อนุสัญญาเจนีวาฉบับที่หนึ่ง

  • อนุสัญญาเจนีวา
  • เพื่อให้ผู้บาดเจ็บและป่วยไข้ในกองทัพ
  • ในสนามรบมีสภาวะดีขึ้น
  • ลงวันที่ ๑๒ สิงหาคม ค.ศ.๑๙๔๙ (พ.ศ.๒๔๙๒)
..........................

ผู้ลงนามข้างท้ายนี้ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจเต็มของรัฐบาลที่ได้มีผู้แทนไปในการประชุมทางการทูตที่ได้จัดขึ้น ณ กรุงเจนีวา ตั้งแต่วันที่ ๒๒ เมษายน ถึงวันที่ ๑๒ สิงหาคม ค.ศ.๑๙๔๙ โดยมีจุดมุ่งหมายในการแก้ไขปรับปรุงอนุสัญญาเจนีวา สำหรับการบรรเทาทุกข์ผู้บาดเจ็บและป่วยไข้ในกองทัพในสนามรบ ลงนามเมื่อ ๒๗ มิถุนายน ค.ศ.๑๙๒๙ ได้ตกลงกันดังต่อไปนี้

ส่วนที่ ๑
บททั่วไป
ข้อ ๑

บรรดาอัครภาคีผู้ทําสัญญารับที่จะเคารพและจะจัดประกันให้เคารพอนุสัญญาฉบับนี้ในทุกพฤติการณ์

ข้อ ๒

นอกจากบทบัญญัติที่จะต้องใช้บังคับในยามสงบแล้ว ให้ใช้อนุสัญญาฉบับนี้บังคับแก่บรรดากรณีสงครามที่ได้มีการประกาศ หรือกรณีพิพาทกันด้วยอาวุธอย่างอื่นใดซึ่งอาจเกิดขึ้นระหว่างอัครภาคีผู้ทําสัญญาสองฝ่ายหรือกว่านั้นขึ้นไป แม้ว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะมิได้รับรองว่ามีสถานะสงครามก็ตาม

อนุสัญญานี้ให้ใช้บังคับแก่บรรดากรณีการยึดครองอาณาเขตบางส่วนหรือทั้งหมดของอัครภาคีผู้ทําสัญญาด้วย แม้ว่าการยึดครองดังกล่าวจะมิได้ประสบการต่อต้านด้วยอาวุธก็ตาม

แม้ว่าประเทศที่พิพาทกันประเทศหนึ่งจะมิได้เป็นภาคีอนุสัญญานี้ก็ตามประเทศทีเป็นภาคียังคงมีความผูกพันกันตามอนุสัญญานี้ ในความสัมพันธ์ระหว่างกันและกัน ยิ่งกว่านั้น บรรดาประเทศดังกล่าวแล้ว ยังต้องมีความผูกพันตามอนุสัญญานี้ในความสัมพันธ์กับประเทศที่มีได้เป็นภาคีนั้นด้วย หากว่าประเทศนั้นยอมรับและใช้บทบัญญัติแห่งอนุสัญญานี้

ข้อ ๓

ในกรณีที่การพิพาทกันด้วยอารุธอันมิไดมีลักษณะเป็นกรณีระหว่างประเทศเกิดขึ้นในอาณาเขตของอัครภาคีผู้ทำสัญญาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ภาคีคู่พิพาทแต่ละฝ่ายมีความผูกพันที่จะต้องใช้บทบัญญัติต่อไปนี้เป็นอย่างน้อย คือ

ก. ผู้ซึ่งมิได้เข้าร่วมในการสู้รบโดยตรง รวมทั้งผู้สังกัดในกองทัพซึ่งได้วางอาวุธแล้ว และผู้ซึ่งถูกกันออกจากการต่อสู้ เพราะป่วยไข้ บาดเจ็บ ถูกกักคุม หรือเพราะเหตุอื่นใดก็ดี ไม่ว่าในพฤติการณ์ใด ๆ จะต้องได้รับการปฏิบัติด้วยมนุษยธรรม โดยไม่คำนึงถึงลักษณะความแตกต่างอันเป็นผลเสื่อมเสียเนื่องมาแต่เชื้อชาติ ผิว ศาสนาหรือความเชื่อถือ เพศ กำเนิด หรือความมั่งมี หรือเหตุอื่นใดที่คล้ายคลึงกัน

เพื่อการนี้ บรรดาการกระทําต่อไปนี้ แก่บุคคลดังกล่าวข้างต้น เป็นอันห้าม และคงห้ามต่อไปไม่ว่ากาละและเทศะใด คือ

(๑) การประทุษว้ายต่อชีวิตและร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การฆาตกรรมทุกชนิด การตัดทอนอวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใด การทําทารุณกรรม และการทรมาน
(๒) การจับตัวไปเป็นประกัน
(๓) การทําลายเกียรติยศแห่งบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิบัติให้เป็นที่อับอายขายหน้าและเสื่อมทรามต่ำซ้า
(๔) การตัดสินลงโทษและการปฏิบัติการตามคำตัดสินโดยไม่มีคำพิพากษาของศาลที่ได้ตั้งขึ้นตามระเบียบอันเป็นการให้หลักประกันความยุติธรรม ซึ่งอารยชนทั้งหลายยอมรับนับถึอว่าเป็นสิ่งซึ่งไม่อาจจะละเว้นเสียได้

ข. ให้รวบรวมและดูแลรักษาพยาบาลผู้บาดเจ็บและป่วยไข้

องค์การมนุษยธรรมซึ่งไม่ลำเอียงทางฝ่ายใด เช่นคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ อาจเสนอบริการของตนให้แก่ภาคีคู่พิพาทก็ได้

ภาคีคู่พิพาทควรพยายามนําบทบัญญัติอื่น ๆ แห่งอนุสัญญานี้ทั้งหมด หรือบางส่วนมาใช้บังคับอีกด้วยโดยทําความตกลงกันเป็นพิเศษ

การใช้บทบัญญัติข้างต้นนี้ จะไม่กระทบกระเทือนฐานะทางกฎหมายของภาคีคู่พิพาท

ข้อ ๔

ประเทศที่เป็นกลางจะต้องรับใช้บทบัญญัติแห่งอนุสัญญานี้โดยอนุโลมสำหรับผู้บาดเจ็บและป่วยไข้ ตลอดจนพนักงานแพทย์และอนุศาสนาจารย์แห่งกองทัพของภาคีคู่พิพาท ซึ่งได้รับตัวไว้หรือได้กักกันไว้ในอาณาเขตของตนรวมทั้งสําหรับผู้เสียชีวิตที่ค้นพบด้วย

ข้อ ๕

สําหรับบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองซึ่งตกอยู่ในอํานาจของฝ่ายศัตรูนั้นให้ใช้อนุสัญญานี้จนถึงเวลาที่ได้ส่งตัวกลับคืนสู่ประเทศเดิมแล้วโดยสมบูรณ์

ข้อ ๖

นอกจากความตกลงที่ได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะในข้อ ๑๐, ๑๕, ๒๓, ๒๘, ๓๑, ๓๖, ๓๗ และ ๕๒ แล้ว บรรดาอัครภาคีผู้ทำสัญญาอาจทำความตกลงเป็นพิเศษอื่น ๆ สำหรับเรื่องทั้งปวง ซึ่งตนเห็นสมควรทำเป็นบทบัญญัติไว้ต่างหากก็ได้ ห้ามมิให้ทำความตกลงพิเศษใด ๆ อันจะเป็นผลเสื่อมเสียแก่ฐานะของผู้บาดเจ็บและป่วยไข้ หรือพนักงานแพทย์ หรืออนุศาสนาจารย์ ตามที่ได้นิยามไว้ในอนุสัญญานี้ หรือกำกัดสิทธิต่าง ๆ ที่อนุสัญญานี้ให้ไว้แก่บุคคลเหล่านั้น

บรรดาผู้บาดเจ็บและป่วยไข้ ตลอดจนพนักงานแพทย์และอนุศาสนาจารย์จะคงได้รับประโยชน์จากความตกลงต่าง ๆ เช่นว่านี้ตราบเท่าที่อนุสัญญานี้จะพึงปรับใช้แก่บุคคลเหล่านั้น เว้นแต่เมื่อมีบทบัญญัติที่ขัดกันอย่างชัดแจ้งปรากฏอยู่ในความตกลงที่กล่าวแล้ว หรือในความตกลงที่จะได้ทำขึ้นภายหลังหรือเมื่อภาคีคู่พิพาทฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้นำระเบียบการต่าง ๆ ที่ดีกว่ามาใช้กับบุคคลเหล่านี้
ข้อ ๗

ไม่ว่าในพฤติการณ์เช่นไร บรรดาผู้บาดเจ็บและป่วยไข้ ตลอดจนพนักงานแพทย์ และอนุศาสนาจารย์ จะยอมสละสิทธิบางส่วนหรือทั้งหมดที่ตนได้รับตามอนุสัญญานี้ และตามความตกลงพิเศษต่าง ๆ ซึ่งได้กล่าวไว้ในข้อก่อน ในกรณีที่มีความตกลงพิเศษเช่นว่านั้น หาได้ไม่

ข้อ ๘

อนุสัญญานี้ ให้ใช้บังคับด้วยความร่วมมือและภายใต้ความควบคุมของประเทศที่คุ้มครอง ซึ่งมีหน้าที่พิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของภาคีคู่พิพาทเพื่อการนี้ นอกจากเจ้าหน้าที่ทางการทูตหรือกงสุลของตนแล้ว ประเทศที่คุ้มครองจะแต่งตั้งตัวแทนผู้ได้รับมอบอํานาจจากคนชาติของตนหรือคนชาติของประเทศที่เป็นกลางอื่นอีกก็ได้ ตัวแทนดังกล่าวนี้จะต้องได้รับความเห็นชอบของประเทศที่ตนจะไปปฏิบัติหน้าที่ด้วย

ภาคีคู่พิพาทจะต้องอํานวยความสะดวกในการปฏิบัติภารกิจของผู้แทนหรือตัวแทนผู้ได้รับมอบอํานาจของประเทศที่คุ้มครอง อย่างกว้างขวางที่สุดเท่าที่จะทําได้

ผู้แทนหรือตัวแทนผู้ได้รับมอบอำนาจของประเทศที่คุ้มครอง ไม่ว่าในกรณีใดจะกระทําการเกินกว่าหน้าที่ของตนตามที่ระบุไว้ในอนุสัญญานี้หาได้ไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะต้องคํานึงถึงความจําเป็นอันอยู่ภายใต้ข้อบังคับเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศซึ่งตนไปปฏิบัติหน้าที่ การปฏิบัติหน้าที่ของบุคคลเหล่านี้จะถูกกํากัดได้เฉพาะเป็นกรณีพิเศษและเป็นการชั่วคราวเมื่อมีความจําเป็นทางทหารเกิดขึ้นเท่านั้น

ข้อ ๙

บทบัญญัติแห่งอนุสัญญานี้ไม่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงานทางด้านมนุษยธรรมซึ่งคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ หรือองค์การมนุษยธรรมอื่นใดที่ไม่ลําเอียงทางฝ่ายใดที่รับจะกระทํา เพื่อคุ้มครองผู้บาตเจ็บและป่วยไข้ พนักงานแพทย์และอนุศาสนาจารย์ ตลอดจนเพื่อบรรเทาทุกข์แก่บุคคลเหล่านั้น โดยได้รับความยินยอมของภาคีคู่พิพาทที่เกี่ยวข้อง

ข้อ ๑๐

บรรดาอัครภาคีผู้ทําสัญญาอาจจะตกลงกันไม่ว่าเวลาใดที่จะมอบหมายหน้าที่ทั้งปวงอันตกอยู่กับประเทศที่คุ้มครองตามอนุสัญญานี้ แก่องค์การใด ๆ ซึ่งให้หลักประกันทุกประการในความไม่ลำเอียงและในทางประสิทธิภาพก็ได้

เมื่อผู้บาดเจ็บและป่วยไข้ หรือพนักงานแพทย์และอนุศาสนาจารย์มิได้รับประโยชน์หรือถูกระงับมิให้ได้รับประโยชน์อีกต่อไปไม่ว่าเพราะเหตุใดจากการปฏิบัติการของประเทศที่คุ้มครอง หรือขององค์การหนึ่งองค์การใดที่ระบุไว้ในวรรคแรกข้างต้นนั้นแล้ว ให้ประเทศที่กักคุมร้องขอต่อประเทศที่เป็นกลางประเทศหนึ่งประเทศใด หรือองค์การหนึ่งองค์การใดเช่นว่านั้นเข้ารับหน้าที่ทั้งหลายอันประเทศที่คุ้มครองซึ่งแต่งตั้งโดยภาคีคู่พิพาทปฏิบัติอยู่ตามอนุสัญญานี้

ถ้าไม่อาจจัดความคุ้มครองได้ตามนัยดังกล่าวนั้น ให้ประเทศที่กักคุมร้องขอหรือรับสนองบริการขององค์การมนุษยธรรม เช่นคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศเป็นต้น ภายในบังคับของบทบัญญัติแห่งข้อนี้ ที่จะเข้ารับหน้าที่ในทางมนุษยธรรม ซึ่งประเทศทีคุ้มครองเป็นผู้ปฏิบัติอยู่ตามอนุสัญญานี้

ประเทศที่เป็นกลางประเทศใดหรือองค์การใด ซึ่งได้รับเชิญจากประเทศที่เกี่ยวข้องหรือเสนอตนเองเพื่อการนี้ จะต้องปฏิบัติการด้วยความสำนึกในความรับผิดชอบต่อภาคีคู่พิพาท ซึ่งผู้ที่ได้รับความคุ้มครองตามอนุสัญญานีสังกัดอยู่และจะต้องให้คํารับรองอันพอเพียงว่าตนอยู่ในฐานะที่จะเข้ารับหน้าที่ตามสมควรและจะปฏิบัติหน้าที่นั้นโดยไม่ลำเอียง

ประเทศต่าง ๆ จะทําความตกลงพิเศษใด ๆ อันขัดต่อบทบัญญัติข้างต้นนี้หาได้ไม่ ในเมื่อประเทศหนึ่งในบรรดาประเทศเหล่านั้นถูกกํากัดเสรีภาพแม้เพียงชั่วคราวก็ดี ในการที่จะเจรจากับประเทศอื่นหรือพันธมิตรของตนโดยเหตุผลอันเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางทหาร เฉพาะอย่างยิ่งในเมื่ออาณาเขตทั้งหมดหรืออาณาเขตส่วนใหญ่ของประเทศดังกล่าวถูกยึดครอง

เมื่อใดในอนุสัญญานี มีข้อความกล่าวถึงประเทศที่คุ้มครอง ข้อความนั้นให้ใช้แก่องค์การต่าง ๆ ที่เข้ามาแทนตามนัยแห่งข้อนีด้วย

ข้อ ๑๑

ในกรณีที่เห็นว่าเป็นการสมควร เพื่อประโยชน์แก่ผู้ที่ได้รับความคุ้มครองโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่มีการขัดแย้งกันในระหว่างภาคีคู่พิพาทเกี่ยวกับการใช้ หรือการตีความบทบัญญัติต่าง ๆ แห่งอนุสัญญานี้ประเทศที่คุ้มครองจะได้อํานวยความช่วยเหลือเพื่อทําความตกลงในข้อที่เกิดขัดแย้งกันนั้น

เพื่อการนี้ ประเทศที่คุ้มครองแต่ละประเทศ จะเป็นโดยการเชื้อเชิญของภาคีฝ่ายหนึ่ง หรือโดยการริเริ่มของตนเองก็ตาม อาจเสนอต่อภาคีคู่พิพาทให้มีการประชุมระหว่างผู้แทนของตน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับผู้บาดเจ็บและป่วยไข้ ตลอดจนพนักงานแพทย์และอนุศาสนาจารย์ก็ได้ ซึ่งถ้าอาจทําได้ก็ให้ประชุมกันในอาณาเขตที่เป็นกลางอันได้จัดเลือกขึ้นตามความเหมาะสม ภาคคู่พิพาทมีข้อผูกพันที่จะต้องปฏิบัติให้เป็นผลตามข้อที่ได้เสนอมายังตนเพื่อการนี้ ถ้าจําเป็นประเทศที่คุ้มครองอาจเสนอขอความเห็นชอบจากภาคีคู่พิพาทในตัวบุคคลแห่งประเทศที่เป็นกลาง หรือที่ได้รับการแต่งตั้งโดยคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศซึ่งจะได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวก็ได้

ส่วนที่ ๒
ผู้บาดเจ็บและป่วยไข้
ข้อ ๑๒

ผู้สังกัดในกองทัพและบุคคลอื่นที่จะได้กล่าวถึงในข้อต่อไปนี้ ซึ่งบาดเจ็บหรือป่วยไข้ จะต้องได้รับความเคารพและความคุ้มครองในทุกพฤติการณ์

บุคคลเหล่านี้ จะต้องได้รับการปฏิบัติและรักษาพยาบาลด้วยมนุษยธรรม โดยคู่พิพาทซึ่งตนตกอยู่ในอํานาจ โดยไม่คํานึงถึงลักษณะความแตกต่างอันเป็นผลเลื่อมเสียเนื่องมาแต่เพศ เชื้อชาติ สัญชาติ ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมือง หรือเหตุอื่นใดที่คล้ายคลึงกัน ห้ามประทุษร้ายต่อชีวิตและร่างกายของบุคคลเหล่านี้อย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ห้ามฆาตกรรมหรือกําจัดเผ่าพันธุ์โดยวิธีใด ๆ ทรมาน หรือใช้ทดลองทางชีววิทยา ห้ามละทิ้งบุคคลเหล่านี้ไว้โดยปราศจากความช่วยเหลือทางแพทย์ โดยเจตนาหรือโดยปราศจากการรักษาพยาบาล หรือปล่อยไว้ให้ตกอยู่ในสภาพอันเสี่ยงต่อภัยแห่งโรคติดต่อ

สิทธิที่จะได้รับการรักษาพยาบาลก่อนผู้อื่นนั้น จะเป็นอันอนุมัติให้มีขึ้นได้ก็โดยเหตุผลทางแพทย์ที่มีลักษณะด่วนเท่านั้น

สตรีจะต้องได้รับการปฏิบัติโดยได้รับการพิจารณาทุกประการอันสมควรแก่เพศของตน

ภาคีคู่พิพาท ซึ่งมีความจําเป็นต้องละทิ้งผู้บาดเจ็บหรือป่วยไข้ไว้แก่ฝ่ายศัตรูจะต้องจัดให้มีพนักงานแพทย์และเวชภัณฑ์ส่วนหนึ่งไว้เท่าที่ความจําเป็นทางทหารจะอํานวยให้ เพื่อช่วยเหลือรักษาพยาบาลบุคคลเหล่านั้น

ข้อ ๑๓

อนุสัญญานี้ให้ใช้แก่บรรดาผู้บาดเจ็บและป่วยไข้ซึ่งอยู่ในประเททดังต่อไปนี้ คือ

ก. ผู้สังกัดในกองทัพของภาคีคู่พิพาท รวมทั้งผู้สังกัดในมิลิเชีย หรือหน่วยอาสาสมัครซึ่งเป็นส่วนของกองทัพเหล่านี้

ข. ผู้สังกัดในมิลิเชียและผู้สังกัดหน่วยอาสาสมัครอื่นใด รวมทั้งผู้สังกัดในขบวนต่อต้านที่ได้จัดตั้งขึ้นโดยมีระเบียบ ซึ่งเป็นของภาคีคู่พิพาท และปฏิบัติการอยู่ภายในหรือภายนอกอาณาเขตของตนเอง แม้ว่าอาณาเขตนั้นจะถูกยึดครองอยู่ หากว่ามิลิเชียหรือหน่วยอาสาสมัครรวมทั้งขบวนต่อต้านที่ได้จัดตั้งโดยมีระเบียบเช่นว่านี้ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้ คือ

(๑) มีผู้บังคับบัญชาสังการอันเป็นบุคคลที่รับผิดชอบสําหรับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา
(๒) มีเครื่องหมายที่กําหนดไว้เด่นชัด สามารถจะเห็นได้ในระยะไกล
(๓) ถืออาวุธโดยเปิดเผย
(๔) ปฏิบัติการรบตามกฎและประเพณีการสงคราม

ค. ผู้สังกัดในกองทัพประจําการซึ่งมีความสวามิภักดิ์ต่อรัฐบาล หรือเจ้าหน้าที่ที่มิได้รับการรับรองจากประเทศที่กักคุม

ง. บุคคลที่ร่วมอยู่แต่มิได้สังกัดอยู่ในกองทัพนั้นโดยตรง เช่น พนักงานพลเรือนที่สังกัดอยู่ในพวกกําลังพลประจําอากาศยานทหาร ผู้สื่อข่าวสงคราม ผู้รับเหมาส่งเสบียง ผู้สังกัดในหน่วยกรรมกร หรือในบริการต่าง ๆ ที่รับผิดชอบต่อสวัสดิการของทหาร หากว่าบุคคลเหล่านี้ได้รับอนุมัติจากกองทัพที่ตนได้ร่วมอยู่

จ. บรรดากําลังพลประจําเรือ รวมทั้งนายเรือ พนักงานนําร่อง และผู้ฝึกหัดงานของเรือพาณิชย์ตลอดจนกำลังพลประจำอากาศยานพลเรือน ของภาคีคู่พิพาท ซึ่งไม่ได้รับประดยชน์จากการปฏิบัติที่อนุเคราะห์ดีกว่านี้ตามบทบัญญัติอื่นใดแห่งกฎหมายระหว่างประเทศ

ฉ. พลเมืองในอาณาเขตที่มิได้ถูกยึดครองซึ่งเมื่อศัตรูประชิดเข้ามาได้สมัครใจเข้าจับอาวุธต่อต้านกองทหารที่บุกเข้ามานั้นโดยไม่มีเวลาจัดรวมกันเข้าเป็นหน่วยกองทหารประจำ หากบุคคลเหล่านี้ถืออาวุธโดยเปิดเผย และเคารพต่อกฎและประเพณีการสงคราม

ข้อ ๑๔
ภายใต้บทบัญญัติแห่งข้อ ๑๒ ผู้บาดเจ็บและป่วยไข้ของผู้เป็นฝ่ายในสงครามฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดซึ่งตกอยู่ในอำนาจของฝ่ายศัตรูนั้น ให้ถือว่าเป็นเชลยศึก และให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับเชลยศึกมาใช้บังคับแก่บุคคลเหล่านั้น
ข้อ ๑๕

ในทุกโอกาสและโดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังการปะทะกันแต่ละครั้ง ภาคีคู่พิพาทจะต้องจัดการเท่าที่จะกระทําได้ทุกประการโดยไม่ชักช้า เพื่อค้นหาและรวบรวมผู้บาดเจ็บและป่วยไข้ เพื่อให้ความคุ้มครองบุคคลที่ว่านี้จากการโจรกรรมและการปฏิบัติอันเลวทราม เพื่อจัดให้ได้รับการรักษาพยาบาลโดยเพียงพอ และเพื่อค้นหาผู้ที่เสียชีวิต และป้องกันมิให้ร่างถูกทําลาย

ในเมื่อพฤติการณ์จักอํานวยให้ ให้จัดให้มีการสงบศึกหรือการหยุดยิง หรือทําการตกลงเฉพาะพื้นที่เพื่อให้สามารถขนย้ายแลกเปลี่ยน และขนส่งผู้บาดเจ็บที่ตกค้างอยู่ในสนามรบ

โดยนัยเดียวกัน ภาคีคู่พิพาททั้งสองฝ่ายอาจทําการตกลงเฉพาะพื้นที่เพื่อทําการขนย้าย หรือแลกเปลี่ยนผู้บาดเจ็บและป่วยไข้จากเขตที่ถูกปิดหรือถูกล้อมไว้ และเพื่อให้พนักงานแพทย์และพนักงานทางศาสนาพร้อมด้วยบริภัณฑ์ได้ผ่านไปสู่เขตนั้น ๆ ได้

ข้อ ๑๖

ภาคีคู่พิพาทจะต้องทําบันทึกเป็นหลักฐานแสดงรายการต่างๆ เพื่อเป็นการช่วยเหลือในการจัดทํารูปพรรณสัณฐานของผู้บาดเจ็บ ป่วยไข้ และผู้ที่เสียชีวิตแต่ละคนของฝ่ายปฏิบักษ์ที่ตกอยู่ในอํานาจของตนโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทําได้

ถ้าเป็นไปได้ บันทึกนั้นให้มีข้อความดังต่อไปนี้ คือ

ก. ชื่อประเทศซึ่งบุคคลเหล่านั้นสังกัดอยู่
ข. หมายเลขประจํากองทัพ ประจํากรม ประจําตัว หรือหมายเลขลําดับ
ค. นามสกุล
ง. นามตัว
จ. วันเกิด
ฉ. รายการอื่น ๆ ที่ปรากฏในบัตรหรือแผ่นโลหะแสดงรูปพรรณสัณฐาน
ช. วันที่และสถานที่ที่ถูกจับกุมหรือเสียชีวิต
ซ. รายละเอียดเกี่ยวกับบาดแผล หรือโรค หรือสาเหตุแห่งการเสียชีวิต

ข้อความดังกล่าวข้างบนนี้จะต้องจัดส่งให้สํานักงานสนเทศตามที่ระบุไว้ในข้อ ๑๒๒ แห่งอนุสัญญาเจนีวาเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อเซลยศึก ฉบับลงวันที่ ๑๒ สิงหาคม ค.ศ.๑๙๔๙ โดยเร็วที่สุดที่จะทําได้ สํานักงานนี้จะได้จัดส่งข้อความนี้ต่อไปให้ประเทศซึ่งบุคคลเหล่านี้สังกัดอยู่โดยผ่านประเทศที่คุ้มครองและสํานักงานตัวแทนกลางสําหรับเชลยศึก

ภาคีคู่พิพาทต่างฝ่ายจะต้องจัดทําและจัดส่งมรณบัตร หรือบัญชีรายนามผู้เสียชีวิตอันรับรองว่าถูกต้องแล้ว ให้กันและกันทราบ โดยผ่านทางสํานักงานเดียวกันนี้ โดยนัยเดียวกันต่างฝายจะต้องเก็บและนําส่งแผ่นโลหะแสดงรูปพรรณสัณฐานชนิดคู่ซีกหนึ่ง พินัยกรรมฉบับสุดท้ายหรือเอกสารอื่น ๆ ซึงมีความสําคัญสําหรับญาติสนิทของผู้เสียชีวิต เงินและโดยทั่ว ๆ ไป บรรดาวัตถุสิ่งของต่าง ๆ ที่มีค่าในตัวของวัตถุสิ่งของนั้นเองหรือในทางจิตใจซึ่งค้นพบในตัวผู้เสียชีวิต ให้แก่กันและกัน โดยผ่านสํานักงานเดียวกันนี้ สิ่งของเหล่านี้ รวมทั้งสิ่งของที่ไม่ปรากฏหลักฐานจะได้จัดส่งไปเป็นห่อ ปิดผนึกประทับตราพร้อมด้วยบันทึกรายการอันจำเป็นเพื่อทราบรูปพรรณสัณฐานของเจ้าของผู้เสียชีวิตได้ และบัญชีแสดงสิ่งของที่บรรจุไว้ในห่อนั้นโดยครบถ้วนด้วย

ข้อ ๑๗

ภาคีคู่พิพาทจะต้องจัดให้มีการชันสูตรศพอย่างรอบคอบและถ้าเป็นไปได้ก็ให้มีการชันสูตรศพทางการ แพทย์ในแต่ละรายเท่าที่สถานการณ์จะอํานวยให้ก่อนที่จะฝังหรือเผาศพ ตั้งนี้เพื่อให้สามารถยืนยันการเสียชีวิตจัดทํารูปพรรณสัณฐานผู้เสียชีวิตและเพื่อทํารายงานขึ้นได้ ซีกหนึ่งของแผ่นโลหะแสดงรูปพรรณสัณฐานชนิดคู่หรือแผ่นโลหะทั้งอันถ้าเป็นโลหะชนิดเดี่ยว ให้คงเหลือติดไว้กับตัวผู้เสียชีวิต

ห้ามมิให้ทําการเผาศพ นอกจากจะมีเหตุผลทางอนามัยบังคับหรือโดยเหตุผลทางศาสนาของผู้เสียชีวิตเท่านั้น ในกรณีที่มีการเผาจะต้องแจ้งพฤติการณ์และเหตุผลที่ต้องทําการเผาไว้โดยละเอียดในมรณบัตรหรือบัญชีรายนามผู้เสียชีวิตอันรับรองว่าถูกต้องแล้ว

นอกจากนี้ภาคีคู่พิพาทจะต้องจัดให้ผู้เสียชีวิตได้รับการฝังอย่างมีเกียรติ ถ้าเป็นไปได้ให้เป็นไปตามพิธีศาสนาของผู้เสียชีวิต ให้หลุมฝังศพของผู้เสียชีวิตเหล่านั้นได้รับความเคารพ ถ้าสามารถทําได้ให้ฝังไว้ ณ สถานที่เดียวกันตามสัญชาติของผู้เสียชีวิต โดยให้ได้รับการดูแลอย่างดีและมีเครื่องหมายเพื่อให้ค้นหาได้เสมอ เพื่อการนี้เมื่อเริ่มต้นการสู้รบ ภาคีคู่พิพาท จะได้จัดตั้งบริการทะเบียนหลุมฝังศพขึ้นเป็นทางการ เพื่อสามารถให้ทําการขุดศพขึ้นภายหลังและยืนยันศพได้ ไม่ว่าหลุมฝังศพจะตั้งอยู่ ณ ที่ใดและเพื่อสามารถทําการส่งศพคืนไปประเทศเดิมได้บทบัญญัตินี้ให้เป็นอันใช้โดยนัยเดียวกันสําหรับอัฐิซึ่งบริการทะเบียนหลุมฝังศพจะได้เป็นผู้เก็บรักษาไว้จนกว่าประเทศเดิมจะได้แจ้งความประสงค์ว่าจะให้ดําเนินการในเรื่องนื้อย่างใด

ในทันทีที่พฤติการณ์จักอํานวยให้และโดยเร็วที่สุดเมื่อการสู้รบสิ้นสุดลงแล้ว ให้บริการดังกล่าวนี้จัดให้มีการแลกเปลี่ยนบัญชีแสดงที่ตั้งและเครื่องหมายหลุมฝังศพอันแน่นอนพร้อมด้วยรายละเอียดต่างๆเกี่ยวกับผู้เสียชีวิตซึ่งฝังอยู่ ณ ที่นั้นโดยผ่านสํานักงานสนเทศตามที่ได้กล่าวไว้ในวรรคสองแห่งข้อ ๑๖

ข้อ ๑๘

เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารอาจร้องขอเมตตาจิตจากพลเมืองให้มารวบรวมและรักษาพยาบาลผู้บาดเจ็บและป่วยไข้โดยสมัครใจก็ได้ภายใต้ความควบคุมของเจ้าหน้าที่นั้น ๆ โดยให้บุคคลที่ตอบสนองรับคําขอร้องนั้นได้รับความคุ้มครองและความสะดวกต่าง ๆ ที่จําเป็น หากฝ่ายปฏิปักษ์เข้ายืดหรือกลับเข้ามายีดครองควบคุมพ้นที่บริเวณนั้นได้ ฝ่ายนั้นก็จะต้องให้ความคุ้มครองและความสะดวกเช่นเดียวกันแก่บุคคลดังกล่าวแล้วนั้นต่อไป

เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารจะต้องอนุญาตให้พลเมืองและสมาคมบรรเทาทุกข์ต่าง ๆ แม้แต่ในบริเวณพื้นที่ที่ถูกรุกรานหรือถูกยึดครองแล้ว ทำการรวบรวมและรักษาพยาบาลผู้บาดเจ็บหรือป่วยไข้ไม่ว่าสัญชาติใดโดยความสมัครใจได้ ประชาชนพลเรือนจะต้องเคารพผู้บาดเจ็บและป่วยไข้เหล่านี้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจะต้องละเว้นไม่กระทำทารุณกรรมแก่บุคคลดังกล่าว

ห้ามมิให้กลั่นแกล้งรบกวนทำความเดือดร้อนหรือลงโทษผู้ที่ได้พยาบาลผู้บาดเจ็บหรือป่วยไข้

บทบัญญัติแห่งข้อนี้ไม่เป็นการปลดเปลื้องประเทศที่ยึดครองจากพันธกรณีที่จะต้องดูแลผู้บาดเจ็บและป่วยไข้ทั้งในทางร่างกายและทางจิตใจ
ส่วนที่ ๓
หน่วยและสถานที่ทางการแพทย์
ข้อ ๑๙

ห้ามโจมตีไม่ว่าในพฤติการณ์ใด ๆ ก็ตาม ต่อสถานัที่ตั้งประจําและหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ของการบริการทางการแพทย์และจะต้องได้รับความเคารพและความคุ้มครองจากภาคีคู่พิพาทเสมอไป หากตกไปอยู่ในอํานาจของฝ่ายปฏิปักษ์พนักงานของสถานที่และหน่วยดังกล่าวแล้วอาจปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ตราบเท่าที่ประเทศผู้ทําการจับกุมเอง คุมขังเองยังมิได้จัดความดูแลที่จําเป็นสําหรับผู้บาดเจ็บและป่วยไข้ที่ยังอยู่ในสถานที่และหน่วยเหล่านั้น

เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบจะต้องจัดการเท่าที่สามารถจะทําได้ให้สถานที่และหน่วยทางการแพทย์ดังกล่าวแล้วตั้งอยู่ในลักษณะที่การโจมตีเป้าหมายทางทหารจะไม่เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของสถานที่และหน่วยเหล่านั้น

ข้อ ๒๐

เรือพยาบาลที่มีสิทธิได้รับความคุ้มครองจากอนุสัญญาเจนีวาเพื่อให้ผู้สังกัดในกองทัพขณะอยู่ในทะเลซึ่งบาดเจ็บ ป่วยไข้ และเรือต้องอับปางมีสภาวะดีขึ้น ฉบับลงวันที่ ๑๒ สิงหาคม ค.ศ. ๑๙๔๙ จะต้องไม่ถูกโจมตีจากภาคพื้นดิน

ข้อ ๒๑

ความคุ้มครองซึ่งสถานที่ตั้งประจําและหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ของการบริการทางการแพทย์มีสิทธิได้รับนั้นจะไม่ระงับไปเว้นแต่จะใช้สถานที่นั้น ๆ นอกหน้าที่ทางมนุษยธรรมเพื่อกระทําการอันเป็นภยันตรายแก่ฝ่ายศัตรู อย่างไรก็ดีความคุ้มครองจะระงับได้ก็ต่อเมื่อได้ให้คําเตือนตามสมควรแล้ว โดยแจ้งกําหนดระยะเวลาอันเหมาะสมตามควรแก่กรณีและคําเตือนเช่นว่านั้นได้ถูกทอดทิ้งละเลยเสีย

ข้อ ๒๒

พฤติการณ์ต่อไปนี้ จะไม่ถือว่าทําให้หน่วยหรือสถานที่ทางการแพทย์ต้องเสียสิทธิแห่งความคุ้มครองตามข้อ ๑๙ คือ

ก. เมื่อพนักงานของหน่วยหรือสถานที่มีและใช้อาวุธเพื่อป้องกันตัวหรือป้องกันผู้บาดเจ็บและช่วยไข้ในความรับผิดชอบ

ข. เมื่อไม่มีพลพยาบาลที่ถืออาวุธประจําอยู่ หน่วยหรือสถานที่ดังกล่าวนั้นจะได้รับความคุ้มครองจากหน่วย หรือยามรักษาการ หรือขบวนคุ้มกัน

ค. เมือค้นพบอาวุธเบาและกระสุน วัตถุระเบิดในหน่วยหรือสถานที่อันเป็นของที่ยืดมาจากผู้บาดเจ็บและป่วยไข้ และยังมิได้ส่งมอบให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ

ง. เมื่อมีพนักงานและพัสดุของกิจการสัตวแพทย์อยู่ในหน่วยหรือสถานที่โดยมิได้เป็นส่วนแห่งหน่วยหรือสถานที่นั้น

จ. เมื่อกิจการในด้านมนุษยธรรมของหน่วยและสถานที่ทางการแพทย์หรือของพนักงานประจําหน่วยและสถานที่นั้นขยายงานออกไปให้การดูแลรักษาบุคคลพลเรือนที่บาดเจ็บหรือป่วยไข้ด้วย
ข้อ ๒๓

ในเวลาสงบ บรรดาอัครภาคีผู้ทำสัญญาก็ดี และภายหลังเมื่อได้เกิดการสู้รบขึ้นแล้ว บรรดาภาคีคู่พิพาทก็ดี อาจจัดตั้งเขตโรงพยาบาลและพื้นที่สำหรับการรักษาพยาบาลขึ้นในอาณาเขตของตน และถ้าหากมีความจำเป็นเกิดขึ้นก็อาจจัดตั้งเขตและพื้นที่ดังกล่าวขึ้นในเขตยึดครอง ทั้งนี้เพื่อคุ้มครองผู้บาดเจ็บ และป่วยไข้ให้พ้นจากภัยสงคราม รวมทั้งพนักงานผู้ได้รับมอบหมายในการจัดระเบียบและในการดําเนินกิจการในเขตและพื้นที่ดังกล่าวนั้นทั้งในการให้การดูแลรักษาบุคคลที่รวมกันอยู่ในที่นั้นด้วย

เมื่อเกิดการรบขึ้นและระหว่างที่ทําการสู้รบกันอยู่นั้น ภาคีที่เกี่ยวข้องอาจทําความตกลงกันเพื่อรับรองเขตโรงพยาบาลและพื้นที่ สําหรับการรักษาพยาบาลซึ่งภาคีเหล่านั้นได้จัดตั้งขึ้น เพื่อการนี้ภาคีดังกล่าวแล้วอาจเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งร่างความตกลงซึ่งได้ผนวกไว้ท้ายอนุสัญญานี้โดยการแก้ไขตามที่เห็นว่าเป็นการจําเป็นก็ได้

ประเทศที่คุ้มครองและคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศจะได้รับเชิญเพื่อให้ความช่วยเหลือในการจัดตั้งและรับรองเขตโรงพยาบาลและสถานที่สําหรับการรักษาพยาบาลเหล่านี้


ส่วนที่ ๔
พนักงาน
ข้อ ๒๔

ไม่ว่าในพฤติการณ์ใด ๆ พนักงานแพทย์ที่มีหน้าที่โดยเฉพาะในการค้นหา รวบรวมขนส่ง หรือรักษาพยาบาลผู้บาดเจ็บหรือป่วยไข้ หรือในการป้องกันโรค กับเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่โดยเฉพาะในการบริหารหน่วยและสถานที่ทางการแพทย์ รวมทั้งอนุศาสนาจารย์ประจํากองทัพจะต้องได้รับความเคารพและคุ้มครอง

ข้อ ๒๕

ผู้สังกัดในกองทัพทีได้รับฝึกหัดเป็นพิเศษเพื่อเป็นพลพยาบาล นางพยาบาลหรือผู้ช่วยพลเปล ในเมื่อมีความจําเป็นที่จะต้องค้นหาหรือรวบรวม ขนส่งหรือรักษาพยาบาลผู้บาดเจ็บและป่วยไข้ ก็จะต้องได้รับความเคารพและคุ้มครองเช่นเดียวกันหากบุคคลดังกล่าวนั้นกระทําหน้าที่เหล่านี้ในขณะที่ติดต่อกับฝ่ายศัตรู หรือเมื่อตกอยู่ในอํานาจของฝ่ายศัตรู

ข้อ ๒๖

เจ้าหน้าที่ของสภากาชาตประจําซาติและของสมาคมอาสาสงเคราะห์อื่นๆ ที่ได้รับการรับรองและอนุญาตโดยถูกต้องจากรัฐบาลของตนแล้วซึ่งอาจทําหน้าที่อย่างเดียวกันกับพนักงาน ที่กล่าวไว้ในข้อ ๒๔ ย่อมได้รับผลปฏิบัติอย่างเดียวกับพนักงานที่กล่าวไว้ในข้อที่กล่าวนี้ ภายใต้เงื่อนไขว่าเจ้าหน้าที่ของสมาคมเช่นว่านี้จะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับทหาร

อัครภาคีผู้ทำสัญญาแต่ละฝ่ายจะต้องแจ้งให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบรายนามสมาคมต่าง ๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของตน ซึ่งได้รับอนุญาตให้ทำหน้าที่ให้ความช่วยเหลือด้านบริการทางการแพทย์แก่กองทัพของตน การแจ้งนี้จะกระทำในยามสงบหรือเมื่อเริ่มสู้รบหรือในระหว่างที่สู้รบก็ได้ แต่จะต้องเป็นเวลาก่อนที่จะให้สมาคมเหล่านี้เริ่มปฏิบัติการ
ข้อ ๒๗

สมาคมที่ได้รับการรับรองจากประเทศที่เป็นกลางประเทศใดประเทศหนึ่งสามารถที่จะให้ความช่วยเหลือด้านพนักงานและหน่วยทางการแพทย์ของตนแก่ภาคีคู่พิพาทฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชั่วระยะเวลาหนึ่งก็ได้โดยได้รับความยินยอมจากรัฐบาลของตน และโดยได้รับอนุญาตจากภาคีคู่พิพาทที่เกี่ยวข้องเสียก่อน พนักงานและหน่วยเหล่านี้ให้อยู่ภายใต้ความควบคุมของภาคีคู่พิพาทฝ่ายนั้น

ให้รัฐบาลของประเทศที่เป็นกลางแจ้งการยินยอมนี้แก่ฝ่ายปฏิปักษ์ของรัฐที่ยอมรับความช่วยเหลือดังกล่าวแล้ว ภาคีคู่พิพาทที่ยอมรับความช่วยเหลือเช่นว่านี้จะต้องแจ้งให้ฝ่ายปฏิปักษ์ทราบเรื่อง ก่อนที่จะใช้ประโยชน์จากความช่วยเหลือดังกล่าวแล้ว

ไม่ว่าในพฤติการณ์ใด ๆ ก็ตาม มิให้ถือว่าความช่วยเหลือนี้เป็นการแทรกแซงในการพิพาท

ผู้ที่เป็นพนักงานที่กล่าวไว้ในวรรคแรกจะต้องมีบัตรประจําตัวตามที่กําหนดไว้ในข้อ ๔๐ ก่อนที่จะออกจากประเทศที่เป็นกลางซึ่งตนสังกัดอยู่

ข้อ ๒๘

พนักงานตามที่ระบุไว้ในข้อ ๒๔ และ ๒๖ ซึ่งตกอยู่ในอํานาจของฝ่ายปฏิบักษ์ จะถูกกักตัวไว้ได้เพียงเท่าที่จําเป็นแก่สภาวะของสุขภาพ ความจําเป็นทางจิตใจ และจํานวนแห่งเซลยศึกเท่านั้น

พนักงานที่ถูกกักตัวไว้เช่นนี้ มิให้ถือว่าเป็นเชลยศึก อย่างไรก็ตามอย่างน้อยที่สุดบุคคลเหล่านี้จะได้รับประโยชน์แห่งบทบัญญัติต่าง ๆ ของอนุสัญญาเจนีวาเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อเซลยศึก ฉบับลงวันที่ ๑๒ สิงหาคม ค.ศ.๑๙๔๙ ภายในกรอบแห่งกฎหมายและข้อบังคับทางทหารของประเทศที่กักคุม และภายใต้อํานาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของประเทศนั้น บุคคลดังกล่าวจะคงปฏิบัติหน้าที่ของตนต่อไปตามจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพของตนในทางการแพทย์หรือทางจิตใจเพื่อประโยชน์ของเลยศึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลเหล่านี้จะต้องได้รับความสะดวกต่าง ๆ เพื่อปฏิบัติหน้าที่ของตนในทางการแพทย์หรือในทางจิตใจ ดังต่อไปนี้ คือ

ก. ให้ได้รับอนุญาตไปเยี่ยมเชลยศึกได้เป็นครั้งคราวตามหน่วยแรงงานหรือในโรงพยาบาลซึ่งอยู่นอกค่าย ประเทศที่กักคุมจะได้จัดหาพาหนะในการขนส่งที่จําเป็นสําหรับการนี้

ข. ในค่ายแต่ละแห่ง นายทหารแพทย์อาวุโสที่มียศสูงที่สุดจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อเจ้าหน้าที่ทหารของค่ายสําหรับการกระทําต่าง ๆ ของพนักงานแพทย์ที่ถูกกักตัวไว้ เพื่อการนี้เมื่อเกิดการสู้รบขึ้น ภาคีคู่พิพาทจะต้องตกลงกันเกี่ยวกับการเทียบอาวุโสแห่งยศของพนักงานแพทย์ของตน รวมทั้งพนักงานแห่งสมาคมซึ่งระบุในข้อ ๒๖ สําหรับปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ของบุคคลเหล่านั้น นายทหารแพทย์ดังกล่าวและอนุศาสนาจารย์จะติดต่อได้โดยตรงกับเจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่แพทย์ของค่าย เจ้าหน้าที่เหล่านี้จะต้องจัด อํานวยความสะดวก ที่จําเป็นเพื่อการติดต่อทางจดหมายเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้

ค. แม้พนักงานที่ถูกกักตัวอยู่ในค่าย จะต้องอยู่ภายใต้วินัยของค่ายก็ตาม พนักงานเหล่านี้จะถูกเรียกร้องให้ทํางานอื่นใดนอกหน้าที่ของตนในทางแพทย์หรือทางศาสนาหาได้ไม่

ในระหว่างการรบนั้น ภาคีคู่พิพาทจะต้องทําความตกลงกันเพื่อลตภาระของพนักงานที่ถูกกักตัวไว้เท่าที่จะพึงทําได้ และจะต้องตกลงกันกําหนดวิธีดําเนินการเพื่อการนี้ไว้ด้วย

บบัญญัติตังกล่าวมาข้างต้นนีจะไม่ทําให้ประเทศที่กักคุมพ้นจากพันธกรณี ซึ่งตนมีอยู่เพื่อสวัสดิภาพทางแพทย์และทางจิตใจของเชลยศึก

ข้อ ๒๙

ผู้ที่เป็นพนักงานที่ระบุไว้ในข้อ ๒๕ ซึ่งตกอยู่ในอํานาจของฝ่ายศัตรูนั้นให้ถือว่าเป็นเชลยศึก แต่จะใช้ให้ปฏิบัติหน้าที่ทางแพทย์เมื่อมีความจําเป็น

ข้อ ๓๐

พนักงานที่ไม่มีความจําเป็นจะต้องถูกกักตัวไว้ตามนัยแห่งบทบัญญัติข้อ ๒๘ นั้น จะต้องจัดส่งตัวกลับไปให้ภาคีคู่พิพาทซึ่งบุคคลเหล่านั้นสังกัดอยู่ในทันทีที่สถานการณ์เอื้ออํานวย และเมื่อความจําเป็นทางทหารเปิดซ่องให้

ในระหว่างที่รอการส่งตัวกลับนั้นจะไม่ถือว่าบุคคลเหล่านี้เป็นเชลยศึก อย่างไรก็ตามอย่างน้อยที่สุดบุคคลดังกล่าวนี้จะต้องได้รับประโยชน์จากบทบัญญัติต่าง ๆ แห่งอนุสัญญาเจนีวาเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อเชลยศึก ฉบับลงวันที่ ๑๒ สิงหาคม ค.ศ. ๑๙๔๙ บุคคลเหล่านี้ยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ ภายใต้คําสั่งของภาคีฝ่ายปฏิปักษ์ และโดยเฉพาะให้ปฏิบัติหน้าที่ดูแลรักษาผู้บาดเจ็บและป่วยไข้ของภาคีคู่พิพาทฝ่ายที่บุคคลนั้นเองสังกัดอยู่

ในเวลาเดินทางกลับ บุคคลเหล่านี้สามารถที่จะนําสิ่งของ ทรัพย์สินส่วนตัว สิ่งของอันมีค่าและเครื่องมือต่าง ๆ ซึ่งเป็นของตนกลับไปกับตนได้ด้วย

ข้อ ๓๑

การคัดเลือกพนักงานเพื่อส่งตัวกลับตามข้อ ๓๐ นั้น ให้กระทําโดยปราศจากการพิจารณาถึงเชื้อชาติ ศาสนา หรือความคิดเห็นทางการเมือง แต่โดยเฉพาะให้กระทําโดยเรียงตามลําดับวันที่ถูกจับและสภาวะของสุขภาพของบุคคลที่ว่านี้

หลังจากที่ได้เกิดการรบขึ้น ภาคีคู่พิพาทอาจทําความตกลงเป็นพิเศษเพื่อกําหนดอัตราร้อยละของพนักงานที่จะให้กักตัวไว้ตามอัตราส่วนสัมพันธ์กับจํานวนเชลยศึก และการแบ่งแยกพนักงานดังกล่าวนั้นไปยังค่ายต่าง ๆ

ข้อ ๓๒

บุคคลที่ระบุไว้ในข้อ ๒๗ ซึ่งตกอยู่ในอํานาจของภาคีผ่ายปฏิบักษ์จะต้องไม่ถูกกักคุม

เว้นแต่จะได้ตกลงกันเป็นอย่างอื่น บุคคลเหล่านี้จะต้องได้รับอนุญาตให้กลับคืนไปยังประเทศของตนได้หรือถ้าเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ก็ให้กลับคืนไปยังอาณาเขตของภาคีคู่พิพาทซึ่งบุคคลเหล่านั้นมีหน้าที่ประจำอยู่ทันทีที่สถานการณ์เอื้ออํานวยและเมื่อความจําเป็นทางทหารเปิดช่องให้

ในระหว่างที่รอการปล่อยตัวอยู่นี้ ให้บุคคลเหล่านี้คงปฏิบัติการงานต่อไปตามคำสั่งของภาคีฝ่ายปฏิปักษ์โดยเฉพาะให้ปฏิบัติหน้าที่ดูแลรักษาผู้บาดเจ็บและป่วยไข้ของภาคีคู่พิพาทฝ่ายที่บุคคลนั้นเองมีหน้าที่ประจำอยู่

ในเวลาเดินทางกลับ บุคคลเหล่านี้สามารถที่จะนำสิ่งของ ทรัพย์สินส่วนตัว สิ่งของมีค่า เครื่องมือ อาวุธ และหากเป็นไปได้ ยานพาหนะสำหรับขนส่งซึ่งเป็นของตนกลับไปได้ด้วย

ตลอดระยะเวลาที่พนักงานเหล่านี้อยู่ในอำนาจของตน ภาคีคู่พิพาทจะต้องจัดให้ได้รับอาหาร ที่พักอาศัย เบี้ยเลี้ยงและเงินเดือนเท่ากันกับที่พนักงานเทียบชั้นเดียวกันในกองทัพของตนได้รับอยู่ ไม่ว่าในกรณีใด ๆ อาหารจะต้องดีพอทั้งในด้านปริมาณ คุณภาพ และชินดเพื่อให้พนักงานดังกล่าวนี้คงมีสภาวะของสุขภาพดีตามปกติ
ส่วนที่ ๕
อาคารและพัสดุ

พัสดุของหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ของกองทัพซึ่งตกอยู่ในอำนาจของฝ่ายศัตรูนั้นจะต้องมีสำรองไ้วเพื่อรักษาพยาบาลผู้บาดเจ็บและป่วยไข้

อาคาร พัสดุ และคลังพัสดุต่าง ๆ ของสถานที่ตั้งประจำทางการแพทย์ของกองทัพนั้น ให้คงเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการสงคราม แต่จะถูกนำไปใช้ทางอื่นใดมิได้ตราบเท่าที่ยังมีความจำเป็นสำหรับการรักษาพยาบาลผู้บาดเจ็บและป่วยไข้อย่างไรก็ดี ผู้บังคับบัญชากองทัพในสนามรบอาจใช้สิ่งเหล่านี้ในกรณีที่จำเป็นอันรีบด่วนทางทหารได้ โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องจัดการล่วงหน้าเพื่อสวัสดิภาพของผู้บาดเจ็บและป่วยไข้ที่ได้รับการรักษาพยาบาลอยู่นที่นั้น

พัสดุและคลังพัสดุที่นิยามไว้ในข้อนี้ ห้ามมิให้ทําลายโดยเจตนา

ข้อ ๓๕

อสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทัพย์ของสมาคมสงเคราะห์ซึ่งได้รับเอกสิทธิจากอนุสัญญานี้ จะต้องถูกถือว่าเป็นทรัพย์สินส่วนตัว

สิทธิในการเรียกเกณฑ์ซึ่งรับรองให้แก่ผู้เป็นฝ่ายในสงครามสามารถดําเนินการได้ตามกฎและประเพณีการสงครามนั้น จะใช้ได้เฉพาะในกรณีที่มีความจําเป็นอันรีบด่วนและต่อเมื่อได้จัดประกันสวัสดิภาพของผู้บาดเจ็บป่วยไข้แล้วเท่านั่น


ส่วนที่ ๖
การขนส่งทางการแพทย์
ข้อ ๓๕

การขนส่งผู้บาดเจ็บและป่วยไข้ หรือบริภัณฑ์ทางการแพทย์จะต้องได้รับความคุ้มครองอย่างเดียวกับหน่วยทางการแพทย์เคลื่อนที่

เมื่อตกไปอยู่ในอํานาจของภาคีฝ่ายปฏิปักษ์แล้ว การขนส่งหรือยานพาหนะเช่นว่านี้จะต้องเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการสงครามโดยมีเงื่อนไขว่า ภาคีคู่พิพาทฝ่ายทียึดไว้จะรับจัดการในเรื่องการรักษาพยาบาลผู้บาดเจ็บและป่วยไข้ซึ่งบรรทุกมาในทุกกรณี

พนักงานพลเรือนและยานพาหนะสําหรับขนส่งต่าง ๆ ซึ่งได้มาด้วยการเรียกเกณธ์ จะต้องอยู่ภายใต้กฎทั่วไปแห่งกฎหมายระหว่างประเทศ

ข้อ ๓๖
อากาศยานทางการแพทย์ ได้แก่ อากาศยานที่ใช้โดยเฉพาะในการขนย้ายผู้บาดเจ็บและป่วยไข้ และในการขนส่งพนักงานแพทย์ และบริภัณฑ์ทางการแพทย์นั้น จะต้องไม่ถูกโจมตี แต่จะต้องได้รับความเคารพจากผู้ที่เป็นฝ่ายในสงครามในขณะที่ทําการบินอยู่ในระดับความสูงในเวลาและตามเส้นทางที่จะได้ตกลงกันไว้โดยเฉพาะระหว่างผู้ที่เป็นฝ่ายในการสงครามที่เกี่ยวข้องแล้ว

อากาศยานเหล่านี้จะต้องมีเครื่องหมายพิเศษอันเด่นชัดตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๓๘ พร้อมด้วยธงชาติของตนที่ด้านใต้ ด้านบน และด้านข้างทั้งสองของลำตัวอากาศยาน และจะต้องมีเครื่องหมายหรือเครื่องแสดงลักษณะอย่างอื่น ซึ่งอาจเป็นที่ตกลงกันระหว่างผู้เป็นฝ่ายในสงคราม เมื่อเริ่มต้นหรือในระหว่างสู้รบก็ได้

เว้นแต่จะได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น ห้ามมิให้ทำการบินเหนืออาณาเขตของฝ่ายศัตรู หรือที่ฝ่ายศัตรูยึดครอง

อากาศยานทางการแพทย์จะต้องเชื่อฟังคำสั่งให้ร่อนลงสู่พื้นดิน เมื่อได้มีการร่อนลงตามคำสั่งดังกล่าวนี้อากาศยานพร้อมด้วยผู้ที่อยู่ในอากาศยานนั้นอาจทำการบินต่อไปได้หลังจากได้มีการตรวจสอบแล้ว หากมีการตรวจสอบเช่นว่านั้น

ในกรณีที่ต้องร่อนลงโดยไม่สมัครใจบนพื้นดิน ในอาณาเขตของฝ่ายศัตรูหรือที่ฝ่ายศัตรูยึดครองอยู่ ผู้บาดเจ็บและป่วยไข้ตลอดจนกำลังพลประจำอากาศยานจะต้องเป็นเชลยศึก พนักงานแพทย์จะต้องได้รับการปฏิบัติตามข้อ ๒๔ และข้อต่อไปนี้

ข้อ ๓๗

ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติในวรรคสอง อากาศยานทางการแพทย์ของภาคีคู่พิพาทอาจทำการบินเหนืออาณาเขตของประเทศที่เป็นกลาง ร่อนลงสู่อาณาเขตนั้นในกรณีที่จำเป็น หรือใช้อาณาเขตนั้นเป็นท่าอากาศยานแวะพักจอดก็ได้ อากาศยานนั้น ๆ จะต้องแจ้งให้ประเทศที่เป็นกลางทราบล่วงหน้าถึงการบินผ่านเหนืออาณาเขตที่ว่านั้นและจะต้องเชื่อฟังคำสั่งให้ร่อนลงสู่พื้นดินหรือพื้นน้ำ อากาศยานเช่นว่านี้จะต้องไม่ถูกโจมตี เฉพาะในเมื่อทำการบินตามเส้นทาง ในระดับความสูงและตามเวลาที่ได้ตกลงไว้โดยเฉพาะในระหว่างภาคีคู่พิพาทและประเทศที่เป็นกลางที่ เกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ดีประเทศที่เป็นกลางอาจวางเงื่อนไขหรือข้อจำกัดในการบินผ่านหรือร่อนลงสู่อาณาเขตของตนสำหรับอากาศยานทางการแพทย์ เงื่อนไขหรือข้อจำกัดซึ่งอาจวางไว้ดังกล่าวแล้วนี้ จะต้องใช้บังคับโดยเท่าเทียมกันแก่ภาคีคู่พิพาททุกฝ่าย นอกจากจะได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่นระหว่างประเทศที่เป็นกลางและภาคีคู่พิพาท ผู้บาดเจ็บและป่วยไข้ซึ่งลงจากอากาศยานทางการแพทย์ด้วยความเห็นชอบของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในอาณาเขตที่เป็นกลางจะต้องถูกกักคุมไว้โดยประเทศที่เป็นกลาง ในลักษณะที่บุคคลเหล่านี้จะกลับเข้าไปมีส่วนในการรบอีกไม่ได้ ในเมื่อกฎหมายระหว่างประเทศกำหนดไว้เช่นนั้น ค่าใช้จ่ายในเรื่องที่อยู่และการกักกันบุคคลเหล่านี้ ให้ประเทศที่บุคคลดังกล่าวนั้นสังกัดอยู่เป็นผู้จ่าย

ส่วนที่ ๗
เครื่องหมายพิเศษอันเด่นชัด
ข้อ ๓๘
เพื่อเป็นอภินันทนาการแด่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เครื่องหมายกาชาดบนพื้นสีขาวซึ่งประกอบขึ้นโดยผันกลับสีธงชาติของสหพันธรัฐนั้น ให้คงถือเป็นเครื่องหมายและสัญญาณพิเศษอันเด่นชัดแห่งบริการทางการแพทย์ของกองทัพ

อย่างไรก็ดีสำหรับประเทศที่ใช้เครื่องหมายซีกวงเดือนแดงหรือสิงโตแดงและดวงอาทิตย์บนพื้นสีขาวเป็นเครื่องหมายอยู่แล้วก็ให้เครื่องหมายเหล่านั้นเป็นอันได้รับการรับรองตามความแห่งอนุสัญญานี้ด้วย

ข้อ ๓๙

ภายใต้การควบคุมของเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจทางทหาร เครื่องหมายนี้ให้แสดงไว้บนธง ผ้าพันแขน และบนบริภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการบริการทางการแพทย์

ข้อ ๔๐

พนักงานที่ระบุไว้ในข้อ ๒๔ และข้อ ๒๖ และ๒๗ จะต้องมีผ้าพันแขนที่ป้องกันน้ำได้ติดไว้ที่แขนซ้าย มีเครื่องหมายพิเศษอันเด่นชัด ซึ่งเจ้าหน้าที่ทหารเป็นผู้จ่ายและประทับตราให้

พนักงานเช่นว่านี้ นอกจากจะต้องมีแผ่นโลหะประจำตัวตามที่กล่าวไว้ในข้อ ๑๖ แล้ว ยังจะต้องถือบัตรประจำตัวพิเศษมีเครื่องหมายพิเศษอันเด่นชัดอีกด้วยบัตรนี้จะต้องป้องกันน้ำได้ และมีขนาดพอเหมาะที่จะใส่ในกระเป๋าได้ ข้อความในบัตรนั้นให้เขียนเป็นภาษาแห่งชาติ อย่างน้อยจะต้องระบุนามเต็ม วันที่เกิด ยศ และเลขหมายประจำตัวทหารของผู้ถือบัตร และจะต้องแสดงให้ทราบว่า ผู้ถือได้รับความคุ้มครองโดยอนุสัญญานี้ในฐานะใด บัตรนี้จะต้องมีรูปถ่ายของเจ้าของและมีลายมือชื่อหรือลายพิมพ์นิ้วมือของผู้นั้น หรือทั้งสองอย่าง และจะต้อง ประทับตราของเจ้าหน้าที่ทหาร

บัตรประจำตัวนี้จะต้องมีลักษณะอย่างเดียวกันตลอดทั้งกองทัพและเท่าที่จะกระทำได้ จะต้องให้เป็นแบบเดียวกันทั้งหมดในกองทัพต่างๆ ของอัครภาคีผู้ทำสัญญา ภาคีคู่พิพาทอาจถือแบบตามที่ได้ผนวกไว้ท้ายอนุสัญญานี้เป็นตัวอย่างก็ได้ ภาคีคู่พิพาทจะต้องแจ้งให้ทราบซึ่งกันและกันเมื่อได้มีการสู้รบเกิดขึ้นถึงแบบที่ตนใช้อยู่ หากเป็นไปได้ บัตรประจำตัวควรทำขึ้นเป็นสองฉบับเป็นอย่างน้อย ซึ่งประเทศผู้ออกบัตรจะเก็บรักษาไว้ฉบับหนึ่ง

ไม่ว่าในพฤติการณ์ใด ๆ พนักงานดังกล่าวจะถูกยึดเครื่องหมายหรือบัตรประจำตัว หรือถูกตัดสิทธิในการที่จะสวมผ้าพันแขนหาได้ไม่ ในกรณีที่เกิดสูญหาย บุคคลเหล่านั้นมีสิทธิได้รับสำเนาบัตรและได้รับเครื่องหมายใหม่แทน

ข้อ ๔๑

พนักงานที่ระบุไว้ในข้อ ๒๕ เฉพาะในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ทางการแพทย์จะสวมผ้าพันแขนสีขาวมีเครื่องหมายพิเศษอันเด่นชัดขนาดย่อตรงกลางผ้าพันแขนนี้ ให้เจ้าหน้าที่ทหารเป็นผู้จ่ายและประทับตรา

เอกสารประจำตัวทหาร ซึ่งพนักงานประเภทดังกล่าวนี้เป็นผู้ถือนั้นให้ระบุถึงการฝึกหัดพิเศษที่บุคคลนั้นได้รับ ลักษณะอันเป็นการชั่วคราวแห่งหน้าที่ซึ่งผู้ถือจะพึงปฏิบัติ และสิทธิในการสวมผ้าพันแขน

ข้อ ๔๒

ธงเครื่องหมายพิเศษอันเด่นชัดแห่งอนุสัญญา จะชักขึ้นได้ก็แต่เฉพาะเหนือหน่วยและสถานที่ตั้งทางการแพทย์ต่าง ๆ ซึ่งมีสิทธิได้รับความเคารพตามอนุสัญญานี้ และด้วยความยินยอมของเจ้าหน้าที่ทหารเท่านั้น

ในหน่วยเคลื่อนที่เช่นเดียวกันกับในสถานที่ตั้งประจำ ธงนี้อาจชักคู่กับธงชาติของภาคีคู่พิพาทซึ่งหน่วยหรือสถานที่นั้นสังกัดอยู่ก็ได้

อย่างไรก็ดี หน่วยแพทย์ที่ตกอยู่ในอำนาจของข้าศึกจะต้องไม่ชักธงอื่นนอกจากธงแห่งอนุสัญญานี้

ภาคีคู่พิพาทจะต้องจัดการที่จําเป็นเท่าที่การพิจารณาของทางการทหารจะอำนวยให้ เพื่อให้เครื่องหมายพิเศษอันเด่นชัดแสดงหน่วยและสถานที่ตั้งทางการแพทย์เป็นที่เห็นอย่างชัดแจ้งแก่กองทัพบก อากาศ และเรือของข้าศึก เพื่อป้องกันการโจมตีใด ๆ ซึ่งอาจมีขึ้นได้

ข้อ ๔๓

หน่วยแพทย์ของประเทศที่เป็นกลาง ซึ่งได้รับอนุญาตให้ทำการช่วยเลือแก่ผู้เป็นฝ่ายในสงครามฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งภายใต้เงื่อนไขแห่งข้อ ๒๗ จะต้องชักธงชาติของผู้เป็นฝ่ายในสงครามฝ่ายนั้นคู่กับธงแห่งอนุสัญญาเมื่อฝ่ายที่กล่าวฝ่ายหลังนั้นใช้ประโยชน์ที่ได้รับตามข้อ ๔๒

เว้นแต่เมื่อเจ้าหน้าที่ทหารผู้รับผิดชอบจะออกคําสั่งเป็นอย่างอื่น หน่วยแพทย์ดังกล่าวอาจซักธงชาติของตนได้ในทุกโอกาส แม้ว่าจะตกอยู่ในอํานาจของภาคีฝ่ายปฏิปักษ์ก็ตาม

ข้อ ๔๔

นอกจากตามข้อยกเว้นในกรณีต่าง ๆ ที่ระบุไว้ในวรรคต่อ ๆ ไปแห่งข้อนี้แล้ว ห้ามมิให้ใช้เครื่องหมายกาชาดบนพื้นสีขาวและคําว่า "กาชาด" หรือ "กาเจนีวา" ทั้งในยามสงบและในยามสงคราม เว้นแต่เฉพาะเพื่อระบุหรือคุ้มครองหน่วยและสถานที่ตั้งทางการแพทย์ พนักงานและพัสดุซึ่งได้รับความคุ้มครองจากอนุสัญญานี้และอนุสัญญาอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องอย่างเดียวกัน ให้ใช้บทบัญญัติอย่างเดียวกันนี้สําหรับเครื่องหมายต่าง ๆ ตามที่กล่าวไว้ในข้อ ๓๘ วรรค ๒ ในส่วนที่เกี่ยวกับประเทศต่าง ๆ ที่ใช้เครื่องหมายเหล่านั้น สภากาชาดประจําชาติและสมาคมอื่น ๆ ที่ระบุไว้ในข้อ ๒๖ จะมีสิทธิใช้เครื่องหมายพิเศษอันเด่นชัดซึ่งให้ความคุ้มครองแห่งอนุสัญญาได้ก็แต่เฉพาะภายในกรอบแห่งวรรคนี้เท่านั้น

นอกจากนั้นแล้ว สภากาชาด (สภาชีกวงเดือนแดง สภาสิงโตแดงและดวงอาทิตย์) ประจําชาติ ในยามสงบอาจใช้นามและเครื่องหมายแห่งกาชาดในกิจการอื่น ๆ ของตน โดยถูกต้องตามกฎหมายแห่งประเทศของตนตามหลักการซึ่งกำหนดไว้โดยการประชุมกาชาดระหว่างประเทศได้ หากกิจกรรมเหล่านั้นเป็นกิจการที่พึงปฏิบัติในยามสงครามแล้ว เงื่อนไขต่าง ๆ ในการใช้เครื่องหมายนั้นจะต้องเป็นไปโดยนัยที่จะมิให้เข้าใจได้ว่าเป็นการให้ความคุ้มครองโดยอนุสัญญา เครื่องหมายนั้นเมื่อเทียบตามส่วนแล้วจะต้องมีขนาดเล็กและห้ามมิให้นําไปติดที่ผ้าพันแขนหรือบนหลังคาอาคาร

องค์การกาซาตระหว่างประเทศต่าง ๆ และเจ้าหน้าที่แห่งองค์การเหล่านั้นซึ่งได้รับอนุญาตโดยถูกต้องแล้ว จะได้รับอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายกาชาดบนพื้นสีขาวได้ทุกเมื่อ

เพื่อเป็นการยกเว้นอันจะต้องเป็นไปตามกฎหมายแห่งชาติและด้วยการอนุญาตโดยชัดแจ้งของสภากาชาด (สภาซีกวงเดือนแดง สภาสิงโตแดงและดวงอาทิตย์) ประจำชาติ สภาใดสภาหนึ่งแล้วเครื่องหมายแห่งอนุสัญญาอาจนำไปใช้ในยามสงบเพื่อแสดงไว้บนยานพาหนะต่าง ๆ ที่ใช้เป็นรถพยาบาล และเพื่อชี้แสดงที่ตั้งสถานีสำหรับให้ความช่วยเหลือต่าง ๆ ซึ่งได้รับหน้าที่โดยเฉพาะเพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้การรักษาพยาบาลแก่ผู้บาดเจ็บและป่วยไข้โดยไม่คิดมูลค่า
ส่วนที่ ๘
การปฏิบัติตามอนุสัญญา
ข้อ ๔๕

ภาคีคู่พิพาทแต่ละฝ่ายจะต้องดำเนินการโดยผ่านทางผู้บัญชาการทหารของตนเพื่อประกันไหใการปฏิบัติตามอนุสัญญาข้อต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นให้เป็นไปโดยละเอียด และดําเนินการที่จําเป็นต่าง ๆ สำหรับกรณีที่มิได้คาดหมายไว้ล่วงหน้าให้สอดคล้องกับหลักทั่วไปแห่งอนุสัญญานี้

ข้อ ๔๖

ห้ามมิให้กระทําการอันเป็นการตอบแทนแก้แค้นต่อผู้บาดเจ็บ ป่วยไข้ พนักงาน อาคาร หรือบริภัณฑ์ ที่ได้รับความคุ้มครองโดยอนุสัญญาฉบับนี้

ข้อ ๔๗

อัครภาคีผู้ทําสัญญารับที่จะเผยแพร่ตัวบทแห่งอนุสัญญาฉบับนี้ในประเทศของตนอย่างกว้างขวางที่จะทําได้ ทั้งในยามสงบและในยามสงคราม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งให้รวมการศึกษาอนุสัญญานี้เข้าในโครงการศึกษาของทหารและถ้าเป็นได้ในโครงการศึกษาของพลเรือนด้วย เพื่อให้ประชาชนโดยทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยกําลังรบ พนักงานแพทย์ และอนุศาสนาจารย์ได้ทราบหลักการแห่งอนุสัญญานี้

ข้อ ๔๘

อัครภาคีผู้ทำสัญญาจะได้ส่งคำแปลเป็นทางการอนุสัญญานี้ให้กันและกัน โดยผ่านทางคณะมนตรีสหพันธ์สวิส และในระหว่างการรบในส่งผ่านทางประเทศที่คุ้มครอง รวมทั้งกฎหมายและข้อบังคับต่าง ๆ ซึ่งตนอาจบัญญัติขึ้นเพื่อประกันการปฏิบัติตามอนุสัญญานี้


ส่วนที่ ๙
การปราบปรามการฝ่าใช้และการละเมิด
ข้อ ๔๙

อัครภาคีผู้ทําสัญญารับที่จะตรากฎหมายตามที่จําเป็นขึ้นไว้ให้มีบทลงโทษทางอาญาอันจะปรับใช้ได้อย่างได้ผลแก่บุคคลที่กระทําหรือสั่งให้กระทําการละเมิดอันร้ายแรงใด ๆ ต่ออนุสัญญาดังไดนิยามไว้ในข้อต่อไป

อัครภาคีผู้ทําสัญญาแต่ละฝ่ายมีพันธกรณีที่จะต้องค้นหาตัวผู้ที่ต้องหาว่าได้กระทำหรือได้สั่งให้กระทำการละเมิดอันร้ายแรงนั้น ๆ และจะต้องนําตัวบุคคลเหล่านี้ไม่ว่าจะมีสัญชาติใดขึ้นศาลของตน หากประสงค์และจะให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายของตนแล้ว อัครภาคีฝ่ายนั้นอาจส่งตัวบุคคลดังกล่าวไปให้อัครภาคีอีกฝ่ายหนึ่งที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาคดีก็ได้ แต่อัครภาคีฝ่ายนั้นจะต้องแสดงว่ามีข้อกล่าวหาอันมีมูลเพียงพอ

อัครภาคีผู้ทําสัญญาแต่ละฝ่ายจะต้องจัดการตามที่จําเป็นเพื่อระงับบรรดาการกระทำใด ๆ อันขัดต่อบทบัญญัติแห่งอนุสัญญานี้ นอกจากการละเมิดร้ายแรงที่ได้นิยามไว้ในข้อต่อไป

ในทุกพฤติการณ์ บุคคลผู้ต้องหาจะต้องได้รับประโยชน์แห่งความคุ้มครองในการพิจารณาและการต่อสู้คดีโดยเป็นธรรม ซึ่งเป็นการให้ความอนุเคราะห์ไม่น้อยไปกว่าที่ได้บัญญัติไว้ในข้อ ๑๐๕ และข้อต่อ ๆ ไปแห่งอนุสัญญาเจนีวา เกี่ยวกับการปฏิบัติต่อเชลยศึก ฉบับลงวันที่ ๑๒ สิงหาคม ค.ศ.๑๙๔๙
ข้อ ๕๐

การละเมิดอันร้ายแรงที่ได้กล่าวถึงในข้อก่อนนั้น ได้แก่ การกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ หากได้กระทำต่อบุคคลหรือทรัพย์สินซึ่งอนุสัญญานี้ให้ความคุ้มครอง คือ การฆ่าโดยเจตนา การทรมานหรือการปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรม รวมทั้งการทดลองทางชีววิทยา การกระทําให้เกิดความทุกข์ทรมานอย่างสาหัสหรือทําอันตรายแก่ร่างกายหรือสุขภาพอย่างร้ายแรงโดยเจตนา การทําลายและริบทรัพย์สินอย่างกว้างขวางโดยไม่มีความจําเป็นทางทหารและซึ่งได้กระทําไปโดยมิชอบด้วยกฎหมายและโดยพลการ

ข้อ ๕๑

อัครภาคีผู้ทําสัญญาจะปลดเปลื้องตนเอง หรืออัครภาคีอื่นใดจากความรับผิดชอบที่ตนเองหรืออัครภาคีอื่นมีอยู่เนื่องจากการละเมิดซึ่งได้กล่าวถึงในข้อก่อนนั้นมิได้

ข้อ ๕๒

เมื่อมีคําร้องขอของภาคีคู่พิพาทฝ่ายหนึ่ง จะต้องจัดให้มีการสอบสวนเกี่ยวกับข้อกล่าวหาว่าได้มีการละเมิดอนุสัญญาขึ้นด้วยประการใด ๆ โดยวิธีการตามที่ภาคีที่เกี่ยวข้องจะได้ตกลงกัน

หากไม่อาจตกลงกันได้ในวิธีการสําหรับการสอบสวนแล้ว ภาคีควรตกลงกันเลือกผู้ชี้ขาดขึ้นคนหนึ่งซึ่งจะตัดสินว่าจะต้องดําเนินการตามวิธีใด

เมื่อปรากฏชัดว่าได้มีการละเมิดแล้ว ภาคีคู่พิพาทจะต้องจัดการให้การละเมิดนั้นลิ้นสุดลงและกําจัดการละเมิดนั้นภายในเวลาสั้นที่สุดที่จะทําได้

ข้อ ๕๓

ในทุกโอกาส ห้ามมิให้เอกชน สมาคม ห้างร้านหรือบริษัทไม่ว่าที่เป็นสาธารณะหรือส่วนบุคคล นอกจากผู้ที่มีสิทธิตามบทบัญญัติแห่งอนุสัญญาฉบับนี้ใช้เครื่องหมายหรือคําว่า "กาชาด" หรือ "กาเจนีวา" หรือเครื่องหมายหรือถ้อยคําใด ๆ อันเป็นการเลียนแบบไม่ว่าจะมีวัตถุประสงค์อย่างใดในการใช้และโดยไม่คํานึงถึงวันที่นํามาใช้นั้น

ด้วยเหตุผลแห่งบรรณาการที่ได้ให้แก่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ด้วยการใช้ธงชาติสหพันธรัฐผันกลับสีนั้นและการสับสนที่อาจเกิดขึ้นได้ระหว่างตราแผ่นดินแห่งประเทศสวิสเซอร์แลนด์กับเครื่องหมายพิเศษอันเด่นชัดแห่งอนุสัญญา ห้ามมิให้เอกชน สมาคม หรือห้างร้าน ใช้ตราแผ่นดินแห่งสมาพันธรัฐสวิส หรือเครื่องหมายใด ๆ ที่เป็นการเลียนบบในทุกโอกาส ไม่ว่าเพื่อใช้เป็นเครื่องหมายการค้าหรือเครื่องหมายในทางพาณิชย์ หรือเป็นส่วนหนึ่งแห่งเครื่องหมายดังกล่าว หรือด้วยความมุ่งหมายอันัขัดต่อความสุจริตในทางพาณิชย์ หรือในพฤติการณ์อันอาจกระทบกระเทือนความรู้สึกของประชาชาติสวิส

อย่างไรก็ตาม อัครภาคีผู้ทำสัญญาฝ่ายใดที่มิได้เป็นภาคีอนุสัญญาเจนีวา ฉบับลงวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ค.ศ.๑๙๒๙ อาจอนุมัติกำหนดเวลาไม่เกินสามปี นับตั้งแต่อนุสัญญานี้มีผลบังคับใช้ให้ผู้ที่เคยใช้เครื่องหมายถ้อยคำหรือสัญญาณหรือตราที่ระบุไว้ในวรรคแรกมาก่อนแล้วเลิกใช้ โดยมิให้การใช้ระหว่างระยะเวลานั้นปรากฏในยามสงครามว่าเป็นการให้ความคุ้มครองตามอนุสัญญา

บทบัญญัติห้ามในวรรคแรกแห่งข้อนี้ ให้เป็นอันบังคับใช้สำหรับเครื่องหมายและตราซึ่งระบุไว้ในวรรคสองแห่งข้อ ๓๘ ด้วย โดยไม่กระทบกระเทือนสิทธิที่มีอยู่โดยการใช้อยู่ก่อนแล้ว
ข้อ ๕๔

อัครภาคีผู้ทําสัญญา หากกฎหมายที่มีอยู่ไม่เป็นการเพียงพอแล้ว จะต้องจัดการตามที่จำเป็นเพื่อป้องกันและกำจัดการฝ่าใช้ซึ่งกล่าวไว้ในข้อ ๕๓ ในทุกโอกาส


บทสุดท้าย
ข้อ ๕๕

อนุสัญญานี้ได้จัดทําขึ้นเป็นภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส ตัวบททั้งสองเป็นอันถูกต้องเท่ากัน

คณะมนตรีสหพันธ์สวิสจะต้องจัดให้มีคําแปลของอนุสัญญาฉบับนี้อย่างเป็นทางการ เป็นภษารัสเซียและภาษาสเปน

ข้อ ๕๖

อนุสัญญานี้ซึ่งลงวันที่วันนี้ เปิดให้ลงนามจนถึงวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ค.ศ.๑๙๕๐ ในนามของประเทศที่ได้มีผู้แทนไปในการประชุมซึ่งได้เปิดขึ้น ณ กรุงเจนีวา เมื่อวันที่่ ๒๑ เมษายน ค.ศ.๑๙๔๙ กัทั้งประเทศที่มิได้มีผู้แทนเข้าร่วม ในการประชุมครั้งนี้ แต่เป็นภาคีแห่งอนุสัญญาเจนีวาฉบับ ค.ศ.๑๘๖๔, ๑๙๐๖ และ ๑๙๒๙ ว่าด้วยการบรรเทาทุกข์ผู้บาดเจ็บป่วยไข้ในกองทัพในสนามรบ

ข้อ ๕๗

อนุสัญญานี้จะต้องได้รับการให้สัตยาบันโดยเร็วที่สุดที่จะทําได้และจะต้องเก็บรักษาสัตยาบันสารไว้ที่กรุงเบอร์น

ให้จัดทําการบันทึกการส่งมอบสัตยาบันสารแต่ละฉบับไว้ และให้คณะมนตรีสหพันธ์สวิสส่งสำเนาอันรับรองว่าถูกต้องไปให้ประเทศต่าง ๆ ที่ได้ลงนามไว้หรือที่ได้แจ้งการภาคยานุวัติอนุสัญญาแล้ว

ข้อ ๕๘

อนุสัญญานี้จะเป็นอันมีผลบังคับใช้เมื่อครบหกเดือน หลังจากได้มีการมีการมอบสัตยาบันสารไว้แล้วไม่น้อยกว่าสองฉบับ

แตนั้นไปอนุสัญญาจะเป็นอันมีผลบังคับใช้แก่อัครภาคีผู้ทำสัญญาแต่ละฝ่ายเมื่อครบหกเดือนหลังจากที่ได้มอบสัตยาบันสารแล้ว

ข้อ ๕๙

อนุสัญญานี้ ให้เป็นอันใช้แทนอนุสัญญาฉบับลงวันที่ ๒๒ สิงหาคม ค.ศ.๑๘๖๔ ฉบับลงวันที่ ๖ กรกฎาคม ค.ศ.๑๙๐๖ และฉบับลงวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ค.ศ.๑๙๒๙ ในความสัมพันธ์ระหว่างอัครภาคีผู้ทำสัญญา

ข้อ ๖๐
ตั้งแต่วันที่มีผลบังคับใช้เป็นต้นไป จะได้เปิดให้ประเทศใด ๆ ที่มิได้ลงนามไว้ทำการภาคยานุวัตอนุสัญญานี้ได้
ข้อ ๖๑

การภาคยานุวัติจะต้องแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรไปยังคณะมนตรีสหพันธ์สวิส และจะมีผลบังคับเมื่อครบหกเดือนหลังจากวันที่ได้รับทราบการแจ้งนั้น

คณะมนตรีสหพันธ์สวิสจะต้องแจ้งการภาคยานุวัติไปยังประเทศต่าง ๆ ที่ได้ลงนามไว้หรือที่ได้แจ้งการภาคยานุวัติอนุสัญญาแล้ว

ข้อ ๖๒

สถานการณ์ดังที่ได้บัญญัติไว้ในข้อ ๒ และ ๓ จะเกิดผลทันทีแก่สัตยาบันสารที่ได้มอบไว้ และการภาคยานุวัติที่ได้แจ้งแล้วโดยภาคีคู่พิพาท ก่อนหรือภายหลังการเริ่มสู้รบหรือการยึดครอง คณะมนตรีสหพันธ์สวิสจะต้องแจ้งการสัตยาบัน หรือการภาคยานุวัติใด ๆ ที่ได้รับจากภาคีคู่พิพาทโดยวิธีที่เร็วที่สุด

ข้อ ๖๓

อัครภาคีผู้ทำสัญญาแต่ละฝ่ายย่อมมีเสรีภาพ ที่จะบอกเลิกอนุสัญญาฉบับนี้

การบอกเลิกนี้จะต้องแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรไปยังคณะมนตรีสหพันธ์สวิส ซึ่งจะได้ส่งต่อไปยังรัฐบาลของอัครภาคีผู้ทำสัญญาทั้งปวง

การบอกเลิกจะมีผลเมื่อครบหนึ่งปีภายหลังที่ได้แจ้งไปให้คณะมนตรีสหพันธ์สวิสทราบ อย่างไรก็ดีการบอกเลิกซึ่งได้แจ้งไปในขณะที่ประเทศที่บอกเลิกนั้นยังพัวพันอยู่ในการพิพาทใดๆ จะไม่มีผลจนกว่าจะได้ทำสัญญาสันติภาพกันแล้ว และภายหลังที่การดำเนินการเกี่ยวกับการปล่อยตัวและการส่งตัวกลับประเทศเดิมของบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากอนุสัญญานี้ได้ยุติลงแล้ว

การบอกเลิกจะมีผลแต่เฉพาะที่เกี่ยวกับประเทศที่บอกเลิกเท่านั้น การบอกเลิกนี้จะไม่บั่นทอนพันธกรณีซึ่งภาคีคู่พิพาทยังจะต้องปฏิบัติตามโดยอาศัยหลักแห่งกฎหมายระหว่างประเทศ อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากจารีตประเพณีซึ่งเป็นที่รับรู้กันในระหว่างอารยชน จากกฎแห่งมนุษยธรรมและจากความรู้สึกผิดชอบของมหาชน

ข้อ ๖๔

คณะมนตรีสหพันธ์สวิสจะต้องจัดการจดทะเบียนอนุสัญญานี้ไว้ ณ สำนักงานเลขาธิการแห่งสหประชาชาติ คณะมนตรีสหพันธ์สวิสจะต้องแจ้งบรรดาการให้สัตยาบัน การภาคยานุวัติ และการบอกเลิกที่ตนได้รับเกี่ยวกับอนุสัญญาฉบับนี้ให้สำนักงานเลขาธิการแห่งสหประชาชาติทราบด้วย

เพื่อเป็นพยานแก่การนี้ ผู้ลงนามข้างท้ายนี้ซึ่งได้ส่งมอบสารแสดงการได้รับมอบอำนาจเต็มของตนไว้แล้วได้ลงนามในอนุสัญญาฉบับนี้

ทำ ณ กรุงเจนีวา เมื่อวันที่สิบสอง เดือนสิงหาคม ค.ศ.๑๙๔๙ เป็นภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส ต้นฉบับจะได้เก็บรักษาไว้ ณ สำนักงานบรรณสารของสมาพันธ์รัฐสวิส คณะมนตรีสหพันธ์สวิสจะได้ส่งสำเนาอนุสัญญาอันรับรองว่าถูกต้องแล้วไปยังแต่ละรัฐที่ได้ลงนามและรัฐที่ได้ทำการภาคยานุวัติอนุสัญญาฉบับนี้

ภาคผนวกที่ ๑
ร่างความตกลงเกี่ยวกับเขตโรงพยาบาลและตำบลสถานที่ตั้งสำหรับการรักษาพยาบาล
ข้อ ๑

เขตโรงพยาบาลจะต้องสงวนไว้โดยเฉพาะสำหรับบุคคลที่กล่าวไว้ในข้อ ๒๓ แห่งอนุสัญญาเจนีวา เพื่อให้ผู้บาดเจ็บและป่วยไข้ในกองทัพในสนามรบมีสภาวะดีขึ้น ฉบับลงวันที่ ๑๒ สิงหาคม ค.ศ.๑๙๔๙ และสำหรับพนักงานที่ได้รับมอบหมายให้จัดตั้งและทำหน้าที่ในทางบริหารเขตและสถานที่เหล่านี้ ตลอดจนดูแลรักษาพยาบาลบุคคลซึ่งรวมอยู่ในที่นั้น

อย่างไรก็ดี บุคคลที่มีเคหะสถานประจำอยู่ภายในเขตเช่นว่านี้ก็ให้มีสิทธิอยู่ในที่นั้นได้

ข้อ ๒

ห้ามมิให้บุคคลใดที่พักอาศัยอยู่ในเขตโรงพยาบาลไม่ว่าในฐานะใดก็ตาม ทำงานอย่างใด ๆ ไม่ว่าภายในหรือภายนอกเขตนั้นอันเกี่ยวกับการปฏิบัติทางทหาร หรือการผลิตวัสดุสิ่งอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำสงครามโดยตรง

ข้อ ๓

ประเทศที่จัดตั้งเขตโรงพยาบาลขึ้นนั้น จะต้องใช้มาตรการตามที่จำเป็นเพื่อห้ามมิให้บุคคลทุกคนที่ไม่มีสิทธิพักอาศัยหรือเข้าไปในเขตนั้น ล่วงล้ำเข้าไปในเขตดังกล่าว

ข้อ ๔

เขตโรงพยาบาลนั้นจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขต่อไปนี้ คือ

ก. จะต้องเป็นอาณาเขตแต่เพียงส่วนน้อยซึ่งอยู่ในพื้นที่ปกครองของประเทศที่ได้จัดตั้งเขตนั้นขึ้น

ข. จะต้องมีประชากรเบาบางเมื่อเทียบส่วนกับที่พักอาศัยที่จะพึงจัดให้ได้

ค. จะต้องตั้งอยู่ห่างไกล และปราศจากเป้าหมายทางทหาร หรือโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ หรือสถานที่ตั้งทางฝ่ายปกครองที่มีความสำคัญ

ง. จะต้องไม่ตั้งอยู่ในเขตซึ่งเป็นที่คาดหมายได้แน่ชัดว่าจะมีความสำคัญในการดำเนินการสงคราม

ข้อ ๕

เขตโรงพยาบาลนั้น จะต้องอยู่ภายใต้พันธกรณีดังต่อไปนี้ คือ

ก. บรรดาเส้นทางคมนาคมและยานพาหนะขนส่งที่อยู่ในครอบครองนั้น จะต้องไม่นำไปใช้ในการขนส่งพนักงานหรือวัสดุสิ่งอุปกรณ์ทางทหาร แม้จะเป็นเแต่เพียงส่งผ่านก็ตาม

ข. ไม่ว่าในกรณีใด เขตที่ว่านั้นจะต้องไม่มีการป้องกันทางทหาร

ข้อ ๖
เขตโรงพยาบาลจะต้องมีเครื่องหมายกาชาด (ซีกวงเดือนแดง สิงห์โตแดง และดวงอาทิตย์) บนพื้นสีขาว ตั้งอยู่ในบริเวณภายนอกและบนอาคาร เขตเหล่านี้ในเวลากลางคืนอาจมีเครื่องหมายเช่นเดียวกันโดยใช้แสงไฟเป็นเครื่องแสดงตามความเหมาะสมก็ได้
ข้อ ๗

ประเทศต่าง ๆ จะต้องส่งบัญชีแจ้งเขตโรงพยาบาลในอาณาเขตที่ตนปกครองอยู่ไปให้อัครภาคีผู้ทำสัญญาทุกฝ่ายในยามสงบ หรือเมื่อได้เกิดการสู้รบขึ้น ทั้งจะต้องแจ้งเพิ่มเติมให้ทราบถึงเขตที่จัดตั้งขึ้นใหม่ในเมื่อกำลังทำการรบอยู่ด้วย

ในทันทีที่ภาคีฝ่ายปฏิปักษ์ได้รับคำบอกกล่าวดังกล่าวข้างต้นแล้วให้ถือว่าเขตที่ว่านั้นได้จัดตั้งขึ้นโดยถูกต้องแล้ว

อย่างไรก็ดี ถ้าภาคีฝ่ายปฏิปักษ์พิจารณาเห็นว่ามิได้มีการปฏิบัติตามเงื่อนไขต่าง ๆ ตามความตกลงฉบับนี้ ตนอาจจะปฏิเสธไม่ยอมรับรองเขตดังกล่าวได้ โดยส่งคำบอกกล่าวเช่นนั้นไปยังภาคีที่รับผิดชอบต่อเขตที่ว่านั้นโดยทันที หรือจะยอมรับรองเขตเช่นว่านั้นโดยใช้วิธีควบคุมตามที่บัญญัติไว้ในข้อ ๘ ก็ได้

ข้อ ๘

ประเทศใดก็ตามเมื่อได้รับรองเขตโรงพยาบาลเขตหนึ่งหรือหลายเขตที่ได้จัดตั้งขึ้นโดยภาคีฝ่ายปฏิปักษ์แล้วย่อมมีสิทธิที่จะร้องขอให้มีการควบคุมโดยคณะกรรมการพิเศษคณะหนึ่งหรือหลายคณะ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทราบแน่ว่าเขตเหล่านั้นได้ปฏิบัติเป็นไปตามเงื่อนไขและพันธกรณีต่าง ๆ ที่ได้้กำหนดไว้ในความตกลงนี้

เพื่อการนี้ บรรดากรรมการแห่งคณะกรรมการพิเศษ จะมีสิทธิเข้าไปในเขตต่าง ๆ ได้ทุกเมือโดยเสรี และอาจเข้าไปพักอาศัยอยู่เป็นการประจำก็ได้ กรรมการจะต้องได้รับความสะดวกทุกประการในการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการตรวจตราของตน

ข้อ ๙

หากคณะกรรมการพิเศษสังเกตเห็นข้อเท็จจริงใดซึ่งพิจารณาเห็นว่าขัดต่อบทบัญญัติแห่งความตกลงนี้ คณะกรรมการนั้นจะต้องแจ้งข้อเท็จจริงเหล่านั้นแก่ประเทศที่ปกครองเขตที่ว่านั้นทันที และจะได้กำหนดระยะเวลาห้าวันเพื่อจัดการแก้ไขเรื่องนั้นเสีย คณะกรรมการจะต้องแจ้งความให้ประเทศที่ยอมรับรองเขตนั้นทราบด้วย

เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลานั้นแล้ว หากประเทศที่ปกครองเขตนั้นยังมิได้ปฏิบัติตามข้อตักเตือน ภาคีฝ่ายปฏิปักษ์อาจประกาศว่าตนเป็นอันหมดความผูกพันตามความตกลงนี้ ในส่วนที่เกี่ยวกับเขตที่ว่านั้น

ข้อ ๑๐

ประเทศใด ๆ ที่ได้จัดตั้งเขตโรงพยาบาลและพื้นที่สำหรับการรักษาพยาบาลขึ้นแห่งหนึ่งหรือหลายแห่งก็ตาม และภาคีฝ่ายปฏิปักษ์ทั้งหลาย ซึ่งได้รับแจ้งให้ทราบถึงการมีอยู่แห่งเขตและพื้นที่ดังกล่าวนั้น จะได้แต่งตั้งหรือให้ประเทศที่เป็นกลางแต่งตั้งบุคคลที่สมควรจะได้รับเลือกเป็นกรรมการ ในคณะกรรมการพิเศษต่าง ๆ ตามที่กล่าวไว้ในข้อ ๘ และ ๙

ข้อ ๑๑
ไม่ว่าในพฤติการณ์ใด ๆ ก็ตาม ห้ามใช้เขตโรงพยาบาลเป็นเป้าหมายสำหรับการโจมตี เขตนั้น ๆ จะต้องได้รับความคุ้มครองและเคารพจากภาคีคู่พิพาททุกเมื่อ
ข้อ ๑๒

ในกรณีที่มีการยืดครองอาณาเขตนั้น เขตโรงพยาบาลต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ในอาณาเขตนั้น ๆ จะคงได้รับความเคารพและใช้ประโยชน์เช่นนั้นต่อไป

อย่างไรก็ดี ประเทศที่ยึดครองอาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ของเขตเช่นว่านี้ได้ โดยมีเงื่อนไขว่าได้จัดการด้วยประการทั้งปวงแล้วเพื่อประกันความปลอดภัยของบุคคลที่อยู่ในเขตนั้น

ข้อ ๑๓

ความตกลงฉบับนี้ให้ใช้บังคับแก่บรรดาพื้นที่ซึ่งประเทศต่าง ๆ อาจใช้เพื่อวัตถุประสงค์อย่างเดียวกันกับเขตโรงพยาบาลด้วย

บรรณานุกรม

แก้ไข
 

งานนี้ไม่มีลิขสิทธิ์ เพราะเป็นงานตามมาตรา 7 (5) แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ของประเทศไทย ซึ่งบัญญัติว่า

"มาตรา 7 สิ่งต่อไปนี้ไม่ถือว่าเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัตินี้
(1)ข่าวประจำวัน และข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่มีลักษณะเป็นเพียงข่าวสาร อันมิใช่งานในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์ หรือแผนกศิลปะ
(2)รัฐธรรมนูญ และกฎหมาย
(3)ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง คำชี้แจง และหนังสือโต้ตอบของกระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือของท้องถิ่น
(4)คำพิพากษา คำสั่ง คำวินิจฉัย และรายงานของทางราชการ
(5)คำแปลและการรวบรวมสิ่งต่าง ๆ ตาม (1) ถึง (4) ที่กระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือของท้องถิ่น จัดทำขึ้น"