เปิดกรุผีไทย/เล่ม 2/เรื่อง 7

. . .ผมแทบล้มหมดสติ ไม่ใช่ตาฝาดแน่ แกลุกขึ้นยืน. . .ทำท่าทาง. . .แลบลิ้นเลียปากอยู่คนเดียว. . .
ผีปอบ

"พี่โอ!"

เสียงเล็ก ๆ เรียกนามของผมดังอยู่บนตลิ่ง ในขณะที่ผมกำลังลากโซ่ เจ้าเรือมาดเล็กผูกกับบันไดท่าน้ำ เสียงนี้แม้จะไม่เห็นตัวก็จำได้ เพราะเป็นเสียงยอดชีวิตของผมเอง มีชื่อว่า บานเย็น อันเป็นชื่อดอกไม้ที่บานตอนเย็น ความสวยงามของบานเย็นก็เหมือนกับชื่อละครับ ไม่ผาดโผน เย็น ๆ เรียบ ๆ ไม่สวยนัก แต่ก็ไม่ขี้ริ้ว รวมความว่า ถ้าเป็นดอกไม้ ก็เพียงแต่ต้นบานเย็นนั่นแหละ ไม่โลดโผนหรูหราถึงดอกกุหลาบหรอกครับ

ผมเงยหน้าขึ้นจากการผูกเรือพบกับบานเย็นและยิ้มให้อย่างรวยรื่น ซึ่งบานเย็นมานั่งยอง ๆ อยู่ที่สะพานน้ำแล้ว พอผมเงยหน้าพบหน้าบานเย็น ผมก็ต้องระงับการยิ้มของผมที่พยายามให้รวยรื่นนั้นลงทันที เพราะบานเย็นไม่ได้ยิ้มตอบอย่างเคย ทั้งกับมีสีหน้าตื่นกลัวและร้อนรน ผมรีบก้าวขึ้นจากเรืออย่างเร็ว

"มีเรื่องอะไรรึ?" ผมถามเบา ๆ

"เกิดเรื่องขึ้นแล้ว" บานเย็นพูดเสียงกระเส่า "ฉันกลัวจัง ฉันคอยพี่อยู่ นึกว่าจะไม่มาเสียอีก"

"เรื่องอะไรกัน?"

"แม่ฉันน่ะซี"

"ฮะ… แม่!" ผมสะดุ้งใจ เมื่อได้ยินบานเย็นพูดว่าแม่ ใจหายวาบ เพราะแม่ของบานเย็นเจ็บเรื้อรังมานานแล้ว หมอหลายหมอเข้ารักษาก็ไม่มีทางจะทุเลา ดูจะยิ่งทรุดหนักลงไป ถึงกับลุกขึ้นนั่งเองไม่ได้ ต้องพยุงให้ลุก ผมสละเวลามาช่วยบานเย็นพยาบาลอยู่แทบทุกวัน ชั่วกลับไปบ้านทำธุระบางอย่างที่ค้างไว้ทางบ้านผมชั่วคืนหนึ่งแล้วก็แต่งตัวมาที่นี่เอง จะถึงกับ "ตาย" เสียแล้วกระนั้นหรือ ถ้าตายลงก็ลำบากหนัก เพราะพ่อของบานเย็นก็ตายไปนานแล้ว เหลือสองคนแม่ลูก บานเย็นจะว้าเหว่ที่สุด การที่เรายังรอการแต่งงานกันนี่ ก็เพราะการเจ็บของแม่นั่นแหละทำเหตุ

"แม่เป็นอะไร?" ผมแกล้งถาม โดยไม่กล้าจะพูดว่า "แม่ตายรึ?"

"นั่งลงก่อนเถอะพี่ทิด จะเล่าให้ฟัง"

ผมวางพายที่ถือในมือไว้กับสะพานแล้วนั่งลง บานเย็นหันหน้าไปมองดูบนบ้านแล้วพูดว่า

"แกยังไม่เป็นอะไรหนักหนาหรอก" ผมได้ฟังแล้วหายใจโล่งอก

"มันมีอะไรแปลกประหลาดขึ้นอย่างหนึ่ง" บานเย็นพูดต่อ "แหม! ฉันกลัวจัง ไม่อยากพูดเลย ถ้าพี่ทิดยังค้างอยู่ที่บ้านอีก ฉันตายเลย ฉันต้องวานใคร ๆ มาเป็นเพื่อนแน่ ๆ"

"มันเกิดอะไรขึ้นล่ะ?" ผมถามด้วยความสงสัย มันจะมีอะไรพิสดารขึ้น

"เรื่องมันแปล พี่ คือ เมื่อตอนสาย ๆ นี่เอง แม่แกหลับ ฉันอดนอนอ่อนเพลีย ก็เลยหลับไปบ้าง รู้สึกสะดุ้งตื่นเมื่อกระดานสะเทือน แต่ฉันไม่ได้ลุกขึ้นทีเดียว คงนอนอยู่กับที่นอน แต่ฉันรีบหันดูแม่ก่อนอื่น แหม! พี่ทิด ฉันเกือบไม่เชื่อตาของฉันเองเลย แม่แกลุกจากที่นอนได้ มีอย่างรึพี่ เราเคยช่วยกันพยุงแกนั่งเสมอ ๆ ถ้าไม่พยุง ก็ลุกไม่ได้ แต่นี่พี่! แกลุกขึ้นได้คล่องแคล่วอย่างคนเราดี ๆ นี่แหละ แกไม่ได้มองฉัน แกจึงไม่รู้ว่าฉันตื่น แกมองซ้ายมองขวาแล้วก็วิ่งแผล็บเข้าในครัว"

"วิ่งได้ด้วยรึ?" ผมถามสอดขึ้น

"จ้ะ วิ่งเร็วด้วย" บานเย็นตอบ ดวงตาลุกวาวแสดงความกลัว "ฉันตัวแข็งเลย พี่ทิด" พูดแล้วกอดอกตัวลีบอย่างหนาวสะท้าน "แกหายเข้าไปในครัวประเดี๋ยวหนึ่ง แกย่องกลับออกมาเบา ๆ ดูเหมือนจะไปกินอะไรมาจากในครัว ปากแกเลอะเทอะ แกกลับลงนอนแซ่วมาเดิม ฉันสงสัยใจเหลือเกิน ฉันแทบจะวิ่งไปเล่าให้ใครข้างบ้านฟังอยู่แล้ว แต่ฉันกลัวแกจะรู้ว่า ฉันมองเห็นแก แกล้งทำนอนนิ่งอยู่อย่างเดิมจนครู่ใหญ่จึงทำพลิกตีวตื่น แกเหลียวหน้ามาดูแล้วขอน้ำกินเสียงแห้ง ๆ ฉันแทบจะไม่กล้าเข้าไปใกล้แกน่ะ พี่ทิด เมื่อให้น้ำแกกินแล้วโดยไม่สบตากันเลย ฉันได้ไถลเข้าไปในครัวด้วยความอยากรู้ว่า แกไปกินอะไรมา พี่ทิด! ฉันแทบจับไข้ แกกินหมูดิบ ๆ ที่แขวนไว้ เป็นรอยปากแทะ" บานเย็นพูดแล้วตัวสั่น หันไปมองบนเรือนอย่างหวาดหวั่น

"พี่อย่าทิ้งฉันนะ ฉันกลัวจ้ะ ฉันอยู่กับแกสองคนไม่ได้แล้ว โธ่! จนใจว่า แกเป็นแม่ ไม่งั้นฉันหนีไปเสียแล้ว" ผมพยักหน้ารับ เพราะหน้านี้ไม่ใช่หน้านา ไม่มีอะไรจะทำเป็นเพื่อนได้แน่

"เราจะแก้ไขกันอย่างไรดีล่ะ แกไม่ใช่เจ็บอย่างธรรมดาเสียแล้วละ" ผมพูดอย่างตรึกตรอง

"โธ่ ฉันไม่รู้จะทำอย่างไร พี่ช่วยด้วยเถิด ช่วยถามใครดูว่า ใครจะรักษาโรคนี้ได้"

"พระที่วัดประเวศมีบ้างไหม?"

"ฉันไม่รู้เหมือนกัน ไม่เคยถามท่านเลย"

"งั้นพี่จะไปถามท่านเอง"

"แต่เอ๊ะ พี่ ถ้าพี่ไปวัด ฉันจะต้องเรียกเพื่อนเขามาเป็นเพื่อนละ ฉันอยู่คนเดียวไม่ได้แล้ว"

"งั้นบานเย็นไปหาพระก็แล้วกัน ไปเล่าให้ท่านฟัง พี่จะอยู่กับแม่เอง"

"เออ จริงซิ ฉันไปได้ แต่เอ พี่ทิด เราจะถามลุงอ่ำบ้านใกล้เราดูก่อนดีไหม?"

"เออ จริงแฮะ ลุงอ่ำคงรู้ว่า ใครรักษาได้บ้าง"

"ไปบนเรือนกันก่อนเถอะ ฉันมาจ๋องอยู่ท่าน้ำนานแล้ว" บานเย็นเตือนผม และผลักผมให้เดินข้างหน้า

เมื่อเราขึ้นมาบนเรือนแล้ว คนเจ็บก็หันมาดู พอแกเห็นหน้าผม แกยิ้มแห้ง ๆ ตามเคย แล้วนอนตาปริบ ๆ บานเย็นเลี่ยงเข้าไปในห้องนอนของตัว ส่วนผมนั่งอยู่กับแกห่าง ๆ และทำใจให้กล้า อดจหวาดไม่ได้เมื่อทราบเรื่องเสียก่อนดังนี้ ไม่ค่อยจะสบตากันนัก ชักเกรงดวงตาลึกโหลของแก

"ช่วยพยุงแม่ไปเยี่ยวทีลูก" แกขอร้องเสียงแห้ง ๆ บานเย็นได้ยิน แอบมองตาผมมาจากในห้อง สบตากัน อันเป็นที่รู้กันว่า ถ้าเผลอคน แกลุกขึ้นวิ่งได้และกินหมูดิบ ๆ ผมขยิบตาให้บานเย็นออกมาช่วยกันพยุงแก ในขณะพยุงตัวแก เกือบไม่น่าเชื่อว่า แกจะลุกขึ้นวิ่งได้อย่างที่บานเย็นพูด เมื่อเรียบร้อยแล้ว ผมก็เลี่ยงเข้าห้องบานเย็น คนเจ็บมองตามนิดหน่อย แต่ไม่ได้ว่าอะไร เพราะแกรู้อยู่แก่ใจว่า ผมก็คือเขยของแกในวันหน้า ที่คอยอยู่ก็เพราะแกเจ็บอยู่ มิฉะนั้น มารดาผมก็จัดแจงแต่งกันเสียแล้ว

"แหม! ตัวแกเย็นเฉียบ" ผมว่าเมื่อมาอยู่ในห้องของบานเย็นแล้ว บานเย็นพยักหน้า

"แกไม่ได้อาบน้ำเลย กลิ่นตัวชักสาง ๆ" บานเย็นว่า "พี่อยู่คนเดียวนะ ฉันจะไปบ้านลุงอ่ำ"

"ไปเถอะ พี่ไม่กลัวหรอก" ผมตอบอย่างส่งเดช ซึ่งปากไม่ตรงกับใจ

"น้องไปเล่าอาการของแม่ให้ลุกอ่ำแกฟังให้ละเอียดนะ บางทีแกจะช่วยเป็นเพื่อนได้บ้าง"

บานเย็นพยักหน้ารับคำผม แต่แล้ว เราทั้งสองต้องสะดุ้งทั้งตัว คนเจ็บพูดดังเข้ามาด้วยเสียงแจ่มใสชัดเจนไม่แหบแห้ง "อีหนู เอ็งจะไปบ้านทิดอ่ำรึกลูก ขอไก่มันมาสักตัว แม่อยากกินชื่น ๆ ใจ บอกว่า แม่ขอนะ"

บานเย็นมองตาผมด้วยดวงตาที่ลุกวาว หน้าขาวเป็นกระดาษ ใจหาย เราพูดกันเบา ๆ ในห้อง พูดขนาดกระซิบ แต่แกเกิดรู้ว่า จะไปบ้านลุงอ่ำ แกนอนห่างไหน ๆ ไม่รู้ ผมเริ่มหวาดกลัว และเห็นใจบานเย็นที่สุด แกส่งเสียงแจ๋ว ๆ เข้ามาอีก โดยรำพึนถึงเรื่องกินไก่ที่แกสั่งให้บานเย็นขอลุงอ่ำ

"ต้มแล้วจิ้มน้ำปลา เนื้อหวาน ปิ้งก็ดี หวาน"

บานเย็นเกาะแขนผมแน่น ผมอดไม่ได้แอบดูคนที่พูดพร่ำแต่เรื่องกิน มองดูตามช่องฝา คุณพระช่วย! ผมแทบล้มหมดสติ ไม่ใช่ตาฝาดแน่ แกลุกขึ้นยืนข้างที่นอน และทำท่าทางประกอบกับคำพูดเรื่องกินอย่างกระฉับกระเฉง แลบลิ้นเลียปากอยู่คนเดียว บานเย็นก็แอบเห็นด้วยกัน ถึงกับตัวสั่นขึ้นมาอีก ส่วนผมนั้น แม้จะเป็นชายเคยบวชเคยเรียนมาแล้ว แต่การเป็นชายบวชเรียนมาแล้วไม่ช่วยอะไรได้ เกิดขลาดขึ้นมาเมื่อได้พบเห็นดังนี้เข้า

"ไปบ้านลุงอ่ำกันเถิดพี่" บานเย็นเสียงสั่น คางกระทบกันด้วยหนาวใจ ผมรีบจูงมือบานเย็นออกทางหลังบ้าน

บ้านลุงอ่ำอยู่ติดกับบ้านบานเย็นชั่วลำคูขวางเท่านั้น แกเป็นชาวนาผู้มีอันจะกินคนหนึ่งในคลองนั้น มีหัวเคร่งทางพระ เมตตาอารีต่อเพื่อนบ้านเป็นอันดี ผมกับบานเย็นมายืนอยู่คนละฟากคู ร้องบอกให้คนในบ้านดูสุนัขด้วย แล้วเราทั้งสองก็โดข้ามคูไปบ้านแก

"แม่เอ็งค่อยยังชั่วหรือยังวะ นังหนู?" แกถามเมื่อเราพบตัวแกแล้วที่ยุ้งข้าว "หมู่นี้ข้ายุ่ง ๆ เลยไม่ได้ไปเยี่ยมอีก"

"ยังชั่วอะไร ลุงจ๋า ฉันจะตายเสียแล้ว ช่วยฉันด้วย" บานเย็นว่า ลุงอ่ำเบิกตาโพลง ชักสงสัย

"เอ๊ะ อะไรกันวะ?" แกถามอย่างหน้าตื่น และเสียงแกค่อนข้างดัง จนป้าปานกินหมากอยู่บนเรือนได้ยิน เลยลงมาถามเหตุการณ์ร่วมวงอีกคนหนึ่ง ผมกับบานเย็นได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้แกฟังจนตลอด สีหน้าลุงอ่ำที่ตื่นอยู่แล้วก็กลับตื่นขึ้นอีก ป้าปานถึงกับเคี้ยวหมากค้าง

"ไม่ได้การละโว้ย" ลุงอ่ำว่า "ไปหาพระเถอะเว้ย อาจารย์เป้าที่วัดนี่แหละ ท่านเข้าเรื่องนี้"

"ลุงจ๋า ลุงช่วยเป็นเพื่อนฉันด้วยนะ ฉันอยู่สองคนกับพี่ทิดโอไม่ไหวแล้ว ฉันไม่กล้าเข้าใกล้แม่ เวลานอนกลางคืน ฉันนอนทางหนึ่ง พี่ทิดเขานอนทางหนึ่งไกลกัน ฉันกลัวจ้ะ ลุงจ๋า เมตตาฉันด้วย"

ความจริงก็ถูกอย่างบานเย็นว่า ถ้ามันมีเรื่องอย่างนี้ก็น่ากลัว ครั้นจะนอนรวมกันก็ไม่ได้ ชาวบ้านจะนินทา เรายังไม่ได้ตบได้แต่ง มันก็จำเป็นต้องนอนกันคนละทางนั่นเอง อย่าว่าแต่บานเย็นกลัวเลย ผมเป็นชายอกสามศอกก็ชักขยาด ตอนเจ็บแรก ๆ ก็ไม่คิดกลัว แต่ครั้นมารู้เห็นว่า แกมิใช่คนเจ็บธรรมดา แกมีอะไรแอบแฝงอยู่ผิดไข้ธรรมดา ไม่ไหวเด็ด ถ้ากลางดึกแกลุกขึ้นรำอีก ผมต้องโดดแน่ ช่างน่าเกลียดอะไรอย่างนั้น ร่างที่ผอมแห้งทำท่าทำทางร่ายรำ ซึ่งมันผิดธรรมดาความจริงจะเป็นไป ทั้งกินของดิบ ขโมยกิน ลักกิน

"พ่ออ่ำเป็นเพื่อนมันด้วยซี" ป้าปานว่า "ใครจะไม่กลัวล่ะ ถ้าเป็นอย่างว่า"

"ไปก็ไป" ลุงอ่ำตอบรับช่วย "ว่าแต่ว่า เราจะทำกันอย่างไรน่ะซีหว่า ผีแอบกินอย่างนี้ ถ้าไม่จัดการ ก็บ้าตายเท่านั้น"

"เฮ้ย อีหนู เอ็งกับเจ้าโอไปหาอาจารย์เป้าที่วัด ไปเล่าเรื่องให้ฟัง ข้ากับตาอ่ำจะไปดูแม่เอ็งไว้"

ป้าปานออกคำสั่ง และรีบคว้ากระทายหมากพลู ลุงอ่ำหยิบกล่องยาใบจาก ผมกับบานเย็นนั่งยกมือไหว้โดยขอบพระคุณอย่างสูง

ค่ำนั้น พระอาจารย์เป้าได้มาทำพิธีปัดเป่าของท่าน คนเจ็บนอนแซ่ว ไม่แสดงกิริยาอะไรผิดไป เบือนหน้าไปทางหนึ่งอย่างไม่พอใจการกระทำของพระและพวกที่พยาบาล นาน ๆ ชายตาดูพวกเราอย่างโกรธแค้น พระอาจารย์เป้ามีพิธีอะไรของท่านอยู่มากมาย ซึ่งเราดูกันไม่ออก ได้แต่มองดูท่านอยู่เงียบ ๆ ในที่สุดท่านนั่งหลับตาพนมมือนิ่งชั่วขณะ พอสักครู่ลืมตาแล้ว เอานิ้วจิ้มลงในขันน้ำมนต์ดีดไปที่คนไข้สามครั้ง คนไข้เบือนหน้าหลบ แล้วหัวเราะเสียงแหลมอย่างเย้ยหยัน แล้วหันมาดูท่าน พลางแลบลิ้นปลิ้นตาหลอกล้อท่าน พวกเราหน้าตื่นไปตาม ๆ กัน พระอาจารย์มิได้แสดงกิริยาว่า โกรธคนไข้หรือกลัวคนไข้ หันมาพูดกับเราว่า ฉันต้องล่าถอยไปที พรุ่งนี้จะเอาเพื่อนมาเล่นงานกับมัน มันเก่งให้มันอยู่ไป ท่านหันไปมองคนไข้แล้วชี้หน้าคนไข้

"จำไว้ พรุ่งนี้จะเสียใจ พูดกันดี ๆ ไม่ได้ ก็ร้ายกันละ" ท่านพูดแล้วก็ลุกขึ้นยืน หยิบย่ามและของอื่นถือไว้ในมือ "ไปส่งฉันที่วัดก่อน พรุ่งนี้รับมือกันใหม่"

ผมนำท่านลงเรือพายไปส่งสองคนกับทิดเจ๊ก ตามทางพระอาจารย์เป้าพูดว่า "ทิ้งไว้ มันแก่ไปหน่อย กำจัดยาก แต่ข้าไม่ยอมแพ้ว่ะ พรุ่งนี้เอากะมัน" ผมใจหาย เรารู้กันเต็มอกละว่า แม่ของบานเย็นผีสิงอยู่จริง ๆ ท่านอาจารย์เป้าได้มอบศิษย์วัดโต ๆ มาเป็นเพื่อนอีกสองคน ศิษย์วัดที่ว่านี้เป็นคนชั้นหนวด ๆ แล้วทั้งนั้น เราอุ่นใจขึ้นอีกมาก เพราะมีคนเพิ่มขึ้นเป็นเพื่อน พอถึงท่าน้ำ ทิดเจ๊กส่งผมขึ้นท่าแล้วบอกว่า จะไปหาเหล้ากินให้ใจป้ำ ชวนศิษย์วัดโค่งติดเรือไป

ในคืนนี้ ไม่มีการให้หยูกให้ยาคนไข้เลย เพราะไม่มียาอะไรจะรักษาแล้ว เราคอยเพียงแต่ให้น้ำและพยุงลุกบ้างเป็นบางตอน ทั้ง ๆ หมั่นไส้ว่า แกลุกเองก็ได้ แต่ต้องให้เราวุ่นพยุงลุกพยุงนั่ง เมื่อไม่มีทางจะบิดเบี่ยง ก็จำใจทำไป ภาวนาขอให้รีบข้ามคืนเสียเร็ว ๆ พรุ่งนี้พระอาจารย์จะมาแก้ให้ตก ทิดเจ๊กกับศิษย์โค่งกลับมา นำเหล้ามาเลี้ยงกันอีกด้านหนึ่ง ทิดเจ็กว่า

"แหม! ถ้าไม่ติดธุระที่นี่ ฉันลงปลาแล้วผ่าซี เมื่อกี้มันโดดข้ามเรือเราไปโตถนัดใจ"

"ฉันว่า อ้ายช่อนมันหวงลูก เราพายเฉียดมัน มันเลยพุ่งเอา" ศิษย์วัดว่า

"แหม! ตีไม่ทันว่ะ ไม่งั้นป่านนี้ต้มน้ำบีบมะนาวแล้วน่ะซี" อีกคนผสมท้ายแล้วดื่มเหล้า ส้มมะขามเปียกแกล้ม เขาพูดคุยกันทางโน้น คนไข้หันหน้าไปมองทางวางเหล้าแล้วหันมาดูผม

"โอโว้ย พรุ่งนี้หาอ้ายช่อนสักตัวเถอะวะ" คนไข้พูดเสียงแจ๋ว

"เออน่ะ" ลุงอ่ำตอบแทนผม "อยากกินจะหาให้กินถมไป ขอให้กินเถอะ ไข้จะได้หายเร็ว" ลุงอ่ำพูดเอาใจคนไข้ตามระเบียบ คนไข้หัวเราะเสียงใสแล้วแลบลิ้นเลียปากพลางพูดว่า

"ได้อ้ายที่ท้องไข่ยิ่งดีนัก" แกชักจะพูดคุยได้ ถ้าพูดเรื่องกิน ดูกิริยาคล้าย ๆ จะค่อยทุเลา ทำให้คิดไปว่า อาจารย์เป้าคงทำเอาไข้เมาแน่ ๆ ถ้าพรุ่งนี้ท่านมาอีกคราว ก็คงมีหวังหาย ผมรู้สึกจะสบายใจขึ้นบ้าง ทางวงเหล้ามุมบ้านข้างโน้นคงคุยกันสนุกเรื่องหาปลาหากุ้งแกล้มเหล้า ลุงอ่ำมีทีท่าจะเชื่อการกระทำของพระอาจารย์เป้าอยู่มาก แกคอยมองดูอาการคนไข้อยู่ตลอดเวลา ผมเองก็ไม่ขาดการจับสังเกตกิริยา แต่คงเห็นคนไข้นอนเฉยนิ่งลืมตาเสมอ ไม่มีการงีบหลับบ้างเลย ธรรมดาคนไข้จะต้องอ่อนเพลียหลับบ่อย ๆ อาหารก็กินไม่ได้มาก อย่างที่พูดว่า จะกินอ้ายนั่น จะกินอ้ายนี่ ครั้นถึงเวลาอาหาร แกก็กินนิดเดียว ยิ่งขนมหวาน ๆ ที่ทำให้กิน เลือกชนิดไม่แสลง แกไม่แตะเลยเรื่องของหวาน

เราพูดเราคุยกันไป จะดึกเท่าไรไม่รู้ เสียงทางวงเหล้าเบาลงไป ชักเอกเขนกคุยกันบ้างแล้ว ลุงอ่ำถอยไปตั้งหลักที่ระเบียงหน้าห้อง บานเย็นจัดการปูเสื่อนอนเล่น ผมเห็นเหมาะ เลยถอยห่างคนไข้ไปนอนเล่าบ้างกับลุงอ่ำ ส่วนบานเย็นนั้นเข้าห้องนอนแล้ว มีเราสองคนกับลุงอ่ำนอนกำกับหน้าประตูให้ ทิดเจ๊กกับศิษย์วัดนอนกันแถวระเบียงหน้าครัว ทางคนไข้ เราหรี่ตะเกี่ยงไว้ มีน้ำมันไว้เพียงพอจะตามไฟไปได้ตลอดคืน ผมนอนคิดอะไรต่ออะไรไปไกล คิดว่า ถ้าแม่ค่อยยังชั่วแล้วหายเป็นปกติ เราก็จะได้แต่งงานกันกับบานเย็นสมใจ แต่เอ๊ะ! ถ้าแม่ไม่หายและตายลงไปล่ะ เออ ทีนี้ เราจะแต่งกันได้อย่างไร เราจะต้องรอคอยกว่าจะหายเศร้าโศก เผาศพก่อน ปุบปับจะแต่งกันก็น่าเกลียด ผมคิดแล้วก็ถอนใจ จะทำอย่างไรได้ เรื่องมันเป็นไปดังนี้เสียแล้ว ก็ต้องตามเรื่องมัน

ผมอาจจะหลับไปนานกระมัง สะดุ้งตื่นขึ้นมาเอง เสียงต่าง ๆ ในบ้านเงียบฉี่ ในคลองเสียงปลาผุดบ้างไม่ขาด ผมชูคอดูไปทางคนไข้ ก็เห็นนอนอยู่เป็นปกติดี ขอบคุณท่านอาจารย์พระสะกดไว้ดีจริง ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ทุกคนในบ้านคงหลับแล้วทั้งหมด ไม่มีเสียงอืออาบ้างเลย อาจจะเป็นเวลาสักยามสามได้กระมัง ผมชักตาแข็ง หลับอีกไม่ลง นึกย้อนไปทางบ้านของตัวเอง แต่ก็ไม่ค่อยห่วงเท่าใด แม้บิดาผมจะเสียไปนาน แล้วก็ยังมีน้องสาวอีกสองคนเป็นเพื่อนแม่ได้ดี ทั้งลูกจ้างทำนาก็มีนอนอยู่ในโรงหน้ายุ้งข้าว ไม่มีอะไรน่าห่วง

ความเงียบสงัดทำให้เกิดความวังเวงขึ้นบ้างเหมือนกัน แม้แต่จะมีคนนอนอยู่หลายคน ก็หลับทั้งนั้น ก็เหมือนตัวเองอยู่คนเดียว เจ้าหมากลุ่มหนึ่งทางบ้านเหนือหอนเสียงยาวเย็นเยือกลอยมาตามลม รู้สึกว่า เสียงนั้นจะเป็นที่วัดนั่นเอง แล้วใจตัวก็กระหวัดหวนคิดว่า มันหอนทำไม ถ้าเดือนหงาย หมาหอน ไม่แปลกเลย เพราะมันมองเห็นอะไรไกลออกไป โดยมีแต่ความเงียบ ผู้คนไม่มี มันก็เกิดเหงาใจจึงหอนขึ้นตามอารมณ์ของมัน แต่นี่เดือนมืด มันเห็นอะไรเล่าจึงได้หอนขึ้น หัวใจผมมันเจ้ากรรมดันไปคิดอะไรในยามสงัดเช่นนี้ จึงเกิดว้าเหว่วังเวขึ้น เสียงแมวร้องหง่าว ๆ อยู่หลังบ้านไกล ๆ คล้ายเด็กละเมอเรียกแม่ แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่า เสียงแมวตัวผู้ร้องเรียกหาตัวเมีย แต่เสียงมันหลง ๆ น่าสงสารและน่ากลัว ยิ่งในยามดึกที่กำลังกระชั้นชิดอยู่กับคนไข้ที่มีผีสิงเช่นนี้ ทุกอย่างมันก็น่ากลัว นกแสกบินร้องข้ามหลังคาไปอย่างเสียงยาวเยือกบาดใจ ผมใจหายวูบ เพราะอยู่ ๆ มันก็บินร้องข้ามบ้านไป ผมเกิดใจเต้น คนเก่า ๆ ว่า บ้านใครมีคนไข้อยู่ ถ้านกนี้ร้องบินข้ามหลังคาไป ว่า คนไข้นั้นจะถึงตาย ผมนึกเองใจก็เต้นรัวไปเอง

เสียงแมวหง่าวหาตัวเมียไม่หยุดไป คงหง่าว ๆ อยู่ตามเดิม และซ้ำหง่าวใกล้เข้ามา ผมจุปากด้วยความรำคาญใจยิ่งนัก จะลุกไปไล่มัน ก็ค้านจะกระทำอะไรโดยคนเดียวในยามเงียบ ทั้งยังไม่แน่ว่า คนไข้นั้นคือแม่ของบานเย็นโดยแท้หรือใครสิงอยู่ แล้วผมจะลุกไปเดินเล่นไล่แมวได้อย่างไร มันร้องใกล้เข้ามา ผมค่อย ๆ พลิกหน้าไปดูคนไข้ เห็นตาลืมโพลง รู้สึกว่า แกกำลังจับฟังเสียงแมวนั้นอยู่ คล้ายแกจะโกรธ แกเหลียวหน้ามองไปทางนอกชาน ดวงตากระทบแสงไฟเห็นเป็นประกายวาว ถ้าแกจะโกรธแมว ผมนอนนิ่งดูแกอยู่ แกคงไม่รู้ว่าผมตื่น เพราะนอนอยู่ทางเงามืด เจ้านกแสกบินร้องข้ามมาอีก คนในบ้านจะหาใครตื่นอย่างผมก็ไม่มี แมวร้องประสานเสียงกับเสียงนก แต่คราวนี้เสียงแหบเครือเหมือนจะสิ้นลม แต่เอ๊ะ! คล้าย ๆ มันมาร้องอยู่ที่นอกชานนั่นเอง เสียงมันครวญอย่างหนาวใจ

ทันใดนั้นเอง ผมแทบจะตะโกนร้องออกมาด้วยความกลัว ผมเคยคิดไว้แล้วว่า ถ้ากลางดึกคนไข้เกิดลุกขึ้นรำอีก ผมเป็นโดดแน่ บัดนี้ก็เป็นอย่างว่า แต่ไม่ใช่ลุกขึ้นรำ คนเจ็บลุกพรวดพราดขึ้นอย่างคล่องแคล่ว และหยิบตะบันหมากที่วางอยู่ข้างที่นอนวิ่งปราดไปที่ริมนอกชาน ก้มตัวจ้องดูลงไปข้างล่าง มือถือตะบันหมากมั่น คงเตรียมจะตีอะไรอยู่ เสียงแมวได้หยุดร้องไปอย่างประหลาด คนไข้ยังยืนก้มมองจ้องดูไปยังใต้ถุนอย่างเดิม

คุณพระช่วยด้วยเถิด… นั่นอะไรกัน ตาผมฝาดไปหรือ โอ๊ย! ทางที่นอนคนไข้นั้นเล่า ก็มีคนไข้นอนอยู่อย่างเดิม แต่ที่ชายนอกคาน ก็มีภาพคนไข้ยืนคุมเชิงเสียงแมวอยู่ คนเดียวแยกตัวออกไปได้เป็นสอง ใจผมรัวเหมือนจะระเบิดและแตกดับลง ภาพคนไข้ที่นอกชานเดินกลับไปที่คนไข้นอนอยู่ ก้มหน้าลงคล้ายพูดอะไรกัน แล้วหันกลับไปที่นอกชานอีก วิ่งอย่างเร็ว แล้วโดแผล็วหายไปในความมืด ผมเห็นหน้าคนที่วิ่งโดดไปนั้นได้ถนัดว่า ไม่ใช่แม่ของบานเย็น เป็นหน้าคนแก่คนหนึ่งที่ผมไม่รู้จัก ผมทนไม่ไหวแล้ว พลิกตัวเข้ากอดลุงอ่ำเอาเป็นที่พึ่ง น่าแปลกที่ลุงอ่ำไม่ได้แสดงสะดุ้งตื่นเลย แกนอนเฉยคล้ายไม่รู้สึกตัว แต่ครู่นั้นได้ยินแกกระซิบต่อ "เห็นแล้ว" ผมใจค่อยตื้น ชั้นแรกคิดว่า จะมีผมเห็นคนเดียว ที่แท้ก็มีลุงอ่ำเป็นเพื่อน แต่ศิษย์วัดกับทิดเจ๊กคงไม่รู้เรื่อง เพราะไม่เห็นอีกเลย และเหตุการณ์อะไรก็เงียบไป คนไข้คงนอนอยู่เฉย ๆ

นับแต่เวลานั้น ผมกับลุงอ่ำไม่ได้หลับกันอีกตลอดรุ่ง พอเช้าขึ้น เห็นคนไข้หลับสนิท เราได้ลงไปรวมหัวกันใต้ถุนเรือนถึงเรื่องเมื่อคืน ลูกจ้างทำนาบ้านลุงอ่ำมาร่วมวงด้วย ผมกับลุงอ่ำเป็นคนเล่าเหตุการณ์ที่เห็นให้ฟัง ตาอู๋ออกความเห็นว่า มีหมอแขกครัวอยู่ในคลองลัด เก่งนักเรื่องนี้ ลองไปตามมาแก้จะดีไหม? ที่ประชุมตกลงให้ผมสุ่มไปตามหาดูว่า หมอนั่นอยู่ที่ใด พอเราตกลงกันแล้ว ก็กลับขึ้นเรือน ผมจัดแจงล้างหน้า ลุงอ่ำ ตาอู๋ ไปดูคนไข้

ทันใดนั้น ได้เกิดโกลาหลขึ้นอีก ลุงอ่ำ ตาอู๋ ร้องว่า แม่ของบานเย็นตายเสียแล้ว คนในบ้านทุกคนสะดุ้งตัว บานเย็นร้องไห้โฮ ผมยืนงันไปเลย การไปตามหมอก็ต้องเลิกรา เปลี่ยนเป็นรีบไปวัดบอกกับพระอาจารย์เป้า และเตรียมนิมนต์พระสวดตลอดกลางคืน เตรียมซื้อโลงใส่ศพ ใครแข็งแรงให้แจวเรือไปที่ตลาดคลองสวน มีร้านขายโลงผีอยู่ที่นั่น การเตรียมจัดการศพได้ชุลมุนกันอีกเรื่อง ผมรีบพายเรือไปบอกแม่กับน้อง ๆ ที่บ้านว่า น้าแย้มตายเสียแล้ว เรื่องก็ลงเอยกันเพียงนี้แหละครับ