พระราชบัญญัติเรื่องกู้เงิน
แลขายตัว
ให้คิดดอกเบี้ยเพียงชั่งละบาท

ด้วยสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงษ์รับพระบรมราชโองการใส่เกล้าฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สั่งให้ประกาศแก่เจ้าตั้งกรมแล้วเจ้ายังไม่ได้ตั้งกรมฝ่ายน่าฝ่ายใน แลข้าทูลลอองธุลีพระบาทในพระบรมมหาราชวังแลพระราชวังบวรสถานมงคลฝ่ายทหารพลเรือน แลหัวเมืองปากไต้ฝ่ายเหนือ แลราษฎรในกรุงนอกกรุงให้ทราบทั่วกัน ด้วยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติบรมราชาภิเศกแล้ว ประกอบด้วยพระมหากรุณาปรีชาญาณ การที่จะทำนุบำรุงรักษาพระบวรพุทธสาสนาเปนที่ปสันนาการเลื่อมใส พระราชหฤไทยโอบอ้อม รักษาสมณพราหมอาณาประชาราษฎรทั่วพระราชอาณาเฃตรขอบขันธเสมา บันดาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ได้รับพระราชทานทำมาหากินอยู่เย็นเปนศุขทั่วกัน จึ่งทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงษ์ แต่ยังเปนสมุหพระกระลาโหมอยู่นั้น สำเร็จราชการต่างพระเนตรพระกรรณ ว่าราชการณเก๋งวรเทพยสถาน รับฎิกาตัดสินกิจทุกข์ขัดข้องผู้มีคดีต่าง ๆ ด้วยน้ำใจเสมอโดยทางยุติธรรม แลทาษลูกหนี้มาร้องฎีกากล่าวโทษเจ้าหนี้นายเงินต่อสู้ต้นเงินดอกเบี้ยเปนความกันอยู่ที่โรงศาลโดยมาก เหนว่า แต่ก่อนผู้ให้ทาษลูกหนี้กู้ขายจำนำผูกดอกเบี้ยชั่งละสิบสลึงบ้าง กึ่งตำลึงบ้าง เปนธรรมเนียมแต่เดิมต่อ ๆ มา ครั้นผู้ที่ขัดสนร้อนใจอยากได้เงินมาใช้ ก็ทำสารกรมธรรมกู้ขายจำนำสัญญาให้ดอกเบี้ยชั่งละห้าบาทบ้าง ตำลึงบ้าง สามบาทบ้าง ที่ทาษลูกหนี้ไม่สู้ร้อนใจ ก็ทำสารกรมธรรมสัญญาให้ดอกเบี้ยชั่งละกึ่งตำลึงบ้าง หกสลึงบ้าง บาทหนึ่งบ้าง สัญญากันมาก ๆ น้อย ๆ เพราะเจ้าหนี้นายเงินให้กู้ขายจำนำเงินไม่สู้มากเหมือนอย่างเงินให้กู้ขายจำนำในกาลประจุบันนี้

ประการหนึ่ง ลูกค้าพานิชในประเทศนอกประเทศเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารเปนอันมาก ตั้งห้างแลบ้านเรือนตึกแพค้าขายทำมาหากินมีทรัพยสิ่งสินก็บริบูรณ์มากกว่าแต่ก่อน อาณาประชาราษฎรก็เปนปรกติมีความศุขสบาย ผู้ที่มีทรัพยให้กู้ขายแลรับจำนำ ถ้าเงินมาก ก็เอาดอกเบี้ยแต่เพียงชั่งละบาทบ้าง สองสลึงบ้าง ถึงมีผู้มากู้เงินหลวงไปทำทุนค้าขายใช้สอย ก็ลดหย่อนดอกเบี้ยเอาแต่ชั่งละบาทบ้าง สองสลึงบ้าง เจ้าหนี้ที่ให้กู้ขายจำนำเอาดอกเบี้ยแต่น้อยนั้นเหมือนมีส่วนหุ้นเข้าทุนกันค้าขายมีกำไรได้ดอกเบี้ยเปนประโยชน์ทั้งสองฝ่าย แต่ทาษลูกหนี้ที่เสียดอกเบี้ยแพง ชั่งละห้าบาท ตำลึงหนึ่งสามบาทสิบสลึงกึ่งตำลึงนั้น ไม่มีเงินจะเสีย คิดฉ้อต่อสู้เจ้าหนี้นายเงินด้วยอุบายต่าง ๆ จะตัดสินให้ทาษลูกหนี้เสียเงินให้แก่เจ้าหนี้นายเงินตามสัญญามาก ๆ น้อย ๆ นั้นหาเปนยุติธรรมไม่ จึ่งได้ตัดสีนให้ลดหย่อนผ่อนดอกเบี้ยลงบ้าง ให้ตีลดสินไหมลดพิไนยแลดอกเบี้ยบ้าง ให้ส่งไปใช้การหลวงโรงสีปีหนึ่งแล้วคืนไปให้แก่เจ้าหนี้นายเงินบ้าง ความทาษลูกหนีวิวาทกันด้วยดอกเบี้ยยังชุกชุมค้างโรงศาลมีอยู่โดยมาก จึ่งมีพระประสาสน์สั่งให้ขุนหลวงพระไกรศรีชุมนุมลูกขุนณศาลหลวงเชิญกฎหมายเดิมมาดู ให้แต่งเปนหมายประกาศพระราชบัญญัติขึ้นใหม่สำหรับไว้ตัดสินคดีเจ้าหนี้นายเงินทาษลูกหนี้ต่อไป

ข้าพระพุทธเจ้า พระมหาราชครูปโรหิตาจาริย์ พระมหาราชครูมหิธร พระยามานูเนติบรรหาร พระยามนูสารสาตรบัญชา พระศรีสังขกร หลวงเทพราชธาดา หลวงธรรมสาตร หลวงอัทธยา หลวงศรีมโหสถ ขุนไชยอาญา ขุนจินดาภิรมย์ พร้อมกันเชิญกฎหมายเดิมมาดู มีว่า

ทวยราษฎรกู้หนี้ถือสีนแก่กันแต่ตำลึงขึ้นไป ให้มีกรมธรรมแกงใดเปนสำคัญ ให้ผูกดอกเบี้ยเดือนละเฟื้อง ถ้าหาเอกสารสำคัญมิได้ มาร้องฟ้อง ท่านว่า อย่าให้รับไว้บังคับบัญชา

มีกฎหมายไว้แต่ก่อนดังนี้ ข้าพระพุทธเจ้าเหนด้วยเกล้าฯ ว่า ผู้ที่ให้ลูกหนี้กู้ขายแลจำนำนั้นให้ทำสารกรมธรรมให้ดอกเบี้ยยอมได้ยอมเสียให้กันตามสัญญาบ้าง ตามกฎหมายบ้าง มากกว่ากฎหมายบ้าง น้อยจากกฎหมายบ้าง ที่ลูกหนี้สัญญาให้ดอกเบี้ยมาก ไม่มีเงินเสีย ก็หลบหนีไปบ้าง ไปพึ่งเจ้านายให้ขัดขวางไว้บ้าง มาฟ้องต่อสู้เจ้าหนี้นายเงินบ้าง ที่ทาษลูกหนี้แพ้เจ้าหนี้นายเงิน ก็ต้องจำเร่งรัดตามอาญาตระลาการ ได้ความลำบาก ยากที่จะได้เงิน ฃอพระราชทานให้ลดหย่อนผ่อนดอกเบี้ยลง คงให้เจ้าหนี้นายเงินเอาดอกเบี้ยกู้ขายจำนำแลค่าป่วยการแก่ทาษลูกหนี้เงินชั่งหนึ่ง เดือนละบาท ทาษลูกหนี้ก็จะมีน้ำใจด้วยเสียดอกเบี้ยแต่น้อย จะไม่ได้คิดหลบหนีแลต่อสู้เจ้าหนี้นายเงิน จะหาเงินมาส่งได้โดยสดวก ความทาษลูกหนี้ก็จะค่อยบางเบาน้อยลง

แต่นี้สืบไปเมื่อน่า ถ้าผู้ใดทำสารกรมธรรมเอาภรรยาบุตรหลานญาติพี่น้องทาษแลผู้ใด ๆ มาขายไว้แก่ท่านก็ดี แลขายตัวเองอยู่กับท่านก็ดี รับใช้นายเงินแล้วหนีไปก็ดี ผูกดอกเบี้ยอยู่ที่บ้านที่เรือนนายเงิน แลผูกดอกเบี้ยไปอยู่ต่างบ้านต่างเรือนก็ดี ผู้ใดทำสารกรมธรรมกู้เงินท่านไปก็ดี ผู้ใดเอาที่ไร่นาสวนบ้านเรือนตึกเรือนแพแลสรรพสิ่งใด ๆ มาทำหนังสือขายจำนำไว้แก่ท่านก็ดี แลทำหนังสือสัญญาให้ดอกเบี้ยกันด้วยประการใด ๆ ก็ดี ถ้าเจ้าหนี้นายเงินกับทาษลูกหนี้วิวาทกันด้วยดอกเบี้ยค่าป่วยการก่อนหมายประกาศ ก็ให้ตัดสินให้ทาษลูกหนี้เสียดอกเบี้ยแลค่าป่วยการให้แก่เจ้าหนี้นายเงิน เดือนหนึ่งตำลึงละเฟื้อง เปนชั่งละสิบสลึงตามกฎหมายเดิม ถ้าสัญญาให้ดอกเบี้ยต่ำจากชั่งละสิบสลึงลงมา ให้ตัดสีนเอาตามสัญญา ถ้าสัญญาให้ดอกเบี้ยมากกว่าชั่งละสิบสลึงขึ้นไป แลทาษลูกหนี้ส่งดอกเบี้ยให้แก่เจ้าหนี้นายเงินไปก่อนแล้ว ก็ให้เปนลาภแก่เจ้าหนี้นายเงิน แลดอกเบี้ยที่ยังคงค้างอยู่นั้น ให้ตัดสินให้ทาษลูกหนี้เสียเงินดอกเบี้ยค่าป่วยการให้แก่เจ้าหนี้นายเงินชั่งละสิบสลึง ถ้าถึง ๙ ปี ๑๐ ปี แลช้านานเท่าใดก็ดี ให้คิดเอาดอกเบี้ยแต่เท่าต้นเงิน อย่าให้คิดเอาดอกเบี้ยค่าป่วยยการเกินต้นเงินออกไปเปนอันขาดทีเดียว ถ้าภายหลังหมายประกาศพระราชบัญญัตินี้ ทาษลูกหนี้กับเจ้าหนี้นายเงินวิวาทกันด้วยต้นเงินดอกเบี้ยค่าป่วยการดังกล่าวมานี้ ก็ให้ตัดสินให้ทาษลูกหนี้กู้ขายจำนำแลมีหนังสือสัญญาให้ดอกเบี้ยกันต่าง ๆ นั้น เสียเงินดอกเบี้ยค่าป่วยการให้แก่เจ้าหนี้นายเงินเดือนหนึ่งชั่งละบาทเสมอกัน ถ้าทำสารกรมธรรมกู้ฃายจำนำ แลหนังสือสัญญาให้ดอกเบี้ยแก่กันต่ำจากชั่งละบาทลงมา ก็ให้ตัดสินเอาตามสัญญา เพราะเหตุว่าเจ้าหนี้นายเงินปรานีแก่ทาษลูกหนี้ ถ้าทำสารกรมธรรมกู้ขายแลหนังสือจำนำสัญญาให้ดอกเบี้ยมากกว่าชั่งละบาทขึ้นไป แลทาษลูกหนี้ได้ส่งดอกเบี้ยให้แก่เจ้าหนี้นายเงินไปก่อนแล้ว ให้เปนลาภแก่เจ้าหนี้นายเงินแต่ที่ได้ไว้ แลดอกเบี้ยซึ่งค้างอยูนั่น ให้ตัดสินให้ทาษลูกหนี้เสียเงินดอกเบี้ยค่าป่วยการให้แก่เจ้าหนี้นายเงินแต่ชั่งละบาทตามหมายประกาศ ดอกเบี้ยที่สัญญาเกินชั่งละบาทนั้นให้ยกเสีย อนึ่ง ทำสารกรมธรรมกู้ขายจำนำแลทำหนังสือสัญญากันด้วยประการใด ๆ ก็ดี มีสัญญาให้ดอกเบี้ยแก่กันเดือนหนึ่งชั่งละสองสลึงก็ดี ต่ำจากชั่งละสองสลึงลงมาก็ดี ให้มีกำหนดสัญญาครบปี ให้ส่งดอกเบี้ยให้เสร็จ อย่าให้ดอกเบี้ยค้างล่วงปีไป ถ้าดอกเบี้ยครบปี ทาษลูกหนี้ไม่ได้เอาดอกเบี้ยมาส่ง ดอกเบี้ยค้าง ๑ ปี ๒ ปี ๓ ปีก็ดี ยังไม่เท่าต้นเงิน ให้เอาดอกเบี้ยที่ค้างบวกเข้าในเงินเดิมเปนต้นเงินสลักหลังกรมไว้ ให้คิดเอาดอกเบี้ยต่อไปชั่งละสองสลึง ถ้าทาษลูกหนี้ไม่ได้ส่งดอกเบี้ยค้างมาช้านาน คิดบวกเท่าต้นเงินแล้ว ให้เจ้าหนี้นายเงินคิดเอาดอกเบี้ยแต่เท่าต้นเงิน อย่าให้คิดเอาดอกเบี้ยต่อไปอีกเลย ซึ่งเจ้าหนี้นายเงินคิดเอาดอกเบี้ยแก่ทาษลูกหนี้ชั่งละสองสลึงฤๅต่ำจากชั่งละสองสลึงตามจำนวนเงินที่สัญญา เพราะดอกเบี้ยน้อย จึ่งให้เสียกันดังนี้ พระราชบัญญัติประกาศใหม่ให้ไว้ณวันศุกร เดือนสี่ ขึ้นสองค่ำ ปีมโรงนักษัตร์ สำฤทธิศก จุลศักราช ๑๒๓๐ ๚ะ