จริงอย่างว่า เสียงนั้นไม่มีอีก เงียบไปเฉย ๆ ก็เป็นว่าหูแว่วไปเองเพราะห่วง
เงยหน้าดูนาฬิกาเรือนใหญ่ที่ตั้งอยู่ห้องโถง บอกเวลาห้าทุ่มครึ่งผมถอนใจเฮือก คืนนี้เป็นคืนที่น่ากลุ้มใจที่สุด ตามธรรมดาผมนอนคุดคู้ไปแล้ว เท่าที่นั่งหลับ ๆ ตื่น ๆ แบบโยคีนั้น เพราะหญิงแปลกหน้าคนหนึ่งมาหานายเมื่อหัวค่ำ เมื่อนายผมไม่อยู่ ไปหัวเมืองยังไม่กลับ ก็แจ้งเรื่องให้เธอทราบ เธอตกใจ ลืมตาโพลง อ้าปากค้าง ที่มือเธอหิ้วกระเป๋าเดินทางมาด้วย
"ท่านไปไหนคะ ?" เธอถามอย่างสีหน้าร้อนรน และมีกิริยาเสียใจหมดหวังอะไร ๆ ของเธอ
"ท่านไปฉะเชิงเทราครับ ท่านว่าจะกลับรถเย็น ก็น่าจะถึงแล้วเมื่อหกโมงเย็น แต่นี่อย่างไรจึงผิดเวลาไป" ขณะที่ผมพูด เธอมองหน้าผมคล้ายจะค้นหาว่าพูดจริงหรือไม่จริง
"กรุณาเชื่อผมเถอะครับ ผมเรียนด้วยความจริง" ผมพูดต่อ เธอมองหน้าผมอย่างร้อนรน สีหน้าเหมือนจะร้องไห้เสียให้ได้
"เอาอย่างนี้เถอะครับ เชิญคุณเข้านั่งพักคอยข้างในให้สบายก่อนเถอะครับ"
"ขอบใจค่ะ" เธอตอบเหมือนเสียงสะอื้น ผมอึดอัดใจ ไม่รู้ว่าหญิงนี้มีอะไรกับนายเราแค่ไหน และนัดกันอย่างไร แต่ทางที่ดีต้องต้อนรับไปตามหน้าที่คนใช้ที่ดี ผมตรงเข้าดึงกระเป๋าเดินทางของเธอพร้อมกับผู้ขอร้องเธอบังคับ
"โปรดให้กระเป๋าผมแล้วคุณตามเข้ามาพักข้างในเลยเถอะครับ"
เท่านี้เอง หญิงกูแปลกหน้าและสาวสวยก็เดินตามผมเข้าไปในห้องรับแขก ผมนึกเดาเหตุการณ์ของนายว่าบางทีรถมาถึงแล้ว แต่นายอาจจะเลยไปรับประทานอาหารเสียที่ร้านไหน แต่เอ๊ะ ก็หญิงคนนี้บอกว่า ก็นายนัดกับเธอไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะ ยังไงกันแฮะ นี่ก็ค่ำมากแล้ว ผมเลยใช้วิชาคนใช้ที่ดีชวนผู้ชวนคุยกับเธอไปเรื่อย ๆ เธอแหงนมองดูตึกเก่า ๆ ที่มีลวดลายช่อชั้นงดงามและรโหฐาน แล้วมึงไปรอบ ๆ พอมองไปถึงภาพสีน้ำมันภาพใหญ่ข้างฝาก็ชะงักนิ่ง ผมเลยบอกให้ทราบว่า นั่นคือภาพของคุณนายของนายห้างที่เสียชีวิตไปนานปีแล้ว เธอหลบหน้าจากรูปนั้นหันมา