เราเดินทางโดยเรือแจวที่พี่สอนเอามารับ ตลอดทางในคลอง ผมไม่เบิกบานจะชมนกชมไม้อย่างเคย ใจมันกลุ้มมันอลเวงอยู่ตลอดเวลา ยายกลัวจะช้าคว้าพายช่วยจ้ำหัวเรืออีกคนหนึ่ง ตอนท้ายพี่สอนเป็นคนแจว ผมเองพายไม่ค่อยออกแรงเท่าใดนัก เพราะไม่คิดอยากจะถึงเร็ว คิดว่าถ้าบ้านไกลกว่านี้จะดีมาก ต้องพักหยุดค้างที่บ้านอื่นก่อนแล้วค่อยไป จะพอผ่อนความวุ่นใจลงบ้าง แต่ไม่เป็นผล เพราะบ้านน้าอั๋นจะถึงอยู่ในชั่วครู่นี่เองแล้ว
เรือเทียบตลิ่งหน้าบ้าน ซึ่งมีเรือจอดอยู่แล้วมากลำ มองขึ้นไปบนบ้าน เห็นพวกบ้านใกล้และไกลมานั่งเศร้า ๆ แววตามีทุกข์ร้อน มีคนมากก็จริงอยู่ แต่ไม่มีใครพูดจาเอะอะเหมือนศพที่ตายกันธรรมดา ตอนกลางคืนจะมีสวดพระอภิธรรม ย่อมมีเสียงเอะอะพูดจาจัดงานกัน แต่นี่เป็นศพที่จะต้องรีบนำไปฝังในตอนพลบค่ำนี้ จึงไม่มีใครจัดทำอะไรกันด้วยว่าศพก็อยู่ในโลงแล้ว เพียงแต่รอญาติพร้อมเท่านั้น บางคนนึกแช่งผู้ที่มาช้า โดยเป็นผู้ถ่วงเวลาให้พลบค่ำ ที่ไม่เหมาะแก่การจะไปฝัง จะต้องขมุกขมัวอยู่ในป่าช้า ขุดหลุมฝังกว่าจะเสร็จการก็มืดตื้อกว่า ฟืนไฟบ้านเราจะเอาที่ไหนสว่างนอกจากดวงไต้แดง ๆ ฉะนั้นทุกคนจึงมีสีหน้าไม่ค่อยดีบ้างก็เศร้าใจที่ตายแล้วก็ไม่ได้สวดกัน ดูคล้าย ๆ รีบหามเอาไปทิ้ง บางคนที่มีสีหน้ากังวลนั้น เห็นจะมาจากเกรงภัยของไข้คราวนี้ที่ระบาดทั่วไป จึงหวั่น ๆ ว่าจะมาถึงตัว ส่วนผมไม่มีความกังวลตรงกับใคร กังวลแต่เรื่องผีเท่านั้น ตายกันมาก ผีก็อยู่ทั่วไป และที่ใกล้ที่สุดก็คือผีน้าอั๋น การตายที่รวดเร็วและไม่ขาดวันก็เป็นที่น่าสะดุ้งใจและสลดใจอยู่ เห็น ๆ กันแล้วมาตายจากไป คนบ้านนอกอยู่ในวงแคบ ๆ ใครตายใครอยู่ก็รู้จักกันหมดทั้งบาง สุนัขบ้านตรงข้ามคลองฟากโน้นหอนโจ๋ ๆ สะท้านใจ ผมหันมองทางเรือนฝั่งคลองที่เสียงสุนัขหอน เห็นปิดประตูหน้าต่างเงียบ เขาคงไม่อยากจะสู้หน้ากับการมรณะในยามนี้ สุนัขก็มีโอกาสหอนตามใจมัน ไม่มีใครห้ามปราม ผมก้าวขึ้นบันไดตามยายขึ้นไปบนเรือนด้วยความท้อแท้ประหวั่นกลัว เลยแอบนั่งรวม ๆ กับคนแก่ ๆ ที่ระเบียง ไม่ยอมขึ้นบนห้องบน ให้ยายแกเข้าไปแต่คนเดียว เสียงญาติร้องไห้พลางรำพันความดีของน้าอั๋นระงมเยือกเย็นไปทั้งบ้าน ผมหนาวใจอยู่แล้วเลยสะท้านขึ้นมา