ห้องสิน/เล่ม 1
งานนี้ยังไม่เสร็จ สามารถดูและร่วมพัฒนาได้ที่ดัชนีนี้: 1 |
ห้องสิน |
เล่ม ๑ |
ในการประชุมคณะกรรมการดำเนินงานจัดพิมพ์หนังสือชุดภาษาไทยเพื่อทบทวนงานที่ได้ดำเนินมาแล้วในปีแรก คณะกรรมการดำเนินงานได้มีมติให้เพิ่มการจัดพิมพ์หนังสือชุดภาษาไทยขึ้นอีกสามชุด คือ ชุดประชุมพงศาวดาร ชุดรามเกียรติ์ และชุดพงศาวดารจีน
ชุดพงศาวดารจีนซึ่งจัดเป็นชุดที่ ๒๐ นี้ คณะกรรมการได้มีมติให้จัดพิมพ์เฉพาะเรื่องที่นับเนื่องเป็น "พงศาวดารจีน" จริง ๆ เสียก่อน ส่วนเรื่องจีนอื่น ๆ ที่จัดว่าเป็น "เกร็ด" พงศาวดารบ้าง หรือที่แต่งเป็นแบบนวนิยายบ้าง ให้จัดพิมพ์ต่อภายหลัง
ความจริงหนังสือพงศาวดารจีนไม่ว่าประเภทใดมีผู้นิยมอ่านกันมาก ในสมัยก่อนชาวบ้านร้านตลาดทั่วไปติดพงศาวดารจีนเหมือนกับการรับประทานอาหาร ฉะนั้นจึงปรากฏว่า บรรดาหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจะต้องลงเรื่องจีนอย่างน้อยหนึ่งเรื่องเป็นประจำ นักอ่านจะซื้อหนังสือพิมพ์รายวันเพื่ออ่านเรื่องจีนวันต่อวัน เรื่องที่ลงพิมพ์นั้นบางเรื่องก็เป็นเรื่องที่เคยพิมพ์เป็นเล่มมาแล้ว แต่หาอ่านไม่ได้ เพราะต้นฉบับเดิมหายาก และมิได้มีการพิมพ์ขึ้นใหม่ บางเรื่องก็เป็นเรื่องที่แปลขึ้นใหม่จากนวนิยายจีนซึ่งแต่งอิงพงศาวดาร บางเรื่องก็เป็นเรื่องที่นักประพันธ์ไทยแต่งขึ้นเองทำนองแต่งนวนิยายอาศัยพงศาวดารจีน เรื่องอิงพงศาวดารจีนที่น่าอ่านเพราะเป็นเรื่องมีคติแก่ชีวิตและครอบครัวก็มีหลายเรื่อง เช่น เรื่องจอยุ่ยเหม็ง เป็นต้น
ส่วนเรื่องจีนที่จัดได้ว่าเป็นเรื่อง "พงศาวดาร" นั้น ปรากฏจากหนังสือตำนานสามก๊ก พระนิพนธ์สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมีพระราชดำรัสสั่งให้แปลขึ้น ๒ เรื่อง คือ เรื่องไซ่ฮั่นเรื่องหนึ่ง กับเรื่องสามก๊กเรื่องหนึ่ง โปรดให้สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ กรมพระราชวังหลัง ทรงอำนวยการแปลเรื่องไซ่ฮั่น และให้เจ้าพระยาพระคลัง (หน) อำนวยการแปลเรื่องสามก๊ก นับเป็นเริ่มแรกของการแปลพงศาวดารจีนมาเป็นภาษาไทย ในรัชกาลที่ ๒ ได้มีการแปลบ้าง แต่ปรากฏว่าส่วนใหญ่ได้มีการแปลในรัชกาลที่ ๔ และรัชกาลต่อ ๆ มา
แต่การแปลพงศาวดารจีนเป็นภาษาไทยในครั้งนั้นหาได้แปลตามลำดับราชวงศ์กษัตริย์จีนไม่ เข้าใจว่า อาจเพ่งเล็งไปในความสนุกของเรื่อง หรือตามแต่จะหาต้นฉบับได้มากกว่า ทั้งผู้อ่านไม่ปรารถนาจะหาความรู้ทางประวัติศาสตร์นอกจากความสนุกเป็นสำคัญ แต่ในการพิมพ์คราวนี้ คณะกรรมการมีความคิดเห็นว่า ควรจะจัดพิมพ์ใหม่ตามลำดับราชวงศ์กษัตริย์จีน ซึ่งบางทีจะเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจของประวัติศาสตร์บ้าง จึงได้เรียงลำดับการพิมพ์ดังต่อไปนี้ คือ
๑. | ไคเภ็ก | เริ่มแต่ประวัติศาสตร์ยังเจือปนด้วยนิยาย เช่น การสร้างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ สร้างโลก ฯลฯ จนถึงตอนใกล้ประวัติศาสตร์ กษัตริย์องค์แรก ๆ ของจีน ตั้งแต่สมัยที่กษัตริย์ได้ขึ้นเสวยราชย์โดยราษฎรเป็นผู้เลือก จนถึงปฐมกษัตริย์สืบราชวงศ์ คือ กษัตริย์ราชวงศ์แฮ่ กับกษัตริย์ราชวงศ์เซียว (ก่อนพุทธศักราช ๒๑๕๔ ปีถึงก่อนพุทธศักราช ๑๒๔๐ ปี) | |
๒. | ห้องสิน | ราชวงศ์เซียว และราชวงศ์จิว (ก่อนพุทธศักราช ๑๒๔๐ ปีถึงพุทธศักราช ๒๙๗) | |
๓. | เลียดก๊ก | ||
๔. | ไซ่ฮั่น | ราชวงศ์จิ๋น และราชวงศ์ฮั่น (พ.ศ. ๒๙๘–๓๓๗) | |
๕. | ไต้ฮั่น | ||
๖. | ตั้งฮั่น | ||
๗. | สามก๊ก | ราชวงศ์ฮั่นตอนปลาย ต่อราชวงศ์วุยและราชวงศ์จิ้นตอนต้น (พ.ศ. ๓๓๗–๘๐๗) | |
๘. | ไซจิ้น | ราชวงศ์จิ้น ราชวงศ์ซอง ราชวงศ์ชี ราชวงศ์เหลียง และราชวงศ์ตั้น (พ.ศ. ๘๐๘–๑๑๓๒) | |
๙. | ตั้งจิ้น | ||
๑๐. | น่ำซ้อง | ||
๑๑. | ส้วยถัง | ราชวงศ์ซุย และราชวงศ์ถังตอนต้น (พ.ศ. ๑๑๓๒–๑๑๖๑) | |
๑๒. | ซุยถัง | ||
๑๓. | เสาปัก | ราชวงศ์ถัง (พ.ศ. ๑๑๖๑–๑๔๕๐) | |
๑๔. | ซิยิ่นกุ้ย | ||
๑๕. | ซิเตงซัน | ||
๑๖. | ไซอิ๋ว | ||
๑๗. | บูเช็กเทียน | ||
๑๘. | หงอโต้ว | ราชวงศ์เหลียง ราชวงศ์จัง ราชวงศ์จิ้น ราชวงศ์ฮั่น ราชวงศ์จิว (พ.ศ. ๑๔๕๐–๑๕๐๓) | |
๑๙. | น่ำปักซ้อง | ราชวงศ์ซ้อง (พ.ศ. ๑๕๐๓–๑๘๑๙) | |
๒๐. | บ้วนฮ่วยเหลา | ||
๒๑. | โหงวโฮ้วเพงไซ | ||
๒๒. | โหงโฮ้วเพงหนำ | ||
๒๓. | โหงวโฮ้วเพงปัก | ||
๒๔. | ซวยงัก | ||
๒๕. | ซ้องกั๋ง | ||
๒๖. | เปาเล่งถูกงอั้น | ||
๒๗. | ง่วนเฉียว | ราชวงศ์หงวน (พ.ศ. ๑๘๒๐–๑๙๑๑) | |
๒๘. | เม่งเฉียว | ราชวงศ์เหม็ง (พ.ศ. ๑๙๑๑–๒๑๘๖) | |
๒๙. | เองเลียดต้วน | ||
๓๐. | ซองเต๊กอิ้วกังหนำ | ||
๓๑. | ไต้อั้งเผ่า | ||
๓๒. | เซียวอั้งเผ่า | ||
๓๓. | เนียหนำอิดซือ | ||
๓๔. | เม่งมวดเซงฌ้อ | ราชวงศ์เช็ง (พ.ศ. ๒๑๘๗–๒๔๕๔) | |
๓๕. | เชงเฉียว |
รวมทั้งสิ้นเป็นหนังสือ ๓๕ เรื่อง ซึ่งถ้าแบ่งตามขนาดหนังสือชุดภาษาไทยก็อาจจะได้ไม่ต่ำกว่า ๕๐ เล่ม ต้นฉบับพิมพ์พงศาวดารจีนตามบัญชีดังกล่าวนี้ในปัจจุบันหาอ่านกันได้ยาก เพราะส่วนใหญ่มิได้มีการพิมพ์ขึ้นใหม่ นอกจากเรื่องที่นิยมกันว่าสนุก ๆ มากเท่านั้น การพิมพ์คราวนี้ก็ต้องยืมต้นฉบับจากหลายเจ้าของด้วยกัน ซึ่งคุรุสภาต้องขอแสดงความขอบคุณท่านเจ้าของต้นฉบับทุกท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วย เพราะความเอื้อเฟื้อของท่านเท่ากับเป็นการช่วยรักษาวรรณกรรมของชาติให้คงไว้ส่วนหนึ่ง และการจัดพิมพ์นั้นได้แก้ไขเฉพาะอักขรวิธี ส่วนถ้อยคำสำนวนต่าง ๆ ได้คงไว้ตามเดิม ซึ่งท่านจะได้ทราบภาษาที่คนไทยเรานิยมใช้เมื่อร้อยปีเศษมาแล้วว่าเป็นอย่างไร.
๏เรื่องนี้ภาษาจีนว่าเรื่องห้องสินบุนอ๋อง แปลออกเป็นคำไทยว่า ครั้งแผ่นดินแฮ่ยังมีกษัตริย์พระองค์หนึ่งทรงพระนามพระเจ้าตีเค้า เสวยราชสมบัติ ณ เมืองเสี่ยง อยู่วันหนึ่งพระเจ้าตีเค้าพานางกั๋นเต๊กผู้เป็นพระอัครมเหสีฝ่ายซ้ายเสด็จออกไปไหว้เทพารักษ์ตำบลเก้าบ๋วย นางกั๋นเต๊กได้ฟองนกเหลืองฟองหนึ่ง นางจึงกินฟองนกนั้น ครั้นอยู่มานางทรงครรภ์ประสูติบุตรชายคนหนึ่งชื่อเคียด ครั้นนานมาพระเจ้าทังหงอได้ราชสมบัติ เคียดผู้บุตรนางกั๋นเต๊กได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ครั้นพระเจ้าทังหงอสวรรคต เคียดซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ได้ราชสมบัติครองเมืองเสี่ยงสืบแซ่เชื้อพระวงศ์สิบสามชั่วกษัตริย์มาถึงแผ่นดินพระเจ้าเจ๊ดอ๋อง มีขุนนางผู้หนึ่งชื่อไท้อิด เป็นคนมีสติปัญญา พระเจ้าเจ๊ดอ๋องให้เลื่อนที่ขึ้นเป็นเสนาบดีผู้ใหญ่ ครั้งนั้นยังมีชายชาวนาคนหนึ่งชื่ออิอี๋น ทำนาอยู่ตำบลอี๋วซิน อิอี๋นผูกเพลงขับร้องสรรเสริญพระเจ้าทังหงอ ไท้อิดเห็นว่าอิอี๋นมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด จึงจัดผ้าแพรขาวกับสิ่งของทั้งปวงให้คนไปคำนับเชิญอิอี๋นถึงสามครั้ง อิอี๋นจึงมา ณ บ้านไท้อิด ไท้อิดก็พูดจาเกลี้ยกล่อมอิอี๋น อิอี๋นก็ยอมว่าจะทำราชการด้วยไท้อิด ไท้อิดจึงพาอิอี๋นเข้าไปถวายพระเจ้าเจ๊ดอ๋อง เจ๊ดอ๋องมิได้รู้ว่าอิอี๋นเป็นคนดีมีสติปัญญา จึงคืนตัวอิอี๋นให้แก่ไท้อิด และพระเจ้าเจ๊ดอ๋องเชื่อแต่คำคนยุยง ว่าราชการบ้านเมืองมิได้อยู่ในยุติธรรม เสพย์แต่สุรา มัวเมาอยู่กับนางข้างใน ให้เสียเยี่ยงอย่างกษัตริย์แต่ก่อน กวนเล่งหองเสนาบดีผู้ใหญ่เห็นดังนั้น จึงเข้าไปทูลทัดทานให้สติพระเจ้าเจ๊ดอ๋อง พระเจ้าเจ๊ดอ๋องโกรธ จึงให้เอาตัวกวนเล่งหองไปฆ่าเสีย แต่นั้นมาขุนนางข้าราชการทั้งปวงก็มิอาจที่จะทูลทัดทานพระเจ้าเจ๊ดอ๋อง ไท้อิดจึงคิดกลอุบายแต่งให้คนใช้ไปร้องไห้รักศพกวนเล่งหอง หวังจะให้กิตติศัพท์เลื่องลือไปแก่คนทั้งปวงว่า กวนเล่งหองเป็นคนสัตย์ซื่อ แต่พระมหากษัตริย์มิได้ตั้งอยู่ในยุติธรรม ความอันนั้นรู้ถึงพระเจ้าเจ๊ดอ๋อง พระเจ้าเจ๊ดอ๋องรู้กลอุบายของไท้อิดดังนั้น พระเจ้าเจ๊ดอ๋องโกรธ จึงให้เอาไท้อิดมาจำไว้ ณ ทิมแซ่ไถ่
๏ครั้นอยู่มาพระเจ้าเจ๊ดอ๋องหายโกรธ จึงให้ไท้อิดพ้นจากโทษเวรจำ ไท้อิดลาพระเจ้าเจ๊ดอ๋องเดินมาถึงตำบลทุ่งนาแห่งหนึ่งจะไปบ้าน ครั้นไท้อิดเห็นชาวนาคนหนึ่งตั้งวงข่ายลงสี่ด้านหวังจะตลบนกเลี้ยงชีวิต ไท้อิดยืนพิเคราะห์ดูวงข่ายเห็นแยบคายสามารถนัก แม้นฝูงนกบินมาทั้งสี่ทิศก็มิอาจพ้นวงข่ายรอดชีวิตไปได้ ไท้อิดคิดปรานีแก่นก จึงยกมือไหว้ว่าแก่ชาวนาขอเลิกข่ายเสียสามด้าน ให้คงอยู่แต่ด้านเดียว นกตัวใดถึงแก่กรรมแล้วจึงให้ติดข่ายเถิด ไท้อิดว่าดังนั้นแล้วก็ไปบ้าน กิตติศัพท์นั้นก็ปรากฏไปแก่ราษฎรและหัวเมืองทั้งปวง ราษฎรและหัวเมืองทั้งปวงเห็นว่า ไท้อิดมีเมตตาแก่สัตว์ ควรจะเอาเป็นที่พึ่งได้ จึงชักชวนกันมาขึ้นแก่ไท้อิดถึงสี่สิบหัวเมือง ไท้อิดจึงตั้งอิอี๋นเป็นที่อาจารย์สำหรับศึกษาไต่ถามกิจการทั้งปวง
๏ฝ่ายพระเจ้าเจ๊ดอ๋องครองสมบัติมิได้อยู่ในยุติธรรม และหาผู้ใดจะทัดทานมิได้ ก็ยิ่งกระทำทุจริตเนือง ๆ ราษฎรและหัวเมืองขึ้นทั้งปวงได้ความเดือดร้อนยิ่งนัก ไท้อิดเห็นดังนั้นจึงคิดกับอิอี๋นซึ่งเป็นอาจารย์และหัวเมืองทั้งสี่สิบเมืองพร้อมใจกันยกเป็นกระบวนทัพเข้าเมืองเสี่ยง ทหารไท้อิดจับพระเจ้าเจ๊ดอ๋องได้ ไท้อิดมิได้ประหารชีวิตพระเจ้าเจ๊ดอ๋อง จึงให้เอาพระเจ้าเจ๊ดอ๋องไปปล่อยเสียที่ตำบลน้ำเฉา ไท้อิดจึงว่าแก่หัวเมืองทั้งสี่สิบเมืองว่า บัดนี้ ก็สำเร็จการแล้ว เราจะกลับไปอยู่ที่แห่งเรา ทหารและหัวเมืองทั้งปวงได้ฟังไท้อิดว่าดังนั้นจึงว่า ท่านว่านี้ก็มิบังควร ขอเชิญท่านครองสมบัติในเมืองเสี่ยงสืบไปจึงจะควร หัวเมืองทั้งปวงพร้อมกันจึงอัญเชิญไท้อิดให้เป็นเจ้าเมืองเสี่ยง ชื่อ พระเจ้าเสี่ยงทาง พระเจ้าเสี่ยงทางเมื่อได้สมบัติชันษาได้แปดสิบเจ็ดปี พระเจ้าเสี่ยงทางจึงสร้างพระนครหนึ่งชื่อ ปัดโต๋
ขณะเมื่อพระเจ้าเจ๊ดอ๋องมิได้อยู่ในยุติธรรม ฝนแล้งมาประมาณเจ็ดปี ราษฎรได้ความเดือดร้อนด้วยอาหารยิ่งนัก พระเจ้าเสี่ยงทางเสด็จไปคำนับบวงสรวงเทพยดา ณ ตำบลซึงหนิมเพื่อจะให้ฝนตกตามฤดูกาล แต่นั้นมา ฝนตกชุกชุมเป็นปรกติอย่างแต่ก่อน พระเจ้าเสี่ยงทางจึงให้เจ้าพนักงานเบิกคลังทองเงินมาพระราชทานทหารและขุนนางทั้งปวง พระเจ้าเสี่ยงทางบำรุงประชาราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุขโดยยุติธรรม พระเจ้าเสี่ยงทางอยู่ในสมบัติได้สิบสามปีจึงสวรรคต ไท้กอ บุตรพระเจ้าเสี่ยงทาง ได้ครองสมบัติสืบกษัตริย์ซึ่งเป็นวงศ์แห่งพระเจ้าเสี่ยทางครองเมืองปัดโต๋ลำดับมา คือ พระเจ้าไท้กอ หนึ่ง ออกเตง หนึ่ง ไท้แก หนึ่ง เสียวกะ เป็นน้องไท้กอ หนึ่ง หยงกี๋ หนึ่ง ไท้โบ๋ หนึ่ง ต้องเต๊ง หนึ่ง ฮั่วยิม หนึ่ง ทันกะ หนึ่ง โจอิด หนึ่ง โจสิน หนึ่ง อ๊อกกะ หนึ่ง เจ้าเต๊ก หนึ่ง น่ำแก หนึ่ง ย่างกะ หนึ่ง พ่วนแก หนึ่ง เสี่ยวซิ้น หนึ่ง เสี่ยวอิด หนึ่ง บู๋เตง หนึ่ง โจแก หนึ่ง โจกะ หนึ่ง หมินชิน หนึ่ง แกเต๊ง หนึ่ง บู๊อิด หนึ่ง ไท้เต๊ง หนึ่ง ตีอิด หนึ่ง ติวอ๋อง หนึ่ง สิริกษัตริย์วงศ์พระเจ้าเสี่ยงทางครองเมืองปัดโต๋สืบมายี่สิบแปดองค์ คิดได้หกร้อยสี่สิบปี และเมื่อพระเจ้าตีอิด บุตรพระเจ้าไท้เต๊ง ได้ครองเมืองปัดโต๋ มีพระราชบุตรสามองค์ บุตรที่หนึ่งชื่อ มุ่ยจี๋วคี บุตรคนที่สองชื่อ มุ่ยจี๋วอ๋อง บุตรที่สามชื่อ ลิ้วอ๋อง วันหนึ่ง พระเจ้าตีอิดและพระราชบุตรทั้งสามกับขุนนางออกไปชมดอกโบตั๋น ณ สวนงือหือ เป็นที่สวนเคยประพาส ขื่อตำหนักสวนหักลง ลิ้วอ๋องผู้เป็นพระราชบุตรที่สามเอามือเข้ารับไว้มิให้ขื่อตำหนักตกลง ขุนนางและทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็สรรเสริญลิ้วอ๋องว่า มีกำลังหาผู้จะเสมอมิได้ เชียงหยง ปวยเป๊ก เตียคี เป็นขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสามคน กราบทูลพระเจ้าตีอิดว่า ลิ้วอ๋องผู้เป็นพระราชบุตรที่สามมีกำลังและสติปัญญาควรจะเป็นอุปราชได้ พระเจ้าตีอิดก็ให้ลิ้วอ๋องเป็นที่อุปราช พระเจ้าตีอิดอยู่ในราชสมบัติสามสิบปี เมื่อพระเจ้าตีอิดใกล้จะสวรรคต มอบสมบัติให้ลิ้วอ๋อง แล้วสั่งบุนไท้สือกับอึ้งปวยฮอซึ่งเป็นเสนาบดีผู้ใหญ่ให้เป็นผู้จัดแจงการงานบ้านเมือง
ครั้นพระเจ้าตีอิดสวรรคตแล้ว ลิ้วอ๋องก็ได้ครองราชสมบัติแทนพระเจ้าตีอิด ชื่อ พระเจ้าติวอ๋อง ครองเมืองปัดโต๋ให้ชื่อ เมืองจิวโก๋ ตั้งอึ้งปวยฮอเป็นขุนนางผู้ใหญ่ว่าที่ฝ่ายทหาร และพระเจ้าติวอ๋องมเหสีสามองค์ชื่อ นางเกียงสี หนึ่ง ชื่อ นางอึงสี หนึ่ง ชื่อ นางเอียสี หนึ่ง และเมืองเอกซึ่งมาขึ้นแก่เมืองจิวโก๋มีสี่หัวเมือง เมืองเอกฝ่ายตะวันออกชื่อ เมืองตังลู้ เกียงฮวนฌ้อเป็นเจ้าเมือง เมืองเอกฝ่ายตะวันตกชื่อ ใสเบกเฮ้า กีเซียงเป็นเจ้าเมือง เมืองฝ่ายทิศเหนือชื่อเมือง ปักเป๊กเฮ้า ซ่องเฮ่าเฮ้าเป็นเจ้าเมือง เมืองฝ่ายทิศใต้ชื่อ นำเป๊กเฮ้า งกจงฮูเป็นเจ้าเมือง และเมืองเอกทั้งสี่เมืองมีเมืองขึ้นเมืองละสองร้อย เข้ากันเป็นเมืองขึ้นแก่พระเจ้าติวอ๋องเป็นเมืองแปดร้อยสี่เมือง และพระเจ้าติวอ๋องครองเมืองจิวโก๋ตั้งอยู่ในยุติธรรม ราษฎรและหัวเมืองทั้งปวงอยู่เย็นเป็นสุข
พระเจ้าติวอ๋องครองสมบัติได้เจ็ดปี ณ เดือนสี่ อ้วนหกทง เจ้าเมืองปักไฮ กับเมืองขึ้นเจ็ดสิบสองเมืองฝ่ายเหนือ เป็นกบฏ พระเจ้าติวอ๋องจึงสั่งให้บุนไท้สือเป็นนายทัพคุมทหารไปจับอ้วนหกทง
ครั้นอยู่ ณ เดือนสาม พระเจ้าติวอ๋องออก ขุนนางเฝ้าพร้อม เชียงหยง ขุนนางผู้เฒ่า จึงทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า เป็นอย่างธรรมเนียมกษัตริย์ได้ครองเมืองจิวโก๋สืบมา ถ้าถึงเดือนสาม ขึ้นสิบห้าค่ำ เป็นวันเกิดแห่งเทพธิดาหนึงวาสี กษัตริย์แต่ก่อนเคยเสด็จไปคำนับทุกองค์ ขอเชิญเสด็จไปคำนับหนึงวาสีตามธรรมเนียม พระเจ้าติวอ๋องจึงว่า เทพธิดาหนึงวาสีมีคุณประการใด ท่านจะให้เราไปคำนับ เชียงหยงจึงทูลว่า แต่ก่อนครั้งเมื่อจงกงสีพี่น้องทั้งสองรบกัน จงกงสีพ่ายแพ้ จงกงสีแค้นใจ เอาศีรษะกระทบภูเขา ภูเขาก็ทำลาย จงกงสีโดดขึ้นไปด้วยกำลัง และศีรษะจงกงสีกระทั่งฟ้า ฟ้าก็พังไป จงกงสีตกลงยังแผ่นดิน แผ่นดินก็ถล่มไป พระอาทิตย์และพระจันทร์มิอาจจะเดินส่องฟ้าได้ ก็มืดไปทั่วแผ่นดิน หนึงวาสีเห็นดังนั้นจึงเอาศิลาเหลือง ศิลาแดง ศิลาเขียว ศิลาขาว ศิลาดำ มาเคี่ยวให้ละลาย แล้วหนึงวาสีเอาไปปิดยาฟ้าและดินซึ่งงทำลายทะลุถล่มไปให้ปรกติ พระอาทิตย์พระจันทร์ก็ส่องสว่างไปดังเก่า แต่นั้นมา คนทั้งปวงก็นับถือหนึงวาสีว่า มีคุณยิ่งนัก จึงปลูกเป็นศาลสามหลังจำหลักรูปหนึงวาสีไว้เป็นที่คำนับสืบมาตราบเท่าทุกวันนี้
พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังดังนั้นเห็นชอบด้วย ครั้นรุ่งขึ้น ณ วันเดือนสาม ขึ้นสิบห้าค่ำ พระเจ้าติวอ๋องเสด็จทรงรถพร้อมด้วยข้าทหารขุนนางทั้งปวงออกไป ณ ศาลเจ้าหนึงวาสี และแถวทางที่เสด็จนั้นราษฎรทั้งปวงเอาเจียมปูแผ่นดิน แพรแดงผูกปลายไม้ปักดุจช่องประตู ภาษาจีนถือคำนับว่า เป็นมงคล ครั้นพระเจ้าติวอ๋องเสด็จถึงศาลเจ้าหนึงวาสี กระทำคำนับตามธรรมเนียมแล้ว จึงเที่ยวชมศาลมาถึงห้องที่รูปหนึงวาสีตั้งอยู่นั้น พอลมพัดม่านซึ่งรูปหนึงวาสีเวิกออกไป พระเจ้าติวอ๋องเห็นรูปเทพธิดาหนึงวาสีซึ่งกระทำไว้นั้นงามยิ่งนัก จึงคิดว่า ตัวกูมีบุญหาผู้เสมอมิได้ ได้เป็นใหญ่แก่หัวเมืองทั้งสี่ทิศ มีมเหสีและนักสนมกำนัลจะนับมิได้ จะหารูปให้เหมือนรูปเทพธิดาหนึงวาสีที่ทำไว้หามิได้
พระเจ้าติวอ๋องจึงเรียกเอาพู่กันมาเขียนเป็นโคลงชมศาลเทพารักษ์ว่างามเป็นลวดลายทองสี่บท โคลงชมรูป
เทพธิดาหนึงวาสีสี่บทว่า งามพร้อมทั่วสรรพางค์ จะดูไหนก็งามจำเริญใจจำเริญตา นี่หากว่าเป็นรูปไม้ ถ้าเป็นรูปสตรีงามดังนี้ จะรับไปเป็นมเหสีครองเมือง เชียงหยง ขุนนางผู้ใหญ่ เห็นดังนั้นจึงกราบทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า เทพธิดาองค์นี้เป็นที่นับถือไปทั้งแผ่นดิน พระองค์เสด็จออกมาหวังจะเอาหนึงวาสีเป็นที่คำนับ จะให้บ้านเมืองเป็นสุข และพระองค์กลับมากระทำเป็นโคลงเชยชมดังนี้ดุจหนึ่งหาคำนับหนึงวาสีไม่ หนึงวาสีก็จะน้อยใจ ข้อหนึ่ง ราษฎรทั้งปวงเห็นโคลงนี้ก็จะติเตียนพระองค์ว่า หาคำนับหนึงวาสีไม่ กิตติศัพท์ทั้งนี้ก็จะลือไปในนานาประเทศทั้งหลาย ขอให้ลบโคลงเสียจึงจะควร
พระเจ้าติวอ๋องจึงว่า เราเห็นว่า รูปหนึงวาสีงาม จึงทำโคลงชมไว้ ถึงมาตรว่าราษฎรได้เห็นได้อ่าน ก็จะพลอยชมด้วยเราเสียอีก ท่านอย่าทัดทานเราเลย เชียงหยงและขุนนางทั้งปวงได้ฟังพระเจ้าติวอ๋องตรัสดังนั้นก็มิอาจที่จะทูลประการใดได้ พระเจ้าติวอ๋องก็เสด็จกลับเข้าพระราชวัง
ขณะเมื่อพระเจ้าติวอ๋องออกไปคำนับหนึงวาสีนั้น หนึงวาสีขึ้นไปเฝ้าฮกฮี แล้วไปเฝ้ายาติ ฮินหวน แปลภาษาไทยว่า เป็นเทพยดาผู้ใหญ่ทั้งสามองค์อยู่สวรรค์ หนึงวาสีกลับลงมายังที่อยู่ เห็นโคลงซึ่งติวอ๋องเขียนไว้นั้น หนึงวาสีโกรธนัก จึงคิดว่า แต่พระเจ้าเสี่ยงทางครองเมืองจิวโก๋สืบ ๆ แซ่เสี่ยงทางมาตราบเท่าถึงติวอ๋องได้หกร้อยสิบสองปี หามีผู้ใดจะดูหมิ่นแก่เราไม่ บัดนี้ ติวอ๋องดูหมิ่นเรา มาเขียนโคลงไว้ดังนี้ไม่ควรเลย เหตุดังนี้แซ่เสี่ยงทางจะสิ้นสูญแล้ว จำจะทำทดแทนติวอ๋องให้เห็นกำลังฤทธิ์ครั้งนี้ หนึงวาสีคิดดังนั้นแล้วก็ขึ้นขี่หงส์ เพ๊กเฮียถือฉัตร ห้องจี้ถือธงนำหน้าหนึงวาสีไปโดยอากาศ ครั้นถึงเมืองจิวโก๋ หนึงวาสีเลื่อนลอยอยู่ตรงที่อยู่แห่งติวอ๋อง แลลงมาเห็นหินเก๋า หินท๋ง บุตรจิวอ๋องทั้งสอง นั่งเฝ้าติวอ๋องอยู่ หนึงวาสีพิจารณาดูก็รู้ว่า หินเก๋า บุตรติวอ๋องนี้ ตายไปจะเกิดเป็นเจ้าปี เจ้าวัน เจ้าเดือน หินท๋งผู้นี้ตายไปจะเกิดเป็นเจ้าข้าวเปลือก เจ้าข้าวโพด เจ้าข้าวฟ่าง เจ้าถั่ว เจ้างา แล้วพิจารณาเห็นว่า ติวอ๋องยังจะครองสมบัติไปได้อีกยี่สิบแปดปีจึงจะสิ้นบุญ หนึงวาสีจะกระทำอันตรายแก่ชีวิตติวอ๋องยังมิได้ ก็กลับมายังที่อยู่ จึงสั่งให้ฮุ่ยเฮ้ย ท่องจิ้ว เอาน้ำเต้ามา หนึงวาสีจึงเปิดฝาน้ำเต้า ก็บังเกิดเป็นควันพลุ่งขึ้นสูงประมาณสามสิบศอก ปลายควันนั้นบังเกิดเป็นธงปลิวอยู่
ขณะนั้น ปิศาจทั้งปวงเห็นธงสำคัญดังนั้นก็มาเฝ้าหนึงวาสีพร้อมกัน หนึงวาสีจึงว่า ท่านทั้งปวงจงกลับไปเถิด ให้อยู่กับเราแต่เฮาหลี ว่า เสือปลา ฮิบี๋ ว่า ไก่ ปีแป๋ ว่า พิณ หนึงวาสีจึงว่า แต่วงศ์พระเจ้าเสี่ยงทางครองเมืองจิวโก๋สืบมาถึงยี่สิบเจ็ดองค์ย่อมมาคำนับเราทุกองต์ แต่ติวอ๋องคนนี้หมิ่นประมาทเรา มาเขียนโคลงไว้ดังนี้ บัดนี้ วงศ์เสี่ยงทางจะสิ้นสูญเสียครั้งนี้ เราได้ยินเสียงหงส์ร้องบนเขากิสัว ผู้มีบุญบังเกิดในเมืองไซรกีแล้ว หงส์จึงร้องให้ประจักษ์ ท่านทั้งสามช่วยกันกระทำเล่ห์กลอุบายให้ติวอ๋องลุ่มหลงด้วยกามคุณและให้ปราศจากเมืองจงได้ แต่อย่าให้ราษฎรเป็นอันตราย ต่อเมื่อใดผู้มีบุญชื่อ บุนอ๋อง ได้ครองเมืองจิวโก๋แล้ว เราจึงจะให้ท่านทั้งสามเป็นที่ผู้ใหญ่ ปิศาจทั้งสามรับคำนับหนึงวาสีแล้วก็เป็นลมพัดหายไป
ฝ่ายพระเจ้าติวอ๋อง ตั้งแต่ได้เห็นรูปหนึงวาสีที่ศาลมาวันนั้น ให้หลงรักรูปหนึงวาสีอยู่เป็นนิตย์มิได้ขาด จนจะออกขุนนางก็นั่งคิดถึงหนึงวาสีมิเป็นอันที่จะว่าราชการ เข้าไปข้างในก็มิได้ยินดีด้วยมเหสีและกำนัลทั้งปวง คิดถึงแต่รูปหนึงวาสีเป็นนิตย์ วันหนึ่ง เวลาเย็น พระเจ้าติวอ๋องเสด็จอยู่ที่เคียงเข่งต้อย ว่า ที่นั่งเย็น ฮิวฮุน ฮุยต๋ง สองคน กับมหาดเล็กน้อย ๆ เฝ้าพระเจ้าติวอ๋องอยู่ ตั้งแต่บุนไท้สือยกไปตีเมืองปักไฮ ฮิวฮุน ฮุยต๋ง เป็นคนชิดชอบอัชฌาสัยแห่งพระเจ้าติวอ๋อง ฮิวฮุน ฮุยต๋ง จะทูลความสิ่งใด พระเจ้าติวอ๋องเชื่อฟังทุกสิ่ง พระเจ้าติวอ๋องจึงบอกแก่คนทั้งสองว่า ตั้งแต่เราไปเห็นรูปหนึงวาสีมา เรามีความรักใคร่ยิ่งนัก คิดประการใดจึงจะได้สตรีที่รูปงามเหมือนรูปหนึงวาสีดังนี้ ฮุยต๋งจึงทูลแก่พระเจ้าติวอ๋องว่า พระองค์เป็นใหญ่ มีเมืองขึ้นถึงแปดร้อยสี่เมือง ขอให้มีหนังสือไปถึงเมืองเอกทั้งสี่เมืองให้จัดหาสตรีที่รูปงามเข้ามาถวายเมืองละร้อย ก็เห็นว่า จะจัดหาสตรีที่มีรูปงามเหมือนรูปหนึงวาสีได้ พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย อยู่วันหนึ่ง พระเจ้าติวอ๋องออก ขุนนางเฝ้าพร้อมกัน พระเจ้าติวอ๋องจงสั่งแกตึง แกกั๋ว ให้มีหนังสือไปถึงเมืองเอกทั้งสี่ให้จัดสตรีรูปงามเข้ามาเมืองละร้อยคน เชียงหยงได้ฟังพระเจ้าติวอ๋องสั่งดังนั้นจึงทูลว่า พระองค์ได้ดำรงแผ่นดินตั้งอยู่ในยุติธรรม อาณาประชาราษฎรก็อยู่เย็นเป็นสุขแล้ว บัดนี้ จะให้เมืองเอกทั้งสี่จัดสตรีรูปงามถึงสี่ร้อยเข้ามาถวาย ข้าพเจ้าเห็นว่า ราษฎรทั้งปวงจะเดือดร้อน หนึ่ง เมืองปักไฮกับหัวเมืองเจ็ดสิบสองเมืองก็คิดเอาใจออกหากพระองค์อยู่ พระเจ้าติวอ๋องฟังเชียงหยงทูลทัดทานก็เห็นชอบด้วย มิได้โต้ตอบประการใด ก็เสด็จขึ้น ขุนนางทั้งปวงก็กลับไปบ้าน
ครั้งนั้น พระเจ้าติวอ๋องครองสมบัติได้แปดปี อยู่ ณ เดือนสี่ข้างจีน เจ้าเมืองซึ่งกินเมืองเอกทั้งสี่กับเมืองขึ้นทั้งปวงนำเอาเครื่องบรรณาการมาถวาย และเจ้าเมืองทั้งสี่นั้นรู้ว่า บุนไท้สือซึ่งเคยคำนับไปราชการทางเมืองปักไฮ แล้วเห็นว่า ฮิวฮุน ฮุยต๋ง สองคนนี้เป็นที่ชอบอัชฌาสัยแห่งพระเจ้าติวอ๋อง หัวเมืองทั้งปวงจึงจัดสิ่งของไปคำนับฝากตัวฮิวฮุน ฮุยต๋ง ทั้งสิ้น แต่เชาฮูผู้เดียวเห็นว่า ฮิวฮุน ฮุยต๋ง เป็นคนไม่ซื่อตรง เชาฮูจึงมิได้ไปคำนับฮิวฮุน ฮุยต๋ง ฮิวฮุน ฮุยต๋ง เห็นว่า เชาฮูไม่มาคำนับ คิดผูกใจพยาบาทเชาฮู วันหนึ่งเป็นวันแขกเมืองเข้าเฝ้า พระเจ้าติวอ๋องออก ขุนนางเฝ้าพร้อม ห้องมึงกัว ภาษาไทยว่า ขุนนางกรมวัง กราบทูลเบิกแขกเมืองเอกทั้งสี่เข้าเฝ้า พระเจ้าติวอ๋องปราศรัยแขกเมืองตามธรรมเนียมแล้ว พระเจ้าติวอ๋องจึงให้เชียงหยงนำแขกเมืองไปเลี้ยงโต๊ะ ณ เคียงเข่งต้อย แล้วพระเจ้าติวอ๋องก็เสด็จขึ้น จึงให้หาฮิวฮุน ฮุยต๋ง เข้าไปข้างใน จึงตรัสว่า ซึ่งเราสั่งให้สี่เมืองเอกจัดหญิงรูปงามมาสี่ร้อยคน เชียงหยงว่ากล่าวขัดไว้ บัดนี้ เมืองเอกทั้งสี่เมืองก็มาพร้อมกันแล้ว เราจะสั่งให้เมืองเอกทั้งสี่จัดหญิงที่รูปงามส่งเข้ามาเมืองละร้อยคน ท่านจะเห็นประการใด ฮิวฮุน ฮุยต๋ง จึงกราบทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า เดิมพระองค์สั่งแกตึง แกกั๋ว ว่า จะให้มีหนังสือไปถึงสี่เมืองเอกให้จัดสตรีรูปงามมาถวาย เชียงหยงทูลทัดทาน พระองค์ก็เชื่อฟังคำเชียงหยงห้ามแล้ว บัดนี้ พระองค์กลับจะสั่งหัวเมืองทั้งสี่ให้จัดสตรีรูปงามมาถวายอีกเล่า พระองค์เป็นมหากษัตริย์ ตรัสสิ่งใดมิได้ยั่งยืนดังนี้ ราษฎรจะนินทาได้ และข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ว่า เชาฮู เจ้าเมืองกีจิวเฮ้า มีบุตรหญิงคนหนึ่งรูปงามและประกอบด้วยสติปัญญา ขอให้หาตัวเชาฮูผู้บิดามาขอ เชาฮูก็จะถวายบุตรแก่พระองค์โดยง่าย และราษฎรทั้งปวงก็จะมิได้เดือดร้อนสืบไป พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้หาเชาฮูมาเฝ้า พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสแก่เชาฮูว่า มีผู้บอกแก่เราว่า ท่านมีบุตรหญิงคนหนึ่งรูปงาม เราจะใคร่ได้ ถ้าท่านให้บุตรแก่เรา เรากับท่านก็จะได้เป็นคนสนิทกัน และเราก็จะให้ท่านครองเมืองกีจิวเฮ้ากว่าจะสิ้นชีวิต มีอาญาสิทธิ์เหมือนกับเรา เชาฮูได้ฟังดังนั้นก็มิได้ยินดี มีใจโกรธ จึงทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า พระองค์มีนักสนมกำนัลนับด้วยพันแล้ว ล้วนแต่มีลักษณะรูปร่างงาม อันบุตรข้าพเจ้าจะได้งามดุจผู้มากราบทูลนั้นหามิได้ แต่พระองค์ได้ครองราชสมบัติมา บ้านเมืองก็อยู่เย็นเป็นสุขโดยยุติธรรม ราษฎรทั้งปวงก็สรรเสริญว่า พระองค์มิได้ฝักใฝ่ในกามคุณ บัดนี้ มาเชื่อฟังคำคนยุยงดังนี้ไม่ควร ชอบให้เอาผู้ยุยงไปฆ่าเสียจึงจะควร พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังก็ทรงพระสรวลแล้วตรัสว่า ตัวท่านถ้ายกลูกสาวให้แก่เราแล้ว ท่านก็จะได้เป็นใหญ่เสมอเรา ท่านเร่งตรึกตรองดูเถิด เชาฮูได้ฟังพระเจ้าติวอ๋องว่าดังนั้นก็โกรธ จึงตวาดร้องว่า ตัวท่านเป็นกษัตริย์ ควรจะคิดบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุข และจะทำทุจริตเหมือนดังพระเจ้าเจ๊ดอ๋อง เสพแต่สุรา มัวเมาด้วยกามคุณ จนแผ่นดินเป็นจลาจลต่าง ๆ นั้นหาควรไม่ ชอบแต่ท่านจะบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุขดุจพระเจ้าเสี่ยงทางจึงจะควร และวงศ์พระเจ้าเสี่ยงทางซึ่งได้บำรุงราษฎรอยู่เป็นสุขสืบมาถึงหกร้อยปีเศษแล้ว บัดนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่า แผ่นดินจะฉิบหายเสียเพราะท่านกระทำทุจริตเหมือนพระเจ้าเจ๊ดอ๋อง
พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังเชาฮูว่าดังนั้นก็โกรธ จึงว่าแก่เชาฮูว่า เราเป็นกษัตริย์ ชีวิตท่านทั้งปวงก็อยู่ในเงื้อมมือเรา และเราขอลูกท่านทั้งนี้ด้วยความกรุณา จะเลี้ยงท่านให้เป็นใหญ่ และท่านกลับกล่าวคำหยาบช้า เอาพระเจ้าเจ๊ดอ๋องมา
เปรียบเราดังนี้ ท่านหามีความยำเกรงแก่เราไม่ พระเจ้าติวอ๋องว่าดังนั้นแล้วจึงให้เอาตัวเชาฮูออกไปให้ขุนนางปรึกษาใส่ด้วยกฎหมาย ถ้าโทษถึงตายให้ประหารชีวิตเสีย คนใช้พระเจ้าติวอ๋องก็เอาตัวเชาฮูออกไป ณ หง้อหมึงฮุยต้อง ฮิวฮุน ฮุยต๋ง จึงทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า ซึ่งจะให้ปรึกษาโทษเชาฮูตามกฎหมายนั้นก็ควรอยู่ แต่ข้าพเจ้าเห็นว่า ราษฎรทั้งปวงจะนินทาว่า พระองค์ฆ่าเชาฮูเสีย เพราะจะเอาลูกสาวเป็นภรรยา ขอให้ปล่อยเชาฮูไปเมืองกีจิวเฮ้าก่อน เห็นว่า เชาฮูจะรู้จักโทษตัวกลัวอาญา จะแต่งบุตรมาถวายโดยดี หาผู้นินทามิได้ พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังดังนั้นเห็นชอบด้วย จึงสั่งให้ยกโทษเชาฮู ให้เชาฮูกลับไปเมือง
ฝ่ายเชาฮูก็ไป ณ กงก๋วน ภาษาไทยว่า เป็นที่อยู่แขกเมือง และบรรดาขุนนางซึ่งมาด้วยเชาฮูแต่เมืองกีจิวเฮ้านั้น ครั้นเห็นเชาฮูกลับมา จึงชวนกันมาถามเชาฮูว่า พระเจ้าติวอ๋องให้หาท่านเข้าไปว่าด้วยข้อราชการสิ่งใด เชาฮูจึงเล่าความให้ขุนนางทั้งปวงฟังทุกประการ แล้วว่า พระเจ้าติวอ๋องหาอยู่ในยุติธรรมไม่ เชื่อฟังแต่ถ้อยคำฮิวฮุน ฮุยต๋ง ยุยงต่าง ๆ หาดูเยี่ยงอย่างพระเจ้าเสี่ยงทางซึ่งเป็นอัยกาไม่ และซึ่งให้เราพ้นโทษมาทั้งนี้ เพราะความคิดของฮิวฮุน ฮุยต๋ง ด้วยหมายว่า เราจะคิดถึงบุญคุณ ก็จะยอมให้บุตรโดยง่าย ครั้นเราจะยอมให้บุตรแก่พระเจ้าติวอ๋องครั้งนี้ ขุนนางทั้งปวงก็จะติเตียนว่า เราหาปัญญามิได้ ด้วยพระเจ้าติวอ๋องหาอยู่ในยุติธรรมไม่ เชื่อฟังแต่คำฮิวฮุน ฮุยต๋ง คิดทำทุจริตต่าง ๆ ถ้าแลบุนไท้สืออยู่แล้ว ที่ไหนพระเจ้าติวอ๋องจะทำการวิปริตได้ถึงเพียงนี้ เราคิดเสียดายแต่แผ่นดินของพระเจ้าเสี่ยงทางจะสูญเสียครั้งนี้เป็นมั่นคง ขุนนางทั้งปวงจึงว่าแก่เชาฮูว่า พระเจ้าติวอ๋องมิได้ตั้งอยู่ในยุติธรรมแล้ว ข้าพเจ้าทั้งปวงเห็นว่า ขุนนางและหัวเมืองทั้งสิ้นก็จะเอาใจออกหากจากพระเจ้าติวอ๋องหมด ท่านเร่งกลับไป ณ เมืองกีจิวเฮ้าโดยเร็วเถิด จะได้คิดการใหญ่สืบไป เชาฮูได้ฟังจึงว่า เราเป็นชาย คิดดังนั้นหาองอาจไม่ เชาฮูจึงเอาพู่กันมาเขียนเป็นโคลงปิดไว้ ณ บานประตูกงก๋วนที่อยู่บทหนึ่งเป็นใจความห้าข้อ ข้อหนึ่งว่า เป็นพระมหากษัตริย์ ถ้าอยู่ในยุติธรรม ขุนนางทั้งปวงก็จะรักใคร่ยำเกรงยิ่งนัก หนึ่ง ผู้เป็นอาจารย์สอนศิษย์ ถ้ามิได้ลำเอียง เที่ยงตรงอยู่ ศิษย์ก็กลัวเกรง หนึ่ง ผู้จะเป็นบิดาเลี้ยงบุตรโดยธรรม บุตรก็กลัวเกรง หนึ่ง ผู้จะเป็นผัว ถ้าเลี้ยงเมียเป็นยุติธรรม เมียก็ยำเกรง หนึ่ง ผู้จะมีมิตรสหาย ถ้ารักใคร่กันโดยสุจริต มิตรก็ย่อมเกรงใจ นี่เมื่อพระมหากษัตริย์มิได้อยู่ในยุติธรรมดังนี้ จะมีผู้ใดเกรงกลัวเล่า ตั้งแต่วันนี้ไป เมืองจิวโก๋กับเราขาดกัน เราจะได้ไปมาอย่างแต่ก่อนนั้นหามิได้แล้ว เชาฮูครั้นเขียนโคลงแล้วก็พาขุนนางทั้งปวงซึ่งเป็นพรรคพวกออกจากเมืองจิวโก๋ไปยังเมืองกีจิวเฮ้า
ฝ่ายพระเจ้าติวอ๋อง ตั้งแต่ปล่อยเชาฮูไปเมือง ก็มีความวิตกว่า เชาฮูจะไปเอาบุตรมาให้เราหรือ หรือเชาฮูจะคิดประการใดก็ยังไม่รู้ ขณะนั้น นายประตูซึ่งรักษากงก๋วนเชาฮูอยู่นั้น ครั้นเชาฮูไปแล้ว เห็นโคลงจารึกไว้ ณ บานประตูดังนั้น จึงนำเอาโคลงเชาฮูเข้าไปถวายพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องอ่านดูเห็นข้อความว่ากล่าวหยาบช้ายิ่งนัก พระเจ้าติวอ๋องโกรธ จึงด่าเชาฮูว่า มันหารู้จักคุณกูไม่ ครั้งก่อนว่ากล่าวหยาบช้าต่อกู กูยกโทษเสีย ควรที่จะคิดถึงคุณกู บัดนี้ กลับทำโคลงว่ากล่าวหยาบช้าอีกเล่า ครั้นจะมิเอาโทษเชาฮู ขุนนางและหัวเมืองทั้งปวงก็จะดูเยี่ยงอย่าง จำจะให้ไปจับเอาตัวมาฆ่าเสียจงได้ พระเจ้าติวอ๋องจึงให้หาอินโภ้โป้ หนึ่ง เตียวฉาน หนึ่ง ลู่หยง หนึ่ง เข้ามา แล้วจึงบอกว่า เชาฮูว่ากล่าวหยาบช้าแก่เราต่าง ๆ เราจะยกกองทัพไปตีเมืองกีจิวเฮ้าจับตัวเชาฮูฆ่าเสียจงได้ เราจะให้ท่านทั้งสามคุมพลทหารยี่สิบหมื่นเป็นทัพหน้าเรา ลู่หยงได้ฟังพระเจ้าติวอ๋องตรัสดังนั้น จึงกราบทูลพระเจ้าติวฮ่องว่า หัวเมืองเอกทั้งสี่ก็เข้ามาพร้อมกันในเมืองจิวโก๋ และซึ่งพระองค์จะยกทัพไปตีเมืองกีจิวเฮ้า และจะละเมืองจิวโก๋เสียดังนี้มิควร ขอให้เมืองเอกเมืองใดเมืองหนึ่งคุมทหารไปตีเมืองกีจิวเฮ้าก็เห็นจะพอได้ เพราะเมืองกีจิวเฮ้าเป็นเมืองน้อย ถ้าทัพหลวงยกไป ถึงมาตรว่าจะได้เมือง ก็ไม่มีเกียรติยศ พระเจ้าติวอ๋องเห็นชอบด้วย จึงถามลู่หยงว่า เจ้าเมืองเอกทั้งสี่ท่านจะเห็นผู้ใดมีสติปัญญาและฝีมือกล้าแข็งเล่า ฮุยต๋งจึงกราบทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า เมืองกีจิวเฮ้าและเมืองปักเป๊กเฮ้าสองเมืองนี้เป็นเมืองฝ่ายเหนือ ขอให้ซ่องเฮ่าเฮ้า เจ้าเมืองปักเป๊กเฮ้า ยกไปตีเมืองกีจิวเฮ้า เห็นจะได้โดยง่าย ลู่หยงได้ฟังฮุยต๋งทูลดังนั้นจึงคิดว่า ซ่องเฮ่าเฮ้านี้เป็นคนหยาบช้า หามีผู้ใดนับถือรักใคร่ไม่ ถ้าซ่องเฮ่าเฮ้าเสียทีแก่เมืองกีจิวเฮ้า ก็จะเสียพระเกียรติยศของพระเจ้าแผ่นดินไป ลู่หยงคิดดังนั้นจึงทูลว่า ซ่องเฮ่าเฮ้าคนนี้ยังหาเห็นฝีมือปรากฏในการรบพุ่งประการใดไม่ ข้าพเจ้าเห็นแต่กีเซียง เจ้าเมืองใส่เป๊กเฮ้านั้น มีสติปัญญาและฝีมือกล้าแข็ง แล้วสัตย์ซื่อมั่นคง ราษฎรทั้งปวงก็นับถือรักใคร่กีเซียงเป็นอันมาก ถ้าโปรดให้กีเซียงถืออาญาสิทธิ์เป็นนายทัพไปตีเมืองกีจิวเฮ้า จับเอาตัวเชาฮูมาถวาย เห็นจะได้โดยง่าย พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังลู่หยงทูลดังนั้นจึงตรัสว่า ท่านทั้งสองต่างคนต่างเห็นดังนั้นแล้ว เราจะให้อาญาสิทธิ์ไปทั้งสองคน ให้เป็นนายทัพไปตีเมืองกีจิวเฮ้า พระเจ้าติวอ๋องจึงสั่งให้เขียนหนังสือมอบธงอาญาสิทธิ์ไปให้แก่กีเซียง ซ่องเฮ่าเฮ้า เป็นใจความว่า ให้กีเซียงกับซ่องเฮ่าเฮ้าถืออาญาสิทธิ์ด้วยกันทั้งสอง เป็นนายทัพยกไปตีเมืองกีจิวเฮ้า จับตัวเชาอูมาจงได้
ขณะนั้น ผู้ถือหนังสือรับสั่งไปให้กีเซียง ซ่องเฮ่าเฮ้านั้น กีเซียง ซ่องเฮ่าเฮ้า และขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงพร้อมกันกินโต๊ะอยู่ ณ เคียงเข่งต้อย กีเซียงและซ่องเฮ่าเฮ้าได้แจ้งในหนังสือรับสั่งนั้นแล้ว
ฝ่ายกีเซียงจึงว่าแก่เชียงหยง ปิกัน ขุนนางผู้ใหญ่ ว่า เชาฮูคนนี้สิเป็นคนสัตย์ซื่อ แล้วก็มาเฝ้าอยู่ด้วยกันทุกวัน ไฉนจึงทำโคลงหยาบช้าให้ขัดเคืองฉะนี้เล่า และโคลงบทนี้เชาฮูจะทำหรือ หรือจะเป็นผู้ซึ่งชังเชาฮูแกล้งแต่งโคลงไว้ให้ลงโทษเอาเชาฮู ความทั้งนี้ข้าพเจ้ายังสงสัยอยู่ ขอท่านได้ทราบทูลถามพระเจ้าติวอ๋องก่อน ถ้าเชาฮูกระทำโคลงหยาบช้าจริงดังนั้นแล้ว ข้าพเจ้าจะขออาสาไปจับเชาฮูมาฆ่าเสียจงได้ ปิกันได้ฟังกีเซียงว่าดังนั้นก็เห็นชอบด้วย ซ่องเฮ่าเฮ้าจึงตอบกีเซียงว่า ท่านว่าดังนี้เราไม่เห็นด้วย อันประเพณีพระมหากษัตริย์ ถ้าตรัสสิ่งใดแล้วก็สิทธิ์ขาด ข้าราชการก็กระทำตาม ซึ่งท่านจะให้ทูลถามนั้นเหมือนหนึ่งหายำเกรงกลัวพระราชอาญาไม่ กีเซียงจึงตอบว่า ซึ่งท่านว่านั้นก็ควรอยู่ แต่เราเห็นว่า เชาฮูนั้นเป็นคนสัตย์ซื่อ แล้วโทษผิดแต่เพียงนี้ ซึ่งจะให้ยกทัพไปจับเชาฮูนั้น ราษฎรทั้งปวงก็พลอยได้ความเดือดร้อน ข้อหนึ่งก็จะเปลืองพระราชทรัพย์หลวงซึ่งจ่ายเป็นเสบียงอาหาร หาควรไม่ ซ่องเฮ่าเฮ้าจึงว่า ความซึ่งท่านว่านี้เราก็คิดอยู่ แต่ว่าเรามิอาจที่จะขัดรับสั่งได้ กีเซียงจึงว่า ถ้าดังนั้น ท่านจงยกกองทัพไปก่อนเราเถิด เราจึงจะค่อยยกตามไปครั้งหลัง ซ่องเฮ่าเฮ้าได้ฟังดังนั้น ก็พาขุนนางหัวเมืองทั้งปวงกลับไปที่อยู่กงก๋วน กีเซียงครั้นเห็นซ่องเฮ่าเฮ้าไปแล้วจึงว่าแก่เชียงหยง ปิกัน บัดนี้ ซ่องเฮ่าเฮ้าเขาจะยกไปแล้ว แต่ข้าพเจ้าจะต้องแวะไปจัดเอาทหาร ณ เมืองไซรกี ได้ทหารพร้อมแล้วจึงจะยกไปตามกองทัพซ่องเฮ่าเฮ้า กีเซียงว่าดังนั้นแล้วก็ลาไป เชียงหยง ปิกัน ก็กลับไปบ้าน
ฝ่ายซ่องเฮ่าเฮ้า ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้า ก็เข้าไปทูลลาพระเจ้าติวอ๋อง แล้วก็พาทหารห้าหมื่นยกไปตีเมืองกีจิวเฮ้า ฝ่านเชาฮู ครั้นมาถึงเมืองกีจิวเฮ้า จึงเล่าความทั้งปวงให้ชวนต๋ง ผู้บุตร กับทหารทั้งปวงฟังทุกประการ แล้วจึงว่า เมื่อเราจะมานี้เราเขียนโคลงเป็นข้อหยาบช้าไว้ ณ ประตูกงก๋วน ถ้าพระเจ้าติวอ๋องรู้ว่า เป็นโคลงของเราเขียนไว้ เห็นจะโกรธเรา จะยกกองทัพมาตีเมืองเราเป็นมั่นคง จำจะจัดแจงบ้านเมืองเครื่องศัสตราวุธไว้ให้พร้อม ทหารและขุนนางทั้งปงวงก็ทำตามเชาฮูสั่งทุกประการ
ฝ่ายซ่องเฮ่าเฮ้า ครั้นยกทัพมาถึงเมืองกีจิวเฮ้าแล้ว ให้ตั้งค่ายมั่นคงไว้ใกล้กำแพงเมืองประมาณยี่สิบเส้น ทหารเชาฮูซึ่งอยู่รักษาเชิงกำแพงเห็นดังนั้น จึงเข้าไปบอกแก่เชาฮูว่า ข้าพเจ้าเห็นกองทัพคนประมาณห้าหมื่นยกมาตั้งค่ายมั่นอยู่นอกกำแพงเมืองทางประมาณยี่สิบเส้น เชาฮูจึงถามทหารว่า ผู้ใดเป็นนายทัพมา ทหารจึงบอกว่า ธงชื่อ ซ่องเฮ่าเฮ้า เจ้ามืองปักเป๊กเฮ้า เชาอูจึงว่า ถ้าผู้อื่นยกมาก็พอจะพูดจาด้วยได้ อันซ่องเฮ่าเฮ้านี้เป็นคนหยาบช้า และจะละไว้มิได้ เชาฮูจึงจัดแจงพลทหารทั้งปวง พร้อมแล้วเชาฮูก็แต่งตัวใส่เกราะขึ้นมื้อทวนพาพวกพลทหารออกจากเมือง ครั้นถึงหน้าค่ายซ่องเฮ่าเฮ้า เชาฮูจึงขับม้าขึ้นไปหน้าทหารทั้งปวง แล้วร้องว่า ให้เชิญท่านแม่ทัพออกมาเจรจากัน ทหารซ่องเฮ่าเฮ้าได้ฟังดังนั้นจึงเข้าไปบอกความแก่ซ่องเฮ่าเฮ้า ซ่องเฮ่าเฮ้าได้แจ้งดังนั้น จึงแต่งตัวใส่เสื้อเกราะสีแดง ขึ้นม้าถือง้าว กับซ่องเอ๋งปิว ผู้บุตร ยกพลทหารออกไปนอกค่าย
ฝ่ายเชาฮู ครั้นเห็นซ่องเฮ่าเฮ้าออกมา จึงร้องถามว่า ท่านยกมาครั้งนี้มีความสุขอยู่หรือ อนึ่ง ทุกวันนี้ พระเจ้าติวอ๋องหาอยู่ในยุติธรรมไม่ เสพแต่สุรามัวเมา เชื่อฟังคำยุยง ข่มเหงเอาบุตรขุนนางและราษฎรมาเป็นภรรยา ราษฎรได้ความเดือดร้อน เราเห็นว่า เมืองจิวโก๋จะฉิบหายมั่นคง และตัวเรานี้หามีความผิดไม่ ซึ่งท่านยกทัพมาจะตีเมืองเรานี้หาควรไม่
ฝ่ายซ่องเฮ่าเฮ้าได้ฟังเชาฮูว่าดังนี้ จึงเอาแส้ม้าชี้หน้าเชาฮู แล้วร้องว่า ตัวท่านขัดรับสั่งโทษก็ถึงตายอยู่แล้ว พระเจ้าติวอ๋องก็มิได้เอาโทษ ควรหรือหารู้จักคุณพระเจ้าติวอ๋องไม่ กลับเขียนโคลงเป็นข้อหยาบช้าให้เคืองพระทัย พระเจ้าติวอ๋องจึงใช้ให้เรามาจับท่านไปฆ่าเสีย หวังจะมิให้ผู้ใดดูเยี่ยงอย่าง ท่านกลับกล่าวคำหยาบช้าว่าพระเจ้าติวอ๋องไม่ตั้งอยู่ในยุติธรรมอีกเล่า ซ่องเฮ่าเฮ้าจึงสั่งทหารให้เข้าตีทัพจับตัวเชาฮู
ฝ่ายป่วยบุ๋น ทหารซ้ายซ่องเฮ่าเฮ้า ใส่เกราะทองขี่ม้าถือขวานใหญ่ ขับม้าเข้าไปจะจับตัวเชาฮู เชาชวนต๋ง บุตรเชาฮู เห็นดังนั้นก็ขับม้าเข้ามาจะรบด้วยป่วยบุ๋น ป่วยบุ๋นเห็นหน้าเชาชวนต๋งคล้ายเหมือนเชาฮู ก็เข้าใจว่า เป็นบุตรเชาฮู ป่วยบุ๋นจึงร้องว่า บิดาท่านเป็นคนโทษถึงตาย ชอบแต่จะมาไหว้ขอชีวิตเราจึงชอบ นี่ท่านกลับจะมารบกับเราอีกเล่า เชาชวนต๋งได้ฟังคำป่วยบุ๋นว่าหยาบช้าดังนั้น ก็ขับม้ารำทวนเข้ารบด้วยป่วยบุ๋นได้ยี่สิบเพลง เชาชวนต๋งเอาทวนแทงป่วยบุ๋นตกม้าตาย เชาฮูได้ทีดังนั้นก็ขับให้เตียเปีย หนึ่ง ตันกุยเก๋ง หนึ่ง กับทหาร เข้าไล่ฆ่าฟันทหารซ่องเฮ่าเฮ้าล้มตายเป็นอันมาก
ฝ่ายซ่องเฮ่าเฮ้าเห็นดังนั้น ก็ให้ซ่องเอ๋งปิว ผู้บุตร หนึ่ง กิมคุ้ย หนึ่ง อึงง่วนจี่ หนึ่ง กับทหารซึ่งเหลืออยู่นั้น ถอยทัพรอรอไปทางประมาณร้อยเส้น เชาฮูก็ให้ตีม้าล่อสำคัญเลิกทัพเข้าเมือง แล้วปูนบำเหน็จทหารตามสมควร แล้วเชาอูจึงปรึกษาแก่ทหารทั้งปวงว่า ซึ่งซ่องเฮ่าเฮ้าแตกไปนั้นเห็นจะให้มีหนังสือไปขอกองทัพ ณ เมืองจิวโก๋เพิ่มเติมมามั่นคง ถ้ามีทัพมาดังนั้น เมืองเราก็เล็ก ทหารก็น้อยตัว เห็นจะต้านทานมิได้ ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด เตียเปง นายทหาร จึงตอบคำเชาฮูว่า ซึ่งกองทัพซ่องเฮ่าเฮ้าแตกไปวันนี้ก็ยังหายับเยินไม่ ตัวท่านก็มีความผิดในพระเจ้าติวอ๋องมากขึ้น ถ้าซ่องเฮ่าเฮ้ามีหนังสือไปถึงพระเจ้าติวอ๋อง เห็นว่า พระเจ้าติวอ๋องจะยกทัพใหญ่เพิ่มเติมมาอีก อันเมืองเราดุจศิลาอันน้อย ทัพพระเจ้าติวอ๋องจะยกมาดุจพระมหาสมุทร ซึ่งเราจะอยู่ต้านทานนั้นเหมือนเอาศิลาอันน้อยทอดทิ้งลงในพระมหาสมุทรอันใหญ่ ก็จะจมไปโดยเร็ว ซึ่งข้าพเจ้าว่าทั้งนี้หวังจะเตือนสติท่าน ถ้าแลท่านเห็นจะสู้รบมิได้ ก็เร่งให้คิดผ่อนผันเสีย ถ้าเห็นกำลังพอจะสู้รบได้อยู่ ก็เริ่งให้คิดการศึกให้มีกำลังขึ้น บัดนี้ ทัพซ่องเฮ่าเฮ้าแตกไปไกลเมืองออกไปประมาณสองร้อยเส้น เวลาค่ำวันนี้ขอให้ท่านแก้พรวนม้าห้ามปากเสียงเสียให้สงบสงัดยกเป็นกองโจรลอบไปปล้นค่ายซ่องเฮ่าเฮ้า เห็นจะได้โดยง่าย เชาฮูได้ฟังดังนั้นจึงว่า ซึ่งท่านว่านี้ชอบ เรายินดีนัก ด้วยต้องความคิดเรา เชาฮูจึงสั่งเชาชวนต๋ง ผู้บุตร ว่า ตำบลเหงากางติ๋นนั้นเป็นทางช่องแคบจำเพาะเดิน ถ้าทัพซ่องเฮ่าเฮ้าเสียทีแก่เรา เห็นจะถอยไปทางนั้นเป็นมั่นคง เจ้าจงคุมทหารสามพันไปตั้งซุ่มอยู่ ถ้าทัพซ่องเฮ่าเฮ้าถอยไป ก็ให้ตีสกัดจับตัวซ่องเฮ่าเฮ้าฆ่าเสียจงได้ เชาชวนต๋งก็คุมทหารสามพันยกออกไปตั้งซุ่มอยู่ตามคำเชาฮูสั่ง
ฝ่ายเชาฮูจึงให้ตันกุยเจ๋งเป็นนายกองปีกซ้าย เตียเปียเป็นนายกองปีกขวา ตัวเชาฮูเป็นแม่ทัพ เชาฮูจึงสั่งทหารทั้งปวงให้แก้พรวนม้าออกเสีย ถ้าและเรายกไปถึงค่ายซ่องเฮ่าเฮ้าแล้ว ให้ทหารนายกองทั้งปวงคอยฟังเสียงประทัดสัญญา ถ้าได้ยินเสียงประทัดแล้ว จึงให้ยกเข้าตีระดมพร้อมกัน ครั้นเชาฮูให้ความสัญญาแก่นายทหารทั้งปวงแล้ว พอเวลาพลบค่ำลง เชาฮูก็ยกทหารออกไปจากเมืองกีจิวเฮ้า
ฝ่ายซ่องเฮ่าเฮ้า ครั้นเสียทีเชาฮูและเสียทหารเป็นอันมาก จึงถอยทัพประชุมทหารอยู่ไกลเมืองประมาณสองร้อยเส้น ซ่องเฮ่าเฮ้าจึงปรึกษาแก่ทหารทั้งปวงว่า แต่เราทำศึกมาหลายครั้งแล้วหาเสียทหารเหมือนครั้งนี้ไม่ ซึ่งป่วยบุ๋น นายทหารเรา ตายนั้น เราเสียใจนัก บัดนี้ ทัพเชาฮูก็ได้ทีมีใจกำเริบขึ้น ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด อึงง่วนจี้จึงว่าแก่ซ่องเฮ่าเฮ้าว่า ประเพณีเป็นทหารกระทำศึกแล้วก็มีแต่แพ้กับชนะ ซึ่งท่านจะคิดย่อท้อดังนั้นหาควรไม่ ข้าพเจ้าเห็นว่า กีเซียง เมืองไซรเป๊กเฮ้า ก็ยกตามมาจะใกล้ถึงอยู่แล้ว ถ้าทัพกีเซียงมาพร้อมกัน ทหารก็จะมาขึ้น จะเข้าตีเอาเมืองกีจิวเฮ้าก็จะได้โดยง่าย ขอท่านจงตั้งมั่นอยู่คอยกองทัพกีเซียงก่อน ซ่องเฮ่าเฮ้าได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงให้แต่งโต๊ะเลี้ยงทหาร ทหารทั้งปวงพากันกินโต๊ะเสพสุรามัวเมา มิได้คิดที่จะรักษาค่าย
ฝ่ายเชาฮู ครั้นยกมาถึงค่ายซ่องเฮ่าเฮ้า เวลาประมาณยามเศษ เห็นค่ายซ่องเฮ่าเฮ้าเงียบสงัดอยู่ได้ท่วงทีแล้ว ก็ให้จุดประทัดสัญญาขึ้น ทหารเชาฮูได้ยินเสียงประทัดสัญญา ก็พากันโห่ร้องทลายค่ายเข้าไปทั้งสี่ด้าน
ฝ่ายทหารซ่องเฮ่าเฮ้ามิทันรู้ตัว ตกใจตื่นแตกหนีทิ้งเครื่องศัสตราวุธเสียเป็นอันมาก ซ่องเฮ่าเฮ้าหลับอยู่ ตื่นขึ้นได้ยินเสียงโห่ร้อง แลเห็นทหารวิ่งวุ่นวายหนีออกจากค่ายดังนั้น ซ่องเฮ่าเฮ้าตกใจ ก็ขึ้นม้าจะหนีเอาตัวรอด เชาฮูเห็นซ่องเฮ่าเฮ้าจึงต้องตวาดว่า มึงจะหนีกูไปไหน จงทิ้งอาวุธเสีย มัดตัวเข้ามาหากูโดยดี กูจึงจะไว้ชีวิต เชาฮูว่าแล้วก็ขัยม้าเอาทวนแทงซ่องเฮ่าเฮ้า ซ่องเฮ่าเฮ้าเอาง้าวป้องกันไว้ แล้วซ่องเฮ่าเฮ้าขับม้าเข้ารบด้วยเชาฮู ซ่องเอ๋งปิว บุตรซ่องเฮ่าเฮ้า กับกิมคุ้ย อึงง่วนจี้ เห็นดังนั้นก็ขับม้าเข้าช่วยซ่องเฮ่าเฮ้ารุมรบเชาฮู เตียเป๋ง หนึ่ง ตันลี่เจง หนึ่ง ทหารเชาฮู เห็นดังนั้นก็ขับม้าเข้าช่วยเชาฮูรบ ทหารทั้งเจ็ดนายรบพุ่งกันเป็นสามารถ เตียเป๋ง ทหารเชาฮู เอาง้าวฟันกิมคุ้ม ทหารซ่องเฮ่าเฮ้า ตกม้าตาย ซ่องเฮ่าเฮ้าเสียทหาร เห็นจะต้านทานมิได้ จึงพาซ่องเอ๋งปิว ผู้บุตร กับอึงง้วนจี้ ชักม้าถอยรอรบไป เชาฮูชับม้าไล่ฆ่าทหารซ่องเฮ่าเฮ้าไปทางประมาณสองร้อยเส้น เชาฮูเห็นมืดนัก จึงให้ทหารตีม้าล่อถอยทัพกลับเข้าเมืองกีจิวเฮ้า
ฝ่ายซ่องเฮ่าเฮ้ามาถึงเหงากางติ๋น รู้ว่า เชาฮูพาทหารกลับไปแล้ว จึงหยุดม้าประชุมทหารพร้อมกัน แล้วจึงว่า แต่เรารบศึกมาหลายครั้ง จะเสียทหารเหมือนครั้งนี้หามิได้ ซ่องเอ๋งปิวจึงว่า ซึ่งเสียทีแก่เชาฮูครั้งนี้ ทหารทั้งปวงก็ล้มตายเป็นอันมาก ทหารซึ่งเหลือตายอยู่น้อยตัวนัก ขอท่านให้ม้าใช้รีบไปถึงกีเซียง เจ้าเมืองไซรเป๊กเฮ้า ให้เร่งยกกองทัพมาโดยเร็ว จะได้คิดการตีเมืองกีจิวเฮ้าสืบไป ซ่องเฮ่าเฮ้าได้ฟังซ่องเอ๋งปิวว่าดังนั้น เห็นชอบด้วย จึงว่า รุ่งขึ้นวันพรุ่งนี้ เราจะให้ม้าใช้ไปเร่งกองทัพเมืองไซรเป๊กเฮ้า พอได้ยินเสียงประทัดและทหารโห่ร้องอื้ออึงมาสกัดหน้าไว้ แล้วร้องว่า บิดาเราใช้ให้เรามา จะเอาชีวิตท่าน ท่านเร่งลงจากม้ามาหาเราโดยดีเถิด ซ่องเฮ่าเฮ้าตกใจได้ยินดังนั้น แลไปเห็นทหารหนุ่มน้อยใส่เสื้อแดงขี่ม้าถือทวนขับม้าเข้ามาหน้า ซ่องเฮ่าเฮ้าจำได้ว่า เป็นบุตรเชาฮู ซ่องเฮ่าเฮ้าจึงร้องด่าว่า อ้ายลูกกบฏ มึงจะมีชีวิตอยู่สักกี่วัน แล้วซ่องเฮ่าเฮ้าจึงให้อึงง่วนจี้เข้ารบด้วยเชาชวนต๋ง ทหารทั้งสองถ้อยทีต่อสู้กันเป็นสามารถ สิงจีอูเห็นอึงง่วนจี้เพลี่ยงพล้ำจะเสียทีแก่เชาชวนต๋ง สิงจีอูก็ขับม้าเข้ารบช่วยอึงง่วนจี้ เชาชวนต๋งเอาทวนแทงถูกสิงจีอูตกม้าตาย
ฝ่ายซ่องเฮ่าเฮ้ากับซ่องเอ๋งปิวเห็นดังนั้นก็ขับม้าเข้ารบด้วยเชาชวนต๋ง เชาชวนต๋งผู้เดียวต่อรบด้วยทหารรทั้งสามเป็นสามารถ เชาชวนต๋งเอาทวนแทงถูกขาซ่องเฮ่าเฮ้าเกราะขาด ซ่องเฮ่าเฮ้าเห็นจะสู้รบเชาชวนต๋งมิได้ จึงชักม้าหนีไป ซ่องเอ๋งปิวเห็นดังนั้นตกใจประหม่ามือสั่น เชาชวนต๋งเอาทวนแทงถูกแขน ซ่องเอ๋งปิวซวนไปจะตกลงจากหลังม้า ทหารทั้งปวงก็เข้าสกัดหน้าเชาชวนต๋งไว้ ซ่องเอ๋งปิวตั้งตัวได้ จึงพาทหารทั้งปวงหนีเชาชวนต๋งไป
ฝ่ายเชาชวนต๋งมีชัยแก่ซ่องเฮ่าเฮ้า ครั้นจะติดตามไปก็เห็นว่า เป็นเวลาดึกนัก เกลือกจะเสียท่วงทีแก่ซ่องเฮ่าเฮ้า เชาชวนต๋งจึงพาทหารกลับเมืองกีจิวเฮ้า จึงเล่าความซึ่งได้รบกับซ่องเฮ่าเฮ้าให้แก่เชาฮูผู้บิดาฟังทุกประการ เชาฮูได้ฟังเชาชวนต๋งดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่า เราจะคอยฟังกำลังกองทัพซึ่งจะเพิ่มเติมมาภายหลังจะมากน้อยประการใด ฝ่ายซ่องเฮ่าเฮ้าแตกทัพเสียทีแก่เชาชวนต๋ง ทหารล้มตายเป็นอันมาก ซ่องเฮ่าเฮ้ากับทหารซึ่งเหลือตายพากันหนีไปถึงเมืองปักเป๊กเฮ้า พอเวลารุ่งเช้า ซ่องเฮ่าเฮ้าจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า แต่เรารบศึกมาหลายครั้งแล้ว มิได้เสียทหารยับเยินเหมือนครั้งนี้ และทหารของเราล้มตายเสียเก้าส่วน ยังเหลืออยู่แต่ส่วนเดียว ทั้งซ่องเอ๋งปิว บุตรเรา ก็ต้องทวนป่วยอยู่ เราเสียใจนัก อึงง่วนจี้จึงตอบซ่องเฮ่าเฮ้าว่า การซึ่งจะทำศึกนี้มีแต่แพ้และชนะสองประการ ท่านอย่าเสียใจ ขอให้มีหนังสือไปถึงกีเซียง เจ้าเมืองไซรเป๊กเฮ้า เร่งให้ยกกองทัพรีบมาบรรจบกับกองทัพเรา ก็เห็นจะเอาชัยชำนะแก่เชาฮูได้ ซ่องเฮ่าเฮ้าได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่า กีเซียงก็รู้ว่า เราได้รับกับเชาฮูติดพันอยู่แล้ว กีเซียงก็ยังหายกกองทัพมาช่วยเราไม่ ครั้นจะให้หนังสือไปถึงกีเซียง ก็เกรงจะเป็นแอบรับสั่ง
ขณะเมื่อซ่องเฮ่าเฮ้ากับอึงง่วนจี้ปรึกษากันอยู่นั้น พอได้ยินเสียงเท้าม้าและคนอื้ออึงมาภายนอกเมืองเป็นอันมาก มิได้รู้ว่า กองทัพผู้ใดยกมา ซ่องเฮ่าเฮ้าตกใจนัก ก็ขึ้นม้าเปิดประตูเมืองออกไปดู ก็เห็นธงสำหรับแม่ทัพ และเห็นนายทหารหน้าดำ หนวดเหลืองดังสีทอง มีจักษุเหลืองทั้งสองข้าง ใส่เสื้อเกราะสีแดง ถือขวาน ขี่สิงโต มีทหารประมาณสองหมื่นเศษ ซ่องเฮ่าเฮ้าจำได้ว่า ซ่องเฮกเฮ้า ผู้น้องซึ่งกินเมืองเช่าจิ๋วเฮ้า ซ่องเฮ่าเฮ้ามีความยินดีนัก จึงออกไปรับซ่องเฮกเฮ้า ซ่องเฮกเฮ้าจึงลงจากสิงโต คำนับซ่องเฮ่าเฮ้าผู้พี่ แล้วจึงว่า ข้าพเจ้าแจ้งความว่า พี่ท่านยกไปตีเมืองกีจิวเฮ้าเสียทีแก่เชาฮู ข้าพเจ้าจึงยกกองทัพรีบมาหวังจะช่วยท่าน ซ่องเฮ่าเฮ้าได้ฟังซ่องเฮกเฮ้าว่าดังนั้นยินดีนัก จึงพาซ่องเฮกเฮ้าเข้าไปในเมือง แล้วเล่าความซึ่งเสียทีแก่เชาฮูให้ซ่องเฮกเฮ้าฟังทุกประหาร ซ่องเฮกเฮ้าจึงว่า ข้าพเจ้าดื้หารที่มีฝีมือมาครั้งนี้ประมาณสามพัน ทหารเลวสองหมื่นเศษ ท่านอย่าได้เกรงแก่เชาฮูเลย ซ่องเฮ่าเฮ้าได้ฟังดังนั้นก็จัดแจงทหารทั้งปวง พร้อมแล้วให้ซ่องเฮกเฮ้าเป็นทัพหน้า ยกไปถึงเมืองกีจิวเฮ้า แล้วให้ตั้งค่ายมั่นลงไว้ ซ่องเฮกเฮ้าจึงใหทหารร้องเข้าไปว่า ให้เชาฮูจัดทหารมีฝีมือเร่งออกมารบกัน ฝ่ายทหารซึ่งรักษาหน้าที่ได้ฟังจึงเข้าไปบอกแก่เชาฮู เชาฮูจึงว่า ซ่องเฮกเฮ้าคนนี้มีวิชาและฝีมือเข้มแข็งนัก เราไม่เห็นฝีมือผู้ใดจะสู้ได้ ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นต่างคนต่างนิ่งอยู่ เชาชวนต๋งจึงว่า ทหารเขายกมา เราก็จำจะแต่งทหารออกไปรบ เปรียบดุจหนึ่งน้ำท่วมมา ก็เอาดินถมเป็นทำนบป้องกันไว้ เชาฮูจึงว่า เจ้ายังเด็กนักมิได้รู้ อันซ่องเฮกเฮ้าคนนี้มีฝีมือกล้าแข็งนัก แล้วได้เรียนวิชามาแต่สำนักผู้วิเศษ ถึงกองทัพจะยกมาหมื่นหนึ่งแสนหนึ่งก็ดี ซ่องเฮกเฮ้าก็อาจจะตัดศีรษะเอาศีรษะนายทหารไปโดยง่าย เจ้าอย่าเพ่อดูหมิ่นซ่องเฮกเฮ้า เชาชวนต๋งได้ฟังเชาฮูผู้บิดาว่าดังนั้นก็โกรธ จึงว่า ซึ่งท่านสรรเสริญซ่องเฮกเฮ้าดังนั้น ทหารทั้งปวงจะมิย่อท้อเสียใจไปหรือ ข้าพเจ้าจะขออาสาออกไปจับตัวซ่องเฮกเฮ้ามาจงได้ ถ้ามิได้ซ่องเฮกเฮ้า ข้าพเจ้าก็ไม่กลับมาหาท่าน เชาฮูจึงว่า ซึ่งเจ้ามิเชื่อเรา จะออกไปสู้กับซ่องเฮกเฮ้า ถ้าเสียทรมาประการใด เจ้าอย่าน้อยใจเรา เชาชวนต๋งรับคำนับแล้วขึ้นม้าถือทวนพาทหารเปิดประตูเมืองออกไป ครั้นถึงหน้าค่ายซ่องเฮกเฮ้า เชาชวนต๋งจึงร้องเข้าไปว่า ให้แม่ทัพทั้งสองนายเร่งออกมาต่อสู้ดูฝีมือกันโดยเร็ว
ฝ่ายซ่องเฮกเฮ้าได้ยินเชาชวนต๋งร้องว่ามาดังนั้นจึงคิดว่า กูมาครั้งนี้หวังจะแก้ความอายซ่องเฮ่าเฮ้าพี่ที่เสียทีพ่ายแพ้ไปครั้งก่อนนั้น อนึ่ง เชาฮูกับกูเล่าก็เป็นมิตรสหายกันมาแต่ก่อน จะได้ช่วยเชาฮูให้พ้นจากโทษข้อขัดรับสั่งพระเจ้าติวอ๋อง ครั้นซ่องเฮกเฮ้าคิดดังนั้นแล้วจึงขึ้นขี่สิงโตถือขวานออกมาหน้าค่ายแต่ผู้เดียว เห็นเชาชวนต๋งขี่ม้าถือทวนยืนอยู่หน้าทหารทั้งปวง ซ่องเฮกเฮ้าจึงร้องว่า ให้เชาชวนต๋งเร่งกลับไปบอกเชาฮูผู้บิดาท่านออกมา จะได้พูดจากันกับเรา ตัวท่านเป็นเด็กน้อย หาแจ้งความทั้งปวงไม่ เชาชวนต๋งได้ฟังซ่องเฮกเฮ้าออกชื่อบิดาดังนั้นก็โกรธ จึงว่า ท่านกับเราเป็นข้าศึกกัน เราออกมาหวังจะรบกับท่าน ซึ่งท่านจะให้เรากลับไปบอกบิดาเราให้ออกมานั้นหาควรไม่ ถ้าท่านคิดกลัวเรา จงคำนับเราแล้วเลิกทัพกลับไป เราจึงจะไว้ชีวิตท่าน ซ่องเฮกเฮ้าได้ฟังเชาชวนต๋งหยาบช้าก็โกรธ จึงร้องด่าว่า อ้ายลูกเล็กหารู้จักผู้ใหญ่ไม่ แล้วซ่องเฮกเฮ้าก็ขับสิงโตรำขวานเข้ารบกับเชาชวนต๋ง และซ่องเฮกเฮ้าคนนี้เมื่อยังน้อยอยู่ได้เรียนความรู้ทั้งปวงแก่อีหยิน และคำไทยว่า ฤษี อีหยินให้แก้วอันวิเศษแก่ซ่องเฮกเฮ้าดวงหนึ่ง แก้วดวงนี้มีฤทธิ์ใช้ได้ดังใจนึก ขณะเมื่อซ่องเฮกเฮ้าเข้ารบกับเชาชวนต๋งนั้น ซ่องเฮกเฮ้าเอาดวงแก้วผูกแขวนคอไว้ข้างหลัง
ฝ่ายเชาชวนต๋งเห็นซ่องเฮกเฮ้ารำขวานเข้ามาดังนั้น จงคิดว่า ขวานซ่องเฮกเฮ้าเป็นอาวุธสั้น เห็นจะสู้ทวนเราเป็นอาวุธยาวมิได้ เชาชวนต๋งคิดประมาทใจดังนั้น ก็ขับม้าเข้ารบบุกบั่น หวังจะจับตัวซ่องเฮกเฮ้าให้ได้โดยเร็ว เชาชวนต๋งกับซ่องเฮกเฮ้ารบกันริมคูเมืองเป็นสามารถ ซ่องเฮกเฮ้ารบพลางคิดในใจว่า เชาชวนต๋งคนนี้ฝีมือกล้าหาญนัก มิเสียทีเป็นลูกทหาร อันจะต่อสู้ด้วยอาวุธฉะนี้เห็นจะเอาชัยชนะมิได้ ซ่องเฮกเฮ้าคิดดังนั้นจึงเอาขวานเหน็บหลัง แล้วชักสิงโตกลับเป็นทีหนี เชาชวนต๋งเห็นดังนั้นก็หัวเราะแล้วคิดในใจว่า บิดากูสรรเสริญว่า ซ่องเฮกเฮ้ามีความรู้และฝีมือกล้าแข็งนัก บัดนี้ หนีไปแล้ว ถ้ากูเชื่อฟังบิดาห้ามแล้ว ที่ไหนจะได้ชัยชำนะเล่า จำจะตามจับตัวซ่องเฮกเฮ้ามัดเข้าไปให้แก่บิดาตามสัญญา คิดดังนั้นเชาชวนต๋งก็ขับม้าไล่ติดตามซ่องเฮกเฮ้าไป
ฝ่ายซ่องเฮกเฮ้าเหลียวหลังมาเห็นเชาชวนต๋งจะใกล้ทันดังนั้น จึงแก้เอาแก้วซึ่งผูกคอไว้ข้างหลังมาเสกด้วยอาคม แล้วทิ้งไปเป็นหมอกมืดนัก แล้วบังเกิดเป็นข่ายเพชรเข้าวงมัดเชาชวนต๋งตกลงจากหลังม้า ทหารทั้งปวงก็เข้ากลุ้มรุมกันจับตัวเชาชวนต๋งมัดแขนไพล่หลัง แล้วซ่องเฮกเฮ้าก็เลิกทัพพาเชาชวนต๋งกลับค่าย
ฝ่ายม้าใช้เห็นดังนั้นจึงนำความทั้งปวงไปบอกแก่ซ่องเฮ่าเฮ้า แม่ทัพ ซ่องเฮ่าเฮ้ามีความยินดีนัก จึงให้หาซ่องเฮกเฮ้าให้เอาตัวเชาชวนต๋งเข้ามาด้วย ม้าใช้ก็ไปบอกแก่ซ่องเฮกเฮ้า ซ่องเฮกเฮ้าจึงเอาตัวเชาชวนต๋งเข้ามา ณ ค่ายแม่ทัพ
ฝ่ายเชาชวนต๋งเข้ามาถึง ทำองอาจยืนอยู่ มิได้คำนับซ่องเฮ่าเฮ้า ซ่องเฮ่าเฮ้าจึงเยาะเย้ยเชาชวนต๋งว่า เมื่อท่านไปตั้งสกัดเราอยู่ ณ ตำบลเหงากางติ๋นในเวลากลางคืนนั้น ท่านอ้างอวดตัวว่า มีกำลังฤทธิ์มาก แล้วเหตุใดจึงให้เขาจับมัดตัวมาได้เล่า เชาชวนต๋งได้ฟังซ่องเฮ่าเฮ้าเยาะเย้ย โกรธนัก จึงว่า ท่านจะทำสง่าให้เรากลัวหรือ เราหากลัวท่านไม่ ท่านจะฆ่าเราก็ฆ่าเสียเถิด เราผู้ชื่อว่า เชาชวนต๋ง จะได้เสียดายชีวิตหามิได้ เราคิดแค้นแต่อ้ายพวกสอพลอมันยุยงพระเจ้าติวอ๋องให้ราษฎรทั้งปวงได้ความเดือดร้อน เราหมายจะกินเลือดมันให้จงได้ บัดนี้ เรายังหาได้กินเลือดอ้ายผู้ยุยงไม่ เราแค้นใจนัก หนึ่ง เราคิดเสียดายแผ่นดินของพระเจ้าเสี่ยงทาง เป็นสุขมาช้านาน จะเสื่อมสูญเสียเพราะพวกอ้ายคนสอพลอครั้งนี้แล้ว ซ่องเฮ่าเฮ้าได้ฟังคำเชาชวนต๋งว่าดังนั้นก็โกรธ จึงด่าว่า อ้ายลูกเด็ก ปากมึงยังหาสิ้นกลิ่นน้ำนมไม่ กูให้จับตัวมาได้ ชีวิตมึงอยู่ในเงื้อมมือกู ควรหรือมึงมากล่าวคำหยาบช้าอีกเล่า ซ่องเฮ่าเฮ้าจึงสั่งทหารให้เอาตัวเชาชวนต๋งไปตัดศีรษะเสียบไว้หน้าค่าย ซ่องเฮกเฮ้าจึงห้ามไว้ แล้วว่า ตัวเชาชวนต๋งก็ถึงที่ตายอยู่แล้ว แต่ข้าพเจ้าเห็นว่า เชาฮูกับเชาชวนต๋งสองคนนี้มีความชอบในพระเจ้าติวอ๋องมาแต่ก่อน อนึ่ง ข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ว่า เชาฮูมีบุตรหญิงคนหนึ่งรูปงามหาผู้ใดเสมอมิได้ พระเจ้าติวอ๋องก็ต้องพระประสงค์จะใคร่ได้บุตรหญิงเชาฮูอยู่ ขอให้ท่านเอาตัวเชาชวนต๋งจำไว้ก่อน ถ้าทัพกีเซียงยกมาพร้อมแล้ว จะได้บรรจบทัพกันเข้าตีเมืองกีจิวเฮ้า จับตัวเชาฮูและสมัครพรรคพวกเชาชวนต๋งส่งไปถวายพระเจ้าติวอ๋อง พี่ท่านจึงจะมีบำเหน็จความชอบสืบไป ซ่องเฮ่าเฮ้าได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงให้ทหารเอาตัวเชาชวนต๋งไปจำไว้ แล้วให้แต่งโต๊ะเลี้ยงซ่องเฮกเฮ้าและทหารทั้งปวง
ฝ่ายทหารเชาชวนต๋ง ครั้นเห็นซ่องเฮกเฮ้าจับเอาตัวเชาชวนต๋งไปได้ ก็รีบเข้าไปแจ้งแก่เชาฮู เชาฮูจึงว่า เราได้บอกแก่เชาชวนต๋งว่า ซ่องเฮกเฮ้าคนนี้มีความรู้และฝีมือเข้มแข็งนัก ได้ห้ามเชาชวนต๋ง เชาชวนต๋งก็มิได้ฟังคำเรา ซึ่งซ่องเฮกเฮ้าจับเชาชวนต๋งไปนั้นก็ควรอยู่แล้ว แต่เราคิดเสียใจอยู่ ด้วยเราเป็นชายชาติทหาร ยังหาเคยแพ้แก่ผู้ใดไม่ ซึ่งเชาชวนต๋ง บุตรเรา เสียทีแก่ซ่องเฮกเฮ้าครั้งนี้ เราได้ความอัปยศนัก อนึ่ง ซ่องเฮ่าเฮ้ากับซ่องเฮกเฮ้าก็จะมีใจกำเริบขึ้น เห็นเมืองเราก็จะเสียแก่ข้าศึกเป็นมั่นคง แล้วเชาฮูจึงคิดแต่ในใจว่า เหตุทั้งนี้ก็เพราะพระมหากษัตริย์มิได้อยู่ในยุติธรรม เชื่อฟังแต่คำคนยุยง จะเอานางขันกีผู้บุตรแห่งเรา เราจึงได้ความเดือดร้อนทั้งนี้ ถ้าซ่องเฮ่าเฮ้าได้เป็นเมืองเราแล้ว ก็จะจับเอาตัวเรา และบุตร ภรรยา ส่งขึ้นไปถวายพระเจ้าติวอ๋อง ณ เมืองจิวโก๋ พระเจ้าติวอ๋องจะลงโทษแก่เราเป็นสาหัส ราษฎรทั้งปวงก็จะติฉินเราได้ และซึ่งเกิดเหตุทั้งนี้ก็เพราะผลกรรมของเราเอง ถ้าแลเราจะฆ่าตัวและภรรยาเสีย เห็นว่า จะดีกว่ามีชีวิตอยู่ เพราะหาความเวทนาและความอัปยศแก่ราษฎรทั้งปวงไม่ เชาฮูคิดดังนั้นแล้วจึงชักกระบี่ออกจากฝัก เดินเข้าไปในข้างในหวังจะฆ่าบุตร ภรรยา เสีย นางขันกีเห็นบิดาถือกระบี่เข้ามาดังนั้นก็หัวเราะแล้วจึงถามว่า มีเหตุประการใดบิดาจึงถอดกระบี่เดินเข้ามาดังนี้ เชาฮูได้ฟังบุตรถามดังนั้นก็มีความอาลัย ยืนตะลึงอยู่มิอาจจะฆ่าบุตรได้ จึงบอกแก่บุตรว่า หารู้ไม่หรือซ่องเฮกเฮ้าจับเอาเชาชวนต๋งผู้พี่ชายไปได้แล้ว ตัวเรากับเจ้าก็จะไม่พ้นมือข้าศึก ซึ่งเกิดเหตุทั้งนี้ก็เพราะตัวเจ้าผู้เดียว บ้านเมืองและญาติวงศ์ทั้งปวงจะพลอยฉิบหายเสีย ในขณะนั้น พอทหารเอาเนื้อความเข้ามาบอกเชาฮูว่า ซ่องเฮกเฮ้ายกมาจะรบกับท่าน เชาฮูได้ฟังดังนั้นจึงสั่งทหารทั้งปวงให้รักษาหน้าที่เชิงเทินไว้ให้มั่นคง
ฝ่ายซ่องเฮกเฮ้า ครั้นยกมาถึงใกล้เชิงกำแพงเมืองกิจิวเฮ้า มิได้เห็นทหารเชาฮูผู้ใดผู้หนึ่งออกมา ซ่องฮกเฮ้าคิดแต่ในใจว่า เรามาครั้งนี้หวังจะแก้ไขเชาฮูให้พ้นโทษซึ่งข้อขัดรับสั่ง เมื่อเชาฮูมิได้ออกมาให้เห็นหน้าเราดังนี้ จะรู้ที่ปรึกษาแก่ผู้ใดได้ ซ่องฮกเฮ้าก็เลิกทัพกลับเข้าค่าย แล้วบอกแก่ซ่องเฮ่าเฮ้าว่า ข้าพเจ้ายกไปเชิงกำแพง หวังว่ารับกับเชาฮู เชาฮูก็มิได้ออกมา เห็นแต่ทหารรักษาหน้าที่เชิงเทินอยู่เป็นสามารถ ซ่องเฮ่าเฮ้าจึงว่า เชาฮูมิได้ออกมาต่อสู้กับเรา จะคิดให้ทำบันไดหกพาดกำแพงให้ทหารปีนขึ้นปล้นเอาเมืองกีจิวเฮ้าจงได้ ซ่องเฮกเฮ้าจึงว่า ซึ่งจะทำดังนั้น ถึงมาตราว่าจะได้เมืองกีจิวเฮ้า ก็จะเสียอาหารเป็นอันมาก ข้าพเจ้าคิดว่า จะตั้งค่ายมั่นล้อมเมืองไว้ให้เชาฮูขัดสนด้วยเสบียงอาหาร แล้วเห็นจะได้เมืองโดยง่าย ทั้งจะไม่เหนื่อยแรงทหารทั้งปวงด้วย ประการหนึ่ง กีเซียง เจ้าเมืองไซรเป๊กเฮา ก็ยังหามาไม่ ถ้าทัพซีเกียงพร้อมแล้ว เราจึงจะค่อยคิดการต่อไป ซ่องเฮ่าเฮ้าได้ฟังดังนั้นเห็นชอบด้วย จึงสั่งให้ทหารตั้งต่ายล้อมเมืองกีจิวเฮ้าไว้เป็นสามารถ
ฝ่ายเชาฮู ครั้นเห็นซ่องเฮ่าเฮ้าล้อมเมืองไว้ดังนั้น ก็มิได้คิดที่จะสู้รบประการใด แต่นั่งนิ่งเป็นทุกข์อยู่ดุจหนึ่งว่า จะคอยให้ซ่องเฮ่าเฮ้ามามัดเอาตัวไปโดยง่าย พอทหารเข้ามาบอกเชาฮูว่า เตงหลุนซึ่งเป็นกองลำเลียงมาถึงแล้ว เชาฮูจึงสั่งให้หาเตงหลุนเข้ามา ครั้นเตงหลุนเข้ามาคำนับ เชาฮูมิได้ว่าประการใด แต่ถอนใจใหญ่อยู่ เตงเหลุนเห็นดังนั้นจึงว่ากับเชาฮูว่า ข้าพเจ้าแจ้งว่า ศึกมาติดเมืองท่านแล้ว ข้าพเจ้าจึงรีบมาทั้งกลางวันกลางคืน บัดนี้ ท่านได้รบพุ่งเป็นประการใดบ้าง เชาฮูก็เล่าเนื้อความทั้งปวงให้เตงหลุนฟังทุกประการ แล้วเชาฮูจึงว่า เมืองเรานี้จะเสียแก่ซ่องเฮ่งเฮ้าเป็นมั่นคงแล้ว ท่านอย่าได้เป็นธุระกังวลด้วยเราเลย จงคิดเอาตัวรอดเถิด เชาฮูว่าแล้วก็ร้องไห้ เตงหลุนเห็นดังนั้นก็โกรธ จึงถามว่า ท่านเมาสุราอยู่หรือ จึงเจาราฟั่นเฟือนไปดังนี้ เชาฮูจึงว่า ซึ่งเราว่าดังนี้ด้วยเรากระทำความผิดไว้ในพระเจ้าติวอ๋องเป็นอันมาก หนึ่ง เมืองขึ้นพระเจ้าติวอ๋องมีถึงแปดร้อยเศษ ถ้าพระเจ้าติวอ๋องเกณฑ์ทหารเมืองขึ้นทั้งปวงให้ยกเพิ่มเติมมาบรรจบกันตีเอาเมืองเรา เราเห็นจะต้านทานสู้รบมิได้ เตงหลุนจึงว่า ตัวท่านได้ทำนุบำรุงข้าพเจ้ามาแต่น้อยคุ้มใหญ่ คุณท่านอยู่แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าคิดจะสนองคุณท่าน ก็เห็นจะสมคิดอยู่แล้ว ข้าพเจ้าจะอาสาออกไปจับตัวซ่องเฮ่าเฮ้ากับซ่องเฮกเฮ้ามาให้ท่านจงได้ เชาฮูได้ฟังเตงหลุนว่ากล่าวดูหมิ่นแก่ซ่องเฮกเฮ้าดังนั้น จึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า เตงหลุนไปจัดหาเสบียงอาหารเป็นทางไกล ต่อจะป่วยไข้ลงยังรักษามิหายสนิท จึงพูดจาละล่ำละลักอยู่ดังนี้ และจะเชื่อฟังคำเตงหลุนเป็นแน่มิได้ เตงหลุนได้ฟังเชาฮูว่าดังนั้นก็โกรธ จึงร้องประกาศต่อหน้าทหารทั้งปวงว่า ถ้าเรามิได้ตัวซ่องเฮ่าเฮ้า ซ่องเฮกเฮ้า เข้ามา ก็ให้ท่านตัดศีรษะเราเสียเถิด เตงหลุนว่าดังนั้นแล้วก็ขึ้นขี่สิงโตถือขวานใหญ่ ได้ทหารพรรคพวกประมาณสามพัน เปิดประตูเมืองออกไปด้วยกำลังโกรธ ครั้นถึงหน้าค่ายซ่องเฮกเฮ้า เตงหลุนจึงร้องเข้าไปว่า ให้นายทหารทั้งสองเร่งออกมารบกันกับเรา
ฝ่ายทหารซ่องเฮกเฮ้าจึงไปบอกแก่ซ่องเฮกเฮ้าตามคำเตงหลุนว่า ซ่องเฮกเฮ้าได้ฟังดังนั้นจึงแต่งตัวใส่เสื้อเกราะถือขวานขึ้นขี่สิงโตพาพวกทหารออกมานอกค่าย ฝ่ายเตงหลุนจึงร้องว่าแก่ซ่องเฮกเฮ้าว่า ซึ่งท่านจับเอาเชาชวนต๋ง บุตรของนายเรา ไว้นั้น เร่งปล่อยเสีย แล้วท่านจงวางอาวุธลงจากสิงโตเข้ามาคำนับเราโดยดี เราจึงจะไว้ชีวิตแก่ท่าน ถ้ามิทำตามคำเรา เราจะสับด้วยขวานให้กระดูกละเอียดเป็นผงคลีในวันนี้ ซ่องเฮกเฮ้าได้ฟังเตงหลุนว่าดังนั้น จึงถามว่า ท่านเป็นขุนนางตำแหน่งไหน จึงเจรจาองอาจยิ่งกว่าเชาชวนต๋งผู้เป็นบุตรเชาฮูซึ่งเป็นนายท่านอีกเล่า เตงหลุนจึงบอกว่า ตัวเราชื่อ เตงหลุน เป็นขุนนางผู้ใหญ่ได้ว่าที่กรมนา ซ่องเฮกเฮ้าจึงว่า เชาฮูนายมึงขัดรับสั่ง แข็งเมืองคิดกบฏต่อพระเจ้าติวอ๋อง มึงก็เป็นพวกกบฏด้วย โทษมึงก็ถึงที่กระดูกละเอียดอยู่เองแล้ว มึงกลับมาดูหมิ่นว่าหยาบช้ากูอีกเล่า ซ่องเฮกเฮ้าว่าดังนั้นแล้วก็ขึ้นสิงโตรำขวานเข้าต่อสู้ด้วยเตงหลุนได้ยี่สิบเพลง และทหารทั้งสองสู้รบกันเป็นสามารถ มีคำจีนเปรียบชมไว้ว่า กี๋หองตุ้ยชีว แปลเป็นคำไทยว่า ทหารทั้งสองรบกัน ถ้อยทีรู้ท่วงทีกัน ดุจหนึ่งผู้เล่นหมากรุกดีชอบมือกัน และเมื่อเตงหลุนรบกับซ่องเฮกเฮ้าอยู่นั้น เตงหลุนแลเห็นแก้วซึ่งแขวนคอซ่องเฮกเฮ้าอยู่เบื้องหลัง จึงคิดในใจว่า เชาฮูบอกกับกูไว้ว่า ซ่องเฮกเฮ้าคนนี้ได้เรียนความรู้มาแต่ผู้วิเศษ ชะรอยซ่องเฮกเฮ้าจะมีฤทธิ์ด้วยแก้งดวงนี้เป็นมั่นคง จึงจับตัวเชาชวนต๋าไปได้ ครั้นกูจะนิ่งไว้ช้าจะเสียทีไป จำจักชิงเอาชัยชนะแก่ซ่องเฮกเฮ้าเสียก่อนจึงจะได้ และเตงหลุนคนนี้เมื่อยังเด็กอยู่นั้นได้เรียนวิชามาแต่ฤษีชื่อว่า เต้าจินหยิน อันอยู่ในเชาไซรกุนตุ๋น แม้นเตงเหลุนจะสู้รบแก่ข้าศึก เตงหลุนร่ายมนต์หายใจออกไป ก็บังเกิดเป็นหมอกควันพลุ่งออกจากช่องจมูกทั้งสอง และหมอกควันนั้นไปถูกต้องหมู่ข้าศึก หมู่ข้าศึกนั้นก็ตกตะลึงสิ้นกำลัง มือและเท้าอ่อนเมื่อยล้าไป ก็อาจจะจับตัวข้าศึกได้โดยง่าย ถ้าเตงหลุนจะทิ้งอาวุธไป อาวุธก็บังเกิดเป็นงูใหญ่ เหล่าทหารก็กลายเป็นศีรษะกา มือถือเชือกเหล็กและขอเหล็กอาจจะไปจับมัดข้าศึกมาได้ และชื่อเตงหลุนคนนี้ก็มีปรากฏในห้องสินทำนายไว้ว่า เตงหลุนตายแล้วจะไปบังเกิดเป็นเทพารักษ์
ขณะเมื่อเตงหลุนรบกับซ่องเฮกเฮ้านั้น เตงหลุนร่ายมนต์หายใจออกไปเสียงดังเหมือนเสียงระฆัง บังเกิดเป็นหมอกควันพลุ่งเป็นสายออกจากช่องจมูกทั้งสอง ต้องตัวซ่องเฮกเฮ้า ซ่องเฮกเฮ้าสิ้นกำลัง มีมือและเท้าอันอ่อน สิ้นสมประดีตกลงจากหลังสิงโต จักขุทั้งสองมืดมัวแลไปมิดได้เห็นตัวเตงหลุน
ฝ่ายเตงหลุนครั้นได้ทีจึงขว้างอาวุธไปบังเกิดเป็นงูใหญ่ และทหารสามพันมีศีรษะเป็นกา ถือเชือกเหล็กและขอเหล็กเข้ามาผูกมัดเอาตัวซ่องเฮกเฮ้าและทหารทั้งปวงได้สิ้น เตงหลุนครั้นมีชัยชนะแก่ซ่องเฮกเฮ้า จึงให้ทหารโห่ร้องแล้วมัดเอาตัวซ่องเฮกเฮ้า เลิกทัพกลับเข้าเมือง
ฝ่ายเชาฮูได้ยินเสียงโห่ร้องอื้ออึง จึงคิดแต่ในใจว่า เตงหลุนออกไปกับซ่องเฮกเฮ้าครั้งนี้เห็นจะเสียแก่ซ่องเฮกเฮ้า จึงได้ยินเสียงทหารโห่ร้องอื้ออึงดังนี้ พอม้าใช้เอาเนื้อความมาบอกเชาฮูว่า เตงหลุนจับตัวซ่องเฮกเฮ้าเข้ามาได้แล้ว เชาฮูได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่า ซ่องเฮกเฮ้าเป็นคนดีมีวิชาและฝีมือเข้มแข็งนัก ซึ่งว่าเตงหลุนจับตัวซ่องเฮกเฮ้ามาได้ครั้งนี้อัศจรรย์หนักหนา
ฝ่ายเตงหลุนครั้นมาถึงจึงพาตัวซ่องเฮกเฮ้าเข้าไปหาเชาฮู เล่าเนื้อความซึ่งได้ออกไปรบพุ่งกับซ่องเฮกเฮ้าให้เชาฮูฟังทุกประการ เชาฮูมีความยินดีนัก จึงลงจากเก้าอี้ไปยังซ่องเฮกเฮ้า แล้วขับทหารซึ่งคุมตัวซ่องเฮกเฮ้าให้ออกไปเสียสิ้น แล้วเชาฮูจึงแก้มัดซ่องเฮกเฮ้า แล้วเชิญซ่องเฮกเฮ้าขึ้นนั่งบนที่สูง เชาฮูก็คำนับแล้วรับผิดว่า ข้าพเจ้าขัดรับสั่งพระเจ้าติวอ๋อง โทษก็ถึงตายอยู่แล้ว บัดนี้ เตงหลุนไปจับเอาตัวท่านมาอีกเล่า โทษข้าพเจ้าผิดนัก ซ่องเฮกเฮ้าจึงตอบเชาฮูว่า ท่านกับข้าพเจ้าก็เป็นมิตรสหายรักกันมาแต่ก่อน ข้าพเจ้ายังหาลืมคุณท่านไม่ และทหารท่านจับตัวข้าพเจ้ามาได้ครั้งนี้ ชีวิตข้าพเจ้าก็อยู่ในเงื้อมมือท่านแล้ว และท่านไว้ชีวิตข้าพเจ้า กลับคำนับข้าพเจ้าอีกเล่า คุณท่านหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้ามีความยินดี ขอบคุณท่านยิ่งนัก เชาฮูจึงเรียกเตงหลุนและทหารทั้งปวงมาคำนับซ่องเฮกเฮ้า ซ่องเฮกเฮ้าก็สรรเสริญเตงหลุนว่า ท่านมีวิชาเชี่ยวชาญหาผู้เสมอมิได้ ควรท่านจะเป็นที่ขุนนางผู้ใหญ่ได้ และตัวเราเป็นขุนนางผู้ใหญ่ต่อสู้ท่านมิได้ดังนี้ ชอบเราจะเปลื้องเสื้ออันเป็นเครื่องสำหรับยศยกให้แก่ท่านเสียจึงจะควร
ฝ่ายเชาฮู ครั้นให้เตงหลุนคำนับซ่องเฮกเฮ้าแล้ว จึงเชิญซ่องเฮกเฮ้าให้กินโต๊ะด้วยกันกับเชาฮู เชาฮูจึงเล่าความซึ่งพระเจ้าติวอ๋องจะต้องพระประสงค์นางขันกีผู้เป็นบุตรจนเกิดการรบพุ่งกันให้แก่ซ่องเฮกเฮ้าฟังทุกประการ ซ่องเฮกเฮ้าจึงว่า ซึ่งข้าพเจ้ายกทัพมาครั้งนี้ก็เพราะซ่องเฮ่าเฮ้าผู้พี่ข้าพเจ้าแตกทัพไป ข้าพเจ้าหวังจะมาแก้แค้นแทนพี่ชายข้าพเจ้า ประการหนึ่ง ข้าพเจ้าคิดจะแก้ซึ่งโทษท่านขัดรับสั่งพระเจ้าติวอ๋องให้ท่านพ้นโทษด้วย และข้าพเจ้ามาทั้งนี้จะได้คิดเอาชัยชนะแก่ท่านนั้นหามิได้ และเชาชวนต๋ง บุตรท่าน ซึ่งยกออกไปนั้น ข้าพเจ้าได้บอกว่า ให้เชาชวนต๋งกลับเข้ามาเชิญท่านออกไปเจรจากับข้าพเจ้าก่อน เชาชวนต๋งก็มิได้กลับมาเชิญท่าน เชาชวนต๋งโกรธข้าพเจ้า กล่าวถ้อยคำหยาบช้า ข้าพเจ้าจึงจับเอาตัวไปให้ทหารคุมไว้ ณ ค่าย จะได้ให้เป็นอันตรายชีวิตเชาชวนต๋งหามิได้ เชาฮูได้ฟังดังนั้นมีความยินดีนัก กระทำคำนับแล้วว่า ซึ่งท่านมีคุณแก่ข้าพเจ้า มิได้กระทำอันตรายชีวิตเชาชวนต๋งผู้บุตรข้าพเจ้าครั้งนี่ คุณหาที่สุดมิได้
ฝ่ายเชาฮูกับซ่องเฮกเฮ้าต่างคนต่างคำนับพูดจากันอยู่ในเมือง ฝ่ายม้าใช้เห็นซ่องเฮกเฮ้าเสียทัพ เตงหลุนจับตัวไป ก็เอาเนื้อความเข้าไปบอกแก่ซ่องเฮ่าเฮ้าว่า เตงหลุน ทหารเชาฮู จับซ่องเฮกเฮ้าไปได้ จะเป็นตายประการใดมิได้รู้ ซ่องเฮ่าเฮ้าได้ฟังดังนั้นก็ตกใจนัก จึงว่า ซึ่งซ่องเฮกเฮ้า น้องเราผู้นี้ มีวิชาความรู้และฝีมือเข้มแข็ง เตงหลุนกระทำประการใดจึงจับซ่องเฮกเฮ้าไปได้ ม้าใช้จึงเล่าเนื้อความซึ่งเตงหลุนกับซ่องเฮกเฮ้ารบพุ่งกันให้ซ่องเฮกเฮ้าฟังทุกประการ ซ่องเฮ่าเฮ้าได้ฟังดังนั้นก็มีความอาลัยในซ่องเฮกเฮ้ายิ่งนัก จึงให้หาพวกทหารทั้งปวงเข้ามาพร้อมกัน ปรึกษาจะให้ทหารซึ่งมีสติปัญญาปลอมเข้าไปสืบข่าวซ่องเฮกเฮ้าในเมืองกีจิวเฮ้า พอทหารมาบอกความว่า ซั้วซุนเสงถือหนังสือบอกกีเซียงมาแต่เมืองไซรเป๊กเฮ้าฉบับหนึ่ง ซ่องเฮ่าเฮ้าได้ฟังดังนั้น จึงให้หาตัวซั้วซุนเสงผู้ถือหนังสือเข้ามา แล้วถามว่า กีเซียงผู้นายท่านรับอาญาสิทธิ์พระเจ้าติวอ๋องมาด้วยกัน และนายท่านมิได้ยกกองทัพมาช่วยเราให้ทัน และให้เรายกมากระทำศึกแต่ผู้เดียว กีเซียง นายท่าน ไม่กลัวเกรงพระราชอาญาขัดรับสั่งพระเจ้าติวอ๋องหรือประการใด ซั้วซุนเสงจึงตอบว่า กีเซียง นายข้าพเจ้า จะได้ขัดรับสั่งหามิได้ นายข้าพเจ้าเห็นว่า เกิดเหตุทั้งนี้เพราะพระเจ้าติวอ๋องต้องพระประสงค์บุตรเชาฮู และเชาฮูขัดรับสั่งมิได้เอาบุตรไปถวาย โทษผิดก็แต่เชาฮูผู้เดียว ซึ่งจะยกทัพมากระทำแก่เมืองกีจิวเฮ้า ราษฎรชาวเมืองซึ่งหาความผิดมิได้ก็จะพลอยได้ความเดือดร้อนด้วย ถึงมาตรว่าจะได้ตัวบุตรเชาฮูไปถวายแก่พระเจ้าติวอ๋องก็หาเป็นเกียรติยศไม่ นายข้าพเจ้าจึงให้ข้าพเจ้าถือหนังสือมา หวังจะห้ามท่านให้เลิกทัพกลับไปเมือง อนึ่ง เชาฮู กับท่าน และกีเซียงผู้นายข้าพเจ้า ก็เป็นเพื่อนราชการด้วยกันมาแต่ก่อน ยังหาควรจะขัดเคืองกันไม่ และนายข้าพเจ้าจะว่ากล่าวแก่เชาฮูโดยดีจะให้พาบุตรไปถวายพระเจ้าติวอ๋อง จะได้มิให้เสียราชการ ซ่องเฮ่าเฮ้าได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วว่าแก่ซั้วซุนเสงว่า แต่เรามาตั้งรบพุ่งกับเชาฮู จนจับเชาชวนต๋ง บุตรชายเชาฮู ได้ และเชาฮูก็มิได้อ่อนน้อม ซึ่งกีเซียง นายของท่าน ให้หนังสือมาทั้งนี้ยังจะสมคะเนหรือ ถ้าเชาฮูมิยอมพาบุตรไปถวายพระเจ้าติวอ๋อง นายท่านจะคิดประการใด ท่านจงรีบเอาหนังสือเข้าไปให้เชาฮูเถิด เราจะคอยฟังความอยู่ ซั้วซุนเสงก็คำนับลาซ่องเฮ่าเฮ้า ไปถึงประตูเมืองกีจิวเฮ้า จึงบอกแก่นายประตูว่า เราชื่อ ซั้วซุนเสง ถือหนังสือกีเซียง เจ้าเมืองไซรเป๊กเฮ้า มา ท่านจงเร่งเข้าไปบอกแก่เชาฮูให้แจ้ง นายประตูได้ฟังดังนั้นจึงนำเอาเนื้อความเข้าไปบอกเชาฮูตามคำซั้วซุนเสง และเมื่อนายประตูเข้าไปบอกความแก่เชาฮู เชาฮูนั่งกินโต๊ะเสพสุราอยู่กับซ่องเฮกเฮ้า ครั้นเชาฮูได้ฟังนายประตูบอกดังนั้น จึงคิดว่า กีเซียงผู้นี้เป็นคนมีสติปัญญาหลักแหลมนัก จะมีธุระสิ่งไรหนอ จึงใช้คนมาหาเราฉะนี้ คิดแล้วสั่งนายประตูให้ไปรับตัวซั้วซุนเสงเข้ามา ซั้วซุนเสงจึงเข้าไปคำนับเชาฮู เชาฮูจึงถามซั้วซุนเสงว่า ท่านมาทั้งนี้ด้วยกิจธุระสิ่งใด ซั้วซุนเสงจึงบอกแก่เชาฮูว่า เมื่อครั้งท่านลงไปเฝ้าพระเจ้าติวอ๋อง ณ เมืองจิวโก๋นั้น ท่านเขียนโคลงไว้เป็นข้อหยาบช้าต่อพระเจ้าติวอ๋องไว้ ณ ประตูกงก๋วน พระเจ้าติวอ๋องทรงพระโกรธ จึงสั่งให้กีเซียงผู้นายข้าพเจ้ายกกองทัพมากระทำแก่ท่าน และนายข้าพเจ้าเห็นว่า ท่านเป็นคนสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินอยู่ จึงมิได้ยกกองทัพมาเหยียบแผ่นดินเมืองท่าน จึงให้ข้าพเจ้าถือหนังสือมาถึงท่านฉบับหนึ่ง ถ้าท่านเห็นหนังสือนี้แล้ว ให้ท่านพิเคราะห์ดูจงควร แล้วซั้วซุนเสงก็เอาหนังสือให้แก่เชาฮู เชาฮูรับหนังสือมาอ่านได้ความในหนังสือนั้นว่า ข้าพเจ้า กีเซียง เจ้าเมืองไซรเป๊กเฮ้า ขออวยพรมาถึงเชาฮู เจ้าเมืองกีจิวเฮ้า ด้วยเราได้ยินคำโบราณว่าไว้ อันพระมหากษัตริย์ดุจหนึ่งพระจันทร์ซึ่งส่องสว่างโลก ลอยอยู่ในอากาศ ขุนนางและหัวเมืองทั้งปวงซึ่งเป็นข้าขอบขัณฑเสมาเหมือนดังดวงดาวอันเป็นบริวารแห่งพระจันทร์ และเราท่านทั้งปวงได้อยู่เย็นเป็นสุขมียศศักดิ์ก็เพราะพระมหากษัตริย์ชุบเลี้ยง ควรจะมีน้ำใจสัตย์ซื่อสวามิภักดิ์มิให้ขัดเคืองพระทัยพระมหากษัตริย์ ถ้าและพระมหากษัตริย์จะต้องพระราชประสงค์สิ่งใด ข้าราชการผู้มีกตัญญูก็มิได้ขัดรับสั่ง และซึ่งพระเจ้าติวอ๋องต้องพระราชประสงค์บุตรท่านนั้น ชอบท่านจะถวายบุตรแก่พระเจ้าติวอ๋อง นี่เหตุไฉนท่านจึงมิได้พาบุตรไปถวายตามรับสั่งให้ขัดเคืองพระทัยนั้น เราเห็นหาควรไม่ แล้วท่านไปจารึกโคลงเป็นข้อหยาบช้าไว้ ณ ประตูงกงก๋วนนั้น ในใจท่านจะคิดประการใด เราเห็นว่า โทษของท่านซึ่งทำการทั้งนี้ใหญ่หลวงนักดุจหนึ่งหากตัญญูและความคิดมิได้ ถ้าและท่านพาบุตรไปถวายพระเจ้าติวอ๋องแล้ว เราเห็นว่า ท่านจะมีประโยชน์แก่ตัวท่านถึงสามประการ ประการหนึ่ง ถ้าพระเจ้าติวอ๋องโปรดปรานบุตรท่าน ตัวท่านก็จะได้เลื่อนที่เป็นขุนนางผู้ใหญ่ พระเจ้าติวอ๋องก็จะพระราชทานเบี้ยหวัดมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ถ้าบุตรท่านมีบุตรกับพระเจ้าติวอ๋อง ตัวท่านก็จะได้เป็นเชื้อสายกษัตริย์สืบไปเบื้องหน้า ประการหนึ่ง ตัวท่านก็จะได้กินเมืองกีจิวเฮ้าสืบไปจนลูกหลานท่าน ประการหนึ่ง ราษฎรชาวเมืองก็จะได้อยู่เย็นเป็นสุขเพราะบุญท่าน ขุนนางและหัวเมืองทั้งปวงก็จะสรรเสริญความคิดและปัญญาท่าน ถ้าท่านมิพาบุตรไปถวายแก่พระเจ้าติวอ๋อง เราเห็นว่า ภัยจะบังเกิดแก่ท่านสามประการ ประการหนึ่ง เมืองกีจิวเฮ้าและทรัพย์สมบัติของท่านก็จะเสื่อมสูญด้วยอันตรายต่าง ๆ ประการหนึ่ง ตัวท่าน และบุตร ภรรยา สมัครพรรคพวกทั้งปวง ก็จะฉิบหายด้วยอาญาพระมหากษัตริย์ ประการหนึ่ง ราษฎรชาวเมืองกีจิวเฮ้าที่หาความผิดมิได้นั้นก็พลอยฉิบหายเสียด้วยท่าน คนทั้งปวงก็จะนินทาท่านว่า หาปัญญาและความคิดมิได้ ความชั่วก็จะอยู่ชั่วพระจันทร์พระอาทิตย์ อนึ่ง แซ่ท่านกับเราก็ได้เป็นข้าราชการสืบมาแต่ครั้งพระเจ้าเสี่ยงทางผู้เป็นอัยกาพระเจ้าติวอ๋อง เราเห็นว่า ท่านมีกตัญญูต่อแผ่นดินอยู่ ซึ่งท่านจะรักบุตรและให้เสียประเพณีข้าราชการซึ่งมีกตัญญูดังนี้ เราหาเห็นควรไม่ อนึ่ง ธรรมดาเกิดมาในแผ่นดิน จะได้ความเดือดร้อนเพราะประมาทและคิดผิดพลั้งไป ข้อซึ่งท่านคิดกระทำการเกินไปนั้น ถ้ารู้ว่า ตัวผิด จำจะคิดหาชอบ เราก็เห็นว่า ชอบจะลบล้างผิดเสียได้ แล้วก็จะไม่เสียเยี่ยงอย่างข้าราชการซึ่งมีกตัญญูต่อพระมหากษัตริย์ ตัวท่านและชาวเมืองกีจิวเฮ้าก็จะได้อยู่เย็นเป็นสุข ซึ่งเราว่าทั้งนี้หวังจะเตือนสติท่าน ถ้าและท่านจะคิดประการใด จงมีหนังสือมาให้เราแจ้ง เชาฮูครั้นได้แจ้งความในหนังสือกีเซียงก็เห็นชอบด้วย แต่ไม่ว่ากล่าวประการใด พยักหน้าแก่ซั้วซุนเสงแล้วก็นิ่งอยู่
ฝ่ายซั้วซุนเสงเห็นเชาฮูมิได้ว่ากล่าวประการใด จึงถามว่า ซึ่งนายข้าพเจ้าให้หนังสือมาถึงท่านทั้งนี้ก็เพราะเมตตาท่านโดยสุจริต และซึ่งท่านอ่านหนังสือแล้วนิ่งเสียมิได้ว่าประการใดนั้น ท่านสงสัยนายข้าพเจ้าว่าล่อลวงหรือ หรือท่านจะคิดอ่านเป็นประการใด แม้นท่านเห็นชอบด้วย จะกระทำการตามถ้อยคำนายข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะลาท่านกลับออกไปบอกแก่ซ่องเฮ่าเฮ้าให้เลิกทัพกลับไปเมือง แม้นท่านจะขัดขืนมิกระทำตามถ้อยคำนายข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะลาท่านกลับไปบอกกับกีเซียง นายข้าพเจ้า ให้ยกกองทัพเพิ่มเติมมาบรรจบกองทัพซ่องเฮ่าเฮ้า ยกเข้าตีเอาเมืองท่านตามรับสั่งพระเจ้าติวอ๋อง ขอท่านจงมีหนังสือตอบไปถึงนายข้าพเจ้าให้แน่โดยเร็วเถิด ข้าพเจ้าจะได้ลาท่านกลับไป เชาฮูได้ฟังซั้วซุนเสงว่าดังนั้นก็นิ่งอยู่ จึงส่งหนังสือกีเซียงให้แก่ซ่องเฮกเฮ้า แล้วว่า ท่านจงพิเคราะห์ดูหนังสือกีเซียงเถิด ซึ่งว่ากล่าวมาทั้งนี้เห็นว่า กีเซียงมีความเมตตาแก่เราโดยสุจริต หาเป็นกลอุบายไม่ ควรจะกระทำตามถ้อยคำกีเซียงว่า แล้วเชาฮูก็ให้พาตัวซั้วซุนเสงไปกินโต๊ะยับยั้งอยู่ ณ กงก๋วน ครั้นเวลารุ่งเช้า เชาฮูแต่งหนังสือฉบับหนึ่ง แล้วจัดแพรและสิ่งของให้แก่ซั้วซุนเสงตามสมควร แล้วว่า ท่านจงเอาหนังสือนี้ไปให้กีเซียงเถิด จงบอกว่า เราจะกระทำตามคำทุกประการ ซั้วซุนเสงจึงว่าแก่เชาฮูว่า ท่านจะกระทำตามคำนายข้าพเจ้าแล้ว ก็ให้เร่งกระทำตามโดยเร็ว ถ้าช้าท่วงทีไปหลายวัน การทั้งปวงก็จะกลับกลาย ภายหลังท่านจะแก้ตัวยาก ประการหนึ่ง พระเจ้าติวอ๋องสั่งให้นายข้าพเจ้ามาตีเมืองท่าน ถ้าการเนิ่นช้าไป นายข้าพเจ้าก็จะได้ความผิดเป็นข้อขัดรับสั่ง ซั้วซุนเสงว่าแล้วก็คำนับลาเชาฮูรีบไปเมืองไซรเป๊กเฮ้า
ฝ่ายซ่องเฮกเฮ้า ครั้นแจ้งความในหนังสือกีเซียงนั้นแล้ว จึงว่าแก่เชาฮูว่า ซึ่งซีเกียงมีหนังสือมานี้ เราเห็นชอบด้วย ท่านจงเร่งจัดแจงการทั้งปวงตามคำกีเซียงเถิด ข้าพเจ้าจะขอลาออกไปบอกแก่ซ่องเฮ่าเฮ้าผู้พี่ให้เลิกกองทัพกลับไปเมือง แล้วข้าพเจ้าจะปล่อยตัวเชาชวนต๋ง บุตรท่าน มาให้แก่ท่าน เชาฮูได้ฟังจึงว่า ท่านกับกีเซียงมีคุณแก่ข้าพเจ้าครั้งนี้หาที่สุดมิได้ บุตรชายข้าพเจ้ามีแต่เชาชวนต๋งคนเดียว เมื่อท่านจับเชาชวนต๋งไปได้นั้น มารดาเชาชวนต๋งร้องไห้รักประหนึ่งว่าจะขาดใจตาย ท่านได้กรุณาแก่ข้าพเจ้า จงปล่อยเชาชวนต๋ง บุตรข้าพเจ้า เข้ามาให้แก่ข้าพเจ้าเถิด ซ่องเฮกเฮ้ารับคำเชาฮูแล้วก็ลาออกไป ณ ค่าย
ฝ่ายซ่องเฮ่าเฮ้าเห็นซ่องเฮ็กเฮ้าผู้น้องมา มีความยินดีนัก จึงว่า เมื่อเตงหลุนจับเจ้าไปได้นั้น เรามีความทุกข์ถึงท่านนัก เชาฮูทำประการใดแก่ท่านบ้าง ซ่องเฮกเฮ้าก็เล่าเนื้อความให้ซ่องเฮ่าเฮ้าฟังทุกประการ ซ่องเฮ่าเฮ้าจึงว่า เราคิดแค้นใจเจ้าเมืองไซรเป๊กเฮ้าอยู่ ด้วยเดิมมีรับสั่งพระเจ้าติวอ๋องว่า ให้ทัพเมืองไซรเป๊กเฮ้ายกมาบรรจบกับกองทัพเราเข้าตีเมืองกีจิวเฮ้า บัดนี้ เจ้าเมืองไซรเป๊กเฮ้าหามาไม่ ให้ซั้วซุนเสงถือหนังสือมาถึงเชาฮูฉบับหนึ่ง เมื่อท่านไปอยู่ ณ เมืองกีจิวเฮ้านั้น ซั้วซุนเสงเอาหนังสือไปให้เชาฮู เชาฮูว่าประการใด ท่านรู้บ้างหรือไม่ ซ่องเฮกเฮ้าได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่าแก่ซ่องเฮ่าเฮ้าว่า แซ่เราแต่ได้เป็นขุนนางสืบมาถึงหกชั่วแล้ว ตัวท่านกับข้าพเจ้าร่วมมารดาเดียวกันแต่ใจต่างกัน เหมือนคำโบราณว่า ไม้ต้นเดียวกัน และผลนั้นมีรสต่างกัน บัดนี้ ตัวท่านได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ในพระเจ้าติวอ๋อง เมื่อพระเจ้าติวอ๋องมีรับสั่งใช้ให้ยกกองทัพมาตีเมืองกีจิวเฮ้านี้ ท่านก็มิได้เพ็ดทูลทัดทานประการใด เร่งรีบยกกองทัพมา ทหารถึงห้าหมื่นก็หาเอาชัยชนะแก่เชาฮูได้ไม่ กลับเสียทหารเอกทหารเลวเป็นอันมาก เพราะท่านมิได้พิจารณา และกีเซียงหน่วงทัพไว้ไม่ยกมา ให้แต่ซั้วซุนเสงถือหนังสือมาเกลี้ยกล่อมเชาฮูโดยดี เชาฮูก็เห็นชอบด้วย มีใจอ่อนน้อมจะพาบุตรไปถวายพระเจ้าติวอ๋อง และท่านจะกลับติเตียนกีเซียงนั้น ข้าพเจ้าเห็นหาชอบไม่ ขอท่านเลิกทัพกลับไปเมืองเถิด ถ้าท่านไม่เห็นด้วยข้าพเจ้า ก็เหมือนต้นไม้ต้นเดียวแต่ผลมีรสต่างกัน ซ่องเฮกเฮ้าว่าแก่ซ่องเฮ่าเฮ้าผู้พี่ดังนั้นแล้ว ก็สั่งให้ทหารถอดเชาชวนต๋งออกจากโทษจำ พาตัวเข้ามา เชาชวนต๋งเห็นซ่องเฮกเฮ้าจึงคิดว่า เตงหลุนจับตัวซ่องเฮกเฮ้าไปได้แล้ว และมิได้มีอันตรายแก่ชีวิต กลับคืนมาได้ดังนี้ ชะรอยซ่องเฮกเฮ้าจะเป็นมิตรสหายกับบิดากูเป็นมั่นคง คิดดังนั้นแล้วเชาชวนต๋งก็คำนับซ่องเฮกเฮ้า แล้วว่า ข้าพเจ้าเป็นลูกเล็ก มิได้รู้จักความผิดและชอบ หมิ่นประมาทท่าน ซึ่งท่านจับตัวข้าพเจ้ามาได้ และไว้ชีวิตข้าพเจ้าครั้งนี้ คุณท่านหาที่สุดมิได้ เหมือนดังข้าพเจ้าตายแล้วและได้ชีวิตคืนมา ขอท่านได้ยกโทษแก่ข้าพเจ้าเถิด ซ่องเฮกเฮ้าได้ฟังดังนั้น จึงว่าแก่เชาชวนต๋งว่า บิดาท่านคิดถึงท่านนัก หลานจงเร่งกลับเข้าไปบอกบิดาว่า ซึ่งจะคิดอ่านการทั้งปวงนั้นก็เร่งให้คิดเสีย อย่านอนใจ บัดนี้ เราจะลาเลิกทัพกลับไปเมืองแล้ว อนึ่ง เราก็มีหนังสือขึ้นไปกราบทูลพระเจ้าติวอ๋อง ณ เมืองจิวโก๋ด้วย ท่านจงเร่งกลับไปหาบิดาท่านเถิด เชาชวนต๋งรับคำ คำนับลาซ่องเฮกเฮ้า แล้วก็ขึ้นม้าไปเมืองกีจิวเฮ้า
ฝ่ายซ่องเฮกเฮ้า ครั้นปล่อยเชาชวนต๋งไปแล้ว จึงร้องประกาศด้วยเสียงอันดังให้ทหารทั้งปวงเลิกทัพกลับไปเมืองจิวโก๋ ซ่องเฮ่าเฮ้าเห็นซ่องเฮกเฮ้ากระทำการดังนั้น ก็แจ้งใจว่า ซ่องเฮกเฮ้าโกรธ ก็พลอยให้เลิกทัพกลับไปเมืองปักเป๊กเฮ้า แล้วซ่องเฮ่าเฮ้าก็แต่งหนังสือให้ทหารถือไป ณ เมืองจิวโก๋ฉบับหนึ่ง
ฝ่ายเชาชวนต๋ง ครั้นมาถึงเมืองกีจิวเฮ้า ก็เข้าไปคำนับบิดา แล้วเล่าเนื้อความซึ่งได้รบกับซ่องเฮกเฮ้าจนซ่องเฮกเฮ้าปล่อยตัวมาให้แก่บิดาฟังทุกประการ เชาฮูได้ฟังดังนั้นก็มีใจยินดีนัก จึงเล่าความซึ่งกีเซียงให้หนังสือมานั้นให้เชาชวนต๋งฟัง แล้วจึงว่า ประเพณีพระมหากษัตริย์ย่อมเป็นใหญ่แก่คนอันเป็นข้าอยู่ในขอบขัณฑเสมา ตัวเราก็เป็นข้าแผ่นดิน ชีวิตอยู่ในเงื้อมมือท่าน บัดนี้ พระมหากษัตริย์จะต้องพระราชประสงค์บุตรเรา แม้นเราจะอาลัยขืดขันไว้ไม่ถวายครั้งนี้ ก็จะได้ความเดือดร้อนแก่ไพร่บ้านพลเมือง ควรบิดาจะพานางขันกีผู้น้องเจ้าไปถวายแก่พระเจ้าติวอ๋องตามประสงค์ จึงจะชอบ เจ้าจงอยู่รักษาเมืองบำรุงราษฎรเถิด บิดาไปไม่ช้านักก็จะกลับคืนมา เชาฮูว่าดังนั้นแล้วก็เดินเข้าไปในห้อง สั่งหญิงคนใช้ให้ไปหานางเฮียสีและนางขันกีมา แล้วเชาฮูจึงเล่าเนื้อความทั้งปวงซึ่งกีเซียงมีหนังสือมานั้นให้ฟังทุกประการ นางเฮียสีครั้นแจ้งว่า บุตรจะจากอกไปดังนั้น มีความอาลัยนัก จึงร้องไห้วิงวอนเชาฮูผู้สามีว่า ข้าพเจ้ามีบุตรหญิงคนเดียว รักดังดวงชีวิต หวังว่าจะได้เห็นหน้ากันเมื่อยามไข้เจ็บ ข้าพเจ้าเล่าก็ตั้งใจจะฝากผีแก่บุตร ซึ่งท่านจะพรากบุตรข้าพเจ้าไปถวายพระเจ้าติวอ๋องนั้น ข้าพเจ้าก็จะมีแต่ความระกำใจ ขอท่านจงดำริดูก่อนเถิด เชาฮูได้ฟังภรรยาว่ากล่าววิงวอนดังนั้นก็ถอนใจใหญ่ แล้วว่าแก่ภรรยาว่า เดิมเราก็คิดอยู่ว่า จะสู้เสียชีวิต หวังจะมิให้เสียบุตร จึงทำการรบพุ่งกับซ่องเฮ่าเฮ้า จนซ่องเฮกเฮ้าจับเชาชวนต๋งไปได้ ทหารทั้งปวงก็ล้มตายเป็นอันมาก ถ้าและเมืองกีจิวเฮ้าเสียลงในครั้งนี้ ราษฎรทั้งปวงก็จะพลอยฉิบหายด้วย และผู้ซึ่งได้ความเดือดร้อนก็จะนินทาว่า เกิดจลาจลทั้งนี้เพราะบุตรเราผู้เดียว และซึ่งกองทัพเลิกกลับไปนั้นก็เพราะเรารับคำกีเซียงว่า จะพาบุตรไปถวายพระเจ้าติวอ๋อง ครั้นเราจะคืนคำเสีย กีเซียงก็จะติเตียนว่า เราเจรจาไม่จริง แล้วพระเจ้าติวอ๋องก็จะยกกองทัพใหญ่มาตีเมืองเราอีก ซึ่งจะต้านทานกำลังพระเจ้าติวอ๋องนั้นก็เหมือนหนึ่งเอาฟางทอดลงกลางกองเพลิงสำหรับแต่จะฉิบหายไป ประการหนึ่ง ราษฎรและหัวเมืองทั้งปวงก็จะนินทาว่า เราหากตัญญูต่อแผ่นดินไม่ ความชั่วก็จะติดตัวอยู่ตราบเท่าสิ้นชีวิต ซึ่งเกิดการทั้งนี้เพราะสำหรับกรรมของเราเอง เจ้าอย่าโศกเศร้านักเลย
นางเฮียสีจึงว่า ซึ่งท่านขัดพระราชอาญามิได้และจะพาบุตรไปก็ตามเถิด แต่ข้าพเจ้าาคิดวิตกว่า ถ้าพระเจ้าติวอ๋องโปรดปรานบุตรเราอยู่ ข้าพเจ้ากับท่านก็จะค่อยมีความสุข ถ้าและพระเจ้าติวอ๋องไม่โปรดปรานบุตรเรา เราก็จะยิ่งมีความทุกข์ทวีไป ตัวท่านกับข้าพเจ้าก็สำหรับแต่จะตรอมใจตาย เชาฮูจึงว่า พระเจ้าติวอ๋องต้องพระราชประสงค์บุตรเรา เราก็บิดพลิ้วอยู่มิได้ถวายจนยกกองทัพมาตีเมืองเรา บัดนี้ เราเกรงกลัวพระราชอาญาจึงยอมถวายบุตร ซึ่งพระเจ้าติวอ๋องจะโปรดและมิโปรดนั้นก็ตามวาสนาของนางขันกีเถิด ใช่ว่าเราสวามิภักดิ์ถวายบุตรโดยดีเมื่อไรเล่า การทั้งนี้ก็เพราะความจำใจ ซึ่งจะคิดดังนั้นหาควรไม่ เจ้าจงหักใจเสียเถิด นางเฮียสีได้ฟังดังนั้นก็นิ่งอยู่ มิอาจที่จะว่าประการใด เชาฮูกับนางเฮียสีก็สั่งสอนบุตรทุกประการ แล้วเรียกเชาชวนต๋งเข้ามาสั่งให้จัดแจงทหารสามพัน กับขุนนางห้าร้อย เกวียนบรรทุกทรัพย์สิ่งของ และรถสำหรับนางให้พร้อมไว้ เชาชวนต๋งก็ไปจัดตามคำเชาฮูสั่ง ครั้นเวลารุ่งเช้า เชาฮูก็ให้จัดแจงทรัพย์สิ่งของทั้งปวงบรรทุกเกวียน พร้อมแล้วจึงสั่งหญิงคนใช้ให้ไปเชิญนางขันกีผู้บุตร นางขันกีได้แจ้งดังนั้นก็เข้าไปยังนางเฮียสีผู้เป็นมารดา แล้วร้องไห้ว่า ข้าพเจ้าตั้งใจจะอยู่สนองคุณท่านกว่าจะหาชีวิตไม่ บัดนี้ ก็เป็นผลกรรมของข้าพเจ้าแล้ว ท่านจงค่อยอยู่จงดีเถิด ซึ่งข้าพเจ้าไปครั้งนี้ที่ไหนจะได้กลับมาเห็นท่านอีกเล่า นางเฮียสีได้ฟังดังนั้นก็กอดนางขันกีเข้าร้องไห้ด้วยความอาลัยมิใคร่จะจากกันได้ หญิงคนใช้ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ก็ปลอบนางเฮียสีและนางขันกีว่า ซึ่งท่านจะมาร้องไห้รักกันอยู่ดังนี้ ข้าพเจ้าเห็นหาควรไม่ การทั้งนี้จำเป็นจำจากกัน ขอท่านจงระงับความโศกเสียเถิด บัดนี้ เชาฮูคอยท่าอยู่ นางเฮียสีได้ฟังดังนั้นก็ค่อยคลายโศกลงเพราะความจนใจ หญิงคนใช้ก็คำนับเชิญนางขันกีไปขึ้นรถ เชาฮูก็ขึ้นม้า ให้ยกทหารออกจากเมืองกีจิวเฮ้า เชาชวนต๋งก็ตามออกไปส่งทางไกลเมืองประมาณสิบเส้น แล้วคำนับลาบิดากลับมาเมือง
ขณะนั้น เชาฮูจึงให้เอาธงแพรเหลืองสองคันให้ทหารถือไปหน้า และธงนั้นจารึกเป็นตัวอักษรว่า กุยหยิน แปลเป็นคำไทยว่า ผู้มีบุญ และเชาฮูให้ทหารรีบเดินประมาณทางเจ็ดวันก็ถึงเมืองอินจี๋น พอเวลาจวนจะพลบค่ำ เชาฮูจึงเข้าไปที่กงก๋วนเป็นที่ตำแหน่งขุนนางไปมาราชการเข้าหยุดพัก
ฝ่ายเจ้าพนักงานซึ่งรักษากงก๋วนจึงออกมาคำนับเชาฮู แล้วถามด้วยกิจราชการ เชาฮูก็แจ้งเนื้อความให้ฟังทุกประการ แล้วเชาฮูจึงสั่งแก่เจ้าพนักงานว่า เวลาค่ำวันนี้ เราจะให้บุตรเราเข้าหยุดพักในกงก๋วนนี้ ท่านจงเร่งจัดแจงการให้พร้อมไว้ เจ้าพนักงานซึ่งรักษากงก๋วนจึงบอกแก่เชาฮูว่า ในกงก๋วนนี้ ประมาณสามปีมาแล้ว มีปิศาจร้ายย่อมกระทำอันตรายแก่ผู้ไปมาราชการซึ่งมาหยุดพักในกงก๋วนนี้เนือง ๆ อยู่ ซึ่งท่านจะไว้บุตรในกงก๋วนนี้ ขอท่านจงดำริดูก่อน เชาฮูได้ฟังเจ้าพนักงานว่าดังนั้นก็โกรธ จึงว่า เราจะพาบุตรไปถวายพระมหากษัตริย์ และบัดนี้ บุตรเราก็เป็นของพระมหากษัตริย์อยู่แล้ว เราจะเกรงอะไรกับปิศาจ ท่านจงเร่งไปจัดแจงการทั้งปวงให้พร้อมไว้เถิด เจ้าพนักงานก็ไปทำตามคำเชาฮูสั่งทุกประการ ครั้นเวลาพลบค่ำ เชาฮูจึงพานางขันกีเข้าไปในกงก๋วน ให้นางขันกีอยู่ห้องข้างในกับหญิงคนใช้ประมาณห้าสิบคนให้พิทักษ์รักษาอยู่ แล้วเชาฮูจึงสั่งให้ทหารสามพันล้อมอยู่นอกกงก๋วน ขุนนางห้าร้อยนั้นก็แบ่งออกเป็นสี่กองรักษาประตูทั้งสี่ด้าน ตัวเชาฮูนั้นอยู่ห้องนอก แต่คิดกริ่งใจอยู่ จึงถอดกระบี่วางไว้ข้างตัว ตามเทียนดูหนังสืออยู่ ร้องตรวจตราทหารทุกทุ่มยาม มิได้ประมาท
ฝ่ายเฮาหลีปิศาจซึ่งรับคำนางเทพธิดาหนึงวาสีมากระทำให้พระเจ้าติวอ๋องปราศจากราชสมบัตินั้น ก็เที่ยวไปทั้งนอกเมืองในเมือง ยังมิได้ช่องที่จะทำการได้ ครั้นเห็นเชาฮูพาบุตรมาจะไปถวายแก่พระเจ้าติวอ๋อง หยุดพักในกงก๋วนวันนั้น จึงคิดว่า จะฆ่านางผู้นี้เสีย แล้วจะเข้าสิงอยู่ในรูปนาง จะล่อลวงให้พระเจ้าติวอ๋องลุ่มหลงปราศจากราชสมบัติให้จงได้ เฮาหลีปิศาจคิดแล้วก็เข้าไปคอยท่วงทีอยู่ ครั้นเวลาประมาณสามยามเศษ เฮาหลีปิศาจก็เข้าไปในห้องนางขันกีอยู่นั้น และเมื่อขณะเฮาหลีปิศาจเข้าไปนั้นบันดาลเป็นลมไปถูกตัวเชาฮู เชาฮูนั้นให้เยือกเย็นไปทั่วสรรพางค์กาย เชาฮูก็คิดกริ่งใจอยู่ พอได้ยินเสียงคนใช้ซึ่งนอนอยู่กับนางขันกีนั้นร้องขึ้นว่า ยักษ์เข้ามาแล้ว เชาฮูได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงฉวยกระบี่ ลุกขึ้นถือโคม เดินเข้าไปถึงประตูห้อง โคมดับไป เชาฮูก็กลับออกมาเรียกคนใช้ให้เร่งหาเพลิงมา
ขณะนั้น เฮาหลีปิศาจก็เข้าไปกระทำนางขันกีให้สิ้นชีวิต แล้วก็เข้าสิงอยู่ในกายนางนั้น แสร้งทำนอนอยู่เป็นปรกติ เชาฮูได้เพลิงจุดโคมแล้ว ก็เดินรีบกลับเข้าไปในห้อง เห็นหญิงคนใช้ทั้งปวงพากันตกตะลึงอยู่สิ้น เชาฮูจึงเปิดมุ้งเข้าไป เห็นนางขันกีนอนนิ่งเป็นปรกติอยู่ เชาฮูจึงถามว่า เมื่อหญิงคนใช้ร้องขึ้นว่ายักษ์เข้ามานั้น เจ้าเห็นหรือไม่ เฮาหลี
ปิศาจซึ่งเป็นนางขันกีจึงแสร้งบอกเชาฮูว่า ได้ยินเสียงคนร้อง แลไปก็มิได้เห็นตัวยักษ์ว่าเป็นประการใด ครั้นเห็นบิดาถือโคมเข้ามา ก็สิ้นความกลัว เชาฮูได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่า เดชบุญของเจ้าซึ่งจะได้เป็นข้าพระมหากษัตริย์ เทพยดารักษาอยู่ จึงมิได้เป็นอันตราย แล้วจึงว่าแก่หญิงคนใช้ทั้งปวง จงไปนอนหลับเสียให้เป็นปรกติเถิด เชาฮูก็กลับออกไปนอนจุดเทียนดูหนังสืออยู่ ครั้นเวลารุ่งเช้า เชาฮูจัดแจงทหารทั้งปวงพร้อมแล้ว เชิญนางขันกีขึ้นรถรีบไปทางประมาณสามวันก็ถึงเมืองจิวโก๋ เชาฮูจึงยับยั้งอยู่แต่นอกเมืองทางประมาณร้อยเส้น จึงใช้คนให้ถือหนังสือเข้าไปแจ้งความทั้งปวงแก่บู๊เสงอ๋อง
ฝ่ายบู๊เสงอ๋องได้แจ้งความในหนังสือเชาฮูดังนั้น จึงตอบหนังสือไป ให้เชาฮูพาบุตรเข้ามาในเมืองจิวโก๋เถิด แต่ไพร่พลทั้งปวงนั้นให้พักอยู่นอกเมืองก่อน เชาฮูแจ้งในหนังสือบู๊เสงอ๋อง ก็พานางขันกีมาอยู่ในเมืองจิวโก๋ตามคำบู๊เสงอ๋อง
ฝ่ายฮิวฮุน ฮุยต๋ง แจ้งความว่า เชาฮูพาบุตรมาถึงเมืองจิวโก๋แล้ว มิได้เห็นเชาฮูเอาสิ่งของใดมาคำนับ ก็มีใจพยาบาท จึงคิดกันว่า ชีวิตเชาฮูก็อยู่ในเงื้อมมือเรา ซึ่งเชาฮูพาบุตรมาถวายครั้งนี้ก็เพราะเราช่วยเพ็ดทูลพระเจ้าติวอ๋อง และเชาฮูมิได้รู้จักคุณเรา จำเราจะคิดหาสิ่งผิดใส่เชาฮูให้จงได้ สืบไปเมื่อหน้าจึงจะรู้คุณเราบ้าง ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้า ฮิวฮุน ฮุยต๋ง ก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าติวอ๋อง ณ พระที่นั่งข้างใน แล้วกราบทูลว่า บัดนี้ เชาฮูพาบุตรมาถึงแล้ว พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังดังนั้นก็คิดขึ้นมาถึงเมื่อเชาฮูทำหยาบช้าไว้แต่หลัง ก็ทรงพระโกรธ จึงตรัสว่า เชาฮูนี้เป็นคนหยาบช้าหากตัญญูมิได้ เราจะเอาโทษเสียครั้งหนึ่งแล้ว เพราะท่านทั้งสองว่ากล่าวทัดทานเรา เราจึงปล่อยให้เชาฮูไป เชาฮูกลับเขียนโคลงเป็นข้อหยาบช้าไว้ที่บานประตูกงก๋วน มิหนำยังคิดกบฏแข็งเมืองอีกเล่า บัดนี้ เห็นจะสู้รบมิได้ มันจึงพาบุตรมาให้เรา ครั้นจะมิเอาโทษ สืบไปเมื่อหน้าขุนนางและหัวเมืองทั้งปวงก็จะดูเยี่ยงอย่าง ฮินฮุน ฮุยต๋ง ได้ท่วงทีจึงทูลว่า ซึ่งพระองค์จะให้ลงโทษเชาฮูนี้ควรแล้ว ข้าพเจ้าเห็นชอบด้วย พระเจ้าติวอ๋องก็เสด็จออก ณ พระที่นั่งเต๊กเตี้ยน แปลเป็นคำไทยว่า ท้องพระโรงเป็นที่เสด็จออก ขุนนางเฝ้าพร้อม เจ้าพนักงานจึงกราบทูลว่า เชาฮู เจ้าเมืองกีจิวเฮ้า จะเข้ามาเฝ้า พระเจ้าติวอ๋องก็โปรดให้เข้ามา
ฝ่ายเชาฮูรู้ว่า โทษตัวผิดอยู่แต่ก่อน ก็มิได้แต่งตัวตามธรรมเนียมขุนนาง ใส่เสื้อและกางเกงอย่งนักโทษ ครั้นเข้าไปถึงหน้าที่นั่งคุกเข่าลงคำนับแล้ว จึงกราบทูลว่า ข้าพเจ้า เชาฮู ผู้โทษถึงตาย พาบุตรมาถวายตามแต่จะโปรด พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า ท่านสิจารึกโคลงไว้ที่ประตูกงก๋วนนั้นว่า ไม่ไปมาเมืองเราแล้ว เหตุไฉนตัวจึงมาเล่า ครั้นให้ซ่องเฮ่าเฮ้ายกทัพไป ตัวก็มิได้ออกมาอ่อนน้อม กลับตั้งแข็งเมือง ตัวคิดกบฏต่อเราแล้ว บัดนี้ คิดประการใดเล่า จึงมาอ่อนง้อ พระเจ้าติวอ๋องจึงสั่งให้เอาตัวเชาฮูไปปรึกษาโทษตามกฎหมาย สิวเสี้ยงเสียงแคะ ขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่ง ได้ฟังดังนั้น จึงกราบทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า ซึ่งจะให้ปรึกษาโทษลงพระราชอาญาเชาฮูนั้นก็ควรอยู่แล้ว แต่ข้าพเจ้าเห็นว่า กีเซียงซึ่งเป็นเจ้าเมืองไซรเป๊กเฮ้าได้มีหนังสือเข้ามาถึงข้าพเจ้าฉบับหนึ่งเป็นใจความว่า กีเซียงมีหนังสือไปว่ากล่าวเชาฮูว่า เชาฮูได้กระทำความผิดไว้แต่ก่อนเป็นข้อใหญ่ และให้เชาฮูจัดแจงบุตรไปถวายตามรับสั่งจึงจะชอบ เชาฮูก็กระทำตาม ข้าพเจ้าเห็นว่า เชาฮูรู้สึกตัวกลัวพระราชอาญาอยู่แล้ว ขอให้งดโทษเชาฮูไว้ครั้งหนึ่งก่อน ฮิวฮุน ฮุยต๋ง ได้ฟังสิวเสี้ยงเสียงแคะทูลดังนั้น จึงกราบทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า ซึ่งสิวเสี้ยงเสียงแคะกราบทูลขอโทษเชาฮูก็ควรอยู่แล้ว แต่ขอให้พาบุตรเชาฮูเข้ามาทอดพระเนตรก่อน แม้นบุตรเชาฮูรูปงามกว่าหญิงทั้งเมืองเหมือนคำเล่าลือ ชอบอัชฌาสัยแล้ว ก็ควรจะยกโทษเชาฮูไว้ ถ้าบุตรเชาฮูไม่งามเหมือนคำลือ มิได้ต้องพระประสงค์ ก็ควรให้ลงโทษเชาฮูถึงสิ้นชีวิต อย่าให้ขุนนางและทหารหัวเมืองทั้งปวงดูเยี่ยงอย่างสืบไป พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังฮิวฮุน ฮุยต๋ง ทูลดังนั้น เห็นชอบด้วย มีความยินดี จึงสั่งเจ้าพนักงานให้ไปรับตัวบุตรเชาฮูเข้ามา เจ้าพนักงานก็ออกไปพานางขันกีเข้ามาถวายให้พระเจ้าติวอ๋องทอดพระเนตร
ฝ่ายเฮาหลีปิศาจซึ่งเข้าสิงกายนางขันกีอยู่นั้น ครั้นเจ้าพนักงานพาเข้ามาหน้าที่นั่ง จึงแสร้งทำจริตกิริยามารยาทปิศาจต่าง ๆ หวังจะให้ยั่วยวนพระทัย แล้วจึงกราบทูลว่า ตัวข้าพเจ้าชื่อ ขันกี เป็นบุตรเชาฮูซึ่งเป็นโทษ สวามิภักดิ์เข้ามา แล้วแต่จะโปรด พระเจ้าติวอ๋องครั้นเห็นรูปโฉมนางขันกีงาม
คล้ายเหมือนนางเทพธิดาหนึงวาสี และจะหาสตรีผู้ใดงามเสมอมิได้ ให้บังเกิดความรักใคร่ชอบอัชฌาสัยในนางขันกียิ่งนัก ยิ่งได้ฟังสำเนียงนางกราบทูลไพเราะอ่อนหวานจับพระทัย พระเจ้าติวอ๋องจึงให้เจ้าพนักงานประคองนางขันกียืนขึ้นทอดพระเนตรทั่วสรรพางค์กาย นางปิศาจก็ทำจริตกิริยาให้ชอบพระอัชฌาสัยต่าง ๆ พระเจ้าติวอ๋องพิศดูรูปโฉมนางขันกีพลางตรัสชมว่า นางขันกีบุตรเชาฮูคนนี้มีรูปทรงจริตกิริยามารยาทงามดังนางฟ้ามาแต่สวรรค์ สตรีในแผ่นดินจะได้งามเสมอเหมือนนางขันกีหามิได้ พระเจ้าติวอ๋องชอบพระอัชฌาสัยในนางขันกียิ่งนัก จึงสั่งให้เชาฮูพ้นโทษ เลื่อนที่เป็นขุนนางผู้ใหญ่ กินเมืองกีจิวเฮ้าดังเก่า แล้วให้เจ้าพนักงานจ่ายข้าวพระราชทานเชาฮูเสมอเดือนละสองพันหาบ ให้แต่งโต๊ะเลี้ยงเชาฮูสามวัน แล้วให้ขุนนางฝ่ายทหารสามนาย พลเรือนสองนาย คุมทหารไปส่งเชาฮูให้ถึงเมืองกีจิวเฮ้า เชาฮูมีความยินดีนัก จึงกราบถวายบังคมลาพระเจ้าติวอ๋องไป พระเจ้าติวอ๋องจึงให้ส่งนางขันกีเข้าไปข้างใน แล้วเสด็จขึ้น ขุนนางต่างคนต่างกลับไปบ้าน เดินพูดถึงเชาฮูไปฝ่ายพระเจ้าติวอ๋อง แต่ได้นางขันกีมาไว้ ก็ลุ่มหลงไปด้วยมารยาปิศาจ นางขันกีจะเพ็ดทูลว่ากล่าวสิ่งใด พระเจ้าติวอ๋องก็เห็นชอบทุกประการ พระมเหสีและสนมนางในทั้งปวงก็มิอาจจะเพ็ดทูลทัดทานตักเตือนพระเจ้าติวอ๋องได้ไม่ พระเจ้าติวอ๋องเสด็จอยู่แต่ข้างใน มิได้ออกว่าราชการบ้านเมืองประมาณเดือนเศษ ข้อราชการในเมืองและหัวเมืองซึ่งบอกกิจราชการ และบรรณาการทั้งปวงซึ่งค้างอยู่มิได้กราบทูล ถ้าจะเก็บกองไว้ก็สูงเท่าภูเขาใหญ่ ขุนนางและราษฎรหัวเมืองน้อยใหญ่ทั้งปวงซึ่งเป็นเมืองขึ้นแก่เมืองจิวโก๋ถึงแปดร้อยเศษนั้น ครั้นหาผู้ที่จะตัดสินกิจสุขทุกข์มิได้ ก็ได้ความเดือดร้อนยิ่งนัก
ขณะนั้น มีผู้เฒ่าคนหนึ่งชื่อ หุนต๋งจู๊ อายุได้พันร้อยปีเศษ จีนทั้งปวงนับถือเรียกว่า ฤษี มีความรู้วิชาการมาก อาศัยอยู่ในถ้ำริมเชิงเขานำสารฝ่ายทิศใต้ อยู่วันหนึ่ง เวลาเช้า ฤษีหุนต๋งจู๊หิ้วกระเช้าสำหรับเก็บยาออกจากถ้ำจะไปเที่ยวป่า ครั้นมาถึงปากถ้ำ แลไปทิศตะวันออกเฉียงใต้เห็นเมฆเป็นลำพู่กันมืดเหมือนควันเพลิงพลุ่งขึ้นมาแต่แผ่นดินถึงอากาศ หุนต๋งจู๊ฤษีหยุดยืนพิจารณาดูโดยตำราก็แจ้งความทุกประการ จึงบอกแก่สานุศิษย์ผู้หนึ่งเป็นคนสำหรับรักษาปากถ้ำว่า บัดนี้ หนึงวาสีโกรธเจ้าเมืองจิวโก๋ว่า ไม่ยำเกรง จึงใช้เฮาหลีปิศาจมาคิดอ่านกำจัดพระเจ้าติวอ๋อง เฮาหลีปิศาจเข้าสิงอบู่ในกายนางขันกีผู้บุตรเชาฮู เชาฮูมิได้รู้ พาเข้าไปถวายพระเจ้าติวอ๋อง นางขันกีปิศาจแกล้งทำมารยาล่อลวงให้พระเจ้าติวอ๋องหลงรัก เราผู้เป็นฤษีรักษาสัจธรรม อาศัยอยู่ในแว่นแคว้นของพระเจ้าติวอ๋อง ครั้นรู้ว่าอันตรายบังเกิดแก่เจ้าแผ่นดินดังนี้ แล้วจะละเมิดเสีย ให้เฮาหลีย่ำยีพระมหากษัตริย์จนเสียบ้านเมืองนั้น หาควรไม่ จำจะไปช่วยกำจัดปิศาจเสีย ให้พระเจ้าจิวอ๋องทรงพระจำเริญในราชสมบัติ ขุนนางและราษฎรก็จะได้อยู่เย็นเป็นสุขสืบไป หุนต๋งจู๊จึงใช้ศิษย์ผู้นั้นไปตัดกิ่งสนมาให้ จึงเหลาเป็นรูปกระบี่ลงเลขยันต์ สานุศิษย์เห็นดังนั้นจึงคำนับถามครูว่า อาวุธอันวิเศษสำหรับปราบปรามภูตปิศาจของท่านมีอยู่แล้ว เหตุใดจึงมิเอาไปใช้เล่า หุนต๋งจู๊จึงบอกว่า เฮาหลีปิศาจนี้เป็นแต่ผีสัตว์เดียรัจฉาน ไม่ร้ายแรงนัก จะทำแต่กระบี่ไม้สนไปขับไล่ดูก่อน แม้นเฮาหลีมิไป จึงจะมาเอาอาวุธซึ่งปลุกเสกด้วยเวทมนตร์อันวิเศษเป็นของอย่างดีไปใช้ภายหลัง ท่านจงอยู่รักษาถ้ำ เราจะเข้าไปเมืองจิวโก๋ หุนต๋งจู๊จึงหยิบเลขยันต์ต์และกระบี่ไม้สนใส่กระเช้าดอกไม้ มือถือแซ่ขนจามรีเป็นเครื่องสำหรับฤษี แล้วโดดขึ้นบนอากาศขี่เมฆเหาะลอยตามลมไปเมืองจิวโก๋
ฝ่ายปิกันซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์พระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องตั้งแต่งไว้ให้เป็นผู้สำเร็จราชการในเมืองจิวโก๋ ครั้นเวลาเคยเฝ้าก็เข้าไปเตรียมเฝ้ากับขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงพร้อมกัน จะคอยทูลถวายเครื่องราชบรรณาการและกิจสุขทุกข์ของราษฎรหัวเมืองซึ่งชำระค้างอยู่เก่าใหม่เป็นอันมาก พระเจ้าติวอ๋องก็มิได้เสด็จออกว่าราชการถึงเดือนเศษแล้ว ปิกันคิดวิตกนัก จึงว่ากาเสี่ยงหยงกับป่วยเป๊กว่า เราได้ยินคำโบราณกล่าวไว้เป็นธรรมเนียมสืบมาว่า บิดามารดาย่อมเป็นที่พึ่งแก่บุตร บุตรจะค่อยจำเริญวัยได้มีความสุขก็เพราะบิดามารดาทำนุบำรุง แม้นบิดามารดาทำการอันมิควร บุตรเห็นชอบช่วยว่ากล่าวตักเตือนสติจึงจะควร บัดนี้ พระเจ้าติวอ๋องทรงพระเมตตาชุบเลี้ยงเราเป็นเสนาบดีผู้ใหญ่เหมืองดังบิดาเลี้ยงบุตร พระเจ้าติวอ๋องมิได้เสด็จออกว่าราชการ ผิดประเพณีกษัตริย์ เราผู้เป็นขุนนางผู้ใหญ่จะพากันนิ่งเสียไม่คิดอ่านเชิญเสด็จออกว่าราชการตามอย่างธรรมเนียมนั้นมิชอบ ท่านจะเห็นประการใด เสี่ยงหยงกับป่วยเป๊กได้ยินปิกันปรึกษาดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงให้เจ้าพนักงานตีระฆังซึ่งพระมหากษัตริย์แต่ก่อนให้ทำไว้ สำหรับขุนนางมีราชการร้อนมามิทันเฝ้าให้เข้าไปตีระฆังเชิญเสด็จ เจ้าพนักงานจึงเข้าไปตีระฆังสามทีเป็นสำคัญ
ฝ่ายพระเจ้าติวอ๋องเสด็จอยู่กับนางขันกี ณ พระตำหนักที่นั่งชมดาว ได้ยิงเสียงระฆัง จึงตรัสแก่นางขันกีว่า ขุนนางทั้งปวงเข้ามาตีระฆังหวังจะให้ออกว่าราชการบ้านเมือง ครั้นจะมิออกไปก็จะเสียประเพณีกษัตริย์แต่ก่อน ตรัสแล้วก็เสด็จลงจากพระตำหนัก นางขันกีก็ตามส่งเสด็จมาจนถึงที่นั่งข้างหน้า แล้วนางก็ถวายบังคมกลับไปที่อยู่ พระเจ้าติวอ๋องเสด็จนั่งที่ออกขุนนาง เห็นขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยถือหนังสือเรื่องราวที่จะกราบทูลข้อราชการอยู่ทุกตำแหน่ง ให้มีพระทัยเบื่อหน่ายในที่จะตัดสินข้อราชการ ขยับพระองค์จะเสด็จขึ้น ปิกันเห็นดังนั้นจึงทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า ตั้งแต่พระองค์มิได้เสด็จออกว่าราชการบ้านเมืองมาถึงสองเดือนเศษ บังเกิดโจรผู้ร้ายชุกชุมขึ้นกว่าแต่ก่อน ราษฎรชาวเมืองทั้งปวงได้ความเดือดร้อน แต่นี้ไปขอเชิญเสด็จพระองค์ออกชำระกิจสุขทุกข์ของราษฎรหัวเมืองตามประเพณีกษัตริย์ อาณาประชาราษฎรซึ่งเป็นข้าขอบขัณฑเสมาจึงจะได้อยู่เย็นเป็นสุข พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า กิจราชการบ้านเมืองทั้งนี้เราก็มอบธุระไว้ให้แก่ท่านเป็นผู้สำเร็จราชการ อาณาประชาราษฎรก็อยู่เย็นเป็นสุขปรกติอยู่ แต่หัวเมืองฝ่ายเหนือซึ่งเกิดศึกนั้น เราก็ได้จัดให้บุนไท้สือเป็นแม่ทัพไปปราบปราม อุปมาเหมือนหิดและเกลื้อนอันเกิดขึ้นมานิดหน่อยหนึ่งเท่านั้น ท่านอย่าวิตกเลย เมื่อพระเจ้าติวอ๋องตรัสอยู่กับเสี่ยงหยง ปิกัน ยังมิทันเสด็จขึ้น พอขุนนางนายประตูเข้ามากราบทูลว่า ซินแสคนหนึ่งจะขอเข้ามาเฝ้า พระเจ้าติวอ๋องจึงให้เชิญซินแสเข้ามาถึงหน้าที่นั่ง เห็นซินแสนั้นยืนอยู่มิได้คำนับ ก็เคืองพระทัย จึงตรัสว่า ท่านมาแต่ไหน มาหาเราจะประสงค์สิ่งใด หุนต๋งจู๊จึงบอกแก่พระเจ้าติวอ๋องว่า ข้าพเจ้าเป็นฤษีชื่อ หุนต๋งจู๊ อยู่ถ้ำเขาจองนำสาร เวลาวานนี้ไปเที่ยวเก็บยา แลมาตรงทิศเมืองจิวโก๋เห็นเมฆเป็นวิปริต จึงรู้ว่า ปิศาจเข้ามาปลอมอยู่ในพระนครนี้ และปิศาจนั้นเป็นสตรีมีมารยามาก จะแกล้งทำให้พระองค์หลงฟั่นเฟือนพระสติ นานไปภายหน้าราชสมบัติในเมืองจิวโก๋จะเกิดอันตราย ข้าพเจ้ามาหวังจะช่วยกำจัดปิศาจเสีย พระเจ้าติวอ๋องได้ทรงฟังดังนั้นก็แจ้งว่า ซินแสเป็นฤษีมีความรู้วิชาการ จึงเชิญให้ขึ้นนั่งที่สมควร แล้วตรัสถามว่า บัดนี้ ปิศาจนั้นอาศัยอยู่แห่งใดเล่า หุนต๋งจู๊บอกว่า ปิศาจเข้าอยู่ภายในพระราชวังแล้ว แม้นมีพระทัยประสงค์จะรู้จักปิศาจ ข้าพเจ้าจะขอทำเลขยันต์ กระบี่ แขวนไว้ ณ ประตูตำหนักที่ข้างใน นางสนมผู้ใดเป็นปิศาจ เห็นเลขยันต์ก็จะระส่ำระสายอยู่ไม่เป็นสุข พระองค์จงขับเสียจากพระราชวัง พระเจ้าติวอ๋องก็เชื่อฟัง จึงให้หุนต๋งจู๊เอาเลขยันต์และกระบี่ไปแขวนไว้ที่ประตูพระตำหนักนั้น เมื่อหุนต๋งจู๊ลาพระเจ้าติวอ๋องไปนั้น จึงว่า ข้าพเจ้ามาทำการทั้งนี้ใช่จะเห็นแก่ทรัพย์สมบัติและยศศักดิ์หามิได้ น้ำใจข้าพเจ้าคิดมุ่งหมายแต่จะให้พระองค์ทรงพระจำเริญอยู่ในราชสมบัติ บำรุงไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินให้อยู่เย็นเป็นสุข ภายหน้าถ้ามีผู้มากราบทูลจะให้เลิกยันต์และกระบี่ออกเสีย พระองค์อย่าเชื่อฟัง จงจำคำข้าพเจ้าไว้ อย่าลืมสติ หุนต๋งจู๊ก็ลากลับออกไปปลอมชาวเมืองอยู่ หวังจะคอยฟังข่าวดีและร้าย พระเจ้าติวอ๋องก็เสด็จขึ้น ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยครั้นมิได้เพ็ดทูลถ้อยความประการใด ต่างคนก็พากันออกจากที่เฝ้า พระเจ้าติวอ๋องเสด็จมาถึงที่ข้างใน มิได้เห็นนางขันกี จึงถามนางสนมทั้งปวงว่า นางขันกีไปไหน นางสนมจึงทูลว่า นางขันกีป่วยอยู่ พระเจ้าติวอ๋องเห็นดังนั้นจึงเสด็จเข้าไปข้างในห้องตึกเป็นที่อยู่นางขันกี เห็นนางขันกีนอนบนเตียงหน้าซีดสลดอยู่ จึงตรัสถามถึงอาการซึ่งป่วยไข้ นางขันกีจึงทูลว่า เมื่อเวลาเช้า พระองค์เสด็จออกข้างหน้า ครั้นเวลาจวนเสด็จขึ้น ข้าพเจ้าออกไปคอยรับเสด็จ แลเห็นกระบี่มีผู้เอามาแขวนไว้ที่ประตูตำหนัก ใจข้าพเจ้าดังจะสิ้นชีวิตลงด้วยความกลัว ตัวข้าพเจ้าให้สะท้านร้อนหนาวปวดศีรษะดังจะแตกทำลายเหลือที่จะทนทาน ถ้าพระองค์มิได้โปรดครั้งนี้ ชีวิตข้าพเจ้าเห็นจะนับวันอยู่ จะมิได้ฉลองพระคุณสืบไป ทูลแล้วนางขันกีก็ร้องไห้ พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังดังนั้น มีพระทันอาลัยในนางขันกีนัก จึงตรัสปลอบว่า ซึ่งเจ้าป่วยไข้ได้ความทุกข์ร้อนทั้งนี้ เพราะเราหลงเชื่อฟังคนป่ามันเข้ามาล่อลวงว่า ปิศาจเข้าอยู่ในวัง เอากระบี่ทำด้วยวิทยาคมมาแขวนไว้ด้วยใจริษยาจะแกล้งกำจัดเจ้า พระเจ้าติวอ๋องจึงเสด็จออกมาสั่งให้เอากระบี่นั้นไปเผาเสีย นางขันกีก็คล่อยคลายป่วย แกล้งทำมารยาด้วยอุบายปิศาจให้พระเจ้าติวอ๋องลุ่มหลงรักใคร่ จะเพ็ดทูลสิ่งใดก็เชื่อฟังทุกประการ
ฝ่ายหุนต๋งจู๊ซึ่งปลอมชาวเมืองคอยฟังข่าวอยู่ แลเห็นเป็นแสงสว่างขึ้นที่ในวัง พิจารณาดูก็รู้ว่า พระเจ้าติวอ๋องเผากระบี่ซึ่งทำไว้ด้วยเลขยันต์นั้นเสียแล้ว ปิศาจกลับกำเริบขึ้นมาดังเก่า จึงคิดว่า เราตั้งใจเข้ามาทำด้วยเวทมนตร์ หมายจะขับปิศาจเสียให้พ้นจากเมืองจิวโก๋ บัดนี้ พระเจ้าติวอ๋องเชื่อคำขันกีปิศาจ มันแกล้งทำมารยาทูลยุยง เสียงแรงเราเข้ามาทำการก็หาสมความคิดไม่ หุนต๋งจู๊ตกใจนัก จึงทำนายไว้ว่า ชะตาเมืองจิวโก๋จะสิ้นเชื้อวงศ์พระเจ้าเสี่ยงทางแต่เพียงพระเจ้าติวอ๋ององค์นี้แล้ว จะเกิดรบพุ่งกัน เกียงจูแหยซึ่งอยู่ ณ เขาขุนหนุนจะออกมาเป็นกุนสือทำนุบำรุงแซ่จิ่วขึ้นเป็นกษัตริย์ครองเมืองจิวโก๋สืบไป หุนต๋งจู๊จึงเดินไปถึงตึกโต้ไทสือ วันนั้น โต้ไทสือมิได้อยู่ เข้าไปว่าราชการอยู่ในวัง หุนต๋งจู๊จึงจารึกอักษรไว้ที่ผนังตึกภายนอก แล้วกลับไปที่อาศัย
ฝ่ายโต้ไทสือออกจากวังมาถึงบ้าน เห็นอักษรมีผู้มาเขียนไว้ที่ผนังตึกผิดประหลาดอยู่ จึงแวะเข้าไปอ่านในหนังสือนั้นว่า เฮาหลีปิศาจเข้ามาปลอมปนอยู่ในวัง ทำอุบายมารยาจะให้กษัตริย์เมืองจิวโก๋สิ้นเชื้อพระวงศ์ ตั้งแต่ปีม้าไปถึงปีหนูครบเจ็ดขวบ เลือดชาวเมืองจิวโก๋จะดาษแดงทั่วแผ่นดิน หัวเมืองฝ่ายตะวันตกจะเลื่องลือเกียรติยศ โต้ไทสืออ่านหนังสือแล้วก็ตกใจ จึงถามคนใช้ผู้อยู่เฝ้าบ้านว่า ผู้ใดเขียนอักษรไว้ คนใช้จึงบอกว่า ซินแสคนหนึ่งมิได้รู้จักหน้ามาเขียนไว้ โต้ไทสือเห็นถ้อยคำในหนังสือนั้นว่ากล่าวหลักแหลมอยู่ เกรงความจะฟุ้งเฟื่องไป จึงให้คนใช้ลบล้างอักษรนั้นเสีย แล้วขึ้นมาบนตึก นั่งตรึกตรองตามกระแสเรื่องราวความในหนังสือวึ่งจารึกไว้ให้ลบเสียนั้น ก็เห็นว่า ผู้ซึ่งมาจารึกอักษรนี้ชะรอยจะเป็นฤษีซึ่งมาทำเลขยันต์ขับปิศาจในพระราชวังเป็นมั่นคง ครั้นเวลาค่ำลง จึงขึ้นไปบนกวนแซ่เหลาเป็นที่สำหรับดูดาว เวลาดึกประมาณเวลาสามยามเศษ ดาวพระมหากษัตริย์ขึ้นมา มีเมฆหมอกมืดเหมือนควันเพลิงเข้าบดบังดาวกษัตริย์ไว้ให้รัศมีมัวหมองไม่ผ่องใสเหมือนแต่ก่อน โต้ไทสือเห็นดังนั้นจึงคิดว่า บัดนี้ พระเจ้าติวอ๋องลุ่มหลงด้วยนางขันกี มิได้เสด็จออกว่าราชการ เราเป็นขุนนางมาถึงสามชั่วกษัตริย์แล้ว เมื่อเห็นเหตุจะบังเกิดแก่พระมหากษัตริย์ฉะนี้ จะนิ่งเสียไม่ควร โต้ไทสือจึงทำเรื่องราวกราบทูลฉบับหนึ่ง พอเวลารุ่งดช้า จึงไปเล่าเนื้อความซึ่งได้ดูดาวให้เสี่ยงหยง ขุนนางผู้ใหญ่ ฟังทุกประการ แล้วว่า ขอท่านจงนำเรื่องราวข้าพเจ้าขึ้นกราบทูลแก่พระเจ้าติวอ๋องให้ทราบด้วย เสี่ยงหยงรับเรื่องราวมาอ่านดู เห็นชอบด้วยการแผ่นดิน จึงพาโต้ไทสือเข้าไปวัง ให้โต้ไทสือยับยั้งอยู่แต่ที่หอหนังสือ เสี่ยงหยงนำเรื่องราวโต้ไทสือเข้าไปถึงพระตำหนักข้งใน จึงให้ฮองงีกั๋ว ผู้อยู่รักษาพระตำหนัก ขึ้นไปกราบทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า เสี่ยงหยงจะขึ้นมาเฝ้า พระเจ้าติวอ๋องจึงสั่งให้หาขึ้นมาเฝ้าบนตำหนักนั้น จึงตรัสถามเสี่ยงหยงว่า เราอยู่ถึงที่ข้างใน มิใช่ตำแหน่งขุนนางเคยเฝ้า เหตุใดท่านจึงล่วงเข้ามาในที่ห้ามฉะนี้ มีธุระร้อนประการใดหรือ เสี่ยงหยงจึงทูลว่า เวลาคืนนี้ โต้ไทสือดูดาวเห็นรัศมีดาวของพระองค์มัวหมอง เพราะปิศาจคอยย่ำยีอยู่ โต้ไทสือทำเรื่องราวมาให้กราบทูล ครั้นจะคอยเฝ้าอยู่ที่ข้างหน้า พระองค์ก็มิได้เสด็จออก ข้าพเจ้าเห็นเหตุจะบังเกิดแก่พระองค์ จึงเข้ามาถึงที่ห้าม หวังจะกราบทูลเรื่องราวโต้ไทสือให้ทราบ เสี่ยงหยงจึงเอาเรื่องราวโต้ไทสือถวายต่อพระหัตถ์พระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องรับหนังสือมาคลี่ออกอ่าน ใจความว่า ข้าพเจ้า โต้ไทสือ ผู้เจ็บร้อนด้วยแผ่นดิน ขอกราบทูลให้ทราบ ด้วยคำโบราณกล่าวไว้สืบมาว่า บ้านเมืองใดจะอยู่เย็นเป็นสุข สิ่งซึ่งเป็นสิริมงคลก็บังเกิดในบ้านเมืองนั้น ถ้าเมืองใดจะเกิดอันตราย สิ่งอันมิได้เป็นมงคลก็เกิดมีมาต่าง ๆ เวลาคืนนี้ ข้าพเจ้าดูฤกษ์บน เห็นดาวของพระองค์เศร้าหมอง เพราะปิศาจเข้ามาอยู่ในวัง ครั้นเมื่อพระองค์เสด็จอยู่ ณ ที่เสด็จออกขุนนาง หุนต๋งจู๊เอากระบี่ลงเลขยันต์เข้ามาขับปิศาจ พระองค์มิได้ชื่อฟัง ให้เผาเลขยันต์และกระบี่เสีย ปิศาจจึงกำเริบทวีขึ้นทุกวัน ตั้งแต่พระองค์ได้บุตรเชาฮูเข้ามาไว้ในวัง มิได้เสด็จออกว่าราชการที่ข้างหน้า ขุนนางทั้งปวงซึ่งเคยเฝ้าตามตำแหน่งมิได้เฝ้า ต่างคนมีใจเศร้าหมองเหมือนดังเมฆหมอกอันบังแสงพระจันทร์ไว้ให้มือ พระเจ้าติวอ๋องทรงอ่านออกชื่อหุนต๋งจู๊ ขัดเคืองพระทัยว่า หุนต๋งจู๊มาทำให้นางขันกีป่วยแทบจะสิ้นชีวิต จนต้องเผาเลขยันต์และกระบี่ซึ่งหุนต๋งจู๊ทำไว้เสีย นางขันกีจึงรอดจากความตาย บัดนี้ โต้ไทสือเอาความหุนต๋งจู๊นั้นมาว่าอีกเล่า พระเจ้าติวอ๋องจึงผินพระพักตร์ไปตรัสปรึกษากับนางขันกีว่า โต้ไทสือทำเรื่องราวมาว่ากล่าวฉะนี้ เจ้าจะเห็นประการใด นางขันกีจึงคำนับแล้วทูลว่า วันวานนี้ หุนต๋งจู๊เป็นคนรู้ทำกฤตยาคม แกล้งนำความเท็จเข้ามากราบทูลว่า ปิศาจปลอมอยู่ในวัง ให้กิตติศัพท์เลื่องลืออื้ออึงไปทั้งเมือง ขุนนางทั้งปวงก็พลอยทุกข์ร้อนด้วยเกรงว่าพระองค์จะมีอันตรายครั้งหนึ่งแล้ว บัดนี้ โต้ไทสือยังซ้ำนำเนื้อความหุนต๋งจู๊มากราบทูลอีกเล่า ข้าพเจ้าเห็นว่า จะเป็นพรรคพวกร่วมคิดกันกับหุนต๋งจู๊แกล้งยุยงให้พระองค์สงสัยว่า ข้าพเจ้าเป็นปิศาจ จะกำจัดเสียจากวัง หวังจะให้ข้าพเจ้าหาที่พึ่งมิได้ ขอให้เอาตัวโต้ไทสือไปฆ่าเสียจึงจะชอบ พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังนางขันกีทูลดังนั้นก็ทรงพระโกรธโต้ไทสือ จึงตรัสแก่เสี่ยงหยงว่า โต้ไทสือไม่ซื่อตรงต่อเรา แกล้งนำเอาความชั่วมาว่ากล่าวฉะนี้ เราเห็นว่า โต้ไทสือพรรคพวกหุนต๋งจู๊เป็นมั่นคง ชอบให้ตัดศีรษะเสียบประจาน อย่าให้ผู้ใดดูเยี่ยงอย่าง เสี่ยงหยงได้ฟังดังนั้นจึงทูลว่า โต้ไทสือเป็นขุนนางรับราชการในตำแหน่งพนักงานสำหรับดูฤกษ์บนมาถึงสามชั่วกษัตริย์แล้ว บัดนี้ โต้ไทสือเห็นดาวสำหรับพระองค์เศร้าหมอง จึงทำเรื่องราวให้ข้าพเจ้ากราบทูล พอรู้พระองค์ว่าดีและร้ายตามตำรับซึ่งได้เล่าเรียนมา หวังจะเอาความชอบ จะได้เป็นพวกหุนต๋งจู๊แกล้งมากราบทูลให้ขัดเคืองพระทัยหามิได้ ซึ่งพระองค์จะลงอาญาให้ฆ่าเสียนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่า โต้ไทสือผิดแต่ครั้งเดียว ข้าพเจ้าจะขอชีวิตไว้สักครั้งหนึ่ง พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า โต้ไทสือเอาความมิดีมาว่ากล่าวให้กำเริบไปทั้งเมือง โทษถึงตาย ซึ่งจะให้มีชีวิตอยู่ในแผ่นดินนั้นมิได้ เสี่ยงหยงกราบทูลขอโทษโต้ไทสือเป็นหลายครั้ง พระเจ้าติวอ๋องก็มิให้ จึงออกมาบอกโต้ไทสือตามเรื่องราวซึ่งได้กราบทูลทุกประการ แล้วว่า บัดนี้ พระเจ้าติวอ๋องทรงพระโกรธ จะให้ฆ่าท่านเสีย เราได้ทูลขอโทษเป็นหลายครั้ง พระเจ้าติวอ๋องก็ไม่ให้
ขณะเมื่อเสี่ยงหยงกับโต้ไทสือพูดกันยังมิทันสิ้นคำ พอมีผู้รับสั่งมาบอกโต้ไทสือว่า ท่านทำเรื่องราวให้เสี่ยงหยงกราบทูลให้ขัดเคืองนั้น มีรับสั่งให้เอาตัวท่านไปฆ่าเสีย ผู้รับสั่งก็ให้ถอดเสื้อหมวกสำหรับขุนนางออกเสีย แล้วมัดมือโต้ไทสือไปถึงสะพานมังกร พอพบขุนนางผู้หนึ่งชื่อ ป่วยเป๊ก ป๋วยเป๊กเห็นโต้ไทสือจึงเข้าไปถาม เหตุใดท่านจึงต้องผูกมัดมาฉะนี้ โต้ไทสือจึงเล่าความให้ป๋วยเป๊กฟังแล้วว่า บัดนี้ พระเจ้าติวอ๋องทรงพระโกรธ จะให้ฆ่าข้าพเจ้าเสีย ขอท่านให้กรุณาช่วยเพ็ดทูลขอโทษข้าพเจ้าไว้ด้วย ป่วยเป๊กได้แจ้งความดังนั้นก็ตกใจ จึงว่าแก่ผู้คุมว่า ท่านจงงดโต้ไทสือไว้ก่อน เราจะเข้าไปทูลขอโทษโต้ไทสือ ว่าแล้วก็รีบไป พอพบเสี่ยงหยงเดินมา ป่วยเป๊กจึงเข้าไปคำนับเสี่ยงหยงแล้วถามว่า โต้ไทสือผิดด้วยสิ่งใด เสี่ยงหยงจึงเล่าความให้ฟังแล้วว่า ทุกวันนี้ พระเจ้าติวอ๋องเชื่อฟังนางขันกี นางขันกีจะทูลประการใดก็เชื่อฟัง สั่งให้ฆ่าโต้ไทสือเสีย เราทูลขอโทษเป็นหลายครั้ง พระเจ้าติวอ๋องก็ไม่โปรด เราจนในความคิด มิรู้ที่จะทำประการใด ป่วยเป๊กจึงว่า โต้ไทสือเป็นขุนนางซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน พระเจ้าติวอ๋องเชื่อฟังนางขันกี จะให้ฆ่าโต้ไทสือเสียนั้น ข้าพเจ้าเสียดายโต้ไทสือนัก ขอท่านจงพาข้าพเจ้าไปเฝ้า จะทูลขอโทษโต้ไทสืออีกสักครั้งหนึ่งก่อน เสี่ยงหยงก็พาป่วยเป๊กเข้าไปถึงพระที่นั่งข้างใน เสี่ยงหยงกับป่วยเป๊กจึงขึ้นไปเฝ้า ป่วยเป๊กทูลถามถึงโทษโต้ไทสือ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า โต้ไทสือคบคิดกันกับหุนต๋งจู๊เอาความเท็จมาว่า ปิศาจเข้ามาอยู่ในวัง ให้กิตติศัพท์เลื่องลือไป โต้ไทสือโทษถึงตาย เราจึงให้เอาไปฆ่าเสีย ป่วยเป๊กจึงทูลว่า ครั้งแผ่นดินพระเจ้าเงี่ยวฮองเต้นั้น พระองค์ตั้งอยู่ในยุติธรรม ขุนนางและอาณาประชาราษฎรทั้งแผ่นดินได้อยู่เย็นเป็นสุข ผู้ซึ่งเป็นคนโกหกสอพลอ พระองค์กำจัดเสีย มิได้ใช้สอยเป็นขุนนาง ผู้ซึ่งมีสติปัญญาและมีใจเจ็บร้อนซื่อตรงด้วยการแผ่นดิน พระองค์ชุบเลี้ยงให้เป็นขุนนางตามสมควร โต้ไทสือคนนี้เป็นขุนนางสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน ถ้าพระองค์จะเชื่อฟังนางขันกีและจะให้ฆ่าโต้ไทสือเสียนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่า ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินจะกำเริบเดือดร้อน ข้าพเจ้าขอให้งดโทษโต้ไทสือไว้ครั้งหนึ่ง พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ตรัสว่า เสียแรงเราเลี้ยงท่านเป็นขุนนาง ไม่เจ็บร้อนด้วยเรา กลับไปเข้าด้วยคนผิด ด้านหน้าเข้ามาขอชีวิตโต้ไทสือ โทษท่านชอบตีด้วยกระบองจึงจะควร นางขันเห็นว่า พระเจ้าติวอ๋องทรงพระโกรธ จึงทูลซ้ำเติมว่า ป่วยเป๊กมิได้เกรงพระราชอาญา ล่วงเกินเข้ามาเฝ้าพระองค์ถึงที่ข้างในเป็นที่ห้าม แล้วให้หน้ากระหยิบตาให้แก่ข้าพเจ้า โทษป่วยเป๊กถึงที่ตายแล้ว ขอให้เอาตัวไปจำไว้ ให้เจ้าพนักงานทำเสาทองแดงใหญ่ จึงเอาเพลิงเผาเสาทองแดงให้แดง แล้วเอาป่วยเป๊กมาผูกมัดโอบเสาทองแดงไว้จนกว่าจะตาย อย่าให้ผู้ใดดูเยี่ยงอย่าง พระเจ้าติวอ๋องเห็นชอบด้วย จึงสั่งทหารให้ฆ่าโต้ไทสือเสีย แล้วให้เอาตัวป่วยเป๊กไปจำไว้ เร่งทำเสาทองแดงขึ้นสำหรับจะทำทาป่วยเป๊กตามคำนางขันทีทุกประการ ทหารก็ทำตามรับสั่ง
ฝ่ายเสี่ยงหยงเห็นดังนั้นจึงคิดว่า พระเจ้าติวอ๋องเชื่อฟังนางขันกี ให้ฆ่าโต้ไทสือ และจับป่วยเป๊กไปทำโทษ จะว่ากล่าวทัดทานก็มิได้เชื่อฟัง จะอยู่เป็นข้าเฝ้าสืบไป เห็นว่า นางขันกีจะทูลให้ฆ่าเสียเป็นมั่นคง จึงทูลว่า ข้าพเจ้าทำราชการมาถึงสามแผ่นดินจนแก่ชรา ทั้งสติปัญญาก็เคลิ้มเขลา จะว่ากล่าวสิ่งใดก็ฟั่นเฟือนหลงลืม จะขอลาออกนอกราชการไปอยู่บ้านเก่าทำไร่ไถนาหาเลี้ยงชีวิตกว่าจะตาย พระเจ้าติวอ๋องก็โปรดให้ไป เสี่ยงหยงก็คำนับลาพระเจ้าติวอ๋องออกมาจากวัง
ฝ่ายปิกันกับขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงรู้ว่า เสี่ยงหยงทูลลาออกจากที่ขุนนางผู้ใหญ่จะไปบ้านเก่า ต่างคนก็พากันไปตามส่ง ฝ่ายเสี่ยงหยง ครั้นมาถึงที่ขุนนางไปมาหยุดพัก จึงลงจากม้า แล้วลาปิกันกับขุนนางทั้งปวงว่า ท่านจงอุตส่าห์ทำราชการ ระวังตัวอย่าให้ระแวงความผิด ปิกันจึงว่า ตั้งแต่ท่านกับข้าพเจ้าทำราชการมาด้วยกันช้านาน ครั้งนี้ท่านจะหนีข้าพเจ้าไปหาที่สบายแล้วหรือ เสี่ยงหยงจึงว่า ข้าพเจ้ากับท่านทำราชการมาด้วยกัน ท่านก็ย่อมแจ้งอยู่ ข้าพเจ้าจะเพ็ดทูลสิ่งใด พระเจ้าติวอ๋องก็เห็นชอบด้วย เพราะพระทัยกรุณานับถือว่าเป็นผู้เฒ่า ตั้งแต่พระองค์ได้นางขันกีมาไว้ พระทัยลุ่มหลง พระจริตก็ผิดกว่าแต่ก่อน บัดนี้ ข้าพเจ้าก็แก่ชรา กำลังน้อย มีแต่เคลิ้มเขลาหลงลืม เพ็ดทูลสิ่งใดก็ฟั่นเฟือน เห็นว่า นานไปจะไม่พ้นความผิด จึงคิดเบี่ยงบ่ายเอาตัวออกนอกราชการ ซึ่งท่านกับขุนนางทั้งปวงมาส่งข้าพเจ้าถึงที่นี่ขอบคุณนัก เชิญกลับเข้าเมืองหลวงเถิด เสี่ยงหยงว่าแล้วก็ร้องไห้ลาขุนนางทั้งปวงขึ้นม้าไป ปิกันกับขุนนางทั้งปวงก็กลับมาเมืองหลวง
ฝ่ายเจ้าพนักงานซึ่งไปทำเสาทองแดง ครั้นสำเร็จแล้ว ก็เข้าไปกราบทูลพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องสั่งให้ยกเสาทองแดงเข้าไปให้นางขันกีดู แล้วตรัสแก่นางขันกีว่า เวลาพรุ่งนี้ จะเอาตัวป่วยเป๊กไปทำโทษ ครั้นเวลารุ่งเช้า พระเจ้าติวอ๋องเสด็จออกที่นั่งออกขุนนาง ให้ยกเสาทองแดงมาตั้งไว้ จึงให้ตีกลองสัญญาประชุมขุนนาง
ฝ่ายปิกันกับขุนนางทั้งปวงต่างคนเข้ามาพร้อมกัน แลเห็นเสาทองแดงตั้งอยู่ มิได้รู้ว่าจะทำประการใด ก็พากันนิ่งคิดสงสัยอยู่ พระเจ้าติวอ๋องเห็นขุนนางมาพร้อมแล้ว จึงสั่งจิบเตียกั่วให้เอาตัวป่วยเป๊กมา จึงสั่งให้เอาถ่านเพลิงกองเผาเสาทองแดงให้ร้อน แล้วชี้พระหัตถ์ไปที่เสาทองแดง ตรัสแก่ป่วยเป๊กว่า ท่านรู้จักหรือหาไม่ ป่วยเป๊กทูลว่า ข้าพเจ้ามิได้รู้จัก พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า เสาทองแดงนี้ชื่อ เผาหลก สำหรับทำโทษคนหยาบช้า จะได้เป็นกฎหมายสืบไป ป่วยเป๊กได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่าแก่พระเจ้าติวอ๋องว่า ท่านเป็นคนหลงด้วยสตรี ทำให้เสียประเพณีกษัตริย์ เราเป็นขุนนางผู้ใหญ่ เห็นผิดจึงทัดทาน กลับโกรธจะฆ่าเสีย ถึงเราจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต แต่คิดวิตกอยู่ด้วยท่านจะทำให้เชื้อวงศ์พระเจ้าเสี่ยงทางสูญสิ้นครั้งนี้ พระเจ้าติวอ๋องได้ทรงฟังป่วยเป๊กกล่าวหยาบช้าก็ทรงพระโกรธ จึงสั่งทหารให้เอาโซ่ผูกเท้าและมือป่วยเป๊กโอบเสาทองแดง พัดถ่านเพลิงให้ร้อน ป่วยเป๊กร้องขึ้นคำเดียวก็ขาดใจตาย
ฝ่ายขุนนางทั้งปวงเห็นพระเจ้าติวอ๋องทำโทษป่วยเป๊กดังนั้น ต่างคนกลัวอาญาท้อใจอยู่ ในขณะนั้น หาผู้จะเพ็ดทูลประการใดไม่ พระเจ้าติวอ๋องก็เสด็จขึ้น ฝ่ายปิกัน ครั้นพระเจ้าติวอ๋องเสด็จขึ้นแล้ว จึงพูดกันกับอึ้งป่วยฮอซึ่งเป็นบูเสี้ยงอ๋อง และขุนนางทั้งปวง ว่า เหตุทั้งนี้เพราะบุนต๋งไท้สือไปปราบหัวเมืองฝ่ายเหนือ มิได้อยู่ นางขันกีไม่เกรงผู้ใด จึงทูลยุยงให้พระเจ้าติวอ๋องทำโทษป่วยเป๊กด้วยเผาหลกจนสิ้นชีวิต ผิดอย่างธรรมเนียม ให้กิตติศัพท์เลื่องลือไปทั้งแผ่นดิน อึ้งป่วยฮอได้ฟังปิกันว่าดังนั้นก็โกรธ เอามือลูบหนวดแล้วว่า พระเจ้าติวอ๋องให้ทำเผาหลกสำหรับฆ่าขุนนางผู้ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินมิให้ทูลทัดทานทั้งนี้ เหมือนดังจะทำลายพระองค์เสียเอง พระเจ้าติวอ๋องเห็นจะสูญเชื้อวงศ์กษัตริย์เสียครั้งนี้เป็นมั่นคง ครั้นพูดกันแล้ว ต่างคนก็กลับไปบ้าน
ฝ่ายพระเจ้าติวอ๋อง ครั้นไปถึงที่บรรทม พอนางขันกีออกมาคำนับรับเสด็จ จึงตรัสบอกว่า เผาหลกซึ่งเจ้าคิดให้ทำขึ้นไว้ครั้งนี้ขุนนางทั้งปวงกลัวเกรงนัก หาผู้ที่จะว่ากล่าวความสิ่งใดขึ้นไม่ แต่นี้ไป เราทั้งสองจะอยู่เป็นสุข ตรัสแล้วก็พานางขันกีเข้าที่ นางพนักงานข้างในก็พร้อมกันดีดกระจับปี่สีซอบำเรอพระเจ้าติวอ๋องแต่เวลาพลบค่ำจนถึงสองยามเศษ
ขณะนั้น เสียงมโหรีได้ยินไปถึงนางเกียงฮองเฮา มเหสีพระเจ้าติวอ๋อง นางถอนใจใหญ่แล้วบ่นว่า บัดนี้ พระเจ้าติวอ๋องเชื่อฟังอีขันกี ให้ทำเผาหลกขึ้นฆ่าป่วยเป๊ก ขุนนางผู้ใหญ่ เสีย อีขันกีมันแกล้งทำเล่ห์กลมารยาให้พระเจ้าติวอ๋องลุ่มหลง นางเกียงฮองเฮาคิดเคืองใจ จึงลงจากตำหนักมาถึงที่บรรทม แล้วก็ขึ้นไปเฝ้าพระเจ้าติวอ๋อง นางขันกีก็คำนับเชิญพระมเหสีขึ้นนั่งตามตำแหน่งที่ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสสั่งให้นางพนักงานบำเรอดีดกระจับปี่สีซอ แล้วตรัสสั่งนางขันกีให้ร้องรำทำเพลงให้พระมเหสีดู นางเกียงฮองเฮาก็เมินหน้าเสีย พระเจ้าติวอ๋องเห็นดังนั้นจึงตรัสแก่นางเกียงฮองเฮาว่า นางขันกีร้องเพลงรับกระจับปี่เสียงเพราะ รำก็งามเหมือนนางฟ้า เหตุใดเจ้าจึงมิได้ดูเล่า นางเกียงฮองเฮาได้ฟังพระเจ้าติวอ๋อง
ตรัสชมนางขันกีดังนั้นก็โกรธ จึงคำนับพระเจ้าติวอ๋องแล้วทูลว่า นางขันกีฉลาดในการร้องรำทำกระบวนต่าง ๆ ฉะนี้ พระองค์ตรัสชมว่าดีนั้น ข้าพเจ้าหาเห็นด้วยไม่ ในธรรมเนียมโบราณนับถือว่าดีมีห้าสิ่ง คือ พระมหากษัตริย์ตั้งอยู่ในยุติธรรม มิได้หลงด้วยสตรี หนึ่ง พระจันทร์พระอาทิตย์เป็นของวิเศษอยู่บนฟ้า หนึ่ง ข้าวโพดสาลี ถั่ว งา เป็นของดีในแผ่นดิน หนึ่ง เสนาบดีซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน หนึ่ง บุตรเหลนหลานอยู่ในบังคับบัญชาบิดามารดาปู่ย่าตายายสอนสั่ง หนึ่ง และซึ่งพระองค์จะลุ่มหลงมัวเมาด้วยการเล่น และประมาทหมิ่นฤษีผู้มีวิชาการ เพราะเชื่อฟังคำคนยุยงฉะนี้ ข้าพเจ้าหาเห็นชอบด้วยไม่ นางเกียงฮองเฮาทูลแล้วก็คำนับลาไปที่อยู่ พระเจ้าติวอ๋องได้ยินนางเกียงฮองเฮาว่ากล่าวก็เคืองพระทัย จึงตรัสแก่นางขันกีว่า นางเกียงฮองเฮาว่ากล่าวหยาบช้ามิยำเกรงเรา ตรัสแล้วเรียกสุรามาเสวยจนเวลาประมาณยามสาม จึงสั่งนางขันกีให้ทำมโหรีขับรำถวาย นางขันกีจึงทูลว่า เมื่อเวลาประมาณสองยาม ข้าพเจ้าร้องรำบำเรอถวาย พระมเหสีของพระองค์มาว่ากล่าวเปรียบเทียบข้าพเจ้าให้ได้ความอัปยศ ซึ่งพระองค์จะให้ข้าพเจ้าขับรำถวายอีก ข้าพเจ้าจะขอขัดรับสั่ง ตามแต่จะโปรด ทูลแล้วนางทำร้องไห้ด้วยมารยาปิศาจ หวังจะให้พระเจ้าติวอ๋องลงโทษนางเกียงฮองเฮา พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสปลอบนางขันกีว่า เวลาพรุ่งนี้ เราจะถอดเกียงฮองเฮาเสีย จะตั้งเจ้าเป็นฮองเฮาได้ว่ากล่าวบังคับนางฝ่ายในให้สิทธิ์ขาด นางขันกีได้ฟังรับสั่งดังนั้นก็ยินดีนัก ถวายบังคม แล้วเข้าไปรินสุราหยิบกับแกล้มถวายให้เสวย พระเจ้าติวอ๋องเสวยสุรากับนางขันกีจนเวลารุ่งสว่าง พระเจ้าติวอ๋องเสวยสุราเมาก็เข้าที่บรรทม
ฝ่ายนางขันกีคิดริษยาจะคอยหาความผิดนางเกียงฮองเฮา มเหสีเอก ครั้นเห็นพระเจ้าติวอ๋องบรรทมหลับแล้ว จึงลงจากที่บรรทมไปถึงในตึกใหญ่สำหรับพระสนม เฝ้าพระมเหสีทั้งสาม พอเกียงฮองเฮา นางอึ้งกุยหุย นางเอี๋ยวกุยหุย มเหสีทั้งสาม ออกมานั่งอยู่ นางขันกีก็เข้าไปคุกเข่าลงคำนับ นางอึ้งกุยหุย นางเอี๋ยวกุยหุย จึงแกล้งถามนางเกียงฮองเฮาเป็นเย้ยว่า นางคนนี้หรือชื่อ ขันกี นางเกียงฮองเฮาจึงบอกว่า คนนี้ชื่อ ขันกี พระเจ้าติวอ๋องลุ่มหลงจนลืมเสด็จออกว่าราชการ นางเกียงฮองเฮาจึงว่าแก่นางขันกีว่า แต่นี้ไป เจ้าอย่าทำใจกำเริบ จงอยู่รับราชการแต่ตามที่ตำแหน่งผู้น้อย บำรุงเกียรติยศของพระเจ้าติวอ๋องไว้ อย่าให้ขุนนางและชาวเมืองทั้งปวงล่วงเข้ามานินทาพระมหากษัตริย์ นางขันกีได้ฟังพระมเหสีว่ากล่าวดังนั้นก็เคืองใจ แต่มิอาจออกปากว่า จึงคำนับลาลงจากตำหนักไปที่อยู่ นางคนใช้ทั้งสองก็ออกมารับ นางขันกีนั่งบนเก้าอี้แล้วถอนใจใหญ่ คนใช้ทั้งสองเห็นดังนั้นจึงคำนับถามว่า วันนี้ ท่านไปเฝ้าพระมเหสีกลับมาไม่สบายขัดเคืองด้วยสิ่งใด นางขันกีฟังดังนั้นก็ขบฟันแล้วว่า ตัวเราพระมหากษัตริย์ก็ชุบเลี้ยง เราคิดว่า เราเป็นผู้น้อย ถ่อมตัวไปอ่อนง้อ พระมเหสีกลับตัดพ้อว่ากล่าวให้ได้อับอายแก่นางอึ้งกุยหุย นางเอี๋ยวกุยหุย และนางสนมทั้งปวง เรามีความน้อยใจนัก จะขอแก้แค้นพระมเหสีให้จงได้ จึงจะนอนตาหลับ นางคนสนิททั้งสองจึงว่า เวลาคืนนี้ ข้าพเจ้าได้ยินรับสั่งว่า จะถอดนางเกียงฮองเฮาเสีย จะตั้งท่านขึ้นเป็นพระมเหสีเอก ท่านก็คงจะได้แก้แค้นสมความคิดเป็นมั่นคง นางขันกีจึงว่า นางเกียงฮองเฮายังหาความผิดมิได้ ถึงพระเจ้าติวอ๋องจะสั่งให้ถอดเสียจากที่ เราเห็นว่า ขุนนางทั้งปวงจะเข้ามาทูลทัดทานไว้ เราคิดไปยังมิตลอด ท่านทั้งสองเห็นอุบายประการใด จงช่วยแนะให้แก่เราบ้าง คนสนิททั้งสองจึงว่า สติปัญญาข้าพเจ้านี้น้อยนัก หาเห็นอุบายประการใดไม่ ขอท่านจงให้หาขุนนางคนสนิทเข้ามาคิดอ่านกลอุบายเอาความผิดใส่โทษนางเกียงฮองเฮา ข้าพเจ้าเห็นจะสำเร็จความคิดท่านเป็นมั่นคง นางขันกีจึงว่า ขุนนางฝ่ายหน้าท่านจะเห็นผู้ใดที่จะวางใจไว้ความลับได้เล่า คนสนิทจึงว่า มีขุนนางผู้หนึ่งชื่อ ฮุยต๋ง ฮุยต๋งคนนี้ได้ทูลเสนอท่านไว้แต่ก่อน พระเจ้าติวอ๋องจึงมีรับสั่งให้บิดาท่านพาท่านมาถวาย ฮุยต๋งก็หมายจะฝากตัวอยู่ เห็นจะไว้ความลับได้ เวลาพรุ่งนี้ ข้าพเจ้าได้ยินว่า พระเจ้าติวอ๋องจะเสด็จออกชมสวน ขอท่านจงแต่งหนังสือลับฉบับหนึ่ง ข้าพเจ้าจะซ่อนเร้นไปให้แก่ฮุยต๋ง นางขันกีได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย
ฝ่ายพระเจ้าติวอ๋องครั้นเวลาเช้าก็เสด็จไปชมสวนดอกไม้ นางขันกีจึงเขียนหนังสือลับส่งให้คนสนิทไปคอยฮุยต๋งอยู่ ครั้นพระเจ้าติวอ๋องประพาสสวนแล้วเสด็จเข้าพระราชวัง พอฮุยต๋งเดินกลับออกมาพบคนใช้ คนใช้ก็ส่งหนังสือให้แล้วกระซิบบอกว่า นางขันกีผู้นายข้าพเจ้าให้หนังสือมาถึงท่าน เป็นความลับขำอยู่ ท่านอย่าให้แพร่งพราย ถ้าท่านช่วยทำนุบำรุงให้นายข้าพเจ้าได้สมความคิดแล้ว นายข้าพเจ้าจะช่วยเพ็ดทูลให้ท่านได้ที่ยศศักดิ์เป็นขุนนางผู้ใหญ่ยิ่งขึ้นไป ฮุยต๋งก็รับหนังสือซ่อนใส่ไว้ในกลีบเสื้อ แล้วกลับมาบ้าน ขึ้นไปบนหอหนังสือ จึงฉีกผนึกออกอ่าน แจ้งความในหนังสือลับนางขันกีว่า ให้คิดทำร้ายนางเกียงฮองเฮา ดังนั้น ฮุยจึงคิดว่า เกียงฮองเฮาเป็นลูกสาวเกียงฮวนฌ้อซึ่งเป็นเจ้าเมืองตังลู้ พี่ชายนางเกียงฮองเฮาชื่อ เกียงบุนฮวน กำลังและฝีมือกล้าแข็ง มีนายทหารเอกพันหนึ่ง ทหารเลวถึงร้อยหมื่น ถ้าความทั้งนี้มิสมคิดผิดพลั้งลง เห็นเราจะถึงความฉิบหาย แม้นมิทำตามนางขันกี นางขันกีก็เป็นคนโปรดอยู่ในพระเจ้าติวอ๋อง เกรงเกลือกจะทูลยุยงให้พระเจ้าติวอ๋องลงอาญาฆ่าเสีย ฮุยต๋งคิดวิติก มิรู้จะไว้ตัวประการใด นั่งกอดเข่าทุกข์ใจอยู่ พอแลเห็นเกียงฮวนซึ่งเป็นทหารมานั่งแอบอยู่นอกประตูหอหนังสือ ฮุยต๋งจึงถามออกไปว่า ผู้ใดมานั่งอยู่ เกียงฮวนจึงเข้าไปคำนับแล้วว่า แต่ข้าพเจ้าเข้ามาอยู่กับท่านถึงห้าปีแล้ว ยังหาได้ทำการสิ่งใดฉลองคุณท่านไม่ วันนี้ ข้าพเจ้าเห็นท่านไม่สบาย จึงเข้ามาคอยให้ใช้อยู่ ถึงท่านจะใช้ให้ข้าพเจ้าดำดินลุยเพลิงประการใด ข้าพเจ้ามิได้คิดแก่ความลำบาก จะขออาสาท่านกว่าจะสิ้นชีวิต ฮุยต๋งเห็นกิริยาเกียงฮวนเป็นคนมีสติปัญญาและใจซื่อตรง จะไว้ความลับได้ จึงกระซิบบอกเกียงฮวนตามหนังสือลับซึ่งนางขันกีให้มานั้น แล้วว่า ท่านจะช่วยธุระเราแล้ว จงถือกระบี่แอบเข้าไปแฝงอยู่ ณ พระที่นั่งเย็น เราจะมีหนังสือลับเข้าไปบอกแก่นางขันกีให้เสด็จพระเจ้าติวอ๋องออกมาในเวลาพรุ่งนี้ ท่านจงออกขวางหน้าพระที่นั่ง แล้วแกว่งกระบี่ร้องว่า จะฆ่าพระเจ้าติวอ๋องเสีย ถ้าพระเจ้าติวอ๋องจะให้จับตัวมาไต่ถาม ท่านจงให้การว่า นางเกียงฮองเฮาใช้มาให้ฆ่าพระเจ้าติวอ๋องผู้มิได้อยู่ในยุติธรรมเสีย โทษที่ท่านทำนั้นอย่าวิตกเลย เรากับนางขันกีจะช่วยเพ็ดทูลแก้ไขมิให้เป็นอันตราย เกียงฮวนก็คำนับรับไปทำตามสั่ง พอคนสนิทของนางขันกีมาคำนับฟังความ ฮุยต๋งจึงเขีนหนังสือลับส่งให้ คนสนิทของนางขันกีคำนับลาเข้าไปในวัง จึงส่งหนังสือลับนั้นให้แก่นางขันกี นางขันกีคลี่หนังสือออกอ่าน แจ้งว่า เวลาเช้าพรุ่งนี้ ให้เชิญเสด็จออกมาที่ข้างหน้า จะให้คนไปทำการให้สำเร็จ อย่าวิตกเลย ครั้นเวลาค่ำลง พระเจ้าติวอ๋องเสด็จมาหานางขันกี นางขันกีจึงกราบทูลว่า พระองค์เสด็จอยู่ในพระราชวัง มิได้เสด็จออกว่าราชการฉะนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่า ขุนนางทั้งปวงจะกระหายนินทาว่า พระองค์ลุ่มหลงด้วยข้าพเจ้า เวลาพรุ่งนี้เช้า ขอเชิญเสด็จออกตัดสินความราชการบ้านเมืองตามประเพณีกษัตริย์ จึงจะควร พระเจ้าติวอ๋องตรัสชมนางขันกีว่า เจ้าว่านี้ชอบนัก ครั้นเวลาเช้า ก็เสด็จลงจากที่พระบรรทม จะไปออกขุนนางข้างหน้า
ฝ่ายฮองงีกั๋ว เจ้าพนักงานรักษาพระองค์ ก็ตามเสด็จไป ฝ่ายเกียงฮวนซึ่งฮุยต๋งใช้มาแอบซ่อนอยู่ที่มุมตำหนักที่ยั่งเย็นข้างตะวันออกนั้น ครั้นเห็นพระเจ้าติวอ๋องเสด็จมา จึงวิ่งออกไปถึงหน้าพระที่นั่ง แกว่งกระบี่ร้องว่า พระองค์ไม่อยู่ในสัตยธรรม เราจะฆ่าเสีย จะเอาสมบัติไว้ให้แก่เจ้านายเรา ฮองงีกั๋วเห็นดังนั้นก็วิ่งออกไปจับมัดเกียงฮวนเข้ามาถวาย พอพระเจ้าติวอ๋องเสด็จถึงพระที่นั่งที่ออกขุนนาง ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยพร้อมเฝ้าตามตำแหน่ง พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสบอกปิกัน อึ้งป่วยฮอ ว่า มีคนร้ายปลอมเข้ามาจะทำร้ายเรา บัดนี้ จับได้ตัวมา อึ้งป่วยฮอได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงถามเจ้าพนักงานรักษาพระตำหนักว่า เวลาวานนี้เป็นเวรของผู้ใดเข้าไปอยู่รักษา โลหยงจึงว่า วานนี้เวรข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้าจะเข้าไปในพระราชวัง ก็ได้ตรวจตราตัวนายและไพร่เข้าไปรักษา หามีผู้ใดแปลกปลอมไม่ ข้าพเจ้าเห็นว่า คนร้ายจะปลอมเข้าไปเมื่อเวลาเช้า พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า ให้เอาตัวอ้ายคนร้ายไปชำระ เอาผู้ร่วมคิดและพวกเพื่อนอ้ายกบฏมาฆ่าเสียให้สิ้น ฮุยต๋งจึงชิงทูลขึ้นว่า ข้าพเจ้าจะขอเอาตัวเกียงฮวนไปชำระเอาพวกเพื่อนซึ่งร่วมคิดอ่านให้จงได้ อย่าทรงพระวิตกเลย ฮุยต๋งจึงเอาตัวเกียงฮวนออกไปถามโดยปรกติ เกียงฮวนก็ให้การตามที่ฮุยต๋งสอนไว้ ฮุยต๋งจึงให้จดหมายถ้อยคำเกียงฮวนเข้าไปกราบทูลว่า นางเกียงฮองเฮาใช้ให้เกียงฮวนมาทำร้าย หมายจะเอาสมบัติของพระองค์ให้แก่บิดา พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังก็ทรงพระโกรธนัก จึงตรัสว่า นางเกียงฮองเฮานี้เราก็ตั้งแต่งเป็นผู้ใหญ่ ได้บังคับบัญชานางข้างในเป็นสิทธิ์ขาด เราเลี้ยงก็ถึงขนาดแล้ว หาควรที่จะให้เกียงฮวนมาทำร้ายเราไม่ หากว่าบุญเรายังไม่ถึงที่ตาย จึงจับตัวเกียงฮวนได้ พระเจ้าติวอ๋องก็เสด็จมาข้างใน จึงสั่งให้นางอึ้งกุยหุยไปซักถามนางเกียงฮองเฮา พระมเหสีเอก ว่า บิดาของตัวพระมหากษัตริย์ก็ชุบเลี้ยงเป็นถึงเจ้าเมืองตังลู้ ตัวมิได้ซื่อตรง แกล้งใช้เกียงฮวนปลอมเข้ามาทำร้ายพระมหากษัตริย์ฉะนี้ ตัวจะเอาสมบัติไว้ให้แก่บิดาของตัวหรือ นางเกียงฮองเฮาได้ยินกระทู้รับสั่งให้ถามดังนั้นก็ตกใจ ยกมือตบลงที่โต๊ะแล้วร้องไห้ จึงว่า เราได้ความสุข มียศถาศักดิ์ เพราะพระมหากษัตริย์ทรงพระเมตตาชุบเลี้ยง เราก็ตั้งใจว่า จะฉลองพระคุณไปกว่าจะสิ้นชีวิต และเกียงฮวนคนใดเราก็ไม่รู้จักหน้า เกียงฮวนแกล้งเอาความผิดข้อใหญ่มาใส่โทษเราฉะนี้ เราจะได้คบคิดกับเกียงฮวนให้ทำร้ายแก่พระมหากษัตริย์หามิได้ เรากับท่านอยู่มาด้วยกันก็ช้านาน ท่านก็ย่อมรู้อยู่สิ้นว่าชั่วดี และความทั้งนี้ท่านช่วยกรุณาเพ็ดทูลให้พระองค์ดำริดูจงถ่องแท้ก่อน พอมีผู้รับสั่งมาเร่ง นางอึ้งกุยหุยก็ลานางเกียงฮองเฮาไปเฝ้าทูลความตามคำนางเกียงฮองเฮาทุกประการ พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังดังนั้นก็นิ่งตรึกตรอง มิได้ตรัสประการใด นางขันกีเห็นพระเจ้าติวอ๋องยังอาลัยในพระมเหสีอยู่ จึงแกล้งทำหัวเราะขึ้น พระเจ้าติวอ๋องจึงผินพระพักตร์ไปตรัสถามว่า เจ้าหัวเราะสิ่งใด นางขันกีจึงทูลว่า อึ้งกุยหุยกับเกียงฮองเฮาเป็นคนสนิทชอบกัน ซึ่งจะให้ชำระความเกียงฮองเฮานั้น หาได้ความจริงไม่ ซึ่งเกียงฮองเฮาไม่รับว่า มิได้ใช้เกียงฮวนนั้น ข้าพเจ้าหาเห็นไม่ ขอให้ควักตาเกียงฮองเฮาเสียข้างหนึ่ง เห็นจะรับเป็นสัตย์ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า เจ้าว่านี้ชอบ จึงสั่งฮองงีกั๋วให้ไปควักตานางเกียงฮองเฮาเสียตามนางขันกี นางอึ้งกุยหุยได้ยินรับสั่งดังนั้นก็ตกใจ คำนับลาพระเจ้าติวอ๋อง แล้วรีบไปแจ้งความแก่นางเกียงฮองเฮาว่า นางขันกีแกล้งทูลยุยงให้ควักตาท่านเสีย นางเกียงฮองเฮาได้ยินดังนั้นก็ร้องไห้แล้วจึงว่า เรากับนางขันกีก็มิได้มีข้อขัดเคืองแก่กัน นางขันกีแกล้งทูลยุยงให้พระเจ้าติวอ๋องลงโทษ ถึงจะฆ่าเราเสีย ก็จะขอยอมถวายชีวิตด้วยความสัตย์ จะได้คบคิดใช้สอยเกียงฮวนมาทำร้ายพระเจ้าติวอ๋องเหมือนดังคำเกียงฮวนนั้นหามิได้ พอฮองงีกั๋วเข้ามาบอกว่า มีรับสั่งให้ควักตาเสีย ฮองงีกั๋วก็เข้าไปควักตานางเกียงฮองเฮา นางอึ้งกุยหุยก็เอาถาดทองคำเข้ารองรับดวงตาและโลหิตของนายเกียงฮองเฮาขึ้นไปเฝ้าพร้อมกันกับฮองงีกั๋ว นางอึ้งกุยหุยจึงยกถาดโลหิตกับดวงตาตั้งไว้หน้าพระที่นั่งให้ทอดพระเนตร แล้วทูลตามคำนางเกียงฮองเฮาว่าทุกประการ
พระเจ้าติวอ๋องทอดพระเนตรเห็นดวงตาและโลหิตนางเกียงฮองเฮาดังนั้น จึงเหลียวไปตรัสถามนางขันกีว่า เจ้าว่า ให้ควักตานางเกียงฮองเฮาเสีย จึงจะได้ความจริง บัดนี้ นางเกียงฮองเฮาสู้เสียชีวิตว่า มิได้ใช้เกียงฮวนมาทำร้ายเรา เจ้าจะเห็นประการใดเล่า นางขันกีจึงคิดว่า การได้ทำเกินมาถึงเพียงนี้แล้วก็ยังหาสมความคิดไม่ จำจะคิดให้พระเจ้าติวอ๋องฆ่านางเกียงฮองเฮาเสียให้จงได้ จึงจะหายที่ความแค้น นางขันกีจึงทูลว่า นางเกียงฮองเฮาแกล้งอำพรางความผิดไว้ไม่ถวายความจริงนั้น ขอให้มัดมือโอบเข้ากับเสาทองแดง เอาถ่านเพลิงมาพัดให้เสาทองแดงนั้นร้อน นางเกียงฮองเฮาทนร้อนมิได้ ก็จะถวายความจริงเป็นมั่นคง พระเจ้าติวอ๋องยังมิได้ตรัสประการใด นางอึ้งกุยหุยได้ยินนางขันกีทูลดังนั้นก็ตกใจ จึงกลับมาบอกความแก่นางเกียงฮองเฮาตามคำนางขันกีทุกประการ
นางเกียงฮองเฮา ขณะนั้น พระเจ้าติวอ๋องให้ควักตาเสียแล้ว โลหิตไหลลงอาบเสื้อ ความเจ็บเป็นสาหัส นั่งหลับตาอยู่ พอได้ยินเสียงนางอึ้งกุยหุยบอกความดังนั้น จึงว่า เราจะได้คบคิดกันกับผู้ใดให้มาทำร้ายแก่พระมหากษัตริย์นั้นหามิได้ นางขันกีแกล้งทูลยุยงให้ควักตาเสียแล้ว บัดนี้ จะซ้ำให้โอบเสาทองแดงอีกเล่า หวังจะให้เรารับว่า ใช้เกียงฮวนมาทำร้ายแก่พระมหากษัตริย์ ถึงมาตรว่าจะตาย ก็จะสู้เสียชีวิต นางอึ้งกุยหุยได้ยินดังนั้นก็คิดสงสารนัก ร้องไห้พลางคำนับลากลับไปเฝ้าทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า ข้าพเจ้าไปไต่ถามไล่เลียงเกียงฮองเฮาเป็นหลายครั้ง จนถึงควักตาเสีย ได้ความเจ็บป่วยเป็นสาหัส แล้วจะให้ทำโทษด้วยเผาหลกตามรับสั่ง นางเกียงฮองเฮาจะสู้ถวายชีวิต จะได้คิดใช้ให้เกียงฮวนมาทำร้ายพระองค์หามิได้ พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังจึงตรัสถามนางขันกีว่า เราให้ทำโทษเกียงฮองเฮาสาหัสถึงเพียงนี้แล้ว เกียงฮองเฮาก็หาให้
ความจริงไม่ เจ้าจะคิดให้ทำประการใด นางขันกีจึงทูลว่า เกียงฮองเฮาไม่รับ ว่า มิได้ใช้เกียงฮวนมาทำร้ายพระองค์นั้น เกียงฮวนก็ให้การยืนคำอยู่ว่า เกียงฮองเฮาใช้ให้มาทำการทั้งนี้ ขอให้เอาตัวเกียงฮวนเข้าไปสอบกันกับเกียงฮองเฮา เห็นว่า เกียงฮองเฮาจะรับเป็นสัตย์ พระเจ้าติวอ๋องเห็นชอบด้วย จึงสั่งอุยบู๊ ไต้เจียงกุ๋นขุนนางนายตำรวจ ให้เตียวฉาน เตียวหลุย คุมตัวเกียงฮวนเข้าไปถามสอบกันกับเกียงฮองเฮาเอาความจริงให้จงได้ อุยบู๊ ไต้เตียงกุ๋น รับสั่งแล้วรีบมาให้ผู้คุมพาเกียงฮวนเข้าไป ณ ตึกที่ทำโทษเกียงฮองเฮา
ฝ่ายนางอึ้งกุยหุย ผู้คุมพาเกียงฮวนเข้ามาคำนับ จึงบอกนางเกียงฮองเฮาว่า โจทก์ของท่านมีรับสั่งให้คุมเข้ามา จะให้สอบกับท่านแล้ว นางเกียงฮองเฮาได้ยินดังนั้นก็โกรธ ลืมตาข้างหนึ่งขึ้นเห็นเกียงฮวน จึงด่าเกียงฮวนว่า อ้ายขโมย มึงรับสินบนของผู้ใด มึงจึงแกล้งเอาความเท็จมาใส่ให้พระเจ้าติวอ๋องลงโทษกูถึงเพียงนี้ ผีสางเทวดาก็หาเข้าชอบด้วยมึงไม่ เกียงฮวนจึงแกล้งว่า ท่านใช้ข้าพเจ้าให้ทำร้ายพระเจ้าติวอ๋อง ข้าพเจ้าทำการหาสำเร็จตามท่านสั่งไม่ มีผู้จับได้ โทษข้าพเจ้าถึงที่ตายอยู่แล้ว ขอท่านจงถวายความจริงเถิด อย่าพรางไว้ให้พระเจ้าติวอ๋องทรงพระโกรธมากไปเลย นางอึ้งกุยหุยได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงด่าเกียงฮวนว่า มึงแกล้งใส่ความเกียงฮองเฮาจนพระมหากษัตริย์ให้ทำโทษถึงสาหัสฉะนี้ ผีสางเทวดาก็จะอาเพศให้มีผู้มาฆ่ามึงเสีย ถ้ามึงมิตาย ก็จะบันดาลให้มึงเป็นอันตรายต่าง ๆ
ฝ่ายอินเฮากับอินหอง พี่น้องสองคนซึ่งเป็นบุตรนางเกียงฮองเฮา อยู่ ณ ตำหนักตึกฝ่ายตะวันออก อินเฮาผู้พี่ชายอายุสิบสี่ขวบ อินหองผู้น้องอายุสิบสองขวบ ขณะเมื่อเกียงฮองเฮาผู้มารดาต้องโทษนั้น พี่น้องทั้งสองเล่นหมากรุกกันอยู่ มิได้แจ้งความ พอเอียวหยง ขันทีซึ่งเป็นคนใช้นางเกียงฮองเฮา ไปบอกว่า มารดาต้องโทษ รับสั่งให้ควักตาเสีย อินเฮา อินหอง แจ้งดังนั้นก็ตกใจ พากันลงจากตึกวิ่งมาถึงตำหนักข้างตะวันตก เห็นมารดาต้องควักตาเลือดไหลหยดย้อยอยู่ ก็เข้าไปคำนับ ร้องไห้ถามว่า โทษมารดาผิดเป็นประการใดจึงมาเป็นดังนี้ นางเกียงฮองเฮาได้ยินเสียงบุตรทั้งสอง จึงอุตส่าห์ลืมตาขึ้นบอกว่า อ้ายเกียงฮวนมันแกล้งมาใส่โทษว่า แม่คิดกบฏต่อบิดาเจ้า อีขันกีมันซ้ำทูลยุยง บิดาเจ้าโกรธ ให้ควักตาแม่เสีย ความเจ็บแม่ครั้งนี้เป็นสาหัส เห็นจะไม่รอดชีวิต เจ้าเป็นชายเชื้อกษัตริย์ อย่าให้เสียแรงแม่เลี้ยงมา จงคิดแก้แค้นให้จงได้ คำแม่สั่งเจ้าอย่าลืม นางเกียงฮองเฮาว่าพอขาดคำก็ขาดใจตาย อินเฮา อินหอง เห็นมารดาตายก็ร้องไห้ แล้วแลไปเห็นเกียงฮวนคุกเข่าอยู่ อินเฮาไม่รู้จัก จึงถามนางอึ้งกุยหุยผู้เป็นมารดาเลี้ยงว่า ผู้ใดชื่อ เกียงฮวน นางอึ้งกุยหุยจึงชี้มือบอกว่า อ้ายคนร้ายคนนี้แลชื่อ เกียงฮวน ซึ่งเป็นโจทก์ของมารดาเจ้า อินเฮาแจ้งดังนั้นก็โกรธ พอแลไปเห็นกระบี่แขวนอยู่ ณ ประตูตึกข้างตะวันตก อินเฮาจึงไปเอากระบี่มาฟันเกียงฮวนตัวขาดออกเป็นสองท่อน แล้วร้องว่า กูจะไปฆ่าอีขันกีแก้แค้นแม่กูเสียให้จงได้ แล้วถือกระบี่วิ่งออกไปจากตึก นางอึ้งกุยหุยเห็นอินเฮาร้องว่า จะไปฆ่าอีขันกี ก็ตกใจ จึงให้อินหองสิ่งตามไปเรียกอินเฮากลับมา แล้วว่า ซึ่งเจ้าทำโดยโมโหฆ่าเกียงฮวนเสียฉะนี้ผิดนัก ถ้าเกียงฮวนยังมิตาย แม่จะเอาตัวมันเข้าโอบเสาทองแดงนาบตัวมันถามเอาความจริง มันทนร้อนมิได้ก็จะบอกตัวผู้ซึ่งทำคิดให้การใส่โทษมารดาเจ้า แม่จะได้กราบทูลให้พระบิดาเจ้าทราบ มารดาเจ้าจึงจะพ้นที่ความชั่ว ยังมิทันจะได้ชำระความจริง เจ้าด่วนฆ่ามันตายตัดความเสียฉะนี้ คนทั้งปวงก็จะนินทาว่า มารดาเจ้าคิดให้ทำร้ายบิดาของเจ้าจริง และเจ้าไม่ตรึกตรองทำโดยโกรธจะไปฆ่านางขันกีเสียอีกเล่า ความผิดเป็นสองโทษ ถ้าเตียวฉาน เตียวหลุย นำเนื้อความทั้งนี้ไปกราบทูลขึ้น เห็นเจ้าจะเป็นโทษ
ขณะเมื่ออินเฮาฆ่าเกียงฮวนนั้น เตียวฉานกับเตียวหลุยตกใจวิ่งไปกราบทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า อินเฮา อินหอง พระราชบุตรของพระองค์ ถือกระบี่เข้ามาฆ่าเกียงฮวน โจทก์เกียงฮองเฮา เสียแล้ว พระเจ้าติวอ๋องได้ยินดังนั้นก็ทรงพระโกรธ จึงตรัสว่า เกียงฮวน โจทก์ มันยืนเอาว่า เกียงฮองเฮาใช้มาทำร้ายกู เกียงฮองเฮาไม่รับ เนื้อความยังชำระสอบสวนกันอยู่ อินเฮาบังอาจเข้ามฆ่าเกียงฮวน โจทก์ เสีย หวังจะให้ความสูญ โทษมันถึงตายแล้ว พระเจ้าติวอ๋องหยิบกระบี่ชื่อ เหลงหองเกี้ยม ส่งให้เตียวฉาน แล้วสั่งว่า จงรีบไปตัดเอาศีรษะอ้ายสองคนมาให้จงได้ จึงชอบด้วยกฎหมาย เตียวฉาน เตียวหลุย รับสั่งแล้วถือกระบี่รีบมาถึงไซเก๋ง ที่อยู่นางอึ้งกุยหุย จึงให้ฮองงีกั๋วเข้าไปบอกแก่นางอึ้งกุยหุยตามรับสั่ง นางอึ้งกุยหุยได้ยินดังนั้นจึงซ่อนอินเฮา อินหอง ไว้ในตึก แล้วลุกถลันออกไปถึงประตูตึก แลเห็นเตียวฉาน เตียวหลุย ถือกระบี่เหลงหองเกี้ยมมา จึงแกล้งถามว่า ท่านทั้งสองมาหาเรา จะว่าประการใดหรือ เตียวฉานจึงว่า มีรับสั่งให้เอากระบี่เหลงหองเกี้ยมมาตัดศีรษะอินเฮา อินหองพระราชบุตรทั้งสอง ไปถวาย ตามโทษที่องอาจถือกระบี่เข้ามาในพระราชวัง นางอึ้งกุยหุยจึงร้องตวาดว่า มีรับสั่งให้ตัวไปตามจับอินเฮา อินหอง เหตุใดจึงมิไปค้นหาที่อยู่อินเฮา อินหอง เล่า ตัวล่วงเกินเข้ามาถึงตึกเรา หาว่าตัวถือรับสั่งมา หาไม่จะให้ลงโทษ เตียวฉาน เตียวหลุย ได้ฟังดังนั้นก็กลัว คำนับลารีบไปค้นหาอินเฮา อินหอง ณ ตึกตะวันออก นางอึ้งกุยหุยเห็นเตียวฉาน เตียวหลุย ไปแล้ว จึงกลับเข้ามาในตึก ร้องไห้บ่านว่า พระเจ้าติวอ๋องลุ่มหลงเชื่อฟังขันกี ให้ฆ่าพระมเหสีเสียแล้ว จะฆ่าลูกทั้งสองเสียอีกเล่า นางอึ้งกุยหุยจึงสั่งอินเฮา อินหอง ว่า เจ้าไปซ่อนตัวอยู่ในตึกเอียวกุยหุยอยู่สักวันหนึ่งสองวันฟังความดูก่อน เกลือกว่าจะมีผู้ช่วยเพ็ดทูลเบี่ยงบ่ายให้ทุเลาโทษลงบ้าง อินเฮา อินหอง คำนับแล้วว่า ซึ่งท่านกรุณาข้าพเจ้าครั้งนี้ คุณของท่านหาที่สุดมิได้ แม้นข้าพเจ้ามิตาย จะขอมาสนองคุณท่าน ข้าพเจ้าคิดวิตกแต่ศพมารดาข้าพเจ้าซึ่งตายในโทษ ขอท่านจงกรุณาช่วยกราบทูลขอศพมารดาข้าพเจ้าฝังเสีย ข้าพเจ้าจึงจะวายความวิตก นางอึ้งกุยหุยจึงว่า เจ้าจงเร่งไปซ่อนเร้นเอาชีวิตรอดเถิด ศพมารดาเจ้านั้นแม่จะช่วยทูลให้ทำการฝังเสีย อย่าวิตกเลย อินเฮา อินหอง ก็คำนับลานางอึ้งกุยหุยไปยังตึกเอียวกุยหุย
ฝ่ายนางเอียวกุยหุยซึ่งเป็นมเหสีรองรู้ข้าวว่า พระเจ้าติวอ๋องให้ลงโทษเกียงฮองเฮา นางเอียวกุยหุยยังไม่แจ้งว่า ความจะหนักเบาประการใด จึงออกมายืนฟังความอยู่ ณ ประตูตึก พอเห็นอินเฮา อินหอง วิ่งเข้ามาคำนับแล้วร้องไห้ นางเอียวกุยหุยยังไม่รู้ความจึงถามว่า พี่น้องทั้งสองมาหาเราแล้วร้องไห้ ผู้ใดทำให้ได้ความแค้นเคืองหรือ อินเฮา อินหอง จึงเล่าความให้ฟังแล้วว่า บัดนี้ พระบิดาโกรธข้าพเจ้า สั่งให้เตียวฉาน เตียวหลุย มาเที่ยวค้นหา จะจับตัวข้าพเจ้าทั้งสองไปฆ่าเสีย นางเอียวกุยหุยได้แจ้งความดังนั้นก็ตกใจ จึงให้พี่น้องทั้งสองคนเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในตึก แล้วคิดว่า เตียวฉานจะเที่ยวหาพี่น้องทั้งสอง ณ ตึกเกียงฮองเฮาไม่พบแล้ว เห็นจะกลับมาตึกเราเป็นมั่นคง นางเอียวกุยหุยก็ยืนคอยอยู่ประตูตึก พอแลเห็นเตียวฉาน เตียวหลุย วิ่งเร็วมา นางเอียวกุยหุยจึงแกล้งร้องสั่งผู้เฝ้าตึกว่า อ้ายสองคนนี้มาแต่ไหน จึงล่วงเกินเข้ามาถึงที่ห้าม โทษถึงตาย ให้จับตัวไว้
ฝ่ายเตียวฉาน เตียวหลุย มาถึงหน้าตึก ได้ยินนางเอียวกุยหุยว่าดังนั้นก็ตกใจหยุดยืนอยู่ จึงบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อ เตียวฉาน เตียวหลุย เที่ยวหาตัวอินเฮา อินหอง เตียวฉานจึงเล่าความตามรับสั่งทุกประการ แล้วว่า ซึ่งข้ามิได้คำนับท่าน เพราะข้าพเจ้าถือรับสั่งอยู่ นางเอียวกุยหุยจึงร้องตวาดออกไปว่า อินเฮา อินหอง บุตรเกียงฮองเฮา อยู่ตึกข้างตะวันออก เหตุใดตัวมิไปค้นหา จึงล่วงเข้ามาถึงตึกเราฉะนี้ แม้นมิคิดว่าตัวถือรับสั่ง จะให้ลงโทษจงสาหัส เตียวฉาน เตียวหลุย ได้ยินดังนั้นก็กลับถอยออกมาพากันไปค้นหาพระราชบุตรทั้งสอง ณ ตึกตะวันออก
ฝ่ายนางเอียวกุยหุย ครั้นเห็นเตียวฉาน เตียวหลุย ไปแล้ว ก็กลับเข้ามาในตึก จึงว่าแก่อินเฮา อินหอง ผู้บุตรเลี้ยง ว่า เจ้าอยู่ในตึกนี้เราเห็นจะหาพ้นไม่ จงไปซ่อนตัวอยู่ ณ ที่เสด็จออกคอยขุนนางเชื้อวงศ์เคยมาเตรียมเฝ้า ให้ช่วยเพ็ดทูลขอโทษ ถึงพระบิดาของเจ้าจะโกรธประการใด ปิกันกับเชื้อวงศ์ก็จะช่วยทูลทัดทานไว้มิให้เป็นอันตราย นางเอียวกุยหุยก็ส่งอินเฮา อินหอง ออกไปอยู่ ณ ที่เสด็จออก จึงคิดวิตกว่า เกียงฮองเฮามีบุตรถึงสองคน พระเจ้าติวอ๋องมิได้มีกรุณาเพราะหลงด้วยนางขันกีทูลยุยงให้ทำโทษถึงสิ้นชีวิต แล้วจะให้จับบุตรทั้งสองคนไปฆ่าเสียอีกเล่า แต่เรามาเป็นมเหสีรองก็ปลายปีแล้ว มิได้มีบุตรหญิงชาย ตัวผู้เดียวหาที่พึ่งมิได้ ถ้านางขันกีรู้ว่า เราส่งอินเฮา อินหอง ออกไปเสียฉะนี้ เห็นจะทูลยุยงให้พระเจ้าติวอ๋องทำโทษเหมือนนางเกียงฮองเฮาเป็นมั่นคง คัร้นจะมีชีวิตอยู่สู้ทนอาญา ก็จะได้ความลำบากนัก นางเอียวกุยหุยก็ลุกเดินเข้าไปในห้อง ประกอบยาพิษกินเข้าไปก็สิ้นชีวิต
ฝ่ายฮองงีกั๋ว พนักงานรักษาตึก รู้ว่า นางเอียวกุยหุยตาย ก็ไปทูลพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องจึงสั่งให้ทำการฝังศพตามตำแหน่งมเหสีรอง ฝ่ายเตียวฉาน เตียวหลุย ครั้นเที่ยวค้นหาพระราชบุตรทั้งสองไม่พบ แล้วกลับมาเฝ้าทูลว่า ข้าพเจ้าไปค้นทุกตึกข้างตะวันตกตะวันออกแล้วหาพบไม่ พระเจ้าติวอ๋องจึงสั่งให้ไปค้นหาอ้ายสองคนเอาตัวให้จงได้ เตียวฉาน เตียวหลุย ก็คำนับลาไปค้นหาตามรับสั่ง
ฝ่ายนางอึ้งกุยหุยจึงขึ้นไปเฝ้าพระเจ้าติวอ๋องแล้วทูลว่า เกียงฮองเฮาซึ่งรับอาญาถึงสิ้นชีวิต เมื่อนางเกียงฮองเฮาจะตายนั้นร้องประกาศไว้ว่า แต่นางเกียงฮองเฮาเป็นมเหสีของพระองค์ถึงสิบหกปี มีบุตรสองคน เกียงฮองเฮาก็ตั้งใจจงรักภักดี มิได้คิดเป็นใจสอง ครั้งนี้ เกียงฮวนเอาความเท็จมาใส่โทษให้พระองค์ขัดเคือง ถึงจะมีบุตรก็หาเป็นที่พึ่งไม่เหมือนเมฆอันลอยเลื่อนไปในอากาศ ความซื่อตรงซึ่งได้ตั้งใจปฏิบัติพระองค์มาแต่ก่อนก็ละลายไหลไปเสียเหมือนดังน้ำ แล้วก็ตายลงในอาญาครั้งนี้ก็เวทนาเหมือนศพสัตว์เดียรัจฉาน ไม่ควรจะเป็นถึงเพียงนี้ แล้วนางจึงทูลว่า ข้าพเจ้าจะขอศพนางเกียงฮองเฮาไปฝังไว้ ณ แปะเตี้ยนตามตำแหน่งที่ฝังศพพระมเหสี ขุนนางทั้งปวงจึงจะไม่มีความนินทา พระเจ้าติวอ๋องก็โปรดพระราชทานศพนางเกียงฮองเฮาให้นางอึ้งกุยหุย นางอึ้งกุยหุยก็คำนับลามาทำการฝังศพตามรับสั่ง
ฝ่ายอินเฮา อินหอง ซึ่งมาอาศัยซ่อนเร้นอยู่ที่เสด็จออก เห็นขุนนางซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์มานั่งอยู่เป็นหลายคน ก็เข้าแฝงลับและคอยฟังความอยู่
ขณะนั้น อึ้งป่วยฮอซึ่งเป็นบู๊เสงอ๋องยืนอยู่ที่เชิงอัฒจันทร์ ได้ยินฝีเท้าคนเดินข้างหลังจึงเหลียวไปดู พอเห็นพระราชบุตรทั้งสอง อึ้งป่วยฮอก็เข้าไปรับ อินเฮา อินหอง ก็เข้ายึดชายเสื้ออึ้งป่วยฮอไว้ แล้วกระทืบเท้าร้องไห้เล่าความแต่หลังให้ฟังทุกประการ แล้วว่า นางขันกีแกล้งทูลยุยงให้พระบิดาทำโทษมารดาข้าพเจ้าตาย บัดนี้ เตียวฉาน เตียวหลุย ตามจับตัวข้าพเจ้าจะเอาไปฆ่าเสีย ขอท่านจงกรุณาช่วยชีวิตข้าพเจ้าครั้งนี้ให้รอดจากความตาย อึ้งป่วยฮอกับขุนนางเชื้อพระวงศ์ทั้งปวงได้ฟังพระราชบุตรทั้งสองเล่าความดังนั้นต่างคนสงสารนัก กลั้นน้ำตามิได้ จึงปรึกษากันว่า พระเจ้าติวอ๋องทำโทษพระมเหสีจนตายแล้ว จะฆ่าพระราชบุตรซึ่งสืบเชื้อพระวงศ์กษัตริย์เสียด้วยเล่า ปรึกษากันยังมิทันจะขาดคำ พอมีขุนนางสองคนพี่น้องชื่อ ปึงเป๊ก น้องชายชื่อ ปึงเสี้ยง ได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงว่า บัดนี้ พระเจ้าติวอ๋องพระสติฟั่นเฟือนเพราะเชื่อฟังนางขันกีจะให้จับพระราชบุตรทั้งสองฆ่าเสีย เห็นจะสิ้นเชื้อพระวงศ์ต้องกับคำทำนายหุนต๋งจู๊ ถึงจะทูลขอโทษก็เห็นจะไม่โปรดให้ ข้าพเจ้าจะพาพระราชบุตรไปซ่อนเร้นไว้ให้พ้นโทษ ปึงเป๊กก็เข้าอุ้มอินเฮา ปึงเสี้ยงอุ้มอินหอง พาวิ่งหนีออกจากประตูเมืองหลวงข้างทิศใต้
ฝ่ายปิกันกับขุนนางทั้งปวงเห็นดังนั้นจึงว่ากับอึ้งป่วยฮอว่า ปึงเป๊ก ปึงเสี้ยง พาพระราชบุตรหนีไปฉะนี้ เหตุใดท่านมิว่ากล่าวห้ามปราม อึ้งป่วยฮอจึงว่า บรรดาขุนนางทั้งปวงนี้จะหาน้ำใจเหมือนปึงเป๊ก ปึงเสี้ยง นั้นไม่ได้ ด้วยปึงเป๊ก ปึงเสี้ยง เห็นว่า พระเจ้าติวอ๋องทรงพระโกรธพระราชบุตรทั้งสองงอยู่ จึงพาหนีไปเสียพอรอดชีวิต เพราะคิดว่า จะให้พระราชบุตรสืบเชื้อพระวงศ์ไปภายหน้า
ขณะนั้น พอเตียวฉาน เตียวหลุย ถือกระบี่ออกมาจากวัง ถามขุนนางทั้งปวงว่า พระราชบุตรทั้งสองเข้ามาอยู่ที่เสด็จออกบ้างหรือ อึ้งป่วยฮอบอกว่า เมื่อกี้ พระราชบุตรทั้งสองมาร้องไห้อ้อนวอนให้เราช่วยทูลขอโทษ พอปึงเป๊ก ปึงเสี้ยง เข้ามาพาหนีไปทางประตูทิศใต้แล้ว เตียวฉาน เตียวหลุย ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงเข้าไปทูลพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องก็ทรงพระโกรธ จึงตรัสสั่งเตียวฉานจงเอากระบี่เหลงหองเกี้ยมไปส่งให้อึ้งป่วยฮอเร่งตามไปตัดเอาศีรษะอินเฮา อินหอง มาให้จงได้ เตียวฉานรับสั่งแล้วออกมาส่งกระบี่เหลงหองเกี้ยมให้แก่อึ้งป่วยฮอ แล้วแจ้งความตามรับสั่ง อึ่งป่วยฮอก็รับกระบี่อาญาสิทธิ์ออกจากวังขึ้นขี่โคห้าสีมีกำลังเดินทางได้วันละหมื่นเส้น อึ้งป่วยฮอก็รีบตามปึงเป๊ก ปึงเสี้ยง ไป
ฝ่ายปึงเป๊ก ปึงเสี้ยง แบกพระราชบุตรหนีออกจากเมืองหลวงไปทางไกลประมาณร้อยยี่สิบห้าเส้นเศษ ถึงต้นไม้ใหญ่ริมทาง จึงความพระราชบุตรทั้งสองลง พอแลไปข้างต้นทางเห็นอึ้งป่วยฮอตามาทัน ก็ตกใจคุกเข่าลงคำนับ อึ้งป่วยฮอจึงลงจากหลังโค บอกแก่พระราชบุตรทั้งสองว่า บัดนี้ พระบิดาของท่านให้ข้าพเจ้าถือกระบี่เหลงหองเกี้ยมมาตัดศีรษะท่านไปถวาย อินเฮา อินหอง ได้ฟังดังนั้นก็คำนับแล้วร้องไห้วอนขอชีวิตว่า พระบิดาข้าพเจ้าเชื่อคำคนยุยงฆ่ามารดาข้าพเจ้าเสีย แล้วจะให้ฆ่าข้าพเจ้าเสียเล่า ข้าพเจ้าหาที่พึ่งมิได้ เห็นแต่ท่านจะช่วยคิดอ่านให้ข้าพเจ้ารอดจากความตาย อึ้งป่วยฮอได้ฟังดังนั้นก็มีความสงสารนัก จึงว่า พระเจ้าติวอ๋อง บิดาของท่าน หลงเชื่อฟังนางขันกีให้ฆ่าโต้ไทสือ ปวยเป๊ก ขุนนางผู้ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน แล้วให้ทำโทษมารดาท่านจนสิ้นชีวิต พระบิดาท่านทำการผิดประเพณีกษัตริย์ ขุนนางทั้งปวงได้ความเดือดร้อนนัก ข้าพเจ้าเห็นว่า สมบัติในเมืองจิวโก๋จะเป็นอันตราย บัดนี้ มีรับสั่งให้ข้าพเจ้ามาตามจับตัวท่าน ข้าพเจ้าขัดมิได้จึงจำใจมา ขอท่านอย่าทุกข์ร้อนเลย ข้าพเจ้ามิได้ทำอันตรายท่าน ท่นจงไปหาเกียงฮวนฌ้อ เจ้าเมืองตังลู้ ผู้เป็นตาของท่าน เร่งคิดการมากำจัดขันกีเสียให้จงได้ อึ้งป่วยฮอจึงเรียกปึงเป๊ก ปึงเสี้ยง เข้ามาสั่งว่า ให้ปึงเป๊กเชิญอินเฮา พระราชบุตรผู้พี่ ไปเมืองตังลู้ ให้ปึงเสี้ยงเชิญอินหอง พระราชบุตรผู้น้อง ไปหางกจงอู๊ เจ้าเมืองนำเป๊กเฮา ท่านทั้งสองช่วยทำนุบำรุงรักษาอย่าให้พระราชบุตรทั้งสองมีอันตราย ไปภายหน้าท่านจะมีความชอบเป็นอันมาก อึ้งป่วยฮอจึงแก้วงทองประดับด้วยแก้วเป็นเครื่องสำหรับขุนนางผู้ใหญ่ส่งให้ปึงเป๊ก ปึงเสี้ยง แล้วว่า ท่านจงเอาไปขายจ่ายซื้อเลี้ยงพระราชบุตรทั้งสองไปกว่าจะถึงเมืองตังลู้เถิด อึ้งป่วยฮอจึงขับให้ขุนนางทั้งสองพาพระราชบุตรรีบหนีไป แล้วอึ้งป่วยฮอขึ้นขี่โคกลับมาเมืองหลวง จึงเข้าไปทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า ข้าพเจ้าไปตามพระราชบุตรทั้งสองทางไกลแปดร้อยเส้นเศษ ถึงหนทางเป็นสามแพร่ง ถามผู้ซึ่งเดินไปมาบอกว่า มิได้พบ ข้าพเจ้าจึงกลับมาเฝ้า พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า เวลาก็ค่ำแล้ว จงกลับไปบ้านก่อนเถิด พรุ่งนี้จึงเข้ามาคิดกันใหม่ ติดตามเอาตัวอ้ายสองคนมาฆ่าเสียให้จงได้ อึ้งป่วยฮอก็คำนับลาไปบ้าน
ฝ่ายนางขันกีรู้ว่า อินเฮา อินหอง หนีไปได้ดังนั้น จึงทูลว่า อินเฮา อินหอง เป็นหลายเกียงฮวนฌ้อ เห็นว่า อินเฮา อินหอง จะไปเมืองตังลู้ ขอให้อินโภ้ไป้กับหลุยไขคุมทหารสักสามพันยกตามไปในเพลากลางคืน เห็นจะทันอินเฮา อินหอง กลางทางเป็นมั่นคง พระเจ้าติวอ๋องก็เห็นชอบด้วย จึงเสด็จออกให้หาอินโภ้ไป้กับหลุยไขเข้ามาสั่งว่า ท่านทั้งสองจงคุมทหารสามพันไปทางเมืองตังลู้ จับเอาตัวอินเฮา อินหอง มาให้จงได้ นายทหารทั้งสองรับสั่งแล้วคำนับลาไปหาอึ้งป่วยฮอขอทหารสามพันยกไป
ฝ่ายปึงเป๊ก ปึงเสี้ยง เชิญพระราชบุตรทั้งสองไปได้ถึงสองวัน ถึงต้นทางแยก ปึงเป๊ก ปึงเสี้ยง คิดกลัวทหารเมืองจิวโก๋จะตามมาจับตัว จึงบอกแก่พระราชบุตรทั้งสองว่า ทางเหนือนี้เป็นทางจะไปเมืองตังลู้ ทางใต้ไปเมืองนำเป๊กเฮา ท่านจงไปเถิด ข้าพเจ้าจะลาเที่ยวอยู่ในซอกห้วยธารเขาคอยฟังข่าว ถ้าท่านได้ทแกล้วทหารจะยกมาถึงเมืองจิวโก๋เมื่อใด ข้าพเจ้าจึงจะมาช่วย ปึงเป๊ก ปึงเสี้ยง ก็ทิ้งพระราชบุตรทั้งสองเสีย แล้วเข้าป่าไป
ฝ่ายอินเฮา อินหอง ครั้นปึงเป๊ก ปึงเสี้ยง ไปแล้ว จึงว่ากับอินหองผู้น้องว่า พี่จะไปเมืองตังลู้ เจ้าจงไปเมืองนำเป๊กเฮาตามคำอึ้งป่วยฮอบอกมา ถ้าเราทั้งสองได้ทแกล้วทหารเป็นกำลังแล้ว จะได้ยกเป็นสองทัพมาจับขันกีฆ่าเสีย แก้แค้นแทนมารดาเราให้จงได้ อินเฮา อินหอง ให้สัญญากันแล้วต่างคนแยกกันไป
ฝ่ายอินหองเดินตามทางอดข้าวปลาอาหารได้ความลำบากมาหลายเวลา ถึงบ้านตำบลหนึ่ง ก็เข้าไปขอข้าวชาวบ้านกิน ชาวบ้านป่าเห็นเด็กผู้นั้นนุ่งห่มแดง รูปร่างงามผ่องใส จึงเชิญให้นั่งที่สมควร แล้วแต่งสำรับกับข้าวมาให้กิน อินหองกินข้าวอิ่มแล้วจึงว่าแก่ชาวบ้านว่า ท่านให้อาหารเรากินเมื่ออดอยาก ขอบคุณท่านนัก ถ้าเรามิตาย จะกลับมาแทนคุณ ชาวบ้านได้ฟังเด็กนั้นพูดจาหลักแหลม จึงถามถึงแซ่และชื่อ อินหองจึงบอกว่า เราเป็นบุตรเจ้าเมืองจิวโก๋ จะไปหางกจงอู๊ และทางที่จะไปเมืองนำเป๊ก้เฮาจะใกล้ไกลประการใด ชาวบ้านรู้ว่า เป็นพระราชบุตรพระเจ้าติวอ๋อง ต่างคนตกใจคุกเข่าลงคำนับแล้วบอกว่า หนทางจะไปเมืองนำเป๊กเฮายังทางอีกวันหนึ่งจึงจะถึงเมืองนำเป๊กเฮา อินหองแจ้งความดังนั้นจึงลาชาวบ้านเดินตามทางใหญ่ไปประมาณสามสิบเจ็ดเส้น ถึงต้นสนใหญ่ มีศาลเทพารักษ์อยู่ใต้ต้นสน พอเพลาเย็นลง จึงแวะเข้าไปคำนับเทพารักษ์แล้วว่า ข้าพเจ้าเป็นหลานพระเจ้าเสี่ยงทาง เป็นลูกพระเจ้าติวอ๋อง จะขออาศัยสำนักนอนอยู่ที่นี้ ขออย่าให้มีภัยอันตราย สืบไปภายหน้า ถ้าข้าพเจ้าได้เป็นกษัตริย์ครองเมืองหลวงแล้ว จะมาปลูกศาลให้ใหญ่กว้าง อินหองว่าแล้วก็นอนอยู่ในศาลเทพารักษ์นั้น
ฝ่ายอินเฮาเดินมาทางทิศตะวันออกจะไปเมืองตังลู้ เดินทางมาได้หกร้อยยี่สิบห้าเส้น ถึงบ้านตำบลหนึ่ง พอเพลาพลบค่ำ อินเฮาจึงแวะเข้าไปในบ้าน เห็นตึกใหญ่ก็เข้าไปในตึก มิได้เห็นผู้คน เงียบสงัดอยู่ อินเฮาก็เดินเข้าไปถึงหอหนังสือ เห็นผู้เฒ่าคนหนึ่งนั่งดูหนังสืออยู่ เป็นเวลาค่ำจำหน้ามิถนัด อินเฮาจึงร้องบอกเข้าไปว่า ข้าพเจ้าเดินทางไกลมา จะขออาศัยนอน พอรุ่งเช้าจึงจะลาไป
ฝ่ายเสี่ยงหยงนั่งตามตะเกียงดูหนังสืออยู่ ได้ยินเสียงร้องเข้ามาเป็นเสียงชาวเมืองจิวโก๋ จึงเหลียวไปดู อินเฮาเห็นหน้าก็รู้จักจำได้ว่าเสี่ยงหยง อินเฮาก็ตรงเข้าไปหาเสี่ยงหยง เสี่ยงหยงเห็นอินเฮาก็ตกใจ จึงคำนับเชิญเข้าไปในตึกหอหนังสือ ให้นั่งที่สมควร แล้วถามว่า บ้านเมืองเกิดเหตุประการใด ท่านจึงมาแต่ผู้เดียวฉะนี้ อินเฮาจึงร้องไห้บอกความแต่หลังให้เสี่ยงหยงฟังทุกประการ เสี่ยงหยงจึงว่า เหตุการณ์เกิดถึงเพียงนี้ ขุนนางทั้งปวงไม่ช่วยกันทูลทัดทาน พากันนิ่งเสีย จนท่านได้ความทุกข์หนีซอกซอนมาถึงข้าพเจ้า เสี่ยงหยงจึงให้คนใช้ยกโต๊ะมาให้อินเฮากิน เสี่ยงหยงกับอินเฮานั่งกินโต๊ะพูดจากันอยู่
ฝ่ายอินโภ้ไป้กับหลุยไขคุมทหารสามพันยกตามพระราชบุตรทั้งสองมาได้สามวัน ถึงต้นทางแยก หลุยไขจึงปรึกษากับอินโภ้ไป้ว่า เราทั้งสองเร่งรีบทหารให้เดินทางมาโดยด่วน ทหารป่วยเจ็บเมื่อยล้าเป็นอันมาก บัดนี้ ทางเป็นสองแพร่งอยู่ จำจะแยกกันไปติดตามพระราชบุตรทั้งสองกองละทาง ถ้าผู้ใดจับพระราชบุตรได้ ให้มาคอยกันให้พร้อม ณ ต้นทางนี้ก่อน ท่านจะเห็นประการใด อินโภ้ไป้ก็เห็นชอบด้วย จึงจัดทหารที่มีกำลังกองละห้าสิบคน ให้หลุยไขไปทางทิศใต้ อินโภ้ไป้ยกมาทางทิศตะวันออก
ฝ่ายหลุยไขเร่งรีบตามทางทิศใต้มาจนเพลาค่ำ จึงให้ทหารจุดคบเพลิงเดินทางไปจนเพลาสองยาม ถึงตำบลหนึ่งมีต้นสนใหญ่ ศาลเทพารักษ์อยู่ใต้ต้นไม่ หลุยไขจึงคิดว่า เวลานี้ก็ดึกแล้ว จำจะหยุดพักก่อน ต่อรุ่งเช้าจึงค่อยไป หลุยไขก็แวะเข้าไปที่ต้นสนใหญ่ จึงลงจากม้า ให้ทหารเอาคบเพลิงขึ้นไปส่งดูบนศาลเทพารักษ์ แลเห็นเด็กน้อยคนหนึ่งนอนหลับอยู่ ก็รู้จักว่า อินหอง พระราชบุตร หลุยไขดีใจนัก จึงปลุกอินหองขึ้น แล้วบอกว่า พระบิดารับสั่งให้ข้าพเจ้ามาตามเชิญท่านกลับเมืองหลวง อินหองตื่นขึ้นเห็นหลุยไขกับทหารจุดคบเพลิงล้อมอยู่ก็ตกใจ จึงว่า พระบิดาให้ท่านมาตามเรา หวังจะเอาตัวเราไปฆ่าเสีย เราก้แจ้งอยู่แล้ว หลุยไขจึงเชิญอินหองขึ้นม้ากลับมาถึงต้นทาง ยังมิได้เห็นอิโภ้ไป้กลับมา จึงหยุดคอยอินโภ้ไป้อยู่ตามคำที่ได้สัญญากันไว้
ฝ่ายอินโภ้ไป้รีบเร่งทหารไปทางทิศตะวันออก เดินทางมาได้สามวันถึงตำบลฮ่องหุ้น แล้วเดินไปอีกทางประมาณร้อยยี่สิบเส้นเศษ ถึงบ้านเสี่ยงหยง พอเพลาค่ำลง อินโภ้ไป้จึงคิดว่า จำจะเข้าไปคำนับเยี่ยมเยียนเสี่ยงหยงผู้เป็นนายเก่า จะได้อาศัยนอนสักคืนหนึ่ง รุ่งเช้าจึงจะตามพระราชบุตรสืบไป อินโภ้ไป้จึงลงจากม้าเดินเข้าไปในตึกที่เสี่ยงหยงอยู่ พอแลเห็นเสี่ยงหยงกับอินเฮาพระราชบุตรนั่งกินโต๊ะอยู่ก็ดีใจ เข้าไปคำนับเสี่ยงหยงแล้วว่า บัดนี้ มีรับสั่งให้ข้าพเจ้าตามมาเชิญพระราชบุตรกลับไปเมืองหลวง เสี่ยงหยงได้ยินอินโภ้ไป้บอกความดังนั้นก็โกรธ จึงว่า ในเมืองจิวโก๋นั้น ขุนนางฝ่ายทหารพลเรือนประมาณสี่ร้อยคน หาผู้ใดจะกตัญญูช่วยเพ็ดทูลทัดทานไม่ พากันนิ่งเสียสิ้น จนพระเจ้าติวอ๋องรับสั่งให้ท่านมาตามจับพระราชบุตรไปทำโทษ ฉะนี้ไม่ควรนัก อินเฮาจึงว่าแก่เสี่ยงหยงว่า พระบิดาให้มาตามจับข้าพเจ้าไปฆ่าเสีย ครั้งนี้ ข้าพเจ้ามิได้เห็นหน้าผู้ใดที่จะช่วยเพ็ดทูลเบี่ยงบ่ายขอโทษให้รอดจากความตาย อินเฮาว่าแล้วก็ร้องไห้ เสี่ยงหยงจึงว่า ท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะเข้าไปช่วยทูลขอโทษท่าน เสี่ยงหยงจึงสั่งคนใช้ให้จัดแจงเสบียงอาหาร พรุ่งนี้จะเข้าไปเมืองจิวโก๋ อินโภ้ไป้จึงว่า รับสั่งใช้ข้าพเจ้ามาเป็นการเร็ว จะเชิญพระราชบุตรไปถวายก่อน เสี่ยงหยงได้ฟังดังนั้นจึงว่าแก่อินเฮาว่า ท่านจงไปกับอินโภ้ไป้ก่อนเถิด ข้าพเจ้าจึงจะตามไปภายหลัง อินโภ้ไป้ก็คำนับลาเสี่ยงหยง เชิญอินเฮา พระราชบุตร ขึ้นม้ากลับมาในเพลากลางคืน
ฝ่ายอินเฮามากับอินโภ้ไป้ คิดถึงอินหองผู้น้องว่า ถึงตัวเราจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต แต่วิตกอยู่แต่อินหองจะเป็นตายประการใดมิได้แจ้ง ว่าแล้วก็ร้องไห้ ขณะนั้น อินโภ้ไป้เชิญพระราชบุตรขี่ม้ามาในเพลากลางคืนจนรุ่ง ถึงต้นทางสองแพร่ง เห็นหลุยไขได้อินหองมาคอยอยู่ จึงเข้าไปหาหลุยไข หลุยไขเห็นอินโภ้ไป้ได้อินเฮา พระราชบุตรผู้พี่ มาถึงก็ดีใจ จึงว่า เดชบุญเราทั้งสองได้พระราชบุตรมาครั้งนี้สมความคิดแล้ว
ฝ่ายอินเฮาจึงยุดมืออินหองผู้น้องเข้าไว้ว่า เราทั้งสองกำพร้ามารดาแล้ว พระบิดาโกรธจะลงโทษถึงสิ้นชีวิต เราหาที่พึ่งมิได้ จะหนีไปพึ่งตาเล่า พระบิดาก็ให้ตามจับตัวเรามา เราทั้งสองจะตายด้วยอาญาครั้งนี้เป็นมั่นคง ว่าแล้วก็ร้องไห้รักกัน อิโภ้ไป้กับหลุยไขครั้นได้พระราชบุตรทั้งสองมาพร้อมกันแล้ว ก็เชิญขึ้นขี่ม้ากลับไปเมืองหลวง
ฝ่ายอึ้งป่วยฮอ ครั้นรู้ว่า มีรับสั่งให้อินโภ้ไป้กับหลุยไขตามไปจับพระราชบุตรทั้งสองดังนั้น ก็คิดวิตกอยู่ พอมีผู้เข้ามาบอกว่า อิโภ้ไป้กับหลุยไขจับพระราชบุตรทั้งสองมาถึงแลว อึ้งป่วยฮอก็ถอนใจใหญ่ คิดว่า เชื้อพระวงศ์พระเจ้าเสี่ยงทางเห็นจะสิ้นสูญเสียสมดังคำทำนายหุนต๋งจู๊ครั้งนี้แล้ว จำจะให้ประชุมขุนนางเชื้อพระวงศ์ทั้งปวงคอยเฝ้าทูลขอโทษพระราชบุตรทั้งสองไว้ จะได้สืบเชื้อพระวงศ์กษัตริย์ไปภายหน้า อึ้งป่วยฮอจึงสั่งทหารคนสนิทว่า เมื่อเราเข้าไปพร้อมอยู่กับขุนนางทั้งปวง ท่านทั้งสี่จงคอยดูท่วงที เราจะให้หน้ากระหยิบตาให้ทำประการใดจงทำตาม แล้วอึ้งป่วยฮอก็พาทหารทั้งสี่ลงจากตึกเข้าไปในวัง จึงให้คนใช้ไปหาขุนนางทั้งปวงให้เข้ามาเตรียมเฝ้า คนใช้ก็คำนับลาไปบอกอาเสี้ยงปิกัน หนึ่ง ปีจู๊ หนึ่ง กีจู๊ หนึ่ง ปีจู๊เค้ หนึ่ง ปิจู๊หิม หนึ่ง เป๊กหยี หนึ่ง ซกฉี หนึ่ง กาแกะ หนึ่ง เตียวคี หนึ่ง เอียวหยิม หนึ่ง ซุนอี๋น หนึ่ง บึงเทียนเจียก หนึ่ง หลีหัว หนึ่ง หลีซุย หนึ่ง ขุนนางสิบสี่คน เข้ามาพร้อมกัน ณ ที่เฝ้า อึ้งป่วยฮอเห็นขุนนางผู้น้อยผู้ใหญ่มาพร้อมแล้ว จึงว่า บัดนี้ พระเจ้าติวอ๋องมีรับสั่งให้อินโภ้ไป้กับหลุยไขไปตามจับพระราชบุตรมาได้ เราเห็นว่า พระเจ้าติวอ๋องจะให้ประหารชีวิตเสีย ท่านทั้งปวงจงช่วยกันทูลทัดทานขอชีวิตไว้ให้จงได้ อึ้งป่วยฮอกับขุนนางทั้งปวงยังปรึกษากันอยู่ พอเห็นอินโภ้ไป้กับหลุยไขเชิญพระราชบุตรเข้ามาถึงประตูวัง ขุนนางทั้งปวงต่างคนก็เข้าไปคำนับพระราชบุตรทั้งสอง อินเฮากับอินหองจึงร้องไห้ ว่าแก่ขุนนางและเชื้อพระวงศ์ทั้งปวงว่า จงช่วยทูลขอโทษเอาชีวิตข้าพเจ้าไว้ด้วย ปิจู๊เค้จึงว่า ขอท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้ากับเชื้อพระวงศ์และขุนนางทั้งปวงจะช่วยเพ็ดทูลเบี่ยงบ่ายขอโทษไว้ให้จงได้
ฝ่ายอินโภ้ไป้กับหลุยไขจึงให้ผู้คุมคุมพระราชบุตรทั้งสองไว้ แล้วก็ไปเฝ้า ณ ตำหนักที่พระบรรทม พระเจ้าติวอ๋องเห็นทหารทั้งสองมา จึงตรัสถามว่า อ้ายสองคนได่มาหรือไม่ อินโภ้ไป้กับหลุยไขจึงกราบทูลว่า ข้าพเจ้าไปตามพระราชบุตรหน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/137หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/138หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/139หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/140หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/141หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/142หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/143หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/144หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/145หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/146หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/147หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/148หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/149หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/150หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/151หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/152หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/153หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/154หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/155หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/156หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/157หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/158หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/159หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/160หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/161
หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/163หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/164หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/165หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/166หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/167หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/168หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/169
หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/171หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/172หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/173หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/174หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/175หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/176หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/177หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/178หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/179หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/180หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/181หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/182หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/183หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/184หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/185หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/186หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/187หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/188หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/189หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/190หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/191หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/192หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/193หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/194หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/195หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/196หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/197หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/198หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/199หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/200หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/201หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/202หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/203หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/204หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/205หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/206หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/207หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/208หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/209
หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/211หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/212หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/213หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/214หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/215หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/216หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/217หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/218หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/219หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/220หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/221หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/222หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/223หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/224หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/225หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/226หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/227หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/228หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/229หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/230หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/231หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/232หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/233หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/234หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/235หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/236หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/237หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/238หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/239หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/240หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/241หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/242หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/243หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/244หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/245หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/246หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/247หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/248หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/249หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/250หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/251หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/252หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/253หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/254หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/255หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/256หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/257หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/258หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/259หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/260หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/261หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/262หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/263หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/264หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/265หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/266หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/267หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/268หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/269หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/270หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/271หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/272หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/273หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/274หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/275หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/276หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/277หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/278หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/279หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/280หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/281หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/282หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/283หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/284หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/285หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/286หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/287หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/288หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/289หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/290หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/291หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/292หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/293หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/294หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/295หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/296หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/297หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/298หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/299หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/300หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/301หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/302หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/303หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/304หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/305หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/306หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/307หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/308หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/309หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/310หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/311หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/312หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/313หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/314หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/315หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/316หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/317หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/318หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/319หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/320หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/321หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/322หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/323หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/324หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/325หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/326หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/327หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/328หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/329หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/330หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/331หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/332หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/333หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/334หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/335หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/336หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/337หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/338หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/339หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/340หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/341หน้า:Hongsin 2506 (1).djvu/342
ห้องสิน |
เล่ม ๑ |