เปิดกรุผีไทย/เล่ม 1/เรื่อง 7

คืนหนึ่งดูจะค่อนรุ่ง. . .ผมรู้สึกตัวตื่น ก็เหลียวไปดูที่เก้าอี้นวม. . .รู้สึกคล้าย ๆ ว่า มีใครมานอน. . .แต่ต้องสะดุ้ง. . .ผู้หญิงที่ไหนจึงมานอนเรี่ยราดอยู่กับชายที่ไม่รู้จัก. . .
ใคร?

วันหนึ่ง เป็นวันที่จะได้ฟังเรื่องตื่นเต้นอีก คือ เรื่องภาพปั้นท่านเศรษฐีที่ทำเหตุอื้อฉาวให้แก่คุณนายนิ่มนวล ลูกสะใภ้ ในตอนเย็นวันนั้น ผมไม่คิดเลยว่า จะได้พบกับนายมั่นเลย เราไม่ได้พบกันหลายวันแล้ว ปกตินายมั่นจะมาคุยกันที่กุฏิคุณนพวัดระฆังเป็นประจำ เราก็เคยพบปะคุยกันเสมอ แต่ครั้งนี้ นายมั่นหายไปหลายวัน เห็นทีว่า แกจะหลบหน้าคุณนายนิ่มนวลไปให้พ้น เกรงว่า จะมารบกวนเกี่ยวกับภาพปั้นผีสิงนั้น ผมบอกกับคุณนพว่า จะไปหาครูพยุง ออกจากตรอกวัดก็บ่ายหน้าไปสู่ถนนศิริราช แต่พอผ่านหน้าร้านเหล้าร้านหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียก

"คุณสมัย! คุณสมัย!" เสียงนี้มันคุ้นหูผมจริง ๆ เสียงนายมั่นนั่นเอง ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก ผมรีบหันไปมองก็พบนายมั่นลุกจากเก้าอี้ขึ้นยืนกวักมือหยอย ๆ เรียกผม ผมก็หมุนตัวเข้าไปหาเพราะอยากพบอยู่แล้ว ไม่ได้ดื่มเหล้าด้วยกันมาหลายวันแล้ว นี่ก็เป็นเวลาเย็นพอดี พอเข้าไปใกล้โต๊นั้น ก็เห็นมีชายอีกสองคนนั่งอยู่ด้วยก่อนแล้ว นายมั่นรีบแนะนำให้รู้จักกัน

"ใคร?"

"คุณสมัยครับ นี่คุณมุตและคุณเด๊ะ ประดาน้ำที่ผมให้แกช่วยงมภาพปั้นผีสิงนั้นแหละ" นายมั่นแนะนำผม

"ยินดีครับที่ได้รู้จัก" ผมพูดกับสองนายประดาน้ำ ฟังชื่อก็รู้ว่า เป็นไทยอิสลาม

"วันนี้บังเอิญมาพบกันเข้า เลยคุยกันเรื่องเก่านั้นกันอีก" นายมั่นว่า "คุณสมัยลองฟังเรื่องภาพปั้นยุ่งยากนั้นด้วยหูคุณเองจากคำบอกเล่าของคุณสองคนนี้ดูบ้างเถอะ มันพิลึกละ"

นายเด๊ะกะนายมุตได้ยินดังนั้นก็ยิ้มแล้วยกแก้วเหล้าที่ยังค้างอยู่ดื่มรวดเดียวหมด ส่วนนายมั่นจัดการรินใส่แก้วผมพร้อมกับผสมโซดาให้เสร็จ

"แหม คุณเอ๋ย ผมเกิดมาก็เพิ่งเคยพบภาพปั้นที่ร้ายแรงอย่างนี้" นายเด๊ะพูด "จริงครับ ถ้ารู้ประวัติเสียแต่แรก ผมหารับจ้างไปงมไม่ ตอนที่คุณมั่นไปว่าจ้างผมน่ะ ไม่ได้เล่าเรื่องร้ายของภาพปั้นนี้ให้ฟังเลย บอกเพียงรูปปั้นตกน้ำเท่านั้น ผมก็รับงมให้ซิครับ แต่เอาเข้าจริงซิอัลเลาะ" นายเด๊ะหยุดสูบบุหรี่ "คุณมั่นเพิ่งเล่าให้ฟังตะกี๊นี่เองละครับว่า รูปปั้นนี่มีประวัติร้ายกาจ พวกผมลงไปพบ พากันขนลุกเกรียวไปเลย"

"ผมก็เพิ่งรู้ความจริงวันนี้เหมือนกันครับ คุณสมัย คุณสองคนเพิ่งเล่าให้ฟังว่า ความจริงดำลงไปแล้วก็พบภาพนั้น แต่พอโผล่ขึ้นจากใต้น้ำ กลับบอกกับนายจ้างว่า ดำหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ" นายมั่นว่า

"อ้าว! เป็นยังงั้นหรือครับ เอ๊ะ พิลึก ผมชักสนใจ" ผมว่า "คุณทั้งสองพบรูปปั้นนั้นที่ใต้น้ำหรือครับ"

"เรารักกัน ถึงได้บอกความจริง ผมไม่บอกความจริงแก่นายจ้าง ก็เพราะไม่ไหวจริง ๆ อัลเลาะ! แย่จริง ๆ ครับคุณ รูปปั้นนั่นไม่ใช่ธรรมดา เกิดท้องพ่อท้องแม่ไม่เคยพบ" นายมุตพูด โบกไม้โบกมือไปมา

"ใครจะบอกได้ว่า พบแล้วล่ะ อัลเลาะ พวกเรากลัวจริง ๆ ครับ มันไม่ใช่รูปปั้นครับ มันผีแท้ ๆ ยืนอยู่ใต้น้ำ" นายเด๊ะพูด "ความจริงตกไปใต้น้ำ น่าจะนอนตะแคง แต่นี่ยืนจังก้าอยู่ใต้น้ำ พอเราเข้าไปใกล้เท่านั้น มันทำอ้าแขนจะตะครุบเรา นัยน์ตามีแสงแดงจ้า ใครล่ะ ใครจะเอา" นายเด๊ะพูดแล้วสั่นหัว

"โอ้โฮ! เอากันยังงั้นเชียวหรือ" ผมครางออกมาแล้วมองหน้าเขา

"พระอัลเลาะเป็นพยานครับ มันเป็นยังงั้นจริง ๆ ไม่ได้โป้ปดเลย" นายมุตพูดส่งเสริม "พอผมสองคนโผล่ขึ้นน้ำมาเกาะเรือทุ่นของเรา ก็หารือกัน ถ้าบอกนายจ้างว่าพบ ก็จะต้องลงไปอีก ใครล่ะครับจะกล้าเข้าไปเอาเชือกหรือเอาลวดสลิงผูก ไม่ผูกมันก็กว้านขึ้นไม่ได้ ผมกลัวจริง ๆ ครับ เลยหารือกันว่า ต้องโกหกว่า หาไม่พบ ให้ตายซิ เป็นประดาน้ำมานานปี ตะเข้ตะโขงไม่กลัวทั้งนั้น แต่นี่ไม่ไหว มันหนาวเหมือนจะเป็นไข้ ปรื๊อ พูดแล้วขนพอง ถึงจะได้ราคาดีอย่างไรก็ไม่ขอรับประทานแล้ว" พูดแล้วดื่มแล้ว

ผมฟังเขาเล่า รู้สึกตื่นเต้นไปกับเขา และเห็นใจเขาจริง ๆ มันไม่ใช่บนบก จะได้มองเห็นคนโน้นคนนี้บ้าง นี่มันใต้น้ำ ก็ดูเปลี่ยวเปล่าอยู่ ภาพปั้นตัวนี้ไม่ใช่ธรรมดา เราก็รู้เรื่องร้ายของเขาอยู่ ถ้าเป็นรูปปั้นธรรมดาดี ๆ อย่างเขาอื่น จะต้องเสด็จไปอยู่ในน้ำทำไมกัน ก็เพราะวุ่นวายนัก จึงต้องไปอยู่ใต้น้ำ แม่โว้ย ตกลงไปยังไปยืนอยู่เสียอีกด้วย ซ้ำโตเท่าคน ก็เลยมองเป็นคนเลย

ขณะนั้น เจ้าของร้านได้นำกุ้งเผาตัวงาม ๆ ปอกเปลือก แล้วหั่นเป็นคำ ๆ โรยพริกขึ้หนูมา และมีมะนาววางมาข้าง ๆ จาน มีใบสะระแหน่ใส่จานพิเศษมาด้วย ช่างถูกใจผมนัก เจ้ากุ้งนี้ ถ้าพล่ายำมาทีเดียว ไม่อร่อยเท่าอย่างนี้ บางทีชักจะปร่าปาก สู้จิ้มกุ้งและกระเทียมใส่ปาก แล้วเอาใบสะระแหน่ตามหลัง มันช่างอร่อยเหาะเลย จะเปรี้ยวจะเค็มเติมเอาเอง มันถึงใจ พอกินกุ้งเผาเข้าไป ก็เลยคุยกันถึงเรื่องกุ้งเรื่องปลาใหม่ ๆ สด ๆ นายมั่นก็พูดขึ้นว่า ถ้าจะกินกันให้ดี ต้องไปบ้านเพื่อนเขาที่คลองรังสิต จะตกเบ็ดเองหรือจะซื้อจากเรือแหมากมายหลายปลา สดจริง ๆ กำลังนี้ก็น้ำเริ่มลดแล้ว กำลังเกร่อทีเดียว ปิ้งเองทอดเอง เอายังไงได้ทั้งนั้น

ผมฟังเขาพูด ก็เห็นจริง น่าจะไป แต่เกรงจะไม่มีเวลาพอจะไปกินปลากินกุ้งที่นั่น อยากกินก็ซื้อเอาที่กรุงเทพฯ นี่แหละ ผมไม่ได้สนับสนุนข้อเสนอของนายมั่น ก็เลยลากันไปในเรื่องจะไปกินปลาห่างบ้าน แต่ยังไงไม่รู้ อยู่ ๆ ต้องออกจากกรุงเทพฯ เสียจนได้ เพราะญาติของคุณนพที่อยู่ทางบางแสนได้เกิดตายขึ้น คุณนพชวนผมและนายมั่นไปด้วย นายมั่นไม่ขัดข้อง เพราะอยากพ้นบ้านของตัวอยู่แล้ว ด้วยเกรงคุณนายนิ่มนวลจะมารบกวนอีก เพราะได้ข่าวว่า ทางบ้านคุณนายเกิดวุ่นวายอีก รูปปั้นใต้น้ำเกิดมาเข้าฝัน อยากจะขึ้นบกขึ้นมาละ

บ้านญาติคุณนพอยู่ที่ชายหาดทีเดียว แต่ไม่ใช่ที่บางแสนนัก ไปลงรถที่ตากอากาศบางแสนแล้วเดินเลาะชายหาดไปทางซ้ายมือ จวนจะเข้าเขตหลังหนองมน บ้านอยู่ชายหาดทีเดียว หน้าบ้านรับลมอู้ เขามีสวดอภิธรรมกันหลายคืน เพราะญาติมาก ก็สวดต่อกันไปเรื่อย ๆ นิมนต์พระจากวัดหนองมนนั่งรถวิ่งลัดมาถึงกันได้ ผมกับนายมั่นได้กินปลาสดกันสมใจเลย ดื่มเหล้ากับปลานึ่งปลาผัดอร่อยไปเลย กลางคืน พระสวดจบ เรานอนกันที่เฉลียงหน้าบ้านรับลมตลอดคืน ผมกับนายมั่นโปรดนัก อ้างว่า ลมแรง ดื่มเหล้าไม่ค่อยเมาดีและนอนหลับสบาย

ญาติคุณนพที่ตายยังเป็นสาวอยู่ทุกคน จึงต่างสงสารและอาลัยกันมาก แต่ผมกับนายมั่นไม่เคยรู้จักและไม่เคยพบ จึงไม่มีอาลัยอาวรณ์อย่างเขา ดวดเหล้ากันไปแประแล้ว ก็กลับสบายไป คุณนพนอนบนเก้าอี้นวมสำหรับนอนเล่นและวางอยู่ที่เฉลียงชิดลูกกรงด้านหนึ่ง ผมกับนายมั่นบรรทมเข้าที่เสื่อปูชิดคุณนพ พลิกคว่ำพลิกหงายสบายเพราะเป็นพื้นกระดาน ส่วนคุณนพเสียอีกต้องนอนที่แคบ ๆ แต่ก็ำจเป็น ท่านเป็นพระ ก็ต้องนอนสูงกว่าเรา แต่ท่านอนได้คืนเดียว ท่านก็บ่นเมื่อย นอนไม่สบาย ท่านจึงย้ายไปนอนเตียงไม้เตี้ย ๆ อีกด้านหนึ่ง ผมกับนายมั่นนอนที่เก่า ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นนอนเก้าอี้นวมแทนคุณนพ แต่เจ้ากรรมมันก็ไม่เมื่อยอะไรนัก แต่มันจะตกน่ะซี นอนได้ไม่ตลอดคืน ก็เสด็จกลับลงมากองกับเสื่อข้างนายมั่นตามเคย คงปล่อยเก้าอี้ว่างไว้เฉย ๆ เป็นเกียรติ ดีกว่าขึ้นไปนอนแล้วพลิกตกลงมา อายเขาตายถ้าใครรู้

คืนหนึ่ง ดูจะค่อนรุ่งแล้ว ผมรู้สึกตัวตื่น ก็เหลียวไปดูที่เก้าอี้นวม เพราะรู้สึกคล้าย ๆ ว่า มีใครมานอน ผมเห็นคนนอนจริง ๆ จึงผงกหัวดู เพราะอยากรู้ว่า ใครนอนกันแน่ รู้จักกันหรือเปล่า แต่ต้องสะดุ้ง เพราะผู้ที่นอนอยู่เป็นหญิงแท้ ๆ ผมชักงงงัน เอ๊ะ ผู้หญิงที่ไหนมานอนเรี่ยราดอยู่กับชายที่ไม่รู้จักกัน ผมลุกขึ้นนั่งจุดบุหรี่สูบคนเดียวในยามดึก หญิงคนนั้นนอนหลับอย่างสบาย ผมสูบบุหรี่แล้วก็นอนหลับต่ออีก แต่คราวนี้ นอนห่างออกมา นอนเบียดเข้าไปทางนายมั่น จะนอนชิดเก้าอี้อย่างเดิม ใครมาเห็นเข้าจะน่าเกลียดและเอาไปเล่าลือ

ตื่นเช้าขึ้น หญิงนั้นตื่นก่อนผม ผมเลยไม่เห็นหน้าว่า ใครเป็นใคร ผมนิ่งอั้นไม่ได้บอกใคร ทั้งก็ไม่ได้ถามใครด้วยว่า เมื่อคืนหญิงใดมานอนข้างผม เพราะบ้านของเขาตรงไหนว่างพอมีที่ เขาอาจจะมานอนได้ตามใจเขา หากแต่จะน่าเกลียดอยู่ก็ตรงมานอนกับคนที่ไม่รู้จักกันเท่านั้น และในคืนต่อมา ก็เป็นไปดังนั้นอีก ผมชักใจไม่สบาย นอนไม่ค่อยหลับ ผมแกล้งนอนตะแคงหันหลังให้แก่ กันข้อน่ารังเกียจไว้ก่อน แต่ครั้นดึกเข้าอีก ผมตื่นขึ้น ก็ไม่เห็นหญิงนั้นที่เก้าอี้ ผมมองหาก็พบว่า แม่คนนั้นไปยืนอยู่ที่นอกชาน ตากลมอยู่กลางดึก ผมเลยนอนเฉยหลับตานิ่ง ในครู่นั้น ก็รู้สึกว่า แกกลับมานอนอีกดังเดิม ผมนอนนิ่ง ทำไม่รู้ไม่ชี้ แต่กลับได้ยินแกพูดกับผมเบา ๆ

"คืนพรุ่งนี้ ฉันคงลำบากแน่ ๆ จะมีพวกมาจากบ้านไกลมานอนด้วย ไม่รู้จะนอนที่ไหน" ผมนอนตัวแข็งด้วยละอายใจ แม่คนนี้แกพูดคล้าย ๆ จะขอความเห็นใจจากผม การที่ผมมานอนที่นี่ ก็เท่ากับมาเปลืองที่นอนของพวกแก เหมือนแกจะขอควาเมห็นใจหรือให้ผมช่วยเหลือแก ถ้าผมรู้เรื่องแต่แรก ผมก็ชวนนายมั่นออกไปนอนตากน้ำค้างกันที่นอกชานเสียแล้ว ชักกลุ้มใจ เพราะเห็นแกผุดลุกผุดนั่งอย่างไม่มีสุข ถ้าแกคงเมื่อยอย่างพวกเรานั่นเอง ผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไร มันดึกเสียแล้ว จะย้ายไปไหนก็ยาก แกคงรู้ท่าผม แกจึงพูดอีกเบา ๆ

"ยังไม่ต้องร้อนรนอะไรหรอก นอนไปก่อนเถิด แต่คุณคะ ที่ฉันพูดกับคุณนี่น่ะ คุณอย่าไปบอกใครเลยนะ ฉันกลุ้มใจ ก็เลยพูดไปอย่างนั้นเอง" พอแกพูดจบ ผมก็รับคำแกเบา ๆ เช่นกัน รู้สึกค่อยซาความกลุ้มไปหน่อยที่พอมีเวลาหายใจไปได้อีกคืนพอคิดขยับขยายไปนอนทางอื่นได้ในคืนพรุ่งนี้ ตื่นเช้าผมไม่พูดให้ใครรู้เลยว่า ผมชักลำบากเรื่องที่นอน เราเป็นคนบ้านไกล มาแย่งที่นอนคนที่นี่เขา ชักอึดอัดใจ อยากจะกลับกรุงเทพฯ เสียแล้ว แต่ขัดอยู่ที่คุณนพยังไม่กลับ ก็เลยกลับไม่ได้ พอตกเย็น ผมกับนายมั่นก็ดื่มกันเข้าไปพอสบาย ๆ ก็พูดกับคุณนพขอมานอนแทรกข้างเตียงคุณนพด้วยในคืนนี้ทั้งสองกะนายมั่น คุณนพมองหน้าผมแล้วถอนใจไม่บอกขัดข้องเลย พยักหน้าแล้วบอกว่า ดีเหมือนกัน มานอนเสียทางนี้ ขอให้ทนเอาอีกสองคืนก็จะกลับวัดของเราละ คืนนั้น เราก็ย้ายที่นอนกันมาทางเตียงคุณนพ ส่วนทางที่เก่าที่เคยนอนทิ้งว่างอยู่ ก็เห็นใครหนุ่ม ๆ ที่มางานนี้เมื่อตอนเย็นมานอนที่ผมแทนตัว บนเก้าอี้นวมนั้นคงว่างอยู่เฉย ๆ ไม่มีใครนอน

คืนนั้น ตกดึกมาอยู่ ผมได้ยินเสียงอึกอักคล้ายคนนอนละเมอพูดอะไรอุบ ๆ อับ ๆ ฟังไม่รู้เรื่อง ในที่สุด คนละเมอนั้นก็ลุกทะลึ่งจากการนอนอย่างพรวดพราด ผมเหลียวหน้าไปดูทางด้านที่เกิดเสียงก็เห็นว่า ชายหนุ่มที่มาใหม่นั้นเอง แกลุกจากที่นอนอยู่เก่า โผมาหาผมและนายมั่นอย่างตึงตัง คุณนพนอนอยู่บนเตียงก็พลอยตื่นด้ย ชายหนุ่มนั้นมีอาการหนาวสะท้านเหมือนจับไข้และเบียดผมกับนายมั่นแน่น

"แข็งใจไว้!" เสียงคุณนพพูดเบา ๆ แล้วเอามือจับบ่านายคนนั้น "ประเดี๋ยวก็สว่างแล้ว ทองแท้! แข็งใจไว้ ทองแท้" คุณนพออกชื่อชายคนนั้นและบอกให้แข็งใจ ผมชักฉงนใจ เหลียวไปดูทางเก้าอี้นั้น ก็ไม่มีอะไร เงียบเชียบ ไม่เห็นมีอะไรแปลกเลย แม่หญิงที่เคยมานอนใกล้ผม ก็ไม่ได้มานอนอย่างเคย แกคงหาที่นอนใหม่ได้แล้วกระมัง จึงไม่มานอนที่เก่า ผมมองกวาดไปดูข้างในตามหมู่คนที่นอน ก็เห็นทุกคนนอนอย่างสงบเงียบ ไกลเข้าไปในห้องกลาง โลงศพตั้งอยู่ มีแสงตะเกียงจุดไว้อร่ามตลอดคืน เงียบทั้งบ้าน ไม่มีใครตื่นเลย

ผมจะหลับไปอีกหรือเปล่าไม่ทราบ ตอนเช้า เห็นนายหนุ่มคนนั้นนั่งเกาะคุณนพอยู่ หน้าของแกขาวซีด ถ้าแกจะจับไข้กระมัง โดนลมเข้ามาก ๆ ผมกับนายมั่นน่ะสบายดี ชอบลมโกรกนัก หายเมาสุราเร็วดี ถ้าคนโรค ไม่ชอบลมแรง ๆ มาโดนเข้า ก็อาจจะเป็นไข้ได้ เช้านั้น พอเรากินข้าวกันแล้ว คุณนพเกิดตัดสินใจลาเจ้าของบ้านกลับ ผมก็ดีใจ จากกรุงเทพฯ มาหลายวัน ชักคิดถึงครูพยุง เราเลยรวบผ้าผ่อนเข้ากระเป๋าลาเจ้าของบ้านกลับ เดินออกชายหาดตัดตรงเข้าเขตตากอากาศบางแสนอย่างที่เคยเดินเมื่อขามา ในขณะนั้น ได้ยินเสียงวิ่งเหยาะ ๆ ตามหลังมา เหลียวไปก็พบกับนายทองแท้นั่นเอง

"ผมกลับด้วยคนครับ" เขาร้องบอก แล้วก็มาเดินเข้ากลุ่มไปด้วยกัน

"กลับรึ?" คุณนพถามนายทองแท้

"ครับ! ไม่ไหว!" นายทองแท้ตอบเท่านี้เอง

"ฮือ" คุณนพรับรู้ เหมือนครางออกมามากกว่าจะพูดเป็นคำ นายทองแท้เดินตามมาด้วยหน้าตาซีด พอย่างเข้าเขตตากอากาศ ก็มีรถเมล์และรถส่วนตัวของใครต่อใครวิ่งกันขวักไขว่ นายหนุ่มหน้าซีดบอกลาคุณนพและพวกเรา แล้วขึ้นรถเมล์ไป เขาจะไปไหน ผมไม่ได้สนใจ เพราะไม่เคยรู้จักเขา

เรามาแวะดื่มกาแฟกันที่บาร์ นายมั่นยังติดใจเหล้า ก็เลยดื่มเหล้าอีกเรื่อย ๆ เลยพาเอาผมเป็นโรคติดต่อไปด้วย

"นายทองแท้นี่แหละคือคนรักของแม่บานชื่น คนที่ตายนอนอยู่ในโลงนั่นแหละ" คุณนพบอกกะพวกเรา "เขาเคยรักกันมาก แต่ยังไม่ไม่รู้เกิดมาหมางกันขึ้น นายทองแท้แยกไปมีรักใหม่ ส่วนแม่บานชื่นก็เลยเสียใจ เจ็บกระเสาะกระแสะมาจนตายจากไป" นายมั่นกับผมร้อง อ้อ! เพราะไม่รู้จะพูดอะไรดีกว่านั้น เพราะไม่คุ้นเคยกับเขามาเลย ท่านพูดให้ฟัง ก็ฟังไป ธุระไม่ใช่

"ฉันรู้ว่า สมัยนอนไม่หลับ" คุณนพพูดยิ้ม ๆ และมองหน้าผม

"ครับ!" ผมรีบตอบตามความจริง "ผมกลุ้มใจ เพราะมีแม่หญิงใครที่ไหนมานอนอยู่ใกล้ ๆ รู้สึกว่าน่าเกลียด ถ้าใครมาเห็นเข้าเวลานั้น" ผมว่า

"ใครจะเห็นเล่า นอกจากสมัยคนเดียว" คุณนพพูดเล่นเป็นนัย ๆ "ไม่มีใครเห็นแน่ ๆ ทีเดียว เพราะหญิงที่มานอนข้างสมัยนั่นคือแม่บานชื่น!"

ผมสะดุ้งเหมือนกระโดด มองหน้าท่านอย่างตกใจ

"โอย! คนที่ตายอยู่ในโลงหรือครับ?" ผมถามท่านแล้วตะลึงงัน พูดอะไรไม่ออก

"ก็ใช่น่ะซี" คุณนพตอบแล้วหัวเราะ "ฉันถูกมาก่อนสมัยแล้ว คืนแรกที่ฉันไม่พูดก็เพราะกลัวจะอื้อฉาว ฉันเพิ่งถามพี่เลี้ยง พ่อของบานชื่น ดู จึงรู้ว่า บานชื่นนอนเล่นบนเก้าอี้นอนนั้นแล้วขาดใจตายบนนั้น ในคืนแรกที่ฉันนอน แกมาขอที่ของแกนอน ฉันเลยเปลี่ยนที่นอนในคืนหลัง ครั้นจะพูดขึ้นเล่า คนในบ้านก็เกิดกลัวกันขึ้น มันจะวุ่นกันใหญ่ แม่บานชื่นมาทำอะไรกับสมัยล่ะ" คุณนพถามผมเมื่อท่านเล่าเรื่องของท่านจบแล้ว

"อุบ๊ะ!" นายมั่นร้อง "ผมนี่นอนเหมือนตาย ไม่รู้เรื่องอะไรของเขาเลย ถ้ารู้บ้าง ผมก็เห็นจะโดดเสียคืนนั้นแล้ว"

เราพูดคุยกันอีกพักใหญ่ พอรถเมล์อีกคันมาถึง ก็เลยขึ้นกลับกรุงเทพฯ กัน