หน้านี้ได้พิสูจน์อักษรแล้ว
20
 

บังสุกุล เจ้าสุนัขหกเจ็ดตัวที่ลานโบสถ์ก็หอนประสานเสียงระฆังขึ้นมาความรู้สึกของผมซู่ซ่าไปหมด ผู้ใหญ่นะผู้ใหญ่ ช่างใจดำทิ้งผมไว้คนเดียวในสภาพเช่นนี้ ฮึ ! เป็นไรเป็นกัน ทิ้งเรือละ ต้องตามไปรวมกับเขาให้ได้

ผมรีบก้าวเท้าไปทางที่หินเขาเดินกันเป็นหมู่เมื่อตอนแรก พอเข้าเขตศาลาใต้ถุนสูง ทั้งบนศาลาก็มืด ใต้ศาลาก็มืด ยืนชะงักอยู่แถวนั้นเองมองไม่ออกว่าทางไหนเขาไปป่าช้ากัน จะหาเด็กวัดสักคนก็ไม่มี จะตามไปคนเดียวโดยไม่รู้ทาง เรื่องเข้าป่าช้านั้นยากยิ่ง ผู้ใหญ่เคยพูดว่าเวลาพลบค่ำนี่แล้วเป็นเวลาที่พวกผีจะออกจากโรงจากหลุมขึ้นบนพื้นดินเพื่อดัดแข้งดัดขาให้หายเมื่อยที่นอนอัดอยู่ในโรงตลอดวันตลอดคืนยิ่งคิดใจยิ่งสั่นจะเป็นลม ตัดสินใจจะวิ่งกลับที่เก่า บนศาลามืดไม่กล้ามองขึ้นไป เกรงจะพบเอาใครเข้า เสียงตุ๊กแกร้องกระโชกขึ้น ผมสะดุ้งจนตัวลอย หัวใจเทพทะลักออกมาทางปาก อยู่เงียบ ๆ แล้วมาร้องกระโชกยังไม่รู้ตัว เสียงมันคล้ายคนแกล้งร้อง ตั้งท่าจะวิ่งกลับที่เก่าให้พ้นศาลาโดยเร็ว ก็พอดีเห็นชายผู้หนึ่งเดินอุ้มอะไรแนบอกมา ดูว่าเขาจะไปทางป่าช้า ดีใจว่าจะได้อาศัยเขาเดินไปด้วย ชายนั้นเดินใกล้เข้ามาอากาศมืดสลัวไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ใจค่อยชื้นขึ้นที่พบคน พอเราต่างใกล้กันเข้ามาจนเห็นหน้ากันถนัด ก็รู้ว่าเขาเป็นคนแปลกหน้า ไม่ใช่พวกเราที่มาด้วยกัน เขาอาจจะเป็นคนบ้านนี้ สิ่งที่เขาอุ้มมาคือเด็กแดง ๆ นั่นเอง นอนอยู่บนเบาะเล็ก ๆ

"ฝากเด็กเดี๋ยวเถอะวะหนู" ชายนั้นพูดอู้อี้และแหบแห้ง แต่ก็พอฟังรู้เรื่อง ผมนิ่งอยู่ไม่ตอบว่ากระไร ใจนึกอยู่ว่า อะไรกันพ่อเอ๋ย ฉันเองก็เอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว จะมารับฝากเด็กเข้าไว้ผูกคอฉันอีกละก็ตายแน่

"เดี๋ยวฉันจะกลับแล้ว" ผมบอกกับเขาเพื่อบ่ายเบี่ยง

"จะกลับเมื่อไหร่ล่ะ" เขาถาม

"พอเขาฝังศพเสร็จก็กลับ" ผมว่า

"โอ๊ย ! งั้นละก็อีกนาน ฝากเดี๋ยวเถอะวะอ้ายพ่อคุณ แม่มันไปงานศพเขา จะเข้าไปตาม" เขาว่า

"ทำไมน้าไม่อุ้มไปเลยล่ะ ก็จะพบกันที่โน่น" ผมแย้ง

"วัดโธ่ ! เด็ก ๆ เอาเข้าป่าช้าได้เรอะ" เขาแย้งด้วยเหตุผล ทำเอาผม