ตรัสแก่โจฮิวว่า ท่านเปนขุนนางผู้ใหญ่ช่วยปราบปรามข้าศึกมาแต่เมืองฮูโต๋ยังไม่ตั้งมั่นได้ จนใหญ่หลวงเปนศุขขึ้นถึงเพียงนี้ บัดนี้เรายังไม่แก่ชะรานัก อายุได้สี่สิบปีพึ่งครองราชสมบัติได้เจ็ดปี โรคไภยก็เบียดเบียฬนัก เห็นจะสิ้นอายุเสียมั่นคงแล้ว ท่านอยู่ภายหลังจงช่วยทำนุบำรุงบุตร์เราโดยสุจริตให้เราสิ้นวิตกด้วยเถิด พอขาดคำพระเจ้าโจผีก็สวรรค์คต
โจจิ๋นหนึ่ง ตันกุ๋นหนึ่ง สุม้าอี้หนึ่ง โจฮิวหนึ่ง แลขุนนางทั้งปวงก็เชิญโจยอยขึ้นเสวยราชสมบัติ ชื่อพระเจ้าไต้งุยห้องเต้ ครั้นพระเจ้าโจยอยได้เสวยราชสมบัติ ก็สั่งให้ปล่อยคนโทษซึ่งต้องจำจองอยู่ในนั้นให้พ้นโทษ แล้วจัดแจงแต่งการศพพระเจ้าโจผีตามสมควร แล้วตั้งขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยเปนอันมาก พระเจ้าโจยอยจึงตรัสกับสุม้าอี้ว่า เมืองเสเหลียงนี้ใกล้เมืองเสฉวนเปนเมืองน่าศึก ต่อผู้มีสติปัญญากล้าหาญจึงจะรักษาได้ สุม้าอี้ได้ฟังดังนั้นจึงแต่งเรื่องราวขึ้นกราบทูลจะขออาษาไปรักษาเมืองเสเหลียง สุม้าอี้ก็ถวายบังคมลาไป
ฝ่ายทหารสืบข่าวราชการรู้ว่าโจผีตายแล้ว โจยอยได้ราชสมบัติตั้งให้สุม้าอี้มาอยู่รักษาเมืองเสเหลียง ก็รีบเอาเนื้อความมาบอกขงเบ้งๆแจ้งดังนั้นก็ตกใจจึงว่า สุม้าอี้เปนคนมีสติปัญญาหลักแหลมนัก มาตั้งอยู่เมืองเสเหลียง แม้นซ่องสุมทหารได้มากแล้ว เห็นจะยกมาทำอันตรายเมืองเราเปนมั่นคง จำเราจะยกทหารไปตีเมืองฮูโต๋ตัดศึกเสียก่อนจึงจะควร สุม้าอี้สิ้นกำลังลงมิได้มีที่อาไศรยก็จะหันมาพึ่งเรา