กลับแผ่นดินเสียนั้นก็เห็นชอบด้วย ตั๋งโต๊ะจึงว่าบันดาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยซึ่งพร้อมกันทั้งปวง ผู้ใดจะขัดขวางเราเหมือนอ้วนเสี้ยวนั้นเราจะฆ่าเสียบัดนี้ ขุนนางทั้งปวงกลัวตั๋งโต๊ะสิ้น จึงว่าท่านคิดทำการนี้ข้าพเจ้าเห็นชอบด้วย ครั้นกินโต๊ะแล้วต่างคนก็ลาไปบ้าน
ฝ้ายตั๋งโต๊ะอยู่ในที่เฝ้าจึงถามเจียวปี่กับเหงาเค่งว่า อ้วนเสี้ยวยกไปเมืองกิจิ๋วเห็นจะคิดอ่านประการใดบ้าง เจียวปี่จึงว่า อ้วนเสี้ยวไปครั้งนี้ด้วยโกรธเห็นจะมีความคิดอยู่ อนึ่งแซ่อ้วนนั้นได้เปนขุนนางต่อ ๆ กันมาถึงสี่ชั่วคน อาณาประชาราษฎรหัวเมืองทั้งปวงก็นับถืออ้วนเสี้ยวเปนอันมาก น้ำใจอ้วนเสี้ยวก็มานะเห็นจะเกลี้ยกล่อมผู้คนตั้งตัวเปนใหญ่อยู่ตำบลหนึ่ง เกรงแต่ว่าท่านจะปราบไปมิได้ ขอให้มีหนังสือรับสั่งให้ไปตั้งอ้วนเสี้ยวเปนเจ้าเมืองตำบลหนึ่ง เห็นอ้วนเสี้ยวจะปรกติไปต่อท่าน
ฝ้ายเหงาเค่งจึงว่า อันอ้วนเสี้ยวนั้นมีความคิดอยู่ แต่คิดสิ่งใดไม่ตลอด ซึ่งท่านจะให้มีหนังสือรัยสั่งไปตั้งเปนเจ้าเมืองนั้น เหมือนหนึ่งเอาใจราษฎรไว้ ทั้งจะสิ้นความคระหานินทาท่านด้วย ตั๋งโต๊ะเห็นชอบจึงแต่งเปนหนังสือรับสั่งแล้วให้ทหารถือไป ให้อ้วนเสี้ยวเปนเจ้าเมืองปุดไฮ แต่นั้นมาขุนนางทั้งปวงอยู่ในบังคับบัญชาตั๋งโต๊ะสิ้น
ครั้นอยู่มาตั๋งโต๊ะจึงให้พองจูเปียนเสด็จออก ณ พระที่นั่งแกเต๊กเตี้ยน แล้วให้พาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยเข้ามาในที่เฝ้า แล้วตั๋งโต๊ะจึงถือกระบี่ร้องประกาศว่า ทุกวันนี้อาญาสิทธิ์ก็อยู่แก่เรา เราเห็นว่าหองจูเปียนสติปัญญาน้อยไม่ควรจะอยู่ในราชสมบัติ เราเห็นหองจูเหียบนั้นกล้าหาญ