ไตรภูมิพระร่วง/นรกภูมิ
นรกภูมิ
แก้ไขสัตว์อันเกิดในนรกภูมินั้น เป็นด้วยอุปปาติกโยนิ ภูลเป็นรูปได้ ๒๘ คาบสิ้นคาบเดียว รูป ๒๘ นั้นคืออันใดบ้าง คือ ปถวี อาโป เตโช วาโย จักขุ โสต ฆาน ชิวหาร กาย มน รูป สัทท คันธรส โผฏฐัพพ อิตถีภาว บุรุษภาว หทย ชีวิตินทรีย อาหาร ปริจเฉท กายวิญญัต์ติ วจีวิญญัต์ติ สหุตา กัม์มัญ์ญตา อุปัจ์จโย สัน์ติ รูปปัส์ส ชรโตฯ อันว่าปถวีรูปนั้นคือกระดูกและหนังแลฯ อาโปรูปนั้นคือน้ำอันไหลไปมาในตนนั้นแลฯ เตโชรูปนั้นคือว่าไฟอันร้อนและเกิดเป็นเลือดในตนแลฯ อันว่าวาโยรูปนั้น คือลมอันทรงสกลและให้ติงเนื้อติงตนแลฯ จักษุรูปนั้นคือตาอันแต่งดูฯ โสตรูปนั้นคือหูอันได้ฟังนั้นฯ ฆานรูปนั้น คือจมูกอันแต่งดมให้รู้รสทั้งหลายฯ ชิวหารูปนั้นคือลิ้น อันรู้จักรสส้มและฝากและรสทั้งลายนั้น ๆ กายรูปนั้น คือ รูปอันรู้เจ็บรู้ปวดอันถูกต้องฯ รูปารูปนั้น คือรูปอันเห็นแก่ตาฯ สัททารูป คือรูปอันได้ยินดีฯ คันธารูปนั้น คือรูปอันเป็นกลิ่นเป็นคันธอันหอมฯ รสารูปนั้นเป็นรสฯ โผฎฐัพพารูปนั้น คือรูปอันถูกต้องฯ อิตถีรูป คือรูปเป็นผู้หญิงฯ บุรุษรูปนั้น คือรูปอันเป็นผู้ชายฯ หทยรูปนั้น คือรูปอันเป็นต้นแก่รูปทั้งหลายอันอยู่ภายในฯ ชีวิตินทรียรูปนั้น คือชีวิตอันอยู่ในรูปทั้งหลายฯ อาหารรูปนั้น คืออาหารอันกินฯ ปริจเฉทรูปนั้น คือรูปที่ต่อที่ติดกันฯ กายวิญญัติรูปนั้น คือรูปอันรู้แต้ตนฯ วจีวิญญัติรูปนั้น คือ รูปอันรู้แต่ปากฯ รูปัสสรูปลุตารูปนั้น คือรูปอันรู้พลันฯ รูปัสสมุทุตารูปนั้น คือรูปอันอ่อนฯ รูปัสสกัมมัญญตารูปนั้น คือรูปอันควรรูปฯ รูปัสสอุปัจจโยรูปนั้น คือรูปอันให้เป็นอีกฯ รูปัสสสันตติรูปนั้น คือรูปอันสืบอันแท่งดังฤๅจึงว่าสืบว่าแท่งนั้นสืบหลากวันคืนนั้นแลฯ รูปัสสชรตารูปนั้นคือรูปอันแก่อันเฒ่าฯ รูปัสสอนิจจาตารูปนั้น คือรูปอันยินดีรูปอันจะใกล้ตายนั้น และรูปทั้ง ๒๘ รูปนี้มีแก่สัตว์ในนรกแลฯ ฝุงสัตว์อันไปเกิดในที่ร้ายที่เป็นทุกขลำบากใจเขานั้นเพื่อใจเขาร้าย และทำบาปด้วยใจอันร้ายมี ๑๒ อันแลฯ อนึ่งคือ
โสมนัสสสหคตทิฏฐิคตสัมปยุตตอสังขาริเมกํ ใจนี้มิรู้ว่าบาปและกระทำบาปด้วยใจอันกล้าและยินดีฯ อนึ่งคือโสมนัสสสหคตทิฏฐิคตสสังขาริกเมกํ ใจอันหนึ่งมิรู้ว่าบาปและยินดีและกระทำบาปนั้น เพื่อมีผู้ชักชวนฯ อนึ่งคือ โสมนัสสสหคตทิฏฐิคตวิปปยุตตอสังขาริกเมกํ ใจอันหนึ่งรู้ว่าบาปและกระทำด้วยใจของตนเองอันกล้าแข็งและยินดีฯ อนึ่งคือโสมนัสสสหคตทิฏฐิคตวิปปยุตตสสังขาริก ใจอันหนึ่งรู้ว่าบาปและยินดีกระทำบาป เพื่อมีผู้ชักชวนฯ อนึ่งคืออุเบกขาสหคตทิฏฐิคตสัมปยุตตอสังขาริก ใจอันหนึ่งรู้ว่าบาปและกระทำเพื่อมีผู้ชักชวน และกระทำด้วยใจอันร้ายใจกล้าบมิยินดียินร้ายฯ หนึ่งคืออุเบกขาสหคตทิฏฐิคตสัมปยุตตสสังขาริก ใจอันหนึ่งรู้ว่าบาปและกระทำเพื่อมีผู้ชวนและกระทำด้วยใจอันร้ายและใจกล้าฯ อนึ่งคืออุเบกขาสหคตทิฏฐิคตวิปปยุตตอสังขาริก ใจอันหนึ่งรู้ว่าบาปและกระทำเองกับด้วยใจอันร้ายอันกล้าฯ อนึ่งคืออุเบกขาสหคตทิฏฐิคตสสังขาริก ใจอนึ่งรู้ว่าบาปมีผู้ชวนและกระทำด้วยใจอันกล้าฯ อนึ่งคือโทมนัสสสหคตปฏิฆสัมปยุตตอสังขาริก ใจอนึ่งประกอบไปด้วยโกรธขึ้งเคียดกระทำบาปด้วยใจอันกล้าแข็งเองและร้ายฯ อนึ่งคือโทมนัสสสหคตปฏิฆสัมปยุตตสสังขาริก อนึ่งกอบไปด้วยโกรธขึ้งเคียดกระทำบาปเพื่อเหตุมีผู้ชวนฯ อนึ่งคืออุเบกขาสหคตวิจิกิจฉาสัมปยุตตํ ใจอนึ่งบมิเชื่อบุญและกระทำบาปด้วยใจประกลายฯ อนึ่งคืออุเบกขาสหคตอุทธัจจสัมปยุตต ใจอันหนึ่งย่อมขึ้นไปฟุ้งดังก้อนเถ้าและเอาก้อนเส้าทอดลงย่อมปาลงทุกเมื่อ และกระทำบาปด้วยใจปกลายฯ ใจร้ายทั้ง ๑๒ นี้ผิและมีแก่คนผู้ใดผู้นั้นได้ไปเกิดในที่ร้ายเป็นต้นว่าจตุราบายแลฯ เหตุการเท่าใดและมีใจร้ายฝูงนี้แก่สัตว์ทั้งลาย เหตุการนั้นยังมี ๓ อัน อนึ่งชื่อว่า โลโภเหตุ อนึ่งชื่อว่โทโสเหตุ อนึ่งชื่อว่าโมโหเหตุฯ อันชื่อว่าโลโภเหตุนั้น เพื่อมักได้สินท่าน มักฆ่ามักตีท่านเพื่อจะเอาสินท่านและใจนั้นชวนกระทำบาปฯ อันชื่อว่าโทโสเหตุนั้นเพื่อตู่ท่านถูกใจ ขึ้งเคียดหิงษาแก่ท่าน มักคุมนุคุมโทษชวนใจกระทำบาปฯ อันชื่อว่าโมโหเหตุนั้น บมิรู้บุญธรรมใจพาลใจหลงไปกระทำบาปไปชวนพบทุกเมื่อแลฯ เพราะเหตุ ๓ อันนี้แหากพาสัตว์ทั้งหลายไปเกิดในที่ร้ายคือจตุราบายแลฯ ด้วยสุภาวกระทำบาปฝูงนั้นมี ๑๐ จำพวกโสด กาเยนติวิธํ กัม์มํปาณาติปาตา อทิน์นาทานา กาเมสุมิจ์ฉาจาราฯ วาจากัม์ม จตุพ์พิธํ มุสาวาทา อสุสวาจาร เปสุญ์ญาวาจา สัมผัป์ปลาปาวาจาฯ มนสาติวิธัญ์เจว มิจ์ฉาทิฏ์ฐิพ์ยาปาทวิหิษา ทสกัม์มปถาอิเมฯ สุภาวอันกระทำบาปด้วยตน ๓ จำพวกฯ สุภาวพดอันกระทำบาปดด้วยปาก ๔ จำพวกฯ สุภาวอันกระทำบาปด้วยใจ ๓ จำพวกฯ ผสมเข้าด้วยกันเป็น ๑๐ จำพวกแลฯ อันว่ากระทำบาปด้วยตัวมี ๓ จำพวกนั้นฉันนี้ คือว่าฆ่าคนและฆ่าสัตว์ อันรู้ติงด้วยมือด้วยตีนตนฯ อนึ่งคือว่าลักเอาสินท่านอันท่านมิได้ให้แก่ตนและเอาด้วยตีนมือตนฯ อนึ่งคือทำชู้ด้วยเมียท่านผู้อื่นฯ อันว่าทำบาป ด้วยปากมี ๔ จำพวกนั้นฉันนี้ อนึ่งคือว่ากล่าวถ้อยคำมุสาวาทและส่อเสียดเอาทรัพย์สิ่งสินของท่าน ๑ ฯ อนึ่งคือว่ากล่าวถ้อยคำอันท่านบมิพึงเอาเอานั้น ๑ อนึ่งคือว่ากล่าวถ้อยคำติเตียนนินทาท่านและกล่าวคำอันบาดเนื้อผิดใจท่าน กล่าวถภ้อยคำอันหยาบช้าและยุยงให้ท่านผิดใจกัน อนึ่งคือกล่าวด่าประหลกหยอกเล่นอันมิควรกล่าว และกล่าวอันเป็นถ้อยคำติรัจฉานกถานัะนแลฯ อันว่าเกิดบาปด้วยใจนั้นมี ๓ จำพวก อนึ่งคือมิจฉาหิงษาทิฏฐิถือมั่นบมิชอบบมิพอและว่าขอบว่าพอ อันชอบพอและว่าบมิชอบบมิพอนั้น อนึ่งคือว่าเคียดฟูนแก่ผู้ใดและถือมั่นว่าเป็นข้าศึกตนต่อตายสู้ความโทษใร้ายและคุมความเคียดนั้นไว้มั่นึงฯ อนึ่งคือว่าปองจะทำโทษโภยท่านจะใคร่ฆ่าฟันเอาทรัพย์สินท่านฯ สุภาวอันเป็นบาปนั้นมี ๑๐ จำพวกดังกล่าวมานี้แลฯ และแต่ใจบาปทั้งหลายดังกล่าวมานี้แลยังมีเพื่อใจอันเป็นเจตสิกแต่งมายังใจให้กระทำบาปนั้น ๒๗ นั้นคือ ผัสโส เวทนา สัญญา เจตนา เอกัคคตา ชีวิตินท์รียํ มนสิกาโร วิตัก์โก วิจาโร อธิโมก์โข วิริยํ ปีติฉัน์โท โมโห อหิริกํ อโนต์ตัป์ปํ อุท์ธัจ์จํ โลโภ ทิฏ์ฐิ มาโน โทโส อิส์สา มัจ์ฉิริยํ กุก์กุจ์จํ ถีนํ มิท์ธํ วิจิกิจ์ฉา อันนี้ฯ ผัส์โส มาให้ต้องใจฯ เวทนามาให้เสวยฯ สัญญาให้รู้ฯ เจตนาให้รำพึงฯ เอกัค์คตาให้ถือมั่นฯ ชีวิติน์ทริยํแต่ให้เป็นเจตสิกฯ มนสิการมัวมูนไปฯ วิตักกแต่ตริบริทำนำบาปฯ วิจารใพิจารณาแก่บาปฯ อธิโม์กโขนั้นให้จำเตุเฉพาะแก่บาปฯ วิริยํให้พยายามทำบาปฯ ปีตินั้นให้ชื่นชนยินดีกระทำบาปฯ ฉันทะนั้นเหนี่ยวแก่บาปฯ โมโหนั้นให้หลงแก่บาปฯ อหิริกฺนั้นให้บมีความละอายแก่บาปฯ อโนต์ตัปปํนั้น บมิให้กลัวแก่บาปฯ อุท์ธัจ์จํให้ขึ้นฟุ้งฯ โลโภนั้นให้โลภฯ ทิฏ์ฐินั้นให้ถืดบาปมั่นฯ มานะนั้นให้ดุดันเยียสำหาวฯ โทโสนั้นให้เคียดฟูนฯ อิส์สานั้นให้ริษยาหิงษาเบียดเบียนหวงแหนฯ มัจ์ฉิริยํนั้นให้ตระหนี่ฯ กุก์กุจ์จํนั้นให้สนเท่ห์ฯ ถีนํนั้นให้เหงาเหงียบบมิให้รู้สึกตนฯ มิท์ธํนั้นให้หลับฯ วิจิกิจ์ฉานั้นท่านว่าชอบว่าพอก็ดีบมิให้ยินดีฯ เพราะใจนั้นฟุ้งซ่านชวนทำบาปนั้นได้ ๒๗ ดังกล่าวมานี้แลฯ ฝูงสัตว์ทั้งหลายอันได้กระทำบาปด้วยปากด้วยใจดังกล่าวแล้วนี้ ย่อมได้ไปเกิดในจตุราบายมีอาทิคือนรกใหญ่ ๘ ชุมนั้น ๆ ฯ สัญ์ชีโวกาล สุต์โตจ สังฆาโฏ โรรุโวตถา มหาโรรุวตาโปจ มหาราโปจาติ วีจิโยฯ อนึ่งชื่อสัญชีพนรก อนึ่งชื่อโรรุพนรก อนึ่งชื่อดาปนรก อนึ่งชื่อมหาอวิจีนรก ฝูงนรกใหญ่ ๘ อันนี้อยู่ใต้แผ่นดินอันเราอยู่นี้และถัดกันลงไป และนรกอันชื่อว่าอวิจีนรกนั้นอยู่ใต้นรกทั้งหลาย และนรกอันชื่อว่าสัญชีพนรกนั้นอยู่เหนือนรกทั้ง ๗ อันนั้น ฝูงสัตว์อันเกิดในนรกอันชื่อว่าสัญชีพนรกนั้นยืนได้ ๕๐๐ ปีด้วยปีในนรก และเป็นวัน ๑ คืน ๑ ในนรกได้ ๙ ล้านปีในเมืองมนุษย์นี้ ๕๐๐ ปีในสัญชีพนรกได้ล้าน ๖ แสนล้านหยิบหมื่นปี ในเมืองคนนี้ ๑,๖๒๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ ฯ ฝูงสัตว์อันเกิดในกาลสูตตนรกนั้นยืนได้ ๑,๐๐๐ ปี ในนรกนั้น วัน ๑ คืน ๑ ในกาลสูตตนรกนั้นได้ ๓๖,๐๐๐,๐๐๐ ปีในมนุษย์ ๑,๐๐๐ ปี ในนรกได้มหาปทุมปทุมประติทธ ๑๒,๙๖๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ ปีในมนุษย์ฯ ฝูงสัตว์อันเกิดในสังฆาฎนรกนั้นยืนได้ ๒,๐๐๐ ปี ในสังฆาฎนรกวัน ๑ คืน ๑ ได้ ๑๔๕,๐๐๐,๐๐๐ ปี ในมนุษย์ ๒,๐๐๐ ปี ในสังฆาฏนรกนั้นเป็นปีนั้นได้ ๑๐๓,๖๘๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ เป็นปีในมนุษย์แลฯ ฝูงสัตว์อันเกิดในโรรุพนรกยืนได้ ๔,๐๐๐ ปี ในโรรุพนรกวัน ๑ คืน ๑ ได้ ๕๗๖,๐๐๐,๐๐๐ ปีในมนุษย์นี้ ทั้ง ๔,๐๐๐ ปี ในโรรุพนรกนั้นได้ปี ๘๒๙,๔๔๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ ปี ในมนุษย์เรานี้แลฯ ฝูงสัตว์อันเกิดในมหาโรรุพนรกนั้นยืนได้ ๘,๐๐๐ ปีในนรก วัน ๑ คืน ๑ ในนรกนั้นได้ ๒๓๐,๕๐๐,๐๐๐ ปี ในมนุษย์นี้ ทั้ง ๘,๐๐๐ ปีในนรกนั้นได้ ๖,๖๓๕,๕๒๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ ปี ในมนุษย์เรานี้แลฯ ฝูงสัตว์อันเกิดในดาปนรกนั้นยืนได้ ๑๖,๐๐๐ ปี ในนรก วัน ๑ คืน ๑ ในดาบนรกนั้นได้ ๙,๒๑๖,๐๐๐,๐๐๐ ปี ในมนุษย์ ทั้ง ๑๖,๐๐๐ ปี ในดาบนรก ๕๓,๐๘๔,๑๖๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ ปี ในมนุษย์เรานี้แลฯ ฝูงสัตว์อันเกิดในนรกอันชื่อว่ามหาดาปนรกนั้นแลฯ จะนับปีและเดือนอันเสวยทุกข์ในนรกนั้นบมิถ้วนย่อมนับด้วยกัลป ๑ แลฯ ฝูงนรกใหญ่ ๘ อันนี้ย่อมเป็น ๔ มุมและมีประตูอยู่ ๔ ทิศ พื้นหนต่ำก้อนเหล็กแดง และฝาอันปิดเบื้องบนก้อนเหล็กแดง และนรกฝูงนั้นโดยกว้างและสูงเท่ากันเป็นจตุรัส และด้านละ ๑,๐๐๐ โยชน์ด้วยโยชน์ ๘,๐๐๐ วา โดยหนาทั้ง ๔ ด้านก็ดี พื้นเบื้องต่ำก็ดี ฝาเบื้องบนก็ดี ย่อมหนาได้ละ ๙ โยชน์ และนรกนั้นบมีที่เปล่าสักแห่ง เทียรย่อมฝูงสัตว์นรกทั้งลายหากเบียดเสียดกันอยู่เต็มนรกนั้น และไฟนรกนั้นบมิดับเลยสักคาบแล ไหม้อยู่รอดชั่วต่อสิ้นกัลปแล กรรมบาปคนฝูงนั้นหากไปเป็นไฟลุกในตัวตนนั้นเป็นฟืนลุกเองไหม้ไฟนั้นแลบมิแล้วสักคาบเพื่อดังนั้นแล นรกใหญ่ ๘ อันนั้นมีนรกใหญ่อยู่รอบแล ๑๖ อันอยู่ทุกอันแลอยู่ละด้าน ๔ อันแล นรกบ่าว ๔ ฝูงนั้นยังมีนรกเล็กน้อยอยู่รอยนั้นมากนักจะนับบมิถ้วนได้เลย ประดุจที่บ้าน ๆ นอกและในเมือง ๆ มนุษย์เรานี้แลฯ ฝูงนรกบ่าวนั้นโดยกว่างได้แล ๑๐ โยชน์ทุกอันแล ฝูงนรกบ่าวนั้นอีกนรกหลวงได้ ๑๓ อัน แต่นรกใหญ่ ๔๘ อันนั้นหายมบาลอยู่นั้นบมิได้ไส้ ที่ยมบาลอยู่นั้นแต่ฝูงนรกบ่าวและนรกเล็กทั้งหลายฯ หากมียมบาลอยู่ไส้ แต่ฝูงนรกบ่าวมียมบาลอยู่ดังนั้นแลเรียกชื่อว่าอุสุทธนรกผู้ ๔ อันเป็นบมบาลดังนั้น เมื่ออยนู่เมืองคนบาปเขาก็ได้ทำบุญ เขาก็ได้ทำ ปางเมื่อตายก็ได้ไปเกิดในนรกนั้น ๑และมียมบาลฝูงอื่นมาฆ่าฟันพุ่งแทงกว่าจะถ้วน ๑๕ วันนั้นแล้วจึงคืนมาเป็นบมบาล ๑๕ วัน เวียนไปเล่าวียนมาเล่าดังนั้งหึงนานนัก เพราะว่าไป่มิสิ้นบาปอันเขากระทำนั้นดุจว่ามานี้ก็เป็นจำพวกหนึ่ง อันนี้ชื่อว่าเปรตวิมานนั้นแลฯ ลางคนนั้นกลางวันเป็นเปรต ครั้งกลางคืนเป็นเทวดา ฯ ลางคนกลางวันเป็นเทวดา ครั้นกลางคืนเป็นเปรตฯ ลางคนเดือนขึ้นเป็นเปรต เดือนแรมเป็นเทวดาฯ ลางคนเดือนขึ้นเป็นเทวดาเดือนแรมเป็นเปรต ด้วยบาปกรรมเขาฝูงนี้ไป่บมิสิ้นเป็นดังนี้ทุกเดือนหลายปีนักแลฯ ฝูงเปรตฝูงนั้นและยมบาลตูคู่กันแลยังไป่บมิสิ้นกรรมดังนั้น ยังเวียนไปมาเป็นคนนรกเป็นยมบาลทุกเมื่อบมิได้อยู่สักคาบผิว่าสิ้นกรรมนั้น จึงเป็นยมบาลแล้วก็ตายไปเกิดเป็นแห่งอื่นแลฯ แลมีเมืองพระญายมราชนั้นใหญ่นักและอ้อมรอบประตูนรกทั้ง ๔ ประตูนรกนั้นแล พระญายมราชนั้นทรงธรรมนักหนาพิจารณาถ้อยความอันใด ๆ และบังคับโจทก์และจำเลยนั้นด้วนสัจซื่อและชอบธรรมทุกอันทุกเมื่อ ผู้ใดตายย่อมไปไหว้พระญายมราชก่อนฯ พระญายมราชจึงถามผู้นั้นยังมึงได้กระทำบาปฉันใด แลมึงเร่งคำนึงดูแลมึงว่าโดยสัจโดยจริงฯ เมื่อดังนั้นเทวดาทั้ง ๔ องค์อันแต่งมาซึ่งบาญชีบุญและบาปแห่งคนทั้งหลายก็ได้ไปอยู่ในแห่งนั้นด้วย แลถือบาญชีอยู่แห่งนั้นผู้ใดกระทำบุญอันใดไส้ เทพยดานั้นเขียนชื่อผู้นั้นใส่แผ่นทองสุกแล้วทูนใส่เหนือหัว ไปถึงพระญายมราช ๆ ก็จบใส่หัวแล้วก็สาธุการอนุโมทนายินดีแล้ว ก็วางไว้แท่นทอง อันประดับนี้ด้วยแก้วสัตตพิธรัตนะ และมีอันเรืองงามแล ผู้ใดอันกระทำบาปไส้ เทวดานั้นก็ตราบาญชีลงในแผ่นหนังหมาแลเอาไว้แง ๑ เมื่อพระญายมราชถามดังนั้น ผู้ใดกระทำบุญด้ยอำนาจบุญผู้นั้นหากรำพึงรู้ทุกอันแลกล่าวแก่พระญายมราชว่า ข้าได้ทำบุญธรรมดังนั้นเทพยดาถือบาญชีนั้น ก็หมายบาญชีในแผ่นทองนั้นก็ดุจความอันเจ้าตัวกล่าวนั้น พระญายมราชก็ชี้ให้ขึ้นไปสู่สวรรค์อันมีวิมานทองอันประดับนี้ด้วยแก้ว ๗ ประการ แลมีนางฟ้าเป็นบริวารแลมีบริโภคเทียรย่อมทิพย์ แลจะกล่าวเถิงความสุขนั้นบมิได้เลยฯ ผิแลผู้ใดกระทำบาปนั้นบันดาลตู่ตนมันเองนั้นแลมันมิอาจบอกบาปได้เลย จึงเทพยดานั้นเอาบาญชีในแผ่นหนังหมามาอ่านให้มันฟัง มันจึงสารภาพว่าจริงแล้วพระญายมราชและเทพยดานั้น ก็บังคับแก่ฝูงยมบาลให้เอามันไปโดยบาปกรรมมันอันหนาและเบานั้นแลฯ บังคับอันควรในนรกอันหนังและเบานั้นแล ความทุกขเวทนาแห่งเขานั้นจะกล่าวบมิถ้วนได้เลยฯ ผู้กระทำบุยก็ได้กระทำบาปก็ได้กระทำ เทพยดานั้นจะชักบุยและบาปนั้นมาดูทั้งสองฝ่าย ๆ ใดหนักก็ไปฝ่ายนั้น แล้วแม้นว่าผู้บุญหนักแลไปสวรรค์ก็ดี เมื่อภายหลังยังจะมาใช้บาปตนนั้นเล่าบมิอย่าเลยฯ ผู้ส่วนผู้บาปหนักและไปในนรกก่อนแล เมื่อภายหลังนั้นจึงจะได้เสวยบุญแห่งตนนั้นบมิอย่าแลฯ อันว่าคนผู้กระทำบุญกระทำบาปเสมอกันนั้นไส้ พระญายมราชและเทพยดาถือบาญชีนั้นบังคับให้เป็นยมราช เป็นยมบาล ๑๕ วันมีสมบัติทิพยดุจเทพยดา และตกนรก ๑๕ วันนั้น ต่อสิ้นบาปมันนั้นแลฯ คนผู้ใดเกิดมาและมิรู้จักความบุญและมิรู้จักคุณพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ และมิได้ให้ทานตระหนี่ทรัพย์และเมื่อท่านจะอวยทานไส้ มันห้ามปรามท่าน อนึ่งมันมิรู้รักพี่รักน้องบมิรู้เอ็นดูกรุณาเทียรย่อมฆ่าสิ่งสัตว์อันรู้ติงและลักเอาสินท่านอันท่านเจ้าสินมิได้ให้แก่ตน มักทำชู้ด้วยเมียท่านและลอบรักเมียท่านผู้อื่นและเจรจาเลาะและลู่ยล่ายมักกล่าวความร้ายส่อเสียดเบียดเบียนท่าน กล่าวความสระประมาทท่านและกล่าวความหยาบช้ากล้าแข็ง ให้ท่านบาดเนื้อผิดใจ ให้ท่านได้ความเจ็บอายและกล่าวความมุสาวาทโลเลอันมิได้เป็นประโยชน์เป็นติรัจฉานกถา และมักกินเหล้าเมามายและมิได้ยำเกรงผู้เม๋าผู้แก่สมณะพราหมณาจารย์ อันว่าคนผู้กระทำร้ายฉันนี้ไส้ ครั้นว่าตายไปก็ได้ไปเกิดในนรกอันใหญ่ ๘ อันนั้นแล อันว่าความอันเขาเจ็บปวดทนทุกขเวทนาแห่งเขานั้นจะกล่าวบมิได้เลยฯ ในฝูงนรกเล็กอันอยู่เป็นบริวารนรกบ่าวนั้นมากนั้น เรามิอาจกล่าวได้เลย แต่จะกล่าวแต่ฝูงนรกบ่าว ๑๖ อัน อยู่ล้อมรอบสัญชีพนรก อันอยู่บนนรกทั้งหลายอันพระมาตะลีนำพระเจ้าเนมีราชไปทอดพระเนตรนั้น เมื่อธไปดูสัญชีพนรกอันใหญ่อันอยู่ท่ามกลางนั้นให้ดูแต่นรก ๑๖๙ อันอยู่รอบสัญชีพนรกนั้นชื่ออุสุทธนรก แลนรกอันเป็นอาทิชื่อไพตรณีนรก คนหมู่อยู่ในแผ่นดินนี้แม้นเป็นดีมีข้างของมากไพร่ฟ้าข้าไทยมากหลายนั้น มากหลายนั้นมักกระทำร้ายแก่ผู้อื่น ชิงเอาทรัพย์ข้าวของ ๆ ท่านผู้อื่นด้วยตนมีกำลังกว่า ครั้นว่าตายได้ไปเกิดในนรกอันชื่อเวตรณีนั้นยมบาลอยู่ในเวตรณีนั้นเทียรย่อมถือไม้ค้อน มีดพร้า หอกดาบ หลาวแหลน เครื่องฆ่า เครื่องแทง เครื่องยิง เครื่องตีทั้งหลาย ฝูงนั้นย่อมเหล็กแดงและมีเปลวพุ่งขึ้นไปดังไฟฟ้าลุกดังนั้นบมิวายแล ยมบาลจึงถือเครื่องทั้งนั้นไล่แทง ไล่ตีฝูงคนนรกด้วยสิ่งนั้น เขาก็เจ็บปวดเวทนานักหนาอดทนบมิได้เลย ในนรกนั้นมีแม่น้ำใหญ่อันชื่อว่าไพตรณีและน้ำนั้นเค็มนักหนา ครั้งว่าเขาแล่นหนีน้ำนั้นเล่าหวายเครือหวายดาสไปมา แลหวายนั้นมีหนามอันใหญ่เท่าจอมเทียรย่อมเหล็กแดงเป็นเปลวไฟลุกทุกเมื่อแล ลงน้ำนั้นก็ขาดดังท่านเอามีดกรดอันคมมาแล่มากันเขาทุกแห่ง แลเครือหวายเทียรย่อมขวากใญ่ แลยาวย่อมเหล็กแดงลุกเป็นเปลวไฟไปไหม้ตัวเขาดังไฟไหม้ต้นไม้ในกลางป่า ครั้งว่าตัวเขาตรลอดตกลงหนามหวายนั้น ลงไปยอกขวากเล็กอันอยู่ใต้นั้น ตัวเขานั้นก็ขาดห้อย ณ ทุกแง เมื่อขวากเล็กนั้นยอกตัวเข้าดังท่านเสียบปลานั้นแล บัดเดี๋ยวหนึ่งเปลวไฟไหม้ขาวขึ้นมาแล้ว ลุกขึ้นเป็นไฟไหม้ตนเขาหึงนานนักแล ตนเขานั้นสุก เน่าเปื่อยไปสิ้น ใต้ขวากเหล็กในน้ำเวตรณีนั้น มีใบบัวหลวงและใบบัวนั้นเทียรย่อมเหล็กเป็นคมรอบนั้นดังคมมีด และใบบัวนั้นเป็นเปลวลุกอยู่บมิดับเลยสักคาบ ครั้นว่าตนเขานั้นตรลอดจากขวากเหล็กนั้นตกลงเหนือใบบัวเหล็กแดงนั้น ใบบัวเหล็กแดงอันคมนั้น ก็บาดขาดวิ่นทุกแงดังท่านกันขวางกันยาวนั้นไส้ เขาตกอยู่ในใบบัวเหล็กแดงนั้นช้านานแล้ว จึงตรลอดตกลงไปในน้ำ ๆ นั้นเค็มนักหนาแล แสบเนื้อแสบตัวเขาสาหัสดังปลาอันคนตีที่บนบกนั้น บัดเดี๋ยวแม่น้ำนั้นก็กลายเป็นเปลวไฟไหม้ตนเขานั้น ดูควันฟุ้งขึ้นทุกแห่งรุ่งเรืองเทียรย่อมเปลวไฟในพื้นแม่น้ำเวตรณีนั้น เทียรย่อมคมมีดหงายขึ้นทุกแห่งคมนักหนา เมื่อคนนรกนั้นร้อนด้วยเปลวไฟไหม้ดังนั้น เขาจึงคำนึงในใจว่า มากูจะดำน้ำนี้ลงไปชะรอยจะพบน้ำเย็นภายใต้โพ้น แลจะอยู่ได้แรงใจสะน้อยเขาจึงดำลงไปในพื้นน้ำนั้น จึงถูกคมมีดอันหงายอยู่ใต้น้ำนั้น ตัวเขาก็ขาดทุกแห่งดังท่านแสร้งกันเขานั้นยิ่งแสบสาหัส แลร้องล้มร้องตายเสียงแรงแข็งนักหนา บางคาบน้ำพัดตัวเขาพุ่งขึ้น ลางคาบพัดตัวเขาดำลงนั้นเองเทียรย่อมทุกขเวทนานักหนา ฝูงอันเกิดในนรกอันชื่อว่าเวตรณีนั้นเป็นทุกข์เจ็บปวดดังกล่าวมานี้แลฯ นรกอันเป็นคำรบ ๒ นั้นชื่อว่าสุนักขนรก คนผู้ใดกล่าวคำร้ายแก่สมณพราหมณ์ผู้มีศีล และพ่อแม่และผู้เฒ่าผู้แก่ครูบาทยาย คนผู้นั้นตายไปเกิดในนรกอันชื่อว่าสุนักขนรกนั้นแล ในสุนักขนรกนั้นมีหมา ๔ สิ่ง หมาจำพวก ๑ นั้นขาว หมาจำพวก ๑ นั้นแดง หมาจำพวก ๑ นั้นดำ หมาจำพวก ๑ นั้นเหลือง แลตัวหมาผู้นั้นใหญ่เท่าช้างสารทุกตัว ฝูงแร้งและกาอันอยู่ในนรกนั้นใหญ่เท่าเกวียนทุก ๆ ตัว ปากแร้งและกาและตีนนั้น เทียรย่อมเหล็กแดงลุกเป็นเปลวไฟอยู่บ่อมิได้เหือดสักคาย แร้งแลกาหมาฝูงนั้นเทียรย่อมจิกแหกหัวอกขบตอดคนทั้งหลายในนรกนั้นด้วยกรรมบาปของเขานั้นแล มิให้เขาอยู่สบาย แลให้เขาทนเจ็บปวดสาหัส ได้เวทนาพ้นประมาณทนอยู่ในนรกอันชื่อสุนักขนรกนั้นแลฯ นรกบ่าวอันดับนั้นไปเป็นคำรบ ๓ ชื่อว่าโสรชตินรก คือผู้ได้กล่าวร้ายแก่ท่านผู้มีศีล อันท่านบมิได้ให้ความผิดแก่ตนแต่สิ่งใดสิ่งหนึ่งเลย แลมากล่าวร้ายแก่ท่านดุจดังเอาหอกมาแทงหัวใจท่านให้ได้ความเจ็บอาย คนผู้นั้นครั้งว่าตายก็ได้ไปเกิดในนรกนั้นแล ในพื้นนรกนั้นย่อมเล็กแดงเป็นเลวไฟลุกอยู่บมิเหือดเลยสักคาบ ฝูงนรกนั้นไส้เหยียบเหนือแผ่นเหล็กแดงนั้น แลฝุงยมบาลถือค้อนเหล็กแดงอันใหญ่เท่าลำตาลไล่ตีฝูงนนรกนั้น ๆ ก็แล่นไปบนแผ่นเหล็กแดง ๆ ลุกเป็นไฟเร่งไหม้ตีนเขาแลร้อนเวทนานักหนาแล ยมบาลไล่ตีคนนรกนั้นเนื้อและตนเขาก็แหลกเป็นภัสมะไปสิ้น บัดเดี๋ยวไส้ ก็เกิดเป็นตนเขาคืนมาดังเดียวนั้นเล่า เพราะว่าบาปกรรมแห่งเขาไป่มิสิ้นตราบใดแล ทนเวทนาไปในนรกอันชื่อว่โสรชตินรกตราบนั้นแลฯ นรกบ่าวอันเป็นคำรบ ๔ นั้น ชื่อว่อังคารกาสุมนรก คนผู้ใดแลชักชวนท่านผู้อื่นว่าจะกระทำบุญและทานเอาทรัพย์มาให้แก่ตนว่าให้ทำบุญ แลตนมิได้กระทำบุญและลวงเอาทรัพย์ของท่านมาไว้เป็นอนาประโยชน์แก่ตน คนผู้นั้นตายไปได้เกิดในนรกอันชื่อว่าอังคารกาสุมนรกนั้น แลฝูงยมบาลอันอยู่รักษานรกนั้นบ้างก็ถือหอกดาบ บ้างถือค้อนเหล็กแดงลุกเป็นเปลวไฟขับต้อนบ้าง แทงบ้าง ฟันบ้าง ตีบ้าาง ไล่ผลักไล่ให้ตกลงไปในหลุมถ่านไฟอันแดง แลถ่านไฟอันแรงนั้นไหม้ตนเขา ๆ ร้อน ๆ ทนเวทนานักหนา ฝูงยมบาลจึงเอาจะหวักเหล็กอันใหญ่ตักเอาถ่านไฟแดงหล่อรดเหนือหัวเขาลง เขาก็มิอาจจะอดร้อนได้ เขาก็ร้องไห้ด้วยเสียงอันแข็งนักหนา แลกรรมบาปแห่งเขานั้นจึงมิให้เขาตาย ครั้งเขาตายจากขุนถ่านไฟนั้น ๆ ฯ อันดับนั้นเป็นคำรบ ๕ ชื่อว่าโลหกุมภีนรก แลคนผู้ใดอันตีสมณพราหมณ์ผู้มีศีลไส้ คนผู้นั้นตายได้ไปเกิดในโลหกุมภีนรก ๆ มีเหล็กแดงอันใหญ่เท่าหม้ออันใหญ่นั้น แลเต็มด้วยเหล็กแแดงเชื่อมเป็นน้ำอยู่ฝูงยมบาลจับ ๒ ตีนคนนรก ผันตีนขึ้นแลหย่อนหัวเบื้องต่ำแล้วและพุ่งตัวคนนั้นลงในหม้ออันใหญ่นั้น แลสัตว์นั้นร้อนนักหนาดิ้นไปมาอยู่ในหม้อนั้น ทนเวทนาอยู่ดังนั้นหลายคาบหลายคราแลทนอยู่กว่าจะสิ้นอายุสัตว์ในนรกอันชื่อว่โลหกุมภีนรกนั้นแลฯ นรกบ่าวอันดับนั้นเป็นคำรบ ๖ ชื่อว่าโลหกุมภนรก แลคนผู้ใดฆ่าสัตว์อันมีชีวิต เชือดคอสัตว์นั้นให้ตายไส้ คนผู้นั้นครั้นว่าตายไปเกิดในนรกนั้น แลสัตว์นรกนั้นมีตัวอันใหญ่และสูงได้ ๖ พันวา ในนรกนั้นมีหม้อเหล็กแดงใหญ่เท่าภูเขาอันใหญ่ แลฝูงยมบาลเอาเชือกเหล็กแดงอันลุกเป็นเปลวไฟไล่กระวัดรัดคอเข้าแล้วตระบิด ให้คอเขานั้น ขาดออกแล้ว ๆ เอาหัวเขาทอดลงในหม้อเหล็กแดงนั้น เมื่อแลหัวเขาด้วนอยู่ดังนั้นไส้ บัดเดี๋ยวก็บังเกิดหัวอันหนึ่งขึ้นมาแทนเล่า ฝูงยมบาลจึงเอาเชือกเหล็กแดงบิดคอให้ขาด แล้วเอาหัวทอดลงไปหม้อเหล็กแดงอีกเล่า แต่ทำอยู่ดังนี้หลายคาบหลายครานัก ตราบเท่าสิ้นอายุ แลบาปกรรมแห่งเขานั้นแลฯ นรกบ่าวอันดับถัดนั้นเป็นคำรบ ๗ ชื่อว่าถูสปลาจนรก แลคนฝูงใดเอาข้าวลีบก็ดีแกลบก็ดี ฟางก็ดี มาระคนปนด้วยข้าวเปลือกแลเอาไปพรางขายแก่ท่านว่าข้าวดี คนฝูงนั้นตายได้ไปเกิดในนรกนั้น ๆ มีแม่น้ำอันหนึ่งเล็งเห็นมานั้นไส้ งามดีไหลไปบมิขาดสักคาบ ในพื้นน้ำนรกนั้นดาษไปด้วยเหล็กแดงเป็นเปลวไฟลุกไหม้ตนคนนั้น เขาร้อนเนื้อตนเขานักหนา แลเขากระหายอยากน้ำนักหนาเพียงไส้จะขาดออก เขาจึงเอามือทั้ง ๒ พาดเหนือหัวเขาแล้วร้องไห้แล่นไปเหนือเหล็กแดงดังไฟก็เร่งไหม้ตีนเขา ๆ แล่นไปสู่แม่น้ำอันใสงามนั้น เขาโจนลงในน้ำนั้น บัดเดี๋ยวน้ำนั้นก็กลายเป็นไฟขึ้นทั้ง ๒ ฟากนั้นมาไหม้ตนเขากลายเป็นข้าวลีบ แลแกลบก็เป็นไฟมาไหม้ตัวเขาลุกนักหนาแลฯ เขานั้นให้อยากน้ำนักหนา อดบมิได้เขาก็ร้องไห้แล้วเขากำเอาข้าวลีบและแกลบนั้นให้กิน เมื่อกินครั้นว่ากลืนข้าวลีบและแกลบนั้นเขาไปเถงท้องแล้วดังนั้น ก็กลายเป็นไฟออกเบื้องทวารภายต่ำ แลเป็นไฟข้าวลีบและแกลบพุ่งออกจากตัวเขานั้น เขาก็ร้องไห้นักหนา อดบมิได้จึงเอามือมาพาดเหนือหัวแล้วร้องไห้ด้วยเสียงแรงนักหนา สิ้นกาลหึงนานนักฯ แลนรกบ่าวอันเป็นคำรบ ๘ นั้นชื่อลคติหสลนรกนั้น คนฝูงใดเร่งลักสินท่าน แลคนฝูงกล่าวร้ายแก่เขา ผู้เป็นโจรแลให้เจ้าของแพ้แรงพรางเอาของท่านสิ้นบมิได้เขาโสด คนฝูงนั้นตายได้ไปเกิดในนรกนั้น แลยมบาลฝู่งรักษานรกนั้นยืนอยู่รอบคนทั้งหลายหมู่ตกนรกนั้น ๆ ระแวดระวังขับเนื้อทั้งหลายในกลางป่าทุกแห่งทุกพายแลมิให้หนีรอดได้นั้น ฝูงยมบาลเอาหอกชนักไล่แท ไล่พุ่งเขาทั้งหลาย ๆ ที่ก็ถูกบาดเจ็บทั่วตัวคนฝูงนั้น หลายแห่งนั้นดุจดังใบตองแห้ง อันท่านเอามาสับให้แหลกนั้นแล ฝูงคนนรกทั้งหลายนั้นก็แหลกไปดุจดังนั้นแลฯ นรกบ่าวอันดับเป็นคำรบ ๙ นั้นชื่อสีลกัตตนรก คนฝูงใดฆ่าปลาแลหาบมาขายในกลางตลาดไส้ ตายได้ไปเกิดในนรกนั้น ฝูงยมบาลเอาเชือกเหล็กแดงคล้องคอ แล้วลากเอาไปทอดลงเหนือแผ่นเหล็กแดงแล้วจึงแทงด้วยหอกชนัก แล้วจึงฟันด้วยพร้า แล่เอาเนื้อเขาออกเรียงขาย ดังท่านเรียงชื้นเนื้อชิ้นปลาขายกลางตลาดนั้นแล แล้วก็คืนเข้าเป็นตัวดังเก่าเล่าแลฯ นรกบ่าวอันดับนั้นเป็นคำรบ ๑๐ นั้นชื่อว่า โมราปมิลหนรก คนฝูงท่านท้ายพระญาใช้ให้ไปสิ่งสารากรแก่ไพร่ฟ้าราษฎรกรมทั้งหลาย แลเรียกเอามากกว่ากำหนดท่าน แลกล่าวร้ายแก่ท่านเป็นต้นว่าาท่านตีท่านผู้มีไมตรีรักตน แลเป็นมิตรโทษทรหดดังนั้น ครั้นตายไปเกิดในนรกนั้น บาปกรรมอันกระทำคุกคามคำรามแก่เขาว่าจะใส่ชื่อและคาผูกตีนและมือเขา ทำข่มเหงเอาแก่เขา แลคนหมู่กระทำร้ายแก่ผู้รักตน และกระทำแก่ท่านเป็นต้นว่าฆ่าท่านตีท่านผุ้มีไมตรีและเป็นมิตร โทษดังนั้น ครั้นว่าตายไปเกิดในนรก คนนรกนั้นอยุ่ในแม่น้ำใหญ่อันหนึ่ง แลเต็มไปด้วยลามกอาจมและเหม็นนักหนา แม้นว่าอยู่ไกลได้ ๑๐๐ โยชน์ ๑ ก็ดียังเหม็นอยู่เลย เขายืนอยู่นักหนา เขาอดบมิได้ เขาก็กินอาจมนั้นต่างข้าวต่างน้ำทุกวารแลฯ นรกบ่าวอันดับนั้นเป็นคำรบ ๑๑ ชื่อโลหิตบุพนรกนั้น คนฝูงกระทำร้ายแก่พ่อแม่และสงฆ์ และคนผู้มีคุณและท่านผู้มีศีลก็ดี คนฝูงนั้นตายไปเกิดในนรกนั้เน คนในนรกนั้นอยู่ในแม่น้ำอันใหญ่อัน ๑ เทียรย่อมเต็มไปด้วยเลือดและหนองทั้งหลาย แบเขานั้นหาอันจะกินบมิได้ แลร้อนใจเพื่ออยกานั้นนักหนา คนนรกนั้นจึงกินเลือดและหนองนั้น เมื่อเขากินเลือดและหนองนั้นเข้าไปเถิงท้องเขาไส้ ก็กลายเป็นไฟไหม้แลลอดลงไปใต้ท้ายทวารหนต่ำเป็นไฟพุ่งออกฯ นรกบ่าวอันดับนั้นเป็นคำรบ ๑๒ ชื่อโลหพลิสนรก คนฝูงอันเจรจาซื้อสิ่งสินท่านแลไปพรางว่าจะให้เบี้ยให้เงินท่าน แลตนใส่กลเอาสินท่านด้วยตราชั่งก็ดี ด้วยทะนานก็ดี ก็ใส่กลให้เขาพลั้งพลาดแลประบัดสิ่งสินเขา แลบมิได้ให้เงินแก่เขา ครั้นว่าตายได้ไปเกิดในนรก ฝูงยมบาลเอาคีมคาบลิ้นเขาชักออกแล้วเขาเอาเบ็ดเกี่ยวลิ้นเขา ลำเบ็ดนั้นใหญ่เท่าลำตาล เทียรย่อมเหล็กแดงลุกบมิเหือดสักเมื่อ ฝูงยมบาลเขาลากไปผลักไป ให้ล้มหงายเหนือแผ่นเหล็กแดงเป็นเปลวพุ่งไหม้ตนเขาโสด ฝูงยมบาลเถือเอาหนังเขาออกแลขึงดังขึงหนังวัว ฝูงคนนรกอดเจ็บบมิได้ร้องไห้นักหนา แลมีคนอันสั่นระทดดังปลาอันหักคอนั้นแลขึ้นเหนือบกนั้น เขาย่อมรากเลือดออกดังนั้นหลายคาบแก่เขาแลฯ นรกบ่าวอันดับนั้นเป็นคำรบ ๑๓ ชื่อว่าสังาฏนรกผู้ชายแรงทำชู้ด้วยเมียท่าน ผู้หญิงทำชู้จากผัวตน ครั้นว่าตายไปเกิดในนรกนั้น ๆ มีผู้หญิงก็หลายมีผู้ชายก็มาก ฝูงยมบาลเอาหอกแทงตนเขาบาดขาดวิ่นนักหนา มีเลือดและน้ำหนองย้อยนักหนา ดุจดังวัวอันท่านเอาหอกแทงเป็นหลายแง แลมีเลือดอันย้อยเต็มตัวทุกแห่ง แลคนนรกนั้นจมอยู่ในแผ่นเหล็กแดงจมลงครึ่งตน เขาทุกคนเทียรย่อมเอามือพาดเหนือหัวเขาร้องไห้อยู่นักนา ตนเขาฝังอยู่ในนั้นดังคนแสร้งฝังไว้แล ยังมีเขาเหล็กแดงอัน ๑ ลุกเป็นเปลวไฟแลกลิ้งเข้ามาแลมีเสียงอันดัง เสียงฟ้าแลกลิ้งมาทั้งสองข้างหนีบตนเขาดังท่านหนีบอ้อยดังนั้นเป็นหลายคาบแลฯ นรกบ่าวถัดนั้นเป็นคำรบ ๑๔ ชื่อวสิรนรก คนฝูงอันกระทำชู้ด้วยเมียท่านตายไปเกิดในนรกนั้นแลฯ นรกนั้นเทียรย่อมผู้หญิงทั้งหลายผู้ชายก็หลายนัก ยมบาลจบ ๒ ตีนเข้า แลหย่อนหัวลงในขุมนรกนั้นแล้วจึงเอาค้อนเหล็กแดงตีตนเขาให้ยับย่อยไปเล่าแลฯ นรกบ่าวถัดนั้นอันคำรบ ๑๕ ชื่อโลหสิมพลีนรก ฝูงคนอันทำชู้ด้วยเมียท่านก็ดี และผู้หญิงอันมีผัวแล้วแลทำชู้จากผัวก็ดี คนฝูงนั้นตายไปเกิดในนรกนั้น ๆ มีป่าไม้งิ้วป่า ๑ หลายต้นนัก แลต้นงิ้วนั้นสูงได้แลโยชน์ แลหนามงิ้นนั้นเทียรย่อมเหล็กแดงเป็นเปลวลุกอยู่ แลหนามงิ้วนั้นยาวได้ ๑๖ นิ้วมือเป็นเปลวไฟลุกอยู่บห่อนจะรู้ดับสักคาบแล ในนรกนั้นเทียรย่อมฝูงหญิงฝูงชายหลาดแลคนฝูงนั้นเขาได้รักใคร่กันดังกล่าวมาดุจก่อนนั้นแล ลางคาบผู้หญิงอยู่บนปลายงิ้วผู้ชายอยู่ภายต่ำ ฝูงยมบาลเขาก็เอาหอกดาบแหลนหลาวอันคมเทียมย่อมเหล็กแดงแทงตีนผู้ชายนั้น จำให้ขึ้นไปหาผู้หญิงชู้ของสูอันอยู่บนปลายงิ้วโพ้นเร็วอย่าอยู่ แลฝูงผู้ชายทนเจ็บบมิได้จึงปีนขึ้นไปบนต้นงิ้วนั้น ครั้นว่าขึ้นไปไส้หนามงิ้วนั้นบาดทั่วตนเขาขาดทุกแห่งแล้วเป็นเปลวไฟไหม้ตนเขา ๆ อดบมิได้ จึงบ่ายหัวลงมา ฝูงยมบาลก็เอาอกแทงซ้ำเล่า ร้องว่าสูเร่งขึ้นไปหาชู้สูที่อยู่บนปลายงิ้วโพ้นสูจะลงมาเยียใดเล่า เขาอดเจ็บบมิได้ เขาเถียงยมบาลว่า ตูมิขึ้นไปเขาก็มิขึ้นไป แลหนามงิ้วบาดทั่วทั้งตัวเขา ๆ เจ็บปวดนักหนาดังใจเขาจะขาดตาย แลเขากลัวฝูงยมบาลเขาจึงขึ้นไปเถิงปลายงิ้วนั้น ครั้นจะใกล้เถิงผู้หญิงนั้นไส้ ก็แลเห็นผู้หญิงนั้นกลับลงมาอยู่ภายต่ำเล่า ยมบาลหมู่ ๑ แทงตีนผู้หญิงให้ขึ้นไปหาผู้ชายผู้เป็นชู้สูอันอยู่บนปลายงิ้วนั้นเล่า แลว่าเมื่อเขาขึ้น เขาลงหากันอยู่ฉันนั้น เขาบมิได้พบกัน ยมบาลขับผู้หญิง ผู้ชายจำให้ขึ้นให้ลงหากันดังนั้นหลายคาบหลายครา ลำบาดนักหนาแลฯ นรกบ่าวถัดนั้นเป็นคำรบ ๑๖ ชื่อว่า มิจฉาทิฏฐินรกแล ฝูงใดอันอยู่ในเมืองมนุษย์นี้ย่อมถือมิจฉาทิฏฐิ ๆ มีสองประการ ๆ หนึ่งชื่อเหตุทิฏฐิ อนึ่งชื่อรสาทิฏฐิ หมู่มิจฉาทิฏฐินี้บุญเขาบมิรู้จักบาปเขากระทำ ฝูงคนนรกนั้นโสดความเขาร้ายในนรกนั้น และมียมบาลนั้นใหญ่นักหนาเทียรย่อมถืออกดาบและหลาวแหลน และค้อนเหล็กแดงเทียรย่อมลุกเป็นเปลวไฟอยู่ทุกคาบ เขขาทิ่มเขาแทงเขาฆ่าฟัน และงคนนรกนั้นเจ็บปวดเวทนากว่าตนพ้นประมาณ ดูลำบากนัก เทียรย่อมทนทุกข์มากกว่านรกทั้งหลายอันกล่าวแล้วนั้นแลฯ อันกล่าวแล้วนี้ คือนรกบ่าว ๑๖ อัน ๆ อยู่รอบสัญชีพนรกอันอยู่บนนรกทั้งหลายนั้นไส้ และนรกบ่าวทั้งหลายซึ่งอยู่รอบนรกใหญ่ ๗ อันนั้นซึ่งอยู่ใต้สัญชีพนรกลงไปภายใต้นั้น เราบมิกล่าวเถิงได้เลยร้ายกว่านี้ยิ่งนักหนาแลฯ
อันว่าโลกันตนรกนั้นมีดังนี้ ฝูงจะกล่าวพาลหลงทั้งหลายนี้แล ๓ อันอยู่ใกล้กันดังเกวียน ๓ อัน แลวางไว้ข้างกันดังบาตร ๓ ลูกอันไว้ใกล้กันนั้นหว่างจักรวาล ๓ อัน และมีนรกชื่อว่าโลกันตนรกแล อันแลอันในโลกันตนรกนั้นกว้างได้ ๘,๐๐๐ โยชน์ด้วยหลายนักหนาและจะนับบมิได้ มีคูลึกวงรีหาพื้นน้ำบมิได้ หาฝาเบื้องบนบมิได้ไส้ เมื่อใต้น้ำอันชูแผ่นดินนี้หากเป็นพื้นขึ้นชื่อว่าโลกันตนรกนั้น และเบื้องบนเป็นปล่องขึ้นไปถึงพรหมโลกย์ อันว่าจะมีวิมานอยู่ตรงบนโลกันตนรกขึ้นไปนั้นหามิได้ เนตรแลในโลกันตนรกนั้นมืนักหนา ฝูงสัตว์ซึ่งได้ไปเกิดในโลกันตนรกนั้นดังหลับตาอยู่เมื่อเดือนดับนั้นแล เมื่อดาวเดือนแลตระวันอันไปส่องให้คนทั้งหลาย ๔ แผ่นดินนี้ให้เห็นหนทุกแห่ง ดังนั้นก็มิอาส่องให้เห็นหนในโลกันตนรกนั้นได้ เพราะว่าเดือนและตระวันอันเป็นไฟและส่องให้คนทั้งหลาย ๔ แผ่นดินนี้ไปส่องสว่างกลางหาวแต่เพียงปลายเขายุคุนธรไส้ และส่องสว่างไปแต่ในกำแพงจักรวาล และโลกันตนรกนั้นอยู่นอกกำแพงจักรวาลไส้ อยู่หว่างเขาจักรวาลภายนอกเรานี้จึงบมิได้เห็นหนไส้ เพื่อดังนั้นแลฯ เพราะว่าเดือนแลตระวันมิได้ส่องได้ เพราะว่าปลายเขากำแพงจักรวาลนั้นสิ สูงกว่าปลายเขายุคุนธร อันเพียงหนทางเดือนตระวันส่องไปนั้นแลฯ ถ้าและว่าต่อเมื่อใดโพธิสัตว์ผู้จะลงมาอุบัติตรัสแก่สัพพัญญุตญาณ และเมื่อท่านเสด็จลงไปเอาปฏิสนธิในครรภ์พระมารดานั้นก็ดี แลเมื่อท่านสมภพจาตุโกรธรนั้นก็ดีแล เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสแก่สัพพัญญุตญาณนั้นก็ดีแล เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสเทศนาพระธรรมจักรนั้นก็ดีแล เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่นิพพานนั้นก็ดี ในกาล ๕ ที่นี้ในโลกันตนรกนั้นจึงได้เห็นหนแท้นักหนา คนซึ่งอยู่ในนรกนั้นจึงได้เห็นกัน และสัตว์ในฦดลกันตนรกก็คือว่าฉันนี้กูเดียว ว่าแต่กูมาอยู่ที่นี้คนเดียวแลหรือฯ อันว่าเขาและบ่อนกันดังนั้นก็ดีบมิได้เห็นอยู่นาน เห็นเร็วประมาณดีดนิ้วมือเดียวไส้ เห็นปานดังสายฟ้าแมลบคาบเดียวไส้ เมื่อดังนั้นเขาทั้งหลายนั้นมิได้ว่าอันใด ครั้นเขาว่าแต่เท่านั้นแล้วไส้ก็กลับมืดไปดังเก่าเล่าแลฯ ผิเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสเทศนาธรรมจักรนั้น ยังค่อยเรืองอยู่เว้นนานกว่าทุกคาบสะน้อยแสนสายจึงวายเรือง คนฝูงใดอันกระทำร้ายแก่พ่อและแม่และสมณพราหมณาจารย์ผู้มีศีล และยุยงพระสงฆ์ให้ผิดกัน ครั้นว่าตายไปเกิดในนนรกอันชื่อว่าโลกันตนรกนั้นและเขานั้นใหญ่หนักหนาโดยสูงได้ ๖,๐๐๐ วา เล็บตีนเล็บมือเขานั้นดังคั้งคาวและใหญ่ยาวนักหนา สมควรด้วยตัวอันใหญ่นั้นเล็บนั้นสมนักหนา ผิละเกาะแห่งใดก็ติดอยู่แห่งนั้น เขาเอาเล็บเขานั้นเกาะกำแพงจักรวาลมั่นหน่วงอยู่ และเขาห้อยตนเขาอยู่ดังคั้งคาวนั้นแล เมื่อเขาอยากอาหารไส้ เขามิได้ไปาเพื่อจะหากิน ครั้นได้ต้องมือกันเข้าไส้ ใจเขานึกว่าเขากินก็จับกุมกันกิน คนผู้นึ่งก็นึกว่าเขากิน จึงคนทั้งสองนั้นก็จับกุมกันกิน ต่างคนต่างตระครุบกันกินก็รัดเอาด้วยกันทั้งสองคนในน้ำอันชูแผ่นดิน เมื่อเขาตกลงในน้ำนั้นดุจลูกไม้อันใหญ่แลหล่นลงในน้ำนั้น และใต้น้ำนั้นโสดแต่แรกตั้งแผ่นดินแดดบห่อนจะไปต้องน้ำนั้นบัดเดี๋ยวใจไส้ ตนเขาก็เปื่อยแหลกออกไปสิ้นดังก้อนอาจมซึ่งตกลงในน้ำนั้นก็ตายบัดใจ แล้วจึงกลายเป็นตนเขาขึ้นอีกเล่าโสด เขาจึงปีนขึ้นไปเกาะกำแพงจักรวาลภายนอกนั้นอยู่ดังก่อนเล่าแล แต่เขาตายเขาเป็นอยู่ดังนั้นหลายคาบหลายครานักหนาแล แต่เขาทนทุกขเวทนาอยู่ที่นั้นช้าหึงนานนักชั่วพุทธันดรกัลปหนึ่งแลฯ
ฝูงสัตว์อันเกิดในมหาอวิจีนรกนั้น ทนทุกขเวทนาคาบหึงนานสิ้นกัลป ๑ จึงพ้นแล กัลป ๑ นั้นช้าหึงนานประมาณเท่าใดเล่า และจะนับด้วยปีและเดือนไส้ บมิอาจนับได้เท่าเว้นไว้แต่อุประมาให้รู้ฯ ว่ายังมีภูเขาอันหนึ่งโดยสูงไส้ได้ โยชน์ ๑ โดยรอบเขานั้นไส้ได้ ๓ โยชน์แล ถึงร้อยปีเอาผ้าทิพย์อันอ่อนดังควันไฟมากวาดภูเขาแต่แลคาบ เมื่อใดภูเขานั้นราบเพียงแผ่นดินจึงเรียกว่าสิ้นกัลป ๑ แล ฯ
ผิแลมีผู้โจทนาว่าดังนี้ ว่าคนอันที่ได้กระทำบาปอันเป็นปัญจานันตริยกรรมแลได้ไปตกในนรกอันชื่อว่ามหาอวิจีนรกนั้นดังฤๅและจะนับถ้วนกัลปดังกล่าวนั้นเลย เพราะว่ากัลปหนึ่งพ้นไปแล้ว ๓ ส่วน และยังส่วนเดียวไส้ และไฟจักไหม้กัลปฯ ท่านผู้เฉลยว่าฉันนี้ ฝูงที่ไปตกในมหาอวิจีนรกตราบใด แลไปบมิถ้วนกัลปดังกล่าวนั้น ผิแลไฟกัลปมาก็ดีบมิไหม้คนนรกนั้นได้เพื่อดังฤๅไส้ ครั้นว่าไฟกัลปไหม้มาเถิงมหาอวิจีนรกนั้นและว่ายังมีลมอันหนึ่งเป็นบาปก็พัดเอาตัวสัตว์อันอยู่ในอวิจีแลไปบมิถ้วนกัลปนั้นก็พัดเอาสัตว์นั้นไปไว้มหาอวิจีนรก อันมีในจักรวาลอันอื่นที่ไฟไหม้ไปบมิเถิงนั้น ลมพัดเอาเขาไปพลันนัก ผิจะอุปมาดุจนกตัว ๑ จับต้นไม้อันสูงและสูงเท่าใดก็ดี ครั้นว่านกนั้นบมิไปจากต้นไม้นั้นตราบใดยังเห็นเงานกตกอยู่ที่กลางดินนั้น พร้อมกับบมิทันรู้ว่าอันก่อนอันหลังนั้นและมีฉันใดคนอันจากอวิจีอยู่ในจักรวาลอันไฟไหม้นั้น แลไปอยู่ในอวิจีอันอื่นในจักรวาลอันอื่นอันไฟไหม้บมิเถิงนั้นดุจดังเงานก สัตว์คนนรกนั้นตราบได้บมิถ้วนกัลปดังกล่าวมานั้นบมิพ้น บาปอันใดและบาปแห่งพระเทวทัตอันได้ไปไหม้อยู่ในมหาอวิจีนรกนั้น ไกลแต่เราอยู่นี้ไปเถิงยมโลกย์ได้ ๑๕๐ โยชน์ แต่ยมโลกย์ลงไปถึงอวิจีได้พันโยชน์ ลมอันจรดได้โยชน์ และแผ่นดินอันเราอยู่นี้ โดยกว้างได้หมื่นโยชน์ โดยหนาได้ ๒๔,๐๐๐ โยชน์ และน้ำอันทรงแผ่นดินไว้หนาได้ ๔๘๐,๐๐๐ โยชน์ ลมอันทรงน้ำและแผ่นดินบมิให้จมบมิให้ไหว โดยหนาได้ ๙๖๐,๐๐๐ โยชน์ ฝูงนรกทั้งหลายนั้นย่อมอยู่ใต้แผ่นดินที่เราอยู่นี้แลฯ กล่าวเถิงฝูงสัตว์อันเกิดในนรกภูมิ อันเป็นปถมกัณฑ์โดยสังเขปกถาเท่านี้แลฯ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไตรภูมิพระร่วง_-_คลังปัญญาไทย