หน้านี้ได้พิสูจน์อักษรแล้ว
18
 

เลย เสียงยายร้องเรียกผมอยู่ในห้อง ผมจึงย่องหลีกคนไปลับ ๆ ล่อ ๆ ที่หน้าประตู ยายบอกว่าไหว้น้าเขาเสียสิ ผมลังเลใจ แต่กลัวยายก็กลัวกลัวน้าอั๋นก็กลัว ทางดีที่สุดรีบยกมือไหว้เสียที่ประตูนั่นเอง ยายก็ไม่ได้ว่าอะไร ผมรีบถอยกลับลงมาที่พื้นดิน พอพวกญาติที่แข็งแรงช่วยกันยกโลงศพลงบันได บนเรือนก็ร้องไห้กันโฮ

”เวรกรรมพ่อคุณเอ๋ย ไม่ได้สวดให้สักจบเดียว ตายแล้วก็ทิ้งไป” เสียงคนแก่คนหนึ่งที่ผมไม่รู้จัก นั่งพูดอยู่บนเรือนเสียงแหบแห้ง ผมหนาวเย็นจับใจขึ้นอีก เรือค่อย ๆ เคลื่อนจากท่าแล้วแจวไปทางวัดอย่างเงียบ ๆ ไม่มีใครคุยกันเลย มีแต่เสียงแจวกระทบน้ำและระลอกคลื่นที่คอเรือดังเบา ๆ เรือผ่านบ้านใคร สุนัขบ้านนั้นหอนและบ้านนั้นก็งับประตูหน้าต่างจนสิ้น ผมมีความรู้สึกครึ่งเป็นครึ่งตาย หายใจอยู่หรือเปล่าไม่ได้สังเกต พวกเด็ก ๆ บนบกพอเห็นเรือศพ ต่างวิ่งหนีหลบไป เสียงชาวบ้านพึมพำบ่นถึงการตาย ยายแก่หนังเหี่ยวร้องขอความคุ้มครองต่อเทพเจ้าออกมาดัง ๆ

“เจ้าพ่อเจ้าแม่เอ๋ย จะรุกรานไปถึงไหน ตายก็มากแล้ว ผิดสิ่งใดก็ลงโทษไปพอแล้ว ขอกรุณาหยุดแต่เพียงนี้เถิดเจ้าข้า” ยายนั่นแก่จะร้องขอโทษใครผมไม่รู้ ผมอยากร้องไห้ท่าเดียว คิดถึงบ้าน ถ้าผมขออยู่เฝ้าบ้านและอาศัยนอนกับน้าสมลูกชายยายอ่องก็ดีไปแล้ว ไม่ควรใจง่ายมากับเขา

“เอ ! ทำไมเรือหนักจริงเว้ย !” ทิดน้อยพายหัวเรือร้องบ่น ความจริงน่าฉงน ทิดก่องแจวท้ายก็มิได้ละลด รวมทั้งทิดน้อยพายหัวก็ออกแรงกันเต็มที่ แต่เรือเหมือนไม่เขยื้อน พอขาดคำของทิดน้อย ตาเถิ่งจุ๊ปากห้ามคล้ายมีอะไรเป็นความลับที่ไม่ควรพูด ผมสงสัยนัก กระซิบถามพี่สอนว่าตาเถิ่งแกห้ามทิดสอนทำไม

“ห้ามสิ” พี่สอนกระซิบตอบที่ใกล้หู

“คนตายจะมาวัด พวกที่ป่าช้าจะพากันมารับ หรืออาจจะนั่งมาในเรือเราด้วย เรือจึงหนัก” พอพี่สอนพูดดังนั้น ผมสะดุ้งทั้งตัว เหลือบตาไปดูทั่วเรือ มองไปข้างหน้าเห็นวัดไกล ๆ อากาศชักจะมัว ๆ ผมหูแว่วคล้ายว่าที่วัดมีปี่พาทย์มอญ เสียงตะโพนใหญ่ดังเท่งทึง ๆ ลอยมาตามลมเบา ๆ