เมื่อสิ้นแผ่นดินพระเพทราชาแล้ว ท่านผู้หญิงเดิม ซึ่งตั้งเปนพระมเหษีกลาง อันได้เปนผู้อุปถัมภ์บำรุงขุนหลวงเสือมา ออกไปอยู่ที่ตำหนักวัดดุสิต ซึ่งเปนตำหนีกเดิมของเจ้าแม่วัดดุสิตครั้งพระนารายน์ เห็นจะเปนจัดการเพื่อจะให้เหมือนครั้งพระนารายน์ ภายหลังตั้งให้เปนกรมพระเทพามาตย์
พระมเหษีขวา กรมหลวงโยธาทิพ พระมเหษีซ้าย กรมหลวงโยธาเทพ ออกไปตั้งตำหนักอยู่ริมวัดพุทไธสวรรย์ ปีมะโรง โทศก จุลศักราช ๑๐๖๒ โสกันต์ตรัสน้อยที่ตำหนักนั้น เปนปีที่ ๓ แผ่นดินขุนหลวงเสือ ดูไม่เกี่ยวข้องอันใดในราชการตลอดทั้งแผ่นดิน
ขุนหลวงท้ายพระขึ้นเสวยราชย์ปีจอ อัฐศก จุลศักราช ๑๐๖๘
ปีเถาะ ตรีศก จุลศักราช ๑๐๗๓ กรมพระเทพามาตย์สวรรคต ดูการศพจะไม่สู้กระไรนัก เห็นจะไม่ได้เผาในเมือง
ปีมะแม สัปตศก ศักราช ๑๐๗๗ กรมหลวงโยธาทิพทิวงคต ทำการเมรุขื่อ ๕ วา ๒ ศอก สูง ๒๐ วา ๒ ศอก มีพระเมรุทอง ศพขึ้นรถ งาน ๗ วัน
ขุนหลวงบรมโกษฐ์ขึ้นเสวยราชย์ปีชวด จัตวาศก จุลศักราช ๑๐๙๔ ราชาภิเศกในวังน่า แลเสด็จอยู่วังน่า ซึ่งไม่ได้เข้ามาอยู่วังหลวงนั้นคงจะเปนด้วยไม่ไว้ใจพวกวังหลวง กลัวจะยังไม่สิ้นเสี้ยนหนาม แลอีกประการหนึ่ง ดูก็เก๋ดีคล้ายพระนารายน์ สังเกตุดูแผ่นดินขุนหลวงบรมโกษฐชอบเล่นอย่างแบบบุราณมาก เช่นมหาดเล็กขี่คอไปสั่งราชการเปนต้น แต่มีเหตุซึ่งจำให้ต้องเข้าไปอยู่วังหลวงเมื่อภายหลัง คือ ถูกเจ๊กเข้าปล้นวังเมื่อปีขาล ฉศก จึงได้ลงมือซ่อมปราสาท ฤๅปีมะโรง อัฐศก กรมหลวงอภัยนุชิตจึงได้มาสิ้นพระชนม์ที่พระปรัศในวังหลวงเมื่อวัน ๖ ๒ฯ ๑๒ ค่ำ
กรมหลวงโยธาเทพสิ้นพระชนม์วัน ๒ ๕ฯ ๖ ค่ำ ปีรกา สัปตศก ศักราช ๑๐๙๗ อยู่ในระหว่างเสด็จอยู่วังหน้า แต่ไม่มีปรากฎในพระราชพงศาวดาร
ข้อที่อ้างตัวอย่างพระบรมศพปีฉลู เบญจศก ๑๐๙๕ นั้น คือ พระบรมศพขุนหลวงท้ายสระ ซึ่งทำพระเมรุขนาดน้อย ขื่อ ๕ วา ๒ ศอก เท่าพระเมรุกรมหลวงโยธาทิพ แต่พระเมรุทั้ง ๒ คราวนี้คงจะเปนงาน ๓ วัน ๔ วันทั้งเก็บพระอัฐิ ฤๅ ๕ วันทั้งฉันสามหาบเปล่า ๆ อย่างเดียวกัน ด้วยในขณะนั้นเจ้าแผ่นดินดูกลัวแถบข้างวังหลวงมาก จะเสด็จออกจากวังเสมอน่าจักรวรรดิ ก็ต้องรีบกลับ