เปิดกรุผีไทย/เล่ม 1/เรื่อง 10

เมืองแม่วันทอง

. . .ผมและวิชัยสะดุ้งทั้งตัว นั่นมันศพแท้ ๆ. . .มีผ้าพันตัวและเชือกตราสังมัดอยู่. . .มันเป็นศพแห้งตายซาก. . .เบ้าตากลวงลึก. . .
เมืองแม่วันทอง

"แดนนี้ไม่น่าที่พม่าจะยกทัพมาเลย" ผมพูดขณะที่วิชัยกับผมลงจากรถที่หน้าองค์เจดีย์ของดอนเจดีย์

"แกหมายถึงว่า มันเป็นแดนแห้งแล้งใช่ไหม?" วิชัยถามผมอย่างจะหยั่งความเห็น

"ก็นั่นน่ะซิ ฉันเพิ่งมาดูเป็นครั้งแรกก็เชื่อว่า เมื่อสมัยโน้นแห้งแล้งจริง ๆ อย่างที่ทางภูมิศาสตร์พูดไว้" ผมพูดแล้วเหลียวดูบริเวณนั้นไปรอบ ๆ

"มันก็แห้งแล้งจริง ๆ อย่างที่เห็นนี่ละ ถ้ามองดูต้นไม้ มันก็เกลื่อนกลาดอยู่ มันก็เฉพาะต้นไม้ใหญ่ ๆ ต้นไม้เล็ก ๆ และต้นหญ้าไม่มีเลย" วิชัยพูดแล้วควักบุหรี่จุดสูบ

"หญ้าก็ไม่มี น้ำก็ไม่มี แล้วเจ้าช้างม้าสัตว์ในกองทัพจะเอาอะไรกินล่ะ" ผมพูด

"บางทีพม่าหลงเข้ามาโดยไม่ทันคิดกระมัง? หรือไม่ก็คิดว่า เป็นทางลับนี้ ทางไทยไม่ระวังก็ได้ จึงแอบเข้ามา" วิชัยออกความเห็น

"ไปดูอย่างอื่น ๆ กันดีกว่า" ผมว่า "นำทางซิ พ่อเจ้าของท้องถิ่นสุพรรณ"

"ก็ไม่มีอะไรหรอก นอกจากจะเข้าไปดูเนินเจดีย์เก่าที่อยู่ภายในองค์นอกครอบอยู่" วิชัยว่า

เราเข้าไปดูภายในองค์เจดีย์กัน เจดีย์เก่านั้นก็เหลือเพียงเป็นซากกองอิฐหัก ๆ สุมเป็นกองเนินอยู่เท่านั้น ผมไม่ถนัดทางประวัติศาสตร์นัก เมื่อดูแล้วก็ไม่มีอะไรคืบหน้าไปอีกในสมอง ถ้าผมมีความรู้เพียงพอจะเทียบเคียงค้นคว้าได้เพียงพอกับประวัติศาสตร์ ก็จะสนุกแก่ผมเป็นอันมาก ผมตั้งใจติดตามนายวิชัยมาครั้งนี้ ก็มุ่งแต่จะดูสถานที่ของสุพรรณบุรีเพียงที่วรรณคดีขุนช้างขุนแผนกล่าวไว้เท่านั้น ไม่ใช่มาดูประวัติศาสตร์ จึงไม่สำคัญแก่ผมเท่าไรนัก ผมเป็นนักฝัน จึงชอบวรรณคดีที่มีความหลังความเก่าอันวังเวงพอจะให้ผมฝันได้ง่าย ๆ ตามคำของกวีที่ท่านกล่าวไว้ แต่ประวัติศาสตร์นั้นผมจะไปฝันเล่นเอาง่าย ๆ นั้นย่อมไม่ได้ ของเป็นหลักฐาน จะต้องระวังว่าให้ถูกต้อง เท่าที่รู้ตามที่ได้อ่านมาในประวัติของดอนเจดีย์ ถ้าผมจะฝัน ก็ฝันเห็นว่า ตอนนั้น ช้างทรงช้างศึกขององค์พระนเรศวรผู้เป็นประมุขของไทยกำลังตกมัน ได้วิ่งแตกฝูงช้างอื่นมาแต่โดยลำพัง และที่ตรงแถวนี้แล้งน้ำ ต้นหญ้าไม่ค่อยมี จึงมีฝุ่นมาก เมื่อช้างวิ่งมา ฝุ่นก็กลบไปหมด ต่อเมื่อรั้งช้างหยุดได้แล้วและฝุ่นจางลง จึงรู้สึกพระองค์ว่า ได้หลุดมาเดี่ยวในกลางทัพช้างฝ่ายพม่า ครั้นมองไป เห็นพระมหาราชาแห่งพม่าทรงช้างพักอยู่ใต้ร่มไม้ ก็เลยร้องท้ารบไปเลย เพราะไหน ๆ ก็เข้าดงเสือและอยู่ใจกลางดงเสือเสียด้วยโดยเปล่าเปลี่ยว ชาตินักรบก็ต้องชวนรบเลย เพราะมุ่งหน้าจะมารบแล้ว ครั้นเมื่อรบแล้ว ฝ่ายพม่าก็ตาย ผมก็ฝันได้แค่นี้เอง และก็เป็นฝันตามที่ได้เคยอ่านมาเท่านั้น จะฝันเลยไปอย่างฝันในวรรณคดีไม่ได้ ยิ่งอ่านตอนใดวังเวงจับใจ ก็ฝันเอาจนสมใจตัวเอง เพราะรู้อยู่แล้วว่า เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น ไม่มีค้นคว้าจับเท็จจับจริงกันละ ผมอ่านวรรณคดีขุนช้างขุนแผนที่มีสถานที่หลายแห่งในสุพรรณบุรีฝากประกอบไว้ จึงเกิดอยากจะเห็นสถานที่เหล่านั้นให้ชื่นใจ

ไม่มีอะไรจะดูอีกแล้วในตำบลดอนเจดีย์ เราจึงกลับขึ้นรถเพื่อเข้าเมือง ผมคิดขอบคุณรัฐบาลเหลือเกินที่ได้ทำการสร้างองค์เจดีย์ขึ้นใหม่ครอบทับองค์เก่าไว้ จึงเป็นที่ระลึกแห่งสำคัญของประวัติศาสตร์ ถ้ามิฉะนั้น จะไม่มีใครจะได้มาชมเลย ถ้าจะนับว่าอยู่กลางป่าก็ว่าได้ ถ้าไม่มีถนน ที่ไหนจะมีทางมาได้สะดวกดังนี้ และที่สำคัญของวีรบุรุษของไทยได้สร้างไว้แก่ประเทศก็จมอยู่กลางป่า

"เฮ้ย… อุทิศ ฉันจะพาแกไปกินข้าวร้านหนึ่ง ฝีมือพ่อครัวเด็ดนัก" วิชัยว่า แล้วชะลอเครื่องรถแถวร้านจอแจ แต่แล้วกลับเร่งเครื่องต่อไปอีก

"เดี๋ยวเว้ย เกือบลืมไปแฮะ" วิชัยพูดขณะที่ขับรถมา "ไปตลาดก่อน แกมาสุพรรณ ถ้าไม่ได้กินปลาบู่ ก็เหมือนไม่ได้มาสุพรรณและได้กินอาหารชั้นเลิศ"

"เอ๊ะ คนไทยถือนะแกว่า ถ้ากินปลาบู่ ก็เท่ากับกินปลาบู่ทองในนิยายนั่นแหละ" ผมเย้าเล่น ๆ พ่อนักธุรกิจหัวเราะ

"ถ้าแกถือ ฉันจะกินแทนเอง ฉันคิดว่า ปลาบู่มีมาในเมืองไทยหลายพันปีแล้ว แต่วรรณคดีเรื่องปลาบู่ทองเพิ่งจะมีขึ้น" วิชัยหัวเราะอีก "เฮ้ย คนไทยเรามัวสงสารตามเรื่องนิยาย เลยชาวจีนกินปลาบู่สบายใจ ใครเอาไปขายที่ตลาด ชาวจีนกวาดเรียบวุธเลย แกเอ๋ย เนื้อมันวิเศษนัก นอกจากเนื้อปลากำพวด ปลาตีนตัวโต ๆ แล้ว ไม่มีเนื้อปลาอะไรเทียบมันได้เลย"

"แต่ปลาบู่นี่ ตามนิยายว่า เป็นเมียหลวงของชาวประมงนะ เมียน้อยทำมนต์ดี ผัวหลงมนต์ เลยตีเมียหลวงตกน้ำตาย แล้วเกิดมาเป็นปลาบู่ ถ้าเรากินปลาบู่ เราก็เท่ากับเป็นพวกเมียน้อยน่ะซี เพราะเมียน้อยจับปลาบู่กิน" ผมแย้งเล่นตามนิยาย

"เอาละนะ แกไม่กิน ฉันกินแทนเอง" วิชัยว่า

เราเดินเข้าตลาดไปด้วยกัน วิชัยพาไปทางตลาดปลา วิชัยซื้อปลาบู่ตัวขนาดใหญ่มหึมาได้สองตัว ผมมองดูแล้วชักสงสัย ในขณะที่เดินกลับมาที่รถแล้ว ผมจึงถามเขา

"นี่แกจะไปตั้งครัวที่ไหน จึงจะกินปลานี้ได้" ผมถาม

"อ๋อ กันมีครัวอยู่หลายแห่ง ประเดี๋ยวแกก็รู้ว่าครัวไหน" วิชัยพูดแล้วเอาปลาใส่รถ แล้วเราก็ขึ้นนั่งดังเก่า วิชัยก็ขับตรงมาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แล้วเราหยุดรถที่หน้าร้าน แล้วตรงเข้าร้านนั้น เจ้าของร้านทักทายกับวิชัยดี เพราะเขากว้างขวางในสุพรรณ

"ทำน้ำขาวเสียหนึ่ง และต้มยำเสียหนึ่ง" วิชัยสั่งเจ้าของร้านแล้วส่งปลาบู่ให้กับมือ

"วันนี้มีอะไรดี ๆ ก็ขอบ้างนะ ที่กินกับเหล้าอร่อย ๆ น่ะ" เขาสั่งกับข้าวต่อ

เขาดื่มเหล้ารอคอยอาหารไปก่อน และคุยเรื่องวรรณคดีบ้าง ประวัติศาสตร์บ้าง ชักจะออกรสออกชาติดีพอควร

"ทำไมนะ ชาวสุพรรณจึงไม่ค่อยหลบรถเวลาเดินถนน เราเปิดแตร เขาก็เฉย ๆ" ผมพูดขึ้น วิชัยหัวเราะแล้วตอบว่า

"คนที่นี่อาจจะคิดว่า ทั้งคนเดินถนนและรถย่อมมีสิทธิ์บนถนนด้วยกัน ต่างคนต่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน"

"นั่นน่ะซี" ผมเสริม "การขับรถที่นี่ต้องระวังอย่างมาก ถ้าทำขับอย่างกรุงเทพฯ เป็นมีหวังติดตารางกันเสมอไป"

พอดีกับเพื่อน ๆ ของวิชัยที่สุพรรณมาพบเข้า ก็เลยเข้าผสมวงคุยกันเป็นการใหญ่ ทั้งอาหารที่สั่งไว้ก็มาพอทันกัน เป็นความจริงอย่างวิชัยว่า ปลาบู่เนื้ออร่อยจริง ๆ ผมรับประทานไปคิดไป อดจะชมเชยฝีมือพ่อครัวร้านนี้มิได้ เด็ดขาดทั้งอย่างอื่น ๆ และการปรุงรสปลาบู่อร่อยนัก แม่น้ำนี้ยังอุดมปลาที่จะเลี้ยงชาวสุพรรณได้เป็นอย่างดี สมแล้วกับคำโบราณที่ถามกันว่า "กินข้าวกินปลาแล้วหรือ?" นี่เป็นการประกันว่า คนไทยเราอาศัยอาหารปลามากกว่าอย่างอื่น ในครู่นั้น พ่อครัวส่งกุ้งขนาดใหญ่เผาแล้วหั่นไว้พอเป็นคำ ๆ เรียงกันไว้ ฝ่ายแตงกวาวางไว้ข้าง ๆ แล้วมีพริกขี้หนูโรย น้ำปลาโรย แล้วบีบมะนาวใส่ มันอร่อยถึงใจ ดื่มเหล้าแล้ว เจ้ากุ้งเผานี้แกล้มเข้าไป มันรู้สึกว่า โลกนี้เป็นของเราแท้ ๆ

เพื่อนคนหนึ่งของวิชัยรู้ว่า ผมมาสุพรรณคราวนี้ ก็เพราะสนใจในวรรณคดีขุนช้างขุนแผน เขาก็คุยถึงตำบลที่กล่าวไว้ในเรื่องว่า มีตำบลใดบ้าง และที่สะดุดใจมาก ก็คือ ตำบลบ้านที่พี่เลี้ยง ซึ่งเป็นตำบลบ้านของแม่พิมหรือแม่วันทอง และบ้านรั้วใหญ่ที่เป็นบ้านขุนช้าง ฟังแล้วอยากดูขึ้นมาตะหงิด ๆ เพราะขามารถผ่านวัดป่าเลไลยก์ที่เป็นวัดสำคัญในวรรณคดีขุนช้างขุนแผนที่สุด เพราะเป็นที่อาศัยของเณรแก้วหรือขุนแผนเมื่อสมัยรุ่นหนุ่ม ถ้าคิดถึงเณรแล้ว ก็ต้องนึกถึงวัดนี้ ขามาผมได้แวะเข้านมัสการพระในโบสถ์เสียพอใจ แล้วเที่ยวมองหมู่กุฏิพระและศาลาการเปรียญ แต่จะใช่เป็นของในสมัยนั้น ๆ หรือไม่ก็ไม่สนใจ เพียงได้ดูได้มองก็ครึ้มใจที่สุด นึกเอาว่า พระเอกของเรื่องได้อยู่ตรงนั้น ตัวโกงอยู่ตรงนั้น ก็เป็นที่วังเวงสำหรับนักเพ้อฝันในวรรณคดี

กว่าการกินเฮฮาของเราจะสิ้นลง เวลาก็เย็นมาก วิชัยว่า คืนนี้เดือนหงาย ขับรถสบายดี ไม่ต้องห่วง อย่างไรก็ต้องกลับในคืนนี้ เพราะเมียเขาคอยอยู่บ้านญาติในนครปฐม ก่อนที่จะพ้นสุพรรณไป จะแวะให้ชมตำแหน่งแห่งที่มาของขุนช้างขุนแผนจนอิ่มตา แต่สภาพที่นั้น ๆ จะเปลี่ยนแปลงไปแล้วด้วยกาลเวลา ก็ยังดีสมใจ เราได้แยกกับเพื่อน ๆ ในที่ย่านการค้านั่นเอง เหลือเราเพียงสองคนขับรถมาหยุดตรงลำคลองที่น้ำตื้น ๆ แห่งหนึ่ง นายวิชัยนี้ให้ดูว่า นี่คือตำบลท่าพี่เลี้ยง ผมใจหายวูบ นั่นคือตำบลบ้านแม่พิม ผมก็ฝันด้วยความวังเวงย้อนหลังไปสมัยที่แม่พิมยังอยู่ ภาพก็เกิดขึ้นเลือน ๆ ในห้วงคิด เห็นแม่พิมกับบ่าวไพร่ฝ่ายหญิงลงมาอาบน้ำที่ท้องคลอง

พวกบ่าวหญิงเล่นเอาเถิด ไล่จับกันสนุกสนานจนผ้าผ่อนหลุดไม่ติดกาย อีกพวกคลองด้านหนึ่ง มีขุนช้างกับบ่าวไพร่กำลังแอบดูที่ซุ้มไม้ชื่อ ชิงชี่ พวกบ่าวไพร่ออกปากกันงุ่นง่าน เวลานั้น แม่พิมขบขำข้าทาส นางหัวเราะตัวเอนไปจนผ้าห่มไพล่จากรักแร้จนเห็นถันของนางแลบออกมา ขุนช้างร้องครางว่า "อีแม่เอ๋ย วันนี้กูตาย" แล้วเอาตนเองบีบท้องน่องตัวเอง ผมนึกยกย่องท่านกวีเอกที่แต่งเรื่องไว้ ช่างวางนิสัยของขุนช้างไว้เหมาะสมกับรูปร่าง ซึ่งเป็นนิสัยที่ผิดกันไกลกว่าขุนแผนเป็นไหน ๆ อีกทั้งนิสัยตัวละครทุก ๆ ตัวก็วางไว้ผิดกันคนละอย่างต่างกัน จนผู้อ่านแลเห็นจริงเห็นจังไปด้วย

วิชัยเห็นผมเคลิ้มอยู่ตำบลท่าพี่เลี้ยงพอควรแล้ว จึงชวนนั่งรถผ่านบ้านแถวขุนช้างที่เรียก บ้านรั้วใหญ่ ผมก็มองไปตามที่เขาชี้อย่างฝัน ๆ ตรงที่ชี้นั้นจะใช่ไม่ใช่ผมไม่กังวลใจ ในยามเย็น ตะวันอ่อน หัวใจเคลิ้มวังเวง แทบว่า ภาพทุกตอนทุกมุมของเรื่องนี้ได้ผุดขึ้นในสมองผม ขุนช้างถ้าจะไปไหนก็มีข้าทาสตามหลังกันพรั่งพรูออกรั้วบ้านไป ครั้นเวลากลับ ก็เมาเหล้าเปะปะมาเข้าบ้าน ด่าทอเข่นโคตรเหง้าเหล่ากอขี้ข้าเล่นสบายปาก

ในที่สุด รถได้มาหยุดที่วัดป่าเลไลยก์อีก เป็นเวลาเย็นค่ำรำไร ผมมองไปที่ศาลาทำบุญนั้น จะใช่ศาลาเก่านั้นก็หามิได้ ภาพการทำบุญได้ผุดกับตาและห้วงคิด ตอนแม่พิมกับบ่าวไพร่และแม่สายทองมาตักบาตรเณรแก้ว นั่งที่ระเบียงบนศาลา แม่พิมตักบาตรมาถึงตรงเณรแก้ว ก็สงสัยว่าจะเคยรู้จัก ก็ตักข้าวตักกับใส่ให้เสียจนล้นโถล้นบาตร เณรแก้วเคืองใจก็เงยหน้าดู ครั้นพบเห็นก็เข้าใจได้ว่า แม่คนนี้เคยเป็นเพื่อนเล่นกันมาแต่เด็ก จากไปเสียนาน กลับมาพบ ช่างสวยบาดใจ

ครั้นทอดตาไปทางหมู่กุฏิพระในยามแสงสลัว ๆ ก็เห็นภาพเณรแก้วกำลังนั่งรำพึงถึงแม่พิมด้วยความรักที่เกิดขึ้น ผมถอนใจด้วยเห็นใจหนุ่มสาวในสมัยนั้น ถ้านับระยะทางจากวัดมาถึงบ้านแม่พิมในสมัยนี้ นั่งรถไปสูบบุหรี่เพียงครึ่งมวนก็ถึง แต่สมัยโน้นย่อมรู้สึกว่าไกลนัก ยิ่งบ้านเมืองไม่เจริญ ทางเดินก็เหมือนป่า มีเสียงเรไรหริ่งร้องไปทุกต้นไม้ใหญ่

"อุทิศ! เราเดินทางกันเถอะ มันยังอีกไกลนัก" วิชัยเตือนผม ผมมองไปที่โบสถ์อีกครั้ง แล้วถอนใจอย่างบอกไม่ถูกว่า ถอนใจทำไม แสงอาทิตย์หมดไปแล้ว แสงเดือนมาแทน ลาก่อนเมืองของแม่วันทอง ผมนั่งนิ่งมาตลอดทาง เพราะยังฝันถึงตำบลต่าง ๆ ที่ผ่านมา

"เรามีเวลาน้อยไปหน่อยสำหรับเมืองในวรรณคดี" ผมพูดคล้ายบ่น

"ไว้วันหน้าเถิด ฉันต้องมาเมืองนี้บ่อย ๆ เพราะธุรกิจ แกจะมาเมื่อไหร่ก็ได้" วิชัยว่า

"ฉันยังเห็นสถานที่ที่กล่าวไว้ในเรื่องไม่หมดเลย"

"วันหน้าเถิดนะ ฉันจะพาไปดูให้ทั่ว แต่แกก็รู้แล้วนี่นะว่า จะเอาอะไรแน่กับข้ออ้างในการประพันธ์ เขาเพียงฝากไว้กับสถานที่นั้นเท่านั้น แต่จะจริงไม่จริงนั้นไปอีกเรื่องหนึ่ง"

"ถูกแล้ว! แต่มันก็ฝันไปได้อย่างสบาย ๆ ตามสันดานของฉัน" ผมว่า

ต่อนั้นมา ผมก็นั่งขรึม ๆ มาตลอดทางจนถึงตำบลอู่ทอง พอเลยมาหน่อย วิชัยก็ทักว่า ผมนิ่งไปไม่พูดบ้างเลย จะพลอยทำให้เขาง่วง ช่วยคุยเป็นเพื่อนหน่อย ผมจึงนึกขึ้นได้ว่า การขับรถในทางเปลี่ยวโดยคนเดียวไม่มีการคุยกันเลยทำให้ง่วงนอนได้ และภัยที่จะเกิดนั้น คือ เผลอสติไปเพียงเสี้ยววินาทีก็หมายถึงตาย ผมเลยนำเอาเรื่องประวัติศาสตร์ตอนดอนเจดีย์ขึ้นคุยกัน เพราะเป็นตอนที่ดุเดือดสมกับเป็นนักเลงรบ ในชั่วครู่นั้นเอง ก็เกิดเรื่องประหลาดขึ้น คือ ข้างหน้าเรายังอีกห่างไกล ตามแสงไฟหน้ารถเราที่ฉายพุ่งไปอย่างแรงนั้น มีภาพการทุลักทุลีของใครคนหนึ่งกำลังลากอะไรข้ามถนนไปจากฟากหนึ่งจะไปอีกฟากหนึ่ง วิชัยเบาเครื่องลงฉับพลัน เพราะการลากของข้ามถนนั้น ผู้ลากได้หยุดขวางถนนเสียเฉย ๆ โดยคนลากนั้นจะหมดแรงลากไม่ไหว ลงท้ายหยุดยืนหันหลังให้รถเราเสียเฉย ๆ เมื่อเราใกล้เข้าไป ก็ต้องหยุด เห็นสิ่งที่เขาลากข้ามถนนได้ชัดว่าเป็นเลื่อน สิ่งนี้เป็นพาหนะบรรทุกข้าวเปลือกที่ชาวนาใช้ควายลากด้วยกำลัง มันไม่มีล้อดังเกวียน มันเป็นไม้สองท่อนที่ทำงอนหัวงอนท้ายแทนลูกล้อ ถ้าลากไปหัวชังต้นข้าว มันก็ลื่น ทำให้ลากได้เบา แต่ถ้ามาบนถนน มันก็หนัก ถ้าไม่ใช้ควายลาก แต่นี่เป็นคนลาก ก็หนักแรง ทั้งคนลากนั้นก็เป็นหญิงเสียอีก แม่คนนั้นแกยกมือให้เราหยุด ผมกับวิชัยมองหน้ากัน เพราะการหยุดรถในเวลาค่ำคืนในหนทางเปลี่ยวนั้นไม่ควรทำทีเดียว ถ้ายังไม่อยากหมดเนื้อหมดตัว จริงอยู่ ผู้ที่ขอให้เราหยุดนั้นเป็นหญิงเพียงคนเดียว แต่จะรู้ได้อย่างไรว่า ข้าง ๆ ถนนที่มีแต่ซุ้มไม้นั้นจะไม่มีใครซุ่มอยู่ เรามองไปที่เลื่อนนั้นเพื่อตรวจดูว่าบรรทุกอะไร ทันทีเราก็ฉงนใจและเฉลียวขึ้นว่า เราจะถูกปล้นเสียแล้ว ในเลื่อนที่ลากมานั้นเป็นคนห่มผ้าทำนอนนิ่งแน่ ๆ มีผ้าคลุมโปงเหมือหนาวจัด

"รถว่างไหม?" หญิงผู้ลากเลื่อนร้องถามเราด้วยเสียงเหนื่อยอ่อน

"ทำไมล่ะ?" ผมถามออกไปด้วยใจนึกจะไหวทันว่า เรากำลังจะเข้าตาลำบากเสียแล้ว รถเราถ้าจะหลีกไปก็ยาก เพราะเลื่อนนั้นทอดขวางเกือบครึ่งถนน และทางหัวเลื่อนมีคานที่ลากนั้นยาวมาก ซ้ำแม่คนที่ลากเลื่อนยังอยู่สุดคานลากนั้นอีก จึงเต็มถนนพอดี ยากแก่เราจะหลีกไปได้

"ฉันจะขอฝากคนเจ็บหนักไปโรงพยาบาลนครปฐมด้วย" หญิงนั้นพูดช้า ๆ

"ฉันไม่ไปนครปฐม" วิชัยเป็นคนปฏิภาณไว "ฉันจะไปแค่กำแพงแสนนี่เอง"

แม่หญิงผู้ลากเลื่อนได้ยินเราตอบดังนั้นก็นิ่งงัน ดูตามรูปร่างแก คะแนอายุว่ายังสาว ยืนทอดอาลัย

"ช่วยไปหน่อยไม่ได้หรือ?" แกพูดต่อ "นึกว่าเอาบุญแก่คนเจ็บเถิด"

เรามองหน้ากันอย่างไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร และไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไร เพราะตามคำที่แกพูดมานั้นก็น่าที่เราจะทำการช่วยเหลือ ซึ่งเกี่ยวกับความเมตตา แต่ถ้าพูดถึงการวิ่งรถเวลากลางคืนแล้วผิดหลัก จะรับใครกลางทางช่วยเหลือใครกลางทางอย่างนี้มันยากยิ่ง เคยหมดตัวเพราะเข้าตาจนมามากรายแล้ว แต่ใจหนึ่งก็คิดว่า เราหยุดรถมานี่หลายนาทีแล้ว ถ้าจะมีการปล้นสะดม ก็น่าจะมีแล้ว แต่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็ถ้าว่า เรารับแกไปจริงแล้ว แกเกิดขอร้องให้เราหยุดยังที่ใดที่หนึ่ง เราอาจจะโดนดีตรงนั้นก็ได้ จะมีพวกวิ่งพรูกันออกมาจกาป่าสองข้างทางยึดรถเราและตัวเราแล้ว เราจะทำอย่างไรเล่า วิชัยเป็นคนใจแข็งพอ ด้วยว่าเป็นนักธุรกิจวิ่งรถผ่านเมืองไกลเสมอ ย่อมระมัดระวังตัว จึงตอบว่า

"ฉันมีธุระร้อนจริง ๆ ทำอย่างนั้นไม่ได้ มันเกี่ยวกับการเป็นการตายเหมือนกัน" แม่หญิงนั้นยืมก้มหน้านิ่ง ไม่พูดว่าอะไร

"หลีกทางฉันหน่อยซิ ฉันธุระร้อนจริง ๆ" วิชัยว่า

"ดูนี่ซิยะ คุณ" แม่นั่นว่า "คนเจ็บแท้ ๆ ยังไม่ช่วย พูดแล้วเปิดผ้าคลุมโปงนั้นออกให้เห็นสภาพคนเจ็บที่เขาว่า แสงไฟเราสว่างจ้า มองเห็นถนัด ผมและวิชัยสะดุ้งทั้งตัว นั่นมันศพแท้ ๆ ไม่ใช่คนเจ็บอย่างพูด ศพนั้นมีผ้าพันตัวและเชือกตราสังมัดอยู่ ส่วนตอนหน้านั้นเปิดเห็นถนัด มันเป็นศพแห้งตายซาก มีกระดูกบางส่วนโผล่ออกจากเนื้อที่แห้งกรังนั้น เบ้าตากลวงลึก

"อ้อ! นี่ย้ายศพกันแบบนี้หรือ" ผมตะโกนด้วยความโกรธด้วยนึกสะอิดสะเอียน มนุษย์อะไร มีปากพูดมาได้ขออาศัยรถ ใครเล่าจะลงทุนเอารถขนศพให้

"หลีกทางซิ" ผมตวาดออกไปอย่างโทโสที่สุด แม่คนนั้นไม่พูดอะไร ก้มลงจับคานเลื่อนค่อย ๆ เลื่อนไปทีละน้อยอย่างยากเย็น มีทีท่าโกรธเรา ไม่ยอมหันหน้าดูเราเลย ก้มหน้าลากยักแย่ยักยัน ดูแกไม่ค่อยจะมีแรง การหลีกทางของแกจึงชักช้ามาก

"อยากไปเร็ว ๆ ลงมาช่วยกันลากซิ" แม่คนนั้นพูดอย่างแดกกันเรา ทั้ง ๆ ไม่ทันหน้ามาทางเรา ศพที่นอนบนเลื่อนโดนแรงที่ลากบ้างหยุดบ้างขยักขย่อนก็กระเทือน จึงกลอกหน้ากลอกตาน่าเกลียดขยะแขยงอย่างนั้นหรือ แกร้องว่า อยากจะไปเร็ว ๆ ก็ให้ลงไปช่วยแกลาก เหตุใดเล่า อยู่ดี ๆ จะลงไปลากศพโดยใช่เรื่อง แต่ครั้นจะหันหัวรถไปทางคนลากแล้วรีบพุ่งรถไป ถ้าหากเคราะห์ไปโดนแกเข้า เรามิแย่หรือ หากจะตัดสินใจหักพวงมาลัยไปทางท้ายเลื่อนแล้วออกวิ่ง ถ้าไม่พ้นล่ะ โดนเอาศพเข้า จะเลอะเทอะกันใหญ่ จำเป็นจริง ๆ ที่ต้องเดินเครื่องรอคอยการลากของแกที่ค่อย ๆ พ้นไปทีละฝ่ามือ ดู ๆ ว่า จะมีกลิ่นศพโชย ๆ มา

"ศพอะไร! ทำแปลก ๆ" วิชัยโมโห ตะโกนออกไป แม่คนนั้นคล้ายแกจะขบขันตัวเองหรือขบขันเสียงตะโกนของวิชัย แกหัวเราะลั่น หัวเราะไป ก้มหน้าก้มตาฉุดไป พอแกลากพ้นไปพอมีทางเราจะผ่านได้ แกจึงเงยหน้าขึ้นหัวเราะกับเรา ผมแทบช็อกคารถ แม่คนลากเลื่อนตอนแรกแกก็สาว ๆ นี่เอง แต่บัดนี้ ที่ตาเราเห็น แกก็คือซากศพเหมือนกัน อ้าปากมีฟันในปากอย่างกะพร่องกะแพร่ง หัวเราะก้องถนน วิชัยใจแกร่งแท้ ๆ เขากระชากรถออกวิ่งแทบเป็นกระโจน เพราะเครื่องเปิดเบา ๆ ไว้ตลอดเวลา ยายศพตายซากหัวเราะส่งท้ายเรา ซ้ำร้ายกว่านั้น ศพที่นอนอยู่ในเลื่อนกลับลุกขึ้นนั่งหัวเราะผสมไปด้วย ผมไม่เคยกลัวอะไรถึงขนาดนี้เลย ถึงกับร้องออกมาอย่างไม่เป็นเสียงคน วิชัยเหยียบน้ำมันจนลมปัดหูดังอู้ เราจะหนีปีศาจมาไกลแค่นไหนไม่คำนึงถึง วิชัยเป็นคนแกร่งที่ควรบูชา สติไม่เสียในการขับรถ รถพุ่งโชนไปตามถนนราวกับเรือบิน เราผ่านกำแพงแสนไปอย่างรวดเร็วอย่างไม่นึกว่าจะเป็นไปได้ ในทันใดนั้นเอง เราทั้งสองก็ต้องสะดุ้งโหยงไปอีก ข้างหน้าเรามีรถเก๋งจอดขวางทาง และมีคนหลายคนกำลังชุลมุนเข้าประคองกันอยู่พัลวัน เราต้องเบาเครื่องลง และคนหลายคนนั้นยกมือขอให้เราหยุด เสียงระเบ็งเซ็งแซ่ต่างพูดเสียงแปร่งตามแบบสุพรรณ ได้ความว่า รถคันนั้นถูกปล้น ชาวบ้านได้ออกมาช่วย คนที่ถูกปล้นรอดตายได้สองคน เป็นหญิง ส่วนชายอีกสองคนตายคารถเพราะฮึดสู้ พวกปล้นเก็บเงินทองและเครื่องแต่งตัวไปได้พอควร พวกชาวบ้านขอร้องให้นำผู้หญิงเข้าแจ้งตำรวจนครปฐม ส่วนคนตายในรถนั้นแตะต้องไม่ได้ ต้องรอคอยตำรวจ

เรากำลังวิ่งหนีปีศาจมาหยก ๆ มาโดยเหตุการณ์เข้าอีกอย่างนี้ ถึงกับใจเต้นดังตีกลอง เตรียมนำผู้หญิงสองคนที่เอาแต่ร้องไห้ไม่เป็นส่ำบึ่งเข้านครปฐม นายวิชัยคงทำความเร็วได้ดีตามเคย ผมถามหญิงสองคนนั้นว่า ถูกปล้นอย่างไร แกร้องไห้ไปเล่าให้ฟังไปว่า แกมีธุระด่วนรีบมาุสพรรณกับสามีและหลานชาย ไม่คิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น เห็นมีรถแท็กซี่วิ่งตามหลังมาหนึ่งคันก็อุ่นใจดีในยามค่ำคืน แต่พอถึงตำบลที่เกิดเหตุ รถแท็กซี่ที่ตามหลังได้เปิดแตรขอทางแล้วเร่งความเร็วหลีกขึ้นหน้า และโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวแท็กซี่นั้นก็หักคันรถขวางหน้า เราหยุดแทบไม่ทัน ทางฝ่ายแท็กซี่ได้ลงจากรถมายืนที่ถนนหลายคน ถือปืนร้องตะโกนให้เราทั้งหมดลงจากรถ พวกฉันก็รีบลง แต่สามีฉันกับหลานชายได้ชักปืนออกยิงไปถูกที่สำคัญ มันจึงยิงใส่สามีและหลานชายเป็นห่าฝน เลยตายคารถ ส่วนฉันสองคนถูกกวาดทองหยองเงินบาทไปหมด แล้วมันยังถอดข้าวของและเงินทองที่ตัวผู้ตายอีกทั้งหมดกลับขึ้นรถหนีไป มันวิ่งกลับมาทางถนนใหญ่ แต่ไม่ทราบว่า มันจะไปนครปฐมหรือไปทางราชบุรี

"จำเบอร์รถได้ไหมครับ" วิชัยถาม

"จำได้ค่ะ" หญิงอีกคนตอบ

"ดีครับ" ผมว่า

เราได้ถึงสถานีตำรวจนครปฐมโดยรวดเร็ว พาแม่หญิงสองคนเข้าพบตำรวจ แจ้งเรื่องแล้วเราก็ลาแยกทาง วิชัยหยุดรถที่ร้านเหล้า เอาเหล้ามาเปิดขวดดื่มเพียว ๆ สองทีซ้อน ผมก็ดื่มตามอย่างเดียวกัน ใจยังไม่หายสั่น จะดื่มเติมโซดาไม่ไหว ขอฤทธิ์เหล้าช่วยเร็ว ๆ หน่อย ตามปกติเราดื่มไม่ได้อย่างนี้เลย แต่เท่าที่ดื่มได้ก็เพราะขวัญเราหายหมด ถูกผีหลอกมาหยก ๆ ก็มาพบการปล้นกันขึ้นอย่างจังถึงกับมีการตายเกิดขึ้น ใจเราเลยระส่ำระสายไม่อยู่ในระดับปกติได้ เราดื่มกันหลายก๊งจึงออกรถต่อไปทางด้านข้างตลาดโน้น ไปบ้านญาติของเมียวิชัย

ถูกต่อว่านิดหน่อยว่าล่าช้า เราจึงรีบอธิบายว่า เท่าที่รอดมาได้นี้เป็นบุญนัก ชั้นแรกถูกผีหลอกอย่างจัง หนีมาอย่างไม่ตั้งสติ ถ้าข้อไม่แข็งก็มีหวังรถคว่ำหรือไม่ก็ตกข้างทาง ซ้ำยังมาผ่านการปล้นอีกถึงกับยิงกันตายคารถ เราได้เล่าให้ฟังทั้งหมด ญาติข้างเมียของวิชัยเกิดตาลุกวาวขึ้น ถามว่า รถที่ถูกปล้นเป็นรถอะไร ผมและวิชัยก็ตอบไม่ได้ เพราะเรามิได้เข้าใกล้รถคันที่มีศพตายคารถอยู่ ญาติผู้ใหญ่นั้นเกิดร้อนรนขึ้น

"ญาติฉันไปสุพรรณเมื่อครู่นี่เอง" พอได้ยินเสียงนี้ เราสองคนก็ตกใจเหมือนกัน

"ใครบ้างครับ?" ผมถาม

"แม่พวง กับคุณเชตุ สามีเขา และนายบุญลือ หลานชายแม่พวง กับดวงเดือน หลานสามีเขา" ญาติผู้เป็นหญิงมีอายุกล่าวเท่านั้น ผมกับวิชัยถึงกับร้อง

"เอ๊ะ!"

"มีคนอย่างที่ว่ารึ?" เมียวิชัยถามเสียงดัง

"ใช่! มีตามนั้น แต่ฉันไม่รู้จัก" วิชัยว่า

"ถ้าจะใช่แน่แล้ว!" ผมว่า "ถ้าไปเมื่อสักครู่ก็ใช่แน่ เราวิ่งรถมา ยังไม่เคยสวนกับรถคันไหนเลย ก็พบรถคันนี้เท่านั้นที่ถูกปล้น"

เสียงเอะอะโวยวายได้เกิดอีกคราวหนึ่ง เลยรีบพากันไปสถานีตำรวจ และก็เป็นความจริง เป็นญาติของฝ่ายเมียวิชัยนั่นเอง มีการร้องไห้กันขรมถมเถ ฤทธิ์เหล้าของเราชักสร่าง เราทั้งสองต้องกลับไปที่เกิดเหตุกับตำรวจอีกโดยญาติของเมียวิชัยขอร้องให้ไป ก็รู้อยู่ว่า ไปช่วยอะไรไม่ได้ ศพทั้งสองก็เอากลับยังไม่ได้จนกว่าทางตำรวจจะสิ้นการสอบสวน ผมนั่งคิดยืนคิดเรื่องทั้งหมดนี้ หรือแม่วันทองของฉันได้ทำกาลกิริยามาห้ามทัพตอนนั้น คล้ายกับห้ามทัพพระไวยที่จะไปรบกับน้องชายและพ่อ ส่วนของเรานั้น ถ้าไม่เสียเวลาที่ถูกถ่วงไว้ ก็คงต้องถูกปล้นไปกับเขาด้วย วิชัยมีปืนคนเดียว แต่ผมไม่มี อาจจะถึงตายก็ได้