั้นทอดขวางเกือบครึ่งถนน และคานที่ลากอยู่ทางหัวเลื่อนนั้นยาวมาก ซ้ำแม่คนที่ลากเลื่อนยังอยู่สุดคานลากนั้นอีก จึงเต็มถนนพอดี ยากแก่เราจะหลีกไปได้
"ฉันจะขอฝากคนเจ็บหนักไปโรงพยาบาลนครปฐมด้วย" หญิงนั้นพูดช้า ๆ
"ฉันไม่ไปนครปฐม" วิชัยเป็นคนปฏิภาณไว "ฉันจะไปแค่กำแพงแสนนี่เอง"
แม่หญิงผู้ลากเลื่อนได้ยินเราตอบดังนั้นก็นิ่งงัน ยืนทอดอาลัย ดูตามรูปร่างแก คะแนอายุว่ายังสาว
"ช่วยไปหน่อยไม่ได้หรือ?" แกพูดต่อ "นึกว่าเอาบุญแก่คนเจ็บเถิด"
เรามองหน้ากันอย่างไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร และไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไร เพราะตามคำที่แกพูดมานั้นก็น่าที่เราจะทำการช่วยเหลือ ซึ่งเกี่ยวกับความเมตตา แต่ถ้าพูดถึงการวิ่งรถเวลากลางคืนแล้วผิดหลัก จะรับใครกลางทางช่วยเหลือใครกลางทางอย่างนี้มันยากยิ่ง เคยหมดตัวเพราะเข้าตาจนมามากรายแล้ว แต่ใจหนึ่งก็คิดว่า เราหยุดรถมานี่หลายนาทีแล้ว ถ้าจะมีการปล้นสะดม ก็น่าจะมีแล้ว แต่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็ถ้าว่า เรารับแกไปจริงแล้ว แกเกิดขอร้องให้เราหยุดยังที่ใดที่หนึ่ง เราอาจจะโดนดีตรงนั้นก็ได้ จะมีพวกวิ่งพรูกันออกมาจกาป่าสองข้างทางยึดรถเราและตัวเราแล้ว เราจะทำอย่างไรเล่า วิชัยเป็นคนใจแข็งพอ ด้วยว่าเป็นนักธุรกิจวิ่งรถผ่านเมืองไกลเสมอ ย่อมระมัดระวังตัว จึงตอบว่า
"ฉันมีธุระร้อนจริง ๆ ทำอย่างนั้นไม่ได้ มันเกี่ยวกับการเป็นการตายเหมือนกัน"
แม่หญิงนั้นยืมก้มหน้านิ่ง ไม่พูดว่าอะไร
"หลีกทางฉันหน่อยซิ ฉันธุระร้อนจริง ๆ" วิชัยว่า