คำให้การชาวอังวะ (2458)/คำให้การ

คำให้การชาวอังวะ

 ข้าพระพุทธเจ้า มะยุหวุ่น ขอพระราชทานทำกฎหมายเหตุแต่ข้าพระพุทธเจ้าจำได้ทูลเกล้าฯ ถวาย แต่ครั้งบุตรเจ้าอาทิตยได้เสวยราชสมบัติเมืองรัตนบุรอังวะ แต่ก่อนเมืองหงสาวดีขึ้นแก่เมืองอังวะ เมื่อศักราชได้ ๑๐๙๙ ปี เจ้าเมืองรัตนบุรอังวะจึงตั้งสาอ่องไปเปนเจ้าเมือง ให้นายแซงหมู่กรมช้างเปนปลัดเกียกกายเมืองหงสาวดี ราษฎรทั้งปวงเปนใจรักใคร่ นายแซงหมู่คิดกระบถจับเอาตัวนายสาอ่องฆ่าเสีย นายแซงหมู่จึงขึ้นเสวยราชสมบัติเปนเจ้าเมืองหงสาวดี ตั้งให้น้องชายคนหนึ่งเปนพระยาอุปราชาเปนแม่ทัพเรือขึ้นไปตีเมืองรัตนบุรอังวะ น้องชายคนหนึ่งตั้งให้เปนพระยาทะละเปนแม่ทัพบกยกขึ้นไปตีเมืองรัตนบุรอังวะในปีนั้น ล้อมเมืองรัตนบุรอังวะ ๓ ปี จนถึงศักราชได้ ๑๑๑๔ ปี จึงได้เมืองอังวะ แล้วพระยาอุปราชาจึงเอาตัวเจ้าเมืองอังวะแลญาติวงษาลงไปเมืองหงษาวดี แต่พระยาทะละกับตะละป้านอยู่ในเมืองอังวะชำระกิจการบ้านเมือง ได้ความว่า อ่องเจยะมังลองซ่องสุมผู้คนสิบสี่บ้าน ประมาณคนสี่พันห้าพัน เอาต้นตาลตั้งค่ายที่มุกโซโบ พระยาทะละกับตะละป้านใช้ให้นายกองคุมไพร่พันห้าร้อยไปสืบข่าว พบคนมังลองนั่งทางอยู่ที่บ้านบอกสอด ใกล้กันกับมุกโซโบทาง ๘๐๐ ได้รบกัน รามัญแตกกลับไปเมืองอังวะ พระยาทะละเกณฑ์ให้ตะละป้านเปนแม่ทัพ กับกะตุกหวุ่นตอถ่อกะละโบ ประมาณคนรามัญห้าพัน พม่าหมื่นห้าพัน เปนคน ๒ หมื่น ยกไปล้อมมุกโซโบสิบห้าวัน ฝ่ายกองทัพรามัญขาดเสบียงอาหาร ฆ่ากระบือวัวกิน อดอยากเปนอันมาก มังลองยกกองทัพออกตีทัพรามัญแตกหนีไปเมืองอังวะ มังลองจึงเกณฑ์ให้ตามไปแต่เช้าจนตวันเที่ยง ได้เครื่องสาตราวุธเปนอันมาก แล้วพระยาทะละเกณฑ์ให้ตะละป้าน อำมาตย์กะตุกหวุ่นตอถ่อกะละโบ กับรามัญห้าพัน พม่าห้าพัน ให้รักษาเมืองรัตนบุรอังวะ พระยาทะละเก็บเอาเครื่องอาวุธปืนใหญ่ปืนน้อย ครอบครัวไพร่พล ลงไปเมืองหงษาวดีทางเรือ ไกลกันกับเมืองอังวะสิบวัน มังลองจึงให้แมงละแมงฆ้อง ไพร่พันห้าร้อย ยกไปกองหนึ่ง เสนัดหวุ่นกับไพร่พันห้าร้อยยกไปกองหนึ่งเปนคนสามพัน ไปกวาดต้อนได้ไพร่พลเมืองสิบสี่เมืองอยู่ในแขวงอังวะ แต่เมืองหนึ่ง ๆ ประมาณคนพันหนึ่ง สองพัน สามพัน สี่พัน ห้าพันบ้าง เข้ากันแต่พลเมืองเปนคนสองหมื่น ได้บ้านในแขวงเมืองอังวะ ทางใกล้กันกับมุกโซโบทางวันหนึ่งสองวันสามวันบ้าง ยี่สิบบ้าน ๆ หนึ่งได้คนร้อยหนึ่ง สองร้อย สามร้อย สี่ร้อย ห้าร้อย พันหนึ่งบ้าง แต่บ้านได้ไพร่หมื่นหนึ่ง เข้ากันทั้งเมืองแลบ้าน แต่กวาดต้อนเกณฑ์มาได้เปนคนสามหมื่น ช้าอยู่สิบห้าวัน ครั้นกองทัพกวาดคนมาถึงมุกโซโบสามวัน ให้เร่งยกกองทัพไปล้อมเมืองอังวะ มังลองจึงให้เสนาบดีแมงละแมงฆ้องเปนแม่ทัพน่า กับแซงแนงโบ ไพร่หมื่นหนึ่ง แมงมหาเสนาบดี เสนัดหวุ่น เปนโปชุกแม่ทัพหลวง มองระบุตรมังลอง กับคนสองหมื่น บังคับทัพทั้งปวง ยกไปล้อมเมืองอังวะ รบกันห้าวัน ตะละป้านแตกหนีออกจากเมืองอังวะไปตั้งมั่นรับอยู่เมืองเปร ใต้เมืองอังวะลงมาทางเจ็ดคืน มังลองจึงให้มองระผู้บุตรนั่งเมืองอังวะอยู่ ๚

 ครั้นศักราชได้ ๑๑๑๕ ปี เดือนห้า เจ้าเมืองหงษาวดีจึงให้พระยาอุปราชาน้องชายเปนแม่ทัพ กับตะละป้าน กะตุกหวุ่นตอถ่อกะละโบ เปนกองน่า ยกทางบกทางเรือขึ้นมาล้อมเมืองอังวะ มองระใช้ให้คนถือหนังสือไปถึงมังลองผู้เปนบิดาว่า รามัญยกกองทัพพลทหารขึ้นมาล้อมเมืองอังวะไว้เปนอันมาก อ่องเจยะมังลองจึงเกณฑ์ให้ยกกองทัพมาช่วยรบรามัญซึ่งล้อมเมืองอังวะไว้นั้นเปนสามทาง ๆ ตะวันออก ให้แมงละแงกับไพร่สองพันเปนกองน่า ให้เจ้าตองอูน้องมังลองกับไพร่พันหนึ่งเปนแม่ทัพยกมาทางบกทางหนึ่ง แต่มุกโซโบไปเมืองอังวะไกลกันทางสองคืนสามวัน ทางน้ำเปนเรือใหญ่น้อยร้อยห้าสิบลำ พร้อมไปด้วยปืนใหญ่ปืนน้อยเครื่องสาตราอาวุธลูกกระสุนดินประสิว จึงให้มะโยลาวุทมัตราโป กับไพร่สองพันห้าร้อย กับเรือแปดสิบลำ เปนกองน่า อรรคมหาเสนาธิบดีเสนัดหวุ่น กับไพร่พันห้าร้อย กับเรือเจ็ดสิบลำ เปนแม่ทัพ ยกลงมาครั้งนั้นทางบกทางเรือตวันตกตวันออกเปนเรือร้อยห้าสิบลำ คนหมื่นหนึ่ง จากแต่มุกโซโบทางแปดร้อย ถึงตำบลบ้านจอกยอง กองทัพเรือรามัญประมาณร้อยเศษ นายทัพนายกองสมิงรามัญไพร่พลทหารประมาณหมื่นเศษ ได้รบกันกับกองทัพพม่าทั้งบกทั้งเรือช้าอยู่ที่นั่นสิบห้าวัน กองทัพตะละป้านอำมาตย์ซึ่งเปนแม่ทัพเรือแตกหนีถอยทัพลงไปที่ล้อมเมืองอังวะ กองทัพพม่าติดตามลงไปตีเมื่อศักราชได้ ๑๑๑๖ ปี เดือนหก ขึ้นสิบห้าค่ำ พระยาอุปราชา สมิงรามัญ นายทัพนายกอง ซึ่งล้อมเมืองอังวะนั้นแตกถอยทัพไปตั้งมั่นรับอยู่ณเมืองเปร ๚

 เมื่อศักราชได้ ๑๑๑๖ ปี เดือนหก แรมสิบค่ำ เวลาบ่าย เกิดพยุฝนห่าใหญ่ตก ฟ้าผ่าลงมาในวันเดียวนั้น ๑๖ หน ผ่าลงที่เสาติดกระดานแผ่นทองเขียนเปนอักษรให้ชื่อนามเมืองในประตูเมืองหนึ่ง ผ่าเสาเบญจพาศข้างต้นที่ ๒ ผ่าซุ้มประตูปราสาทที่ ๓ ผ่าต้นแคในวังที่ ๔ ผ่าลงที่มุขปราสาทที่ ๕ ผ่าลงหอกลางที่ ๖ ผ่าเสากุฎีที่ ๗ ผ่าพระเจดีย์ที่ ๘ ผ่าพเนียดช้างที่ประตูหอจันที่ ๙ ผ่าลงซุ้มประตูเมืองที่ ๑๐ ผ่าลงที่สระในวังที่ ๑๑ ผ่าลงที่เรือนไพร่ในเมืองที่ ๑๒ ผ่าต้นตาลในเมืองที่ ๑๓ ผ่าต้นโพธิ์ในเมืองที่ ๑๔ ผ่าต้นมะขามป้อมในเมืองที่ ๑๕ ผ่าลงที่กระดานแผ่นทองที่จาฤกปิดไว้ตรงน่าประตูวัง แต่ครั้งมังลองได้เปนเจ้า สร้างปราสาท ตั้งกำแพงเมือง ปีเดือนวันคืนที่จาฤกศักราช ๑๑๑๕ ปี เดือนสิบสอง ขึ้นค่ำหนึ่งนั้น ที่ ๑๖ มังลองจึงหาเสนาบดีพราหมณปโรหิตโหราพฤฒามาตย์มา มังลองจึงถามว่า ฟ้าผ่าลงที่เมืองมุกโซโบวันเดียวแต่ตวันบ่ายไปจนเย็น ๑๖ หนดังนี้ ผู้ใดใครได้พบเห็นเหตุผลเปนประการใดบ้าง โหราพราหมณปโรหิตทำนายว่า มังลองจะมีบุญญาธิการ จะได้ปราบยุคเข็ญซึ่งเปนเสี้ยนศัตรูอยู่แก่เมืองอังวะจะพ่ายแพ้เปนมั่งคง มังลองจึงว่า ถ้าดังนั้น ศักราชได้ ๑๑๑๖ ปี เดือน ๗ ขึ้น ๓ ค่ำ มังลองจะยกทัพทั้งบกทั้งเรือกับเสนาบดีแลนายไพร่ซึ่งอยู่ในเมืองมุกโซโบแลเมืองอังวะเปนคนสามหมื่น ให้มองระผู้บุตรเปนทัพน่า มังลองเปนทัพหลวง ยกลงไปรบเมืองหงษาวดีณเดือนเจ็ด แรมสิบสองค่ำ มองระบุตรมังลองซึ่งเปนกองทัพน่ายกไปก่อน ได้รบกันกับกองทัพรามัญพระยาอุปราชาน้องเจ้าเมืองหงษาวดีที่เมืองเปรแต่เดือนเจ็ด แรมสิบสองค่ำ ปีหนึ่ง กองทัพพระยาอุปราชาสมิงรามัญทั้งปวงแตกหนีถอยหลังทัพลงไปตั้งรับอยู่ณเมืองย่างกุ้ง แต่ทัพมังลองตั้งยั้งทัพอยู่ณเมืองเปร มองระซึ่งเปนทัพน่าติดพันตามกันลงไปรบที่เมืองย่างกุ้ง แต่ณเดือน ๑๑ ข้างแรม ในปีนั้น ครั้นเมื่อศักราชได้ ๑๑๑๗ ปี เดือนหก แรม ๕ ค่ำ พระยาอุปราชาสมิงรามัญแตกจากเมืองย่างกุ้งไปตั้งมั่นอยู่ณเมืองเสี้ยง มังลองยกลงมาอยู่ณเมืองย่างกุ้งปีหนึ่ง ให้กองทัพน่ามองระผู้บุตรเปนโปชุกแม่ทัพหลวง กับเสนาบดี เสนัดหวุ่น แมงละแมงฆ้อง นายทัพนายกองทั้งปวง ยกไปตีเมืองเสี้ยงแต่เดือนเจ็ด ข้างแรม ได้ ๑๑ เดือน ได้เมืองเสี้ยง แล้วพร้อมทัพกับมังลองที่เมืองสี้ยงนั้น แล้วมังลอง กับมองระบุตร กับเสนาบดีนายทัพนายกองทั้งปวง ยกไป มังลองให้ตั้งเมืองที่ตำบลบ้านเจตุวะดี ทางไกลกันกับเมืองหงษาวดี ๕๐ เส้น พระยาหงษาวดีให้อำมาตย์ผู้ใหญ่เอาเครื่องบรรณาการออกมาให้แก่มังลอง แล้วเจรจาความเมืองกันว่า พระยาหงษาวดีจะเอาบุตรีมาให้แก่มังลอง ๆ จึงสั่งว่า อย่าเพ่อให้กองทัพทั้งปวงล่วงเข้าไปตีเมืองปะโก้ก่อน ครั้นถึงศักราชได้ ๑๑๑๘ ปี เดือน ๔ ขึ้น ๕ ค่ำ เจ้าเมืองหงษาวดีเอาบุตรีอายุ ๑๗ ปีมาให้แก่มังลอง แล้วพระยาอุปราชา พระยาทะละผู้น้อง ตะละป้านผู้หลานพระยาหงษาวดี ติเตียนพระยาหงษาวดีว่า ทำไมจึงเอาลูกสาวไปยกให้แก่มังลอง พระยาพี่จะออกไปเปนข้ามังลองก็ออกไปเถิด แต่ข้าพเจ้ากับเสนาบดีทั้งปวงจะสู้กว่าจะตายในเมือง พระยาหงษาวดีจึงว่า เมื่อแลพระยาอุปราชา พระยาทะละ ตะละป้าน มิยอมให้เมืองเปนข้ามังลอง เสียลูกสาวคนหนึ่งก็แล้วไปเถิด พระยาหงษาวดีกลับทำสงครามรบกับมังลอง ๆ จึงสั่งแก่นายทัพนายกองทั้งปวงว่า พระยาหงษาวดีเสียสัตย์แล้ว กลับจะทำสงครามรบกันกับเราอิกเล่า จึงสั่งให้นายทัพนายกองทั้งปวงเร่งเข้าล้อมเมืองหงษาวดีประมาณ ๑๕ วัน ไพร่พลเมืองทั้งปวงซึ่งอยู่น่าที่เชิงเทินเมืองหงษาวดีก็เปนใจด้วยมังลอง จุดเพลิงทิ้งเชือกลงมารับกองทัพพม่าเข้าไปในเมือง จับได้พระยาหงษาวดี พระยาอุปราชา พระยาทะละ แลเสนาบดี ได้ในเวลากลางคืนวันนั้น ศักราชได้ ๑๑๑๙ ปี เดือน ๘ มังลองจึงพาเอาพระยาหงษาวดีแลญาติวงษ์ทั้งเครื่องยศบริวารกลับขึ้นไปเมืองมุกโซโบ ครั้นถึงเมืองมุกโซโบแล้ว มังลองจึงเลี้ยงพระยาหงษาวดีทั้งบุตรภรรยาเสนาอำมาตย์ไว้ให้อยู่เปนศุข ๚

 ครั้นศักราช ๑๑๒๑ ปี เดือน ๓ แรม ๑๐ ค่ำ มังลองจึงเกณฑ์มองระผู้บุตร กับอำมาตย์ชื่อ แมงละราชา แมงละแมงฆ้อง กับไพร่สองหมื่น เปนกองน่า มังลองเปนทัพหลวง กับไพร่สามหมื่น ทั้งทัพน่าทัพหลวงเปนคนห้าหมื่น ยกเข้าไปกรุงทวาราวดีศรีอยุทธยา ถึงณเดือน ๔ ขึ้น ๑๕ ค่ำ มาถึงเมืองเปร เปนรดูฝน มังลองหยุดทัพอยู่ที่เมืองเปร มังลองจึงยกเอามองระผู้บุตรมาไว้ในกองหลวงด้วย มังลองจึงเกณฑ์ให้แต่แมงละราชา แมงละแมงฆ้อง กับไพร่สองหมื่น ลงไปแรมทัพอยู่เมืองย่างกุ้ง ครั้นสิ้นเทศกาลฝน ถึงณเดือน ๑๑ มังลองมองระยกทัพออกจากเมืองเปร มาถึงเมืองย่างกุ้งณเดือน ๑๒ มังลองสั่งให้แมงละราชา แมงละแมงฆ้อง กับไพร่สองหมื่น เปนกองน่าไปตีเมืองทวาย มังลองแต่งกำปั่น ๔ ลำ กับเรือรบทเล ๕๐ ลำ บรรทุกเสบียงอาหารกับคนหมื่นหนึ่ง ตั้งให้อากาโบหมู่เปนนายทัพบกนายทัพเรือไปตีเมืองทวาย ครั้นได้เมืองทวายแล้ว มังลองเข้าอยู่ณเมืองทวาย มังลองจึงสั่งให้แมงละราชา แมงละแมงฆ้อง กองน่า ยกไปตีเมืองมะริด เมืองตะนาว ทางเรือ มังลองจึงสั่งให้อากาโบหมู่กับไพร่ในสำเภาหมื่นหนึ่งยกไปตีเมืองมะริด เมืองตะนาว ทางบก มังลองยกทัพติดไปทีเดียว กองทัพไปทางบกยังไม่ถึง แมงละราชา แมงละแมงฆ้อง ทัพเรือ ตีเมืองมะริด เมืองตะนาว ได้ก่อน ครั้นมังลองถึงเมืองมะริด เมืองตะนาว ยับยั้งรี้พลไว้ที่เมืองตะนาว มังลองจึงให้แมงละราชา แมงละแมงฆ้อง กับไพร่สองหมื่น มังลองจึงตั้งให้มองระผู้บุตรเปนแม่ทัพน่า ได้บังคับแมงละราชา แมงละแมงฆ้อง ยกเข้ามากรุงทวาราวดีศรีอยุทธยา มังลองยกเปนทัพหลวงเข้ามา ครั้นถึงกรุงศรีอยุทธยา มังลองบังเกิดเปนวรรณโรคสำหรับบุรุษป่วยหนักลง มังลองจึงสั่งให้แมงละแมงฆ้องเปนกองรั้งหลังกับไพร่หมื่นหนึ่ง มังลองจึงถอยทัพกลับไปทางระแหง แต่จากบ้านระแหงไปทาง ๙๐๐ ถึงปลายด่านต่อแดน มังลองถึงอนิจกรรมตาย มองระผู้บุตรเอาศพมังลองผู้บิดาใส่วอหามไปเมืองมุกโซโบแต่ณเดือน ๖ ข้างขึ้น แล้วให้เอาจันทน์แดงจันทน์ขาวทำฟืน เผาด้วยสูบ เอาน้ำกุหลาบดับเพลิง แล้วเก็บอัฐิมังลองใส่หม้อใหม่ปิดทองเอาไปทั้งเสียกลางน้ำ ๚

 ครั้นศักราชได้ ๑๑๒๒ ปี เดือน ๔ บุตรมังลองผู้ชื่อมังลอกลูกชายใหญ่ได้ราชสมบัติในปีนั้น แลแมงละแมงฆ้องอำมาตย์กับคนหมื่นหนึ่งซึ่งเปนกองรั้งหลังมาถึงเมืองอังวะณเดือน ๖ แมงละแมงฆ้องกับคนหมื่นหนึ่งก็ไล่กวาดต้อนผู้คนครอบครัวในแขวงเมืองอังวะเข้ามาซ่องสุมไว้ในเมืองอังวะ คิดกระบถ ไม่ยอมเปนข้าเข้าด้วยมังลอกซึ่งเปนเจ้าอยู่เมืองมุกโซโบหามิได้ มังลอกผู้เปนบุตรมังลองซึ่งได้ราชสมบัติจึงรู้ว่า แมงละแมงฆ้องคิดการกระบถไม่เข้าด้วย จึงแต่งให้จิตะราชาแซงแนงโบแมงแงปะละสับกุงโบกับคนสองหมื่นเปนกองน่ายกลงมาล้อมเมืองอังวะไว้ มังลอกจึงยกลงมากับคน ๓ หมื่น ตั้งอยู่เมืองจะแกงคนละฟากน้ำ แต่รบกันอยู่ถึงเจ็ดเดือน จึงได้เมืองอังวะ แมงละแมงฆ้องหนีออกจากเมือง กองทัพไล่ติดตามไปยิงแมงละแมงฆ้องตาย มังลอกจึงเลิกทัพกลับไปเมืองมุกโซโบ ๚

 ครั้นศักราชได้ ๑๑๒๓ ปี เดือน ๔ บังเกิดอัศจรรย์ แผ่นดินไหว ได้ยินเสียงดังกึกก้องดุจดังเสียงปืนทั่วไปทั้ง ๔ ทิศ บังเกิดเปนสูรย์แลลำภูกันขาว ในปีนั้น น้องชายมังลองผู้ชื่อ สะโดะอุจจะหน่า ซึ่งได้ไปนั่งเมืองตองอู คิดกระบถต่อมังลอกผู้หลานซึ่งได้ราชสมบัติอยู่ณเมืองมุกโซโบ แต่งให้บะละแมงแตงสันละกีผู้เปนอำมาตย์คุมพลห้าพันยกขึ้นมากวาดต้อนเอาคนที่เมืองเปรไปเมืองตองอู มังลอกรู้ว่า สะโดอุจจะหน่าเจ้าเมืองตองอูคิดกระบถ จึงแต่งให้แมงแงพะละคุมพลสามพันเปนทัพน่า ตั้งให้โยลัดหวุ่นคุมคนเจ็ดพันเปนกองหนุน ให้ยกไปรบเอาเมืองตองอู ศักราช ๑๑๒๔ ปี เดือน ๑๒ มังลอกจึงเกณฑ์ให้อากาจอแทงคุมพลหมื่นหนึ่งยกเปนกองน่า มังลอกกับพลสองหมื่นเปนทัพหลวงยกไป เดือน ๑๒ แรม ๑๐ ค่ำ ถึงเมืองตองอู เดือนยี่ ขึ้น ๒ ค่ำ ได้เมืองตองอู จับได้สะโดะอุจจะหน่าทั้งบุตรภรรยาเสนาอำมาตย์ กวาดต้อนเอาขึ้นไปณเมืองมุกโซโบ ครั้นถึงแล้ว จะได้ทำอันตรายเสียหามิได้ มังลอกเลี้ยงไว้คุ้งเท่าบัดนี้ แลตะละป้านพระยาต่อพระยาซึ่งพาบุตรภรรยาอพยพหนีไปเมื่อครั้งเมืองหงษาวดีแตกครั้งนั้น ไปอยู่เกาะปี้น แขวงเมืองมัตตมะ มังลอกจึ่งสั่งให้ละเมิงหวุ่นคุมพล ๓๐๐๐ ให้ไปเกลี้ยกล่อมตะละป้านพระยาต่อพระยา ละเมิงหวุ่นยกมาถึงเมืองมัตตมะ เกลี้ยกล่อมตะละป้านพระยาต่อพระยา ๆ ก็เข้าด้วย ตะละป้านจึงว่าแก่ละเมิงหวุ่นว่า ถ้าข้าพเจ้าเปนข้าเจ้าอังวะ ข้าพเจ้าก็เปนคนโง่ แลเจ้าอังวะได้ข้าพเจ้าแล้ว เลี้ยงข้าพเจ้าไว้ไม่ฆ่าข้าพเจ้าเสีย เจ้าอังวะก็เปนคนโง่ แต่ว่าจับมารดาข้าพเจ้าได้ครั้งหงษาเสียนั้นแล้ว ถึงชีวิตรจะตาย จะขอเห็นหน้ามารดาหน่อยหนึ่งเถิด แล้วส่งไปเมืองมุกโซโบ มังลอกก็เลี้ยงตะละป้านพระยาต่อพระยาไว้ ๚

 อนึ่ง เมืองเชียงใหม่กับเมืองออกห้าสิบเจ็ดหัวเมืองนั้นเคยขึ้นแก่เมืองรัตนบุรอังวะ บัดนี้ ละอย่างประเวณีเสีย หาได้ไปมาเอาเครื่องบรรณาการมาถวายตามอย่างตามธรรมเนียมแต่ก่อนไม่ ครั้นศักราชได้ ๑๑๒๕ ปี เดือน ๑๒ ขึ้น ๘ ค่ำ มังลอกจึงเกณฑ์ให้ติงจาแมงฆ้องคุมคน ๓๐๐๐ เปนกองน่า จึงตั้งให้ธาปะระกามะนี คนเจ็ดพัน เปนกองหนุนยกไปตีเมืองเชียงใหม่ เดือนอ้ายถึงเมืองเชียงใหม่ รบกัน ๔ เดือน ได้เมืองเชียงใหม่ จับเจ้าจันผู้เปนเจ้าเมืองได้ทั้งบุตรภรรยา กองทัพยังมิได้กลับคืนไป มังลอกถึงอนิจกรรมเดือน ๔ นั้น ก็ปลงศพตามอย่างธรรมเนียม ๚

 ศักราช ๑๑๒๕ ปี เดือนสี่นั้น มองระผู้บุตรมังลอง เปนน้องมังลอก ได้ขึ้นเสวยราชสมบัติ แลธาปะระกามะนีซึ่งเปนนายทัพมาตีเมืองเชียงใหม่จึ่งเกณฑ์ให้มหานะระทากับคนเจ็ดพันคุมเอาเจ้าจันทั้งบุตรภรรยาไปถวายมองระ แต่ธาปะระกามะนีกับคน ๓๐๐๐ อยู่รักษาเมืองเชียงใหม่ มองระจึงมีนามปรากฏชื่อว่า เจ้าช้างเผือก จึ่งเลี้ยงเจ้าจันแลบุตรภรรยาเจ้าจันไว้คุ้งเท่าบัดนี้ ณเดือน ๑๑ ในปีนั้น มองระจึงสั่งให้โยลัดหวุ่นลงมาทำเมืองสร้างปราสาทเมืองอังวะ ตะละป้านจึ่งคิดประทุษฐร้าย ให้นายทุยบ่าวตะละป้านจุดไฟขึ้นในเมืองมุกโซโบ พิจารณาได้ความว่า ตะละป้านให้จุดไฟขึ้นทั้งนี้จะคิดการทำร้ายเจ้าอังวะ มองระจึงสั่งให้ประหารชีวิตรตะละป้านเสีย ๚

 ศักราชได้ ๑๑๒๖ ปี เดือน ๑๒ มองระจึงสั่งให้อะแซหวุ่นกี้ติงจาโบคุมไพร่หมื่นหนึ่งเปนกองน่า มองระคุมไพร่สองหมื่นเปนทัพหลวง ยกไปตีเมืองกะแซ ในปีนั้น เดือนยี่ ข้างขึ้น ได้เมือง กวาดเอาเชื้อวงษ์แลเจ้ากะแซมาถึงเมืองมุกโซโบแต่ณเดือนสาม ๚

 ครั้นศักราชได้ ๑๑๒๗ ปี เดือนหก มองระลงมาจากเมืองมุกโซโบเสวยราชย์เมืองอังวะ จึ่งเลี้ยงเจ้ากะแซแลบุตรภรรยาเจ้ากะแซไว้คุ้งเท่าบัดนี้ ถึงณเดือนเจ็ด แรมห้าค่ำ ในวันเดียวนั้น บังเกิดเปนพยุใหญ่ฝนตกฟ้าผ่าลงที่หอกลองที ๑ ผ่าลงที่ยอดปราสาทเปนไฟติดขึ้นเท่าวงกระด้ง ยอดปราสาทหักสบั้นลงมา ดับไฟได้ พยุแลฝนก็บันดาลหาย มองระจึงถามโหราพฤฒาจารย์พราหมณปโรหิตแลพระราชาคณะนักปราชญ์ราชบัณฑิตผู้มีปัญญา จึ่งทำนายว่า พระราชวงษาแลอาณาประชาราษฎรในขอบขัณฑเสมาจะอยู่เย็นเปนศุข ดับยุคดับเข็ญแลสัตรูทั้งปวง ให้ชำระสะเกษ ให้ปล่อยนักโทษแลสรรพสัตวทั้งปวงซึ่งต้องทุกขเวทนาขังไว้นั้น ๚

 เมื่อครั้งศักราชได้ ๑๑๒๗ ปี เดือน ๑๒ มองระจึ่งสั่งให้ฉับพะกงโบยานกวนจอโบคุมไพร่ห้าพันยกเปนทัพน่า ทัพหนุนนั้นให้เมียนหวุ่นเนเมียวมหาเสนาบดีคุมไพร่ห้าพันยกมาทางเหนือ ค้างเทศกาลฝนอยู่ณเมืองนครเชียงใหม่ ทางทวายนั้นให้เมคราโบคุมไพร่ห้าพันเปนกองน่า ทัพหนุนนั้นให้มหานะระทาคุมไพร่หมื่นหนึ่งยกมายังกรุงศรีอยุทธยา ค้างเทศกาลฝนอยู่ณเมืองทวาย ออกพระวัสสาแล้วยกทั้งทางเหนือทางใต้เข้าไปตี ได้กรุงศรีอยุทธยาแล้วกลับทัพไปเมืองรัตนบุรอังวะ ๚

 เมื่อศักราชได้ ๑๑๒๙ ปี ในศักราชได้ ๑๑๒๘ ปีนั้น ฮ่อยกเข้ามาถึงเมืองแซงหวี ไกลกันกับเมืองอังวะทางสิบห้าวัน มองระจึงสั่งให้ติงจาโบกับไพร่ห้าพันเปนกองน่า อะแซหวุ่นกี้กับไพร่หมื่นหนึ่งเปนทัพหนุน ยกไปตีฮ่อแตกไป ๚

 ครั้นศักราชได้ ๑๑๒๙ ปี ฮ่อยกทัพกลับเข้ามาอิกครั้งหนึ่ง มาถึงตำบลบ้านยองนี้ ใกล้กันกับอังวะทางคืนหนึ่ง มองระจึงสั่งให้อะแซหวุ่นกี้ โยลัดหวุ่น เมียนหวุ่น สามนาย เปนแม่ทัพคุมทหารเปนอันมาก ได้รบกันกับฮ่อสามวัน กองทัพฮ่อแตก จับได้นายทัพฮ่อแอซูแห กุนตาแย เมียนกุนแย ปะระซูแย ๔ นาย กับทหารนายแลไพร่เปนคนหกพัน มองระจึงสั่งให้เลี้ยงไว้คุ้งเท่าบัดนี้ ๚

 ครั้นศักราชได้ ๑๑๓๑ ปี ฮ่อยกทัพกลับมาอิกเปนสามครั้ง ครั้งหลัง กวยชวยโบเปนแม่ทัพฮ่อ กับรี้พลเปนอันมาก มาถึงเมืองกองตุงปะมอ ไกลกันกับเมืองอังวะทางสิบห้าวัน มองระจึงสั่งให้ติงจาโบตะเรียงรามะกับไพร่ห้าพันเปนกองน่า ตั้งให้อะแซหวุ่นกี้คุมไพร่หมื่นหนึ่ง ทั้งทัพน่าทัพหลวงเปนคนหมื่นห้าพัน เปนแม่ทัพยกไปทางบก ทางเรือนั้นให้งาจุหวุ่น เลต่อหวุ่น กับพลห้าพัน เปนกองน่า อำมะลอกหวุ่นเปนนายกองปืนใหญ่ คุมพลหมื่นหนึ่ง เปนแม่ทัพ ทั้งทางบกทางเรือไปถึงพร้อมทัพกันณเมืองกองตุงปะมอ ทัพทั้งสองฝ่ายก็รอรั้งตั้งมั่นเจรจาความเมืองกัน กวยชวยโบแม่ทัพฮ่อจึ่งให้อำมาตย์มาหาอะแซหวุ่นกี้ว่า จะขอให้แม่ทัพฮ่อกับแม่ทัพพม่าเจรจาความเมืองกัน อะแซหวุ่นกี้จึงสั่งให้ปลูกโรงในท่ามกลางแล้วแม่ทัพทั้งสองฝ่ายไปพร้อมกันณโรง เจรจากันว่า ตั้งแต่วันนี้ไป ขอให้ขาดสงครามกัน จะเปนมิตรสันถวะแก่กัน อาณาประชาราษฎรไพร่พลเมืองจะได้ไปมาซื้อขายถึงกัน อะแซหวุ่นกี้ก็ยอมพร้อมด้วยนายทัพนายกองทั้งปวง เลิกกองทัพกลับลงมาณเมืองอังวะ ในศักราชได้ ๑๑๓๑ ปี ณเดือนเจ็ด ขึ้นสิบค่ำ ฟ้าผ่าลงที่เสาติดกระดานแผ่นทองที่จาฤกนามประตูเมืองไว้นั้น ครั้นณเดือนแปด เจ้าเมืองจันทบุรีนำเอาบุตรสาวมาถวายคนหนึ่ง ๚   ครั้นศักราชได้ ๑๑๓๓ ปี เจ้าวงษ์ผู้เปนเจ้าเมืองหลวงพระบางยกลงมาตีเมืองจันทบุรี เจ้าเมืองจันทบุรีบอกขึ้นไปณเมืองอังวะ มองระเจ้าอังวะจึงสั่งให้ชิกชิงโบคุมไพร่สองพันเปนกองน่า ให้เนมะโยหาเสนาบดี คือ โปสุพลา คุมไพร่สามพันเปนแม่ทัพหลวงลงมาตีเมืองหลวงพระบางได้แล้ว โปสุพลากลับขึ้นไปพร้อมทัพกันณเมืองจันทบุรี ค้างเทศกาลฝนอยู่ที่นั้น ๚

 ครั้นศักราชได้ ๑๑๓๔ ปี สิ้นเทศกาลฝน โปสุพลาจึงยกกองทัพลงมาตีเมืองลับแล เมืองพิไชย รบกันกับกองทัพกรุง กองทัพโปสุพลาแตกหนีถอยทัพไปตั้งอยู่ณเมืองเชียงใหม่ ค้างเทศกาลฝนอยู่ ๚

 ครั้นศักราชได้ ๑๑๓๕ ปี ในปีนั้น กระแซก็คิดกระบถที่อังวะ ด้วยอำมาตย์จันตะรอซุยกีเลโบกับไพร่กระแซสามพันคิดกระบถ ใช้ให้โยคีกระแซเอาเพลิงจุดขึ้นที่มุมเมือง โยคีจุดเพลิงศาลาวัดซุยจี่กุง จุดขึ้นริมวัดติดแห่งหนึ่ง พอจับตัวกระแซโยคีไต่ถาม ให้การว่า จันตะรออำมาตย์ซุยกีเลโบใช้ให้โยคีจุดเพลิงขึ้นสี่ทิศ แล้วจะยกคนสามพันเข้าตีเอาเมือง จะฆ่าเจ้าเมืองอังวะเสีย พิจารณาได้ความเปนสัตย์ สั่งให้ฆ่ากระแซนายแลไพร่สามพันเสีย ออกพระวัสสาแล้วจึงเกณฑ์ให้พระยาจ่าบ้านกับแสนท้าวไพร่ลาวพันหนึ่งยกเปนกองน่า ให้เนมะโยกามะนีเฝ้าเมืองเชียงใหม่อยู่ โปสุพลากับไพร่ลาวพม่าเก้าพันเปนแม่ทัพยกลงมาตีกรุงทวาราวดีศรีอยุทธยา ยกออกจากเมืองเชียงใหม่คืนหนึ่ง ประมาณทางห้าร้อย โปสุพลารู้ว่า พระยาจ่าบ้านคิดการประทุษฐร้าย เข้าด้วยกองทัพไทย กลับจะรบโปสุพลา ๆ จึ่งกลับทัพเข้าไปอยู่ในเมืองเชียงใหม่ พอกองทัพกรุงศรีอยุทธยายกขึ้นมา ทั้งกองทัพกาวีละ พระยาลคร พระยาจ่าบ้าน บรรจบกันเข้าล้อมเมืองเชียงใหม่ โปสุพลา เนมะโยกามะนี แตกหนีออกจากเมืองเชียงใหม่ไปอยู่เมืองหน่าย ฝ่ายภรรยาโปสุพลาซึ่งอยู่ณเมืองอังวะนั้น เจ้าอังวะจำไว้ ภรรยาโปสุพลาให้คนมาบอกโปสุพลาว่า อย่าให้ไปเมืองอังวะเปนอันขาดทีเดียว โปสุพลาจึงหลบหลีกอยู่ณบ้านซุยเกียน ใกล้กันกับเมืองตองอูทางห้าวัน ๚

 เมื่อศักราชได้ ๑๑๓๕ ปี มีตราลงมาแต่เมืองอังวะให้ปะกันหวุ่นเกณฑ์เอารามัญหมื่นหนึ่งเปนแม่ทัพไปตีกรุงศรีอยุทธยา ปะกันหวุ่นจึงเกณฑ์ให้พระยาเจ่ง ตะละเซ่ง พระยาอู เปนกองน่า กับไพร่สามพัน ให้แพ่กิจาเปนแม่ทัพยกก่อน ไปตั้งฉางอัศมี ฉางปาศัก ลำเลียงเอาเสบียงอาหารเข้าไว้ให้ได้เต็มฉาง ออกพระวัสสาแล้ว ปะกันหวุ่นกับไพร่เจ็ดพันจึงจะยกไปตาม ๚

 ครั้นศักราชได้ ๑๑๓๖ ปี จะให้ยกกองทัพลงมาแต่เมืองอังวะไปตีเอากรุงทวาราวดีศรีอยุทธยา ปะกันหวุ่นผู้เปนเจ้าเมืองเมาะตะมะเก็บเอาเงินทองแก่ภรรยานายทัพนายกองแลไพร่สมิงรามัญซึ่งยกไปทำฉางนั้น ไพร่พลเมืองได้ความเดือดร้อนนัก ตะละเกิ้งจึงมีหนังสือไปถึงพระยาเจ่ง ตะละเซ่ง สมิงรามัญทั้งปวง ว่า ปะกันหวุ่นทำให้ได้ความร้อนเข็ญสุดที่จะทนแล้ว ให้พระยาเจ่ง ตะละเซ่ง สมิงรามัญ เร่งคิดยกทัพกลับมาณเมืองเมาะตมะเปนการเร็ว พระยาเจ่ง ตะละเซ่ง สมิงรามัญทั้งปวง พร้อมกันจับแพ่กิจาแม่ทัพฆ่าเสีย แล้วกลับทัพมาณเมืองเมาะตมะ ปะกันหวุ่นเจ้าเมืองเมาะตมะ อะคุงหวุ่น รู้ว่า พระยาเจ่ง ตะละเซ่ง ฆ่าแพ่กิจาเสีย ยกทัพกลับมาเมืองเมาะตมะ ปะกันหวุ่น อะคุงหวุ่น ลงเรือหนีไปเมืองย่างกุ้ง พระยาเจ่ง ตะละเซ่ง นายทัพนายกองสมิงรามัญ ยกติดขึ้นไปตีได้ค่ายตักกะเลริมเมืองย่างกุ้ง พอกองทัพน่าอะแซหวุ่นกี้ยกลงมาแต่เมืองอังวะ ได้รบกันกับกองทัพรามัญที่เมืองย่างกุ้ง พระยาเจ่ง ตะละเซ่ง นายทัพนายกองสมิงรามัญ แตกหนีลงมาเมืองเมาะตมะ พาครอบครัวอพยพเข้ามากรุงทวาราวดีศรีอยุทธยา กองทัพพม่ายกตามมาจับได้แต่ตะละเกิ้งทั้งบุตรภรรยาณแขวงเมืองมัตมะส่งขึ้นไปถวาย ครั้งนั้น มองระกับเสนาบดีลงมายกฉัตรอยู่ณเมืองย่างกุ้ง มองระจึงให้ถามตะละเกิ้งว่า ตัวคิดการประทุษฐร้ายในครั้งนี้ ใครรู้เห็นเปนใจด้วยตัวบ้าง ตะละเกิ้งว่า พระยาหงษาวดี พระยาอุปราชาผู้น้อง มีหนังสือให้คนถือมาถึงข้าพเจ้ากับพระยาเจ่งให้ชักชวนกันแต่บรรดาสมิงรามัญทั้งปวงจับเอาบรรดาพม่านายไพร่ซึ่งอยู่ในเมืองเมาะตมะฆ่าเสีย แล้วให้ยกกองทัพตีเอาเมืองย่างกุ้งขึ้นไปจนถึงเมืองอังวะ ถามสอบพระยาหงษาวดี พระยาอุปราชา รับเปนสัตย์ มองระจึงสั่งให้เอาพระยาหงษาวดี พระยาอุปราชา พระยาตะละเกิ้ง ไปประหารชีวิตรเสีย ๚

 ครั้นศักราชได้ ๑๑๓๖ ปี อะแซหวุ่นกี้ยกกองทัพเข้ามาตีกรุง กองทัพน่าก็ยกเข้ามาถึงเมืองราชบุรี กองทัพไทยจึงล้อมไว้ อะแซหวุ่นกี้จึงบอกขึ้นไปถึงมองระเจ้าอังวะ ๆ จึงให้อะคุงหวุ่นมงโยะกับไพร่สามพันรับอาสาจะมาตีแหกเอาคนสามพันในค่ายล้อมเขานางแก้วให้ได้ ครั้นเข้าตีกองทัพไทยซึ่งล้อมพม่าไว้นั้น ไพร่พลพม่ากองทัพช่วยล้มตายเปนอันมาก อะแซหวุ่นกี้จึงบอกหนังสือไปถึงมองระเจ้าอังวะว่า ถ้าจะเอาคนสามพันให้ได้ จะเสียคนกว่าสามหมื่น ด้วยจวนเทศกาลฝน ไพร่พลอดเสบียงอาหาร จะขอถอยทัพมาแรมค้างอยู่ณเมืองเมาะตมะ ต่อรุ่งขึ้นปีน่า ข้าพเจ้าจึงจะยกกองทัพเข้าไปตีกรุงศรีอยุทธยา ทั้งพม่าสามพันทั้งนายทัพนายกองเอามาถวายให้จงได้ มองระเจ้าอังวะจึงตอบไปว่า ซึ่งอะแซหวุ่นกี้บอกมานั้นชอบด้วยราชการอยู่แล้ว ทั้งนี้ ก็สุดแต่อะแซหวุ่นกี้จะคิดผ่อนปรนเอากรุงศรีอยุทธยาให้จงได้ ๚

 ครั้นศักราชได้ ๑๑๓๗ ปี มองระกลับขึ้นไปณเมืองอังวะ ครั้นณเดือน ๑๑ ในปีนั้น อะแซหวุ่นกี้ให้แมงยางูกับนายกองผู้น้อย กับปันยิแยฆองจอ ปันยิตะจอง ๓ นาย กับไพร่สองหมื่น ให้ยกไปทางระแหง อะแซหวุ่นกี้กับไพร่หมื่นห้าพันเปนแม่ทัพเข้าล้อมเมืองพิศณุโลก อะแซหวุ่นกี้จึงแยกกองทัพลงมารับกองทัพกรุงศรีอยุทธยาซึ่งขึ้นไปช่วยปากพิง ครั้นเมืองพิศณุโลกเสียแก่พม่าแล้ว อะแซหวุ่นกี้บอกหนังสือขึ้นไปถึงมองระเจ้าอังวะ พอมองระเจ้าอังวะถึงอนิจกรรมตาย จิงกูจาบุตรมองระขึ้นเปนเจ้า จึงให้ข้าหลวงลงมาให้เลิกกองทัพ ทั้งทัพเมืองทวาย, เมืองมริด, เมืองตนาว. อะแซหวุ่นกี้ซึ่งไปตีเมืองกรุงกลับขึ้นไปเมืองอังวะ จิงกูจาปลงศพมองระผู้เปนบิดาตามอย่างธรรมเนียม ๚

 ครั้นศักราชได้ ๑๑๓๘ ปี จิงกูจาผู้เปนบุตรมองระขึ้นเสวยราชสมบัติ ชะแลงจาผู้น้องจิงกูจา เมื่อมองระบิดายังอยู่นั้น ตั้งให้ชะแลงจาเปนเจ้าเมืองชะแลง ในปีนั้นชะแลงจากับอะตวนหวุ่นอำมาตย์คิดการกระบถต่อจิงกูจาผู้พี่ซึ่งได้ราชสมบัติ จิงกูจาจึงให้เอาชะแลงจากับอะตวนหวุ่นอำมาตย์ฆ่าเสีย แล้วจิงกูจาทำนุบำรุงพระพุทธรูป พระสถูป พระเจดีย์ วัดวาอาราม อันชำรุดซุดพังนั้น ให้ลงรักปิดทอง ๚

 ครั้นศักราชได้ ๑๑๔๒ ปี จิงกูจาเจ้าอังวะสั่งให้ถอดอะแซหวุ่นกี้ออกจากราชการ แล้วจิงกูจาสั่งให้เอาอะเมียงสะแข่งผู้เปนลูกมังลอง เปนน้องมองระ เปนอาจิงกูจา สั่งให้ไปฆ่าเสีย แต่ปะดุงแยกไปไว้ฟากจักเกิง ปะคานสะแข่งแยกไปไว้เมืองแปงยะ แปงตะแลแยกไปไว้ณบ้านชิกกี สามคนนี้เปนลูกมังลอง เปนน้องมองระ ๚

 ครั้นศักราชได้ ๑๑๔๓ ปี พระเจดีย์ณเมืองแปงยะ ใกล้กันกับเมืองอังวะทางสามร้อย มีนามชื่อว่า ซุยชีกุง พังลงทีหนึ่ง อนึ่ง พระพุทธรูปซึ่งอยู่ณเมืองจะเกิ้ง คนละฟากน้ำเมืองอังวะ ให้เปนน้ำพระเนตรไหลออกมาครั้งหนึ่ง จิงกูจาให้แต่งเครื่องนมัสการไปนมัสการพระตำบลชื่อ สีหะ ต่อกับเมืองอังวะไกลกันทางห้าคืน จิงกูจายกไปทางเรือได้สามคืน มองหม่องเปนบุตรมองลอก กับพวกเพื่อนเปนอันมาก เข้าปล้นชิงเอาสมบัติขึ้นเปนเจ้า มองหม่องจึงให้หาปะดุงสะแข่ง ปะคานสะแข่ง แปงตะแลสะแข่ง ผู้อาว์สามคน มาพร้อมกันณเมืองอังวะ มองหม่องจึ่งว่า สมบัตินี้อาว์เอาเถิด ปะดุง ปะคาน แปงตะแล จึ่งว่า สมบัติทั้งนี้ได้ด้วยบุญของเจ้า ๆ จงเอาเถิด จึงตั้งอะแซหวุ่นกี้คงที่อะแซหวุ่นกี้ พรรคพวกมองหม่องซึ่งตั้งเปนเสนาบดีขึ้นใหม่ข่มเหงเอาบุตรสาวเก็บริบเอาพัศดุทองเงินของอาณาประชาราษฎรซึ่งหาความผิดมิได้ แลชาวบ้านไพร่พลเมืองได้ความเข็ญแค้นเคืองเดือดร้อนนัก ปะดุงจึงปฤกษาด้วยญาติวงษ์แลเสนาอำมาตย์คนเก่าว่า มองหม่องได้เปนเจ้า ๕–๖ วัน ข่มเหงอาณาประชาราษฎรร้อนเข็ญดังนี้ หาควรที่จะให้เสวยราชสมบัติไม่ เสนาบดีไพร่พลเมืองเปนใจด้วยปะดุง เข้าล้อมเอาวัง รบกันกับมองหม่องแต่เช้าจนเที่ยง ผู้คนล้มตายเปนอันมาก จับตัวมองหม่องได้แล้วฆ่าเสีย ปะดุงได้เสวยราชสมบัติ แล้วสั่งให้เอาเกวียนบรรทุกศพซึ่งรบกันตายนั้นไปทิ้งเสียนอกเมือง ๚

 ในปีนั้น ปะดุงใช้ให้มะหาสีละวะอำมาตย์ ๑ จอกตะลุงโบ ๑ กับเรือรบ ๕๐ ลำ คนประมาณพันหนึ่ง ให้ขึ้นไปจับตัวจิงกู ครั้นยกไปถึงบ้านสันโผ ไกลกันกับอังวะทางหกคืน จิงกูกับไพร่เหลือหนีอยู่สามสิบคน กับมเหษีนางห้าม จิงกูก็พาเข้ามาหามะหาสีละวะอำมาตย์ว่า ปะดุงผู้อาว์ได้ราชสมบัติแล้ว เห็นเราหาตายไม่ มะหาสีละวะอำมาตย์เอาตัวจิงกูกับบุตรภรรยาจำลงมาถวายแก่ปะดุง ๆ สั่งให้ฆ่าจิงกูทั้งบุตรภรรยาเสียให้สิ้น ๚

 ครั้นศักราชได้ ๑๑๔๔ ปี เดือนเจ็ด เพลาสองยามเศษ งะพุงพม่าเปนคนท่องเที่ยวอยู่ในเมืองอังวะ กับพวกเพื่อนประมาณสามร้อยเศษ เข้าปล้นชิงเอาสมบัติ รบกันกับปะดุง ผู้คนล้มตายเปนอันมาก ปะดุงจับตัวงะพุงได้ทั้งพวกเพื่อนสิ้น ปะดุงให้ฆ่าเสีย ในปีนั้น เดือนสิบสอง ปะดุงสั่งให้ทำเมืองใหม่ตำบลที่ผ่องกากับเมืองอังวะทางสามร้อยทิศตวันออก ๚

 ศักราชได้ ๑๑๔๕ ปี เดือนเจ็ด ปะดุงยกไปอยู่ณเมืองอำมะระบุระสร้างใหม่ ในปีนั้น เดือนสิบสอง ปะดุงจึงสั่งให้แอกกะบันหวุ่นกับเสนาบดีคุมไพร่สี่พันเปนทัพน่า จึ่งตั้งให้จะกูสะแข่งผู้บุตรคุมไพร่หมื่นหนึ่งเปนแม่ทัพยกไปทางเมืองสันตวย แขวงเมืองยะไข่ ทางหนึ่ง ให้แมงคุงหวุ่นกับเสนาบดีคุมไพร่สี่พันเปนทัพน่า ตั้งให้กามะสะแข่งผู้บุตรคุมไพร่หมื่นหนึ่งเปนแม่ทัพ ยกไปทางเมืองมะอิละมู แขวงเมืองยะไข่ ทางหนึ่ง ตั้งให้สิริตะเรียงแยฆองเดชะแจกเรจ่อโบคุมไพร่สี่พันเปนทัพน่า ตั้งให้บุตรชายใหญ่คุมไพร่หมื่นหกพันเปนแม่ทัพ ยกไปทางเมืองตองก๊ก ขึ้นยะไข่ ให้ยกไปตีเมืองติญะวดี คือ เมืองยะไข่ แต่ทัพบุตรใหญ่ยกไปถึง ปะดุงจึงตั้งให้มหาจ่อแทงตะละยาแย, จ่ออากาแย, จ่อตะมุทแย, ฆองเดชะ, คุมไพร่ห้าพัน เรือรบทเลห้าร้อยลำ ยกไปทางทเล ณเดือนอ้ายถึงเมืองตองก๊ก แล้วยกไปตีเมืองตันลอย เจ้าเมืองตันลอยผู้ชื่อว่า จ่อตี แตกหนีออกจากเมืองข้ามทเลไป กองทัพพม่าทั้งทัพบกทัพเรือลงเรือตามไปณเดือนยี่ถึงเมืองยะไข่ พร้อมทัพกันทั้งสามทางณเมืองเลมีชุง ใกล้กันกับเมืองยะไข่ทางประมาณร้อยหนึ่ง เจ้าเมืองยะไข่ยกพลทหารเสนาบดีออกมารบ เจ้าเมืองยะไข่แตกหนีกลับเข้าเมือง กองทัพพม่าไล่ติดตามเข้าไปได้เมือง เจ้าเมืองยะไข่หนีออกจากเมือง กองทัพพม่าติดตามจับตัวได้ ณเดือนสาม ขึ้นสิบสามค่ำ กวาดต้อนเอาเชื้อวงษ์บุตรภรรยาศฤงฆารบริวารเสนาบดีเจ้าติญะวดีเจ้าเมืองยะไข่ แม่ทัพจึงตั้งให้จอกซูคุมไพร่หมื่นหนึ่งให้อยู่รักษาเมืองติญะวดี แลนายทัพนายกองก็กลับมายังเมืองอำมะระบุระณเดือนห้า ปะดุงสั่งให้เลี้ยงเจ้าเมืองติญะวดีทั้งบุตรภรรยาแลเสนาบดีไว้ เจ้าเมืองติญะวดีป่วยถึงอนิจกรรม แลเสนาบดีทั้งปวงกับไพร่ห้าหมื่นของเจ้าเมืองยะไข่นั้น ปะดุงให้ภูมฐานไร่นาเปนที่ทำกินคุ้งเท่าบัดนี้ ๚

 ศักราชได้ ๑๑๔๗ ปี แปงตะแลผู้น้องปะดุง เจ้าเมืองอำมะระบุระ คิดกระบถ มีผู้เอาความมาว่า พิจารณาเปนสัตย์ ปะดุงสั่งให้เอาแปงตะแลผู้น้องไปฆ่าเสียทั้งพวกเพื่อนประมาณห้าสิบเศษ ในปีนั้น ณเดือนเก้า ปะดุงจึงสั่งให้นัดมีแลง ปะแลงโบ แปดองจา นะจักกีโบ ตองพยุงโบ ให้เนมะโยคุงนะรัตกับไพร่สองพันห้าร้อยเปนกองน่ายกไปทางบก สะทิงลางเคียงยกทางเรือ ให้บาวาเชียง แองยิงเตจะอุดินยอ ให้ยีวุ่นเปนแม่ทัพเรือกับไพร่สามพันไปตีเมืองถลาง ให้แกงวุ่นกับไพร่สี่พันห้าร้อยเปนโปชุกบังคับกองทัพบกเรือไปตีเมืองนคร ชุมพร ไชยา ทางทวายนั้น ให้จิกแกทวาย มะนีจอคอง สีหะแยจ่อแต่ง เปยะโบ ทะวายหวุ่น กับไพร่สามพัน เปนกองน่า ตะแรงยามซู มะนิสินตะ สุรินจอคอง กับไพร่สามพัน ให้จิกสินโบเปนกองหนุน ให้อนอกแผกติกหวุ่นกับไพร่สี่พันเปนโปชุกแม่ทัพ ยกมาทางเมืองราชบุรี ทางเมาะตมะนั้น ให้กลาวุ่น ปิลงยิง สูเลจี ปัญญาอู อากาจอแทง ลานซานโบ อคงหวุ่น ปันยีตะซอง ละโมวุ่น ซุยฆองอากา กับไพร่หมื่นหนึ่ง ให้เมียวหวุ่นบังคับนายทัพทั้งปวงเปนแม่กองน่าที่ ๑ กองหนุนนั้นยอยแลกยาแยฆอง จอกาโบ ตะแรงปันยี ตุกแยโบ กับไพร่ห้าพัน ตั้งให้เมียนเมวุ่นเปนแม่กองที่ ๒ ยังทัพหนุนอิกกองหนึ่ง ยวนจุวุน จิดกอง สิริยะ แกงวุน แยเลวุน กับไพร่หมื่นหนึ่ง กามะสะแข่งบุตรชายน้อยเจ้าอังวะเปนแม่ทัพที่ ๓ อิกทัพหนึ่ง แมกขราโบ อติตอ อากาปันยี มะโยลัดวุ่น กับไพร่หมื่นหนึ่ง ให้จักกุสะแข่งบุตรชายกลางเจ้าอังวะเปนแม่ทัพที่ ๔ กองทัพเจ้าอังวะทัพน่า จาวาโบ ยะไข่โบ ปะกันวุ่น ลอกาซุงถ่องวุ่น เมจุนวุ่น กับไพร่ห้าพัน อะแซวังมูเปนแม่กองปีกขวาเจ้าอังวะ อำมะลอกวุ่น ตวนแชงวุ่น เลจอพวา ยัดจอกโบ งาจุวุ่น กับไพร่ห้าพัน ตั้งให้มะยอกวังมูเปนแม่กองปีกซ้ายเจ้าอังวะ แลกะโรยะกิมู เลแซงวุ่น ยวนจุวุ่น ยะกีวุ่น สิบอจอพวา กับไพร่ห้าพัน ตั้งให้ตองแวหมู่เปนแม่กองปีกขวาทัพหลวงเจ้าอังวะ ระวาลัตวุน ออกมาวุน โมกองจอพวา โมมิกจอพวา โมเยียงจอพวา กับไพร่ห้าพัน ตั้งให้อะนอกแวงหมู่เปนแม่กอง ๆ ทัพปะดุงเจ้าอังวะไพร่สองหมื่น ให้อินแซะสะแข่งบุตรชายใหญ่ ให้อินแซะวุ่นอำมาตย์ อยู่ว่าราชการเฝ้าเมืองอังวะ ทางระแหงนั้น ให้ซุยตองนอระทา ซุยตองสิริจอพวา กับไพร่สามพัน ตั้งให้ซุยตองเวระจอแทงเปนแม่กองทัพน่า ตั้งให้จอฆองนอระทาคุมไพร่สองพันเปนกองหนุน ทางเชียงใหม่นั้น ให้สะโดะมหาสิริอุจจะหน่าเปนแม่ทัพคุมนายทัพแลไพร่สองหมื่นเศษ ๚

 ครั้นยกมาถึงเชียงแสน สะโดะมหาสิริอุจจะหน่าจึงบังคับให้ปันยีตะจองโบ จุยลันตองโบ แยจอนอระทา ปลันโบ นัดซูมะลำโบ มุกอุโบ สาระจอซู กับไพร่ห้าพัน ให้เนมะโยสิหะซุยะเปนแม่ทัพ ยกมาตีเมืองพิศณุโลก ครั้นได้พิศณุโลกแล้ว ลงมาตั้งทัพอยู่ปากพิง ทางแจ้หุ่มนั้น ให้เมือยยอง เชียงกะเล พระยาไชยะ น้อยอันทะ กับไพร่สามพัน ตั้งให้ธาปะระกามะนีเปนแม่ทัพยกมาทางแจ้หุ่มเปนกองน่า ยกขึ้นไปล้อมเมืองลคร แจกแกโบ พระยาแพร่ อขุนวุ่น อุติงแจกกะโบ แนมะโยยันตะมิต กับไพร่หมื่นห้าพัน สะโดะมหาสิริอุจจะหน่าเปนแม่ทัพ ยกขึ้นไปล้อมเมืองลคร ครั้นกองทัพกรุงศรีอยุทธยายกขึ้นไปช่วยเมืองลคร ปะทะกันกับกองทัพพม่ารบกันที่ปากพิง กองทัพพม่าแตกหนีกระจัดกระจายล้มตาย เสียม้าแลไพร่พลที่นั้นเปนอันมาก กองทัพพม่าซึ่งแตกไปแต่ปากพิงขึ้นไปที่เมืองลครค่ายล้อม บอกแก่ข้าพเจ้าซึ่งเปนธาปะระกามะนี กับสะโดะสิริอุจจะหน่าซึ่งเปนโปชุกแม่ทัพซึ่งล้อมเมืองลคร ว่า กองทัพกรุงศรีอยุทธยาไล่ติดตามขึ้นมาแล้ว ธาปะระกามะนี สะโดะมหาสิริอุจจะหน่าซึ่งเปนโปชุกแม่ทัพ ได้รบกันกับทัพกรุงแต่เช้าจนเที่ยง กองทัพพม่าซึ่งล้อมเมืองลครนั้นแตกหนีไปพร้อมทัพกันณเมืองเชียงแสน พอมีตราให้ข้าหลวงถือหนังสือขึ้นมาว่า เจ้าอังวะ นายทัพนายกองทั้งปวง ถอยทัพกลับมาเมืองอังวะแล้ว ให้เร่งสะโดะมหาสิริอุจจะหน่านายทัพนายกองแลไพร่พลอย่าให้ล่วงเทศกาลฝนให้ถึงเมืองอังวะตามกำหนด แต่ธาปะระกามะนีให้เปนเจ้าเมืองเชียงแสนกับไพร่พม่าสามพัน ๚

 ครั้นเมื่อศักราชได้ ๑๑๔๘ ปี เจ้าอังวะให้ปันยีเวซอ ซุยตองเวยะจอแทง กับไพร่สองพัน จอฆองนอระทา กับไพร่พันห้าร้อย เปนโปชุกแม่ทัพ ธาปะระกามะนีกับไพร่สามพันเฝ้าเมืองเชียงแสนอยู่ ครั้งนั้น มีตราขึ้นไปให้เข้ากองทัพจอฆองนอระทาโปชุก ได้คนมาเข้ากองทัพแต่ห้าร้อย หนีไปก่อนสองพันห้าร้อย ยกไปตีเมืองฝางได้ แล้วให้ตั้งทำไร่นาอยู่ที่นั้น แต่ธาปะระกามะนีกับไพร่ห้าสิบคน โปชุกนอระทาให้กลับไปจัดแจงบ้านเมืองทำไร่นาอยู่ณเมืองเชียงแสนประมาณหมื่นหนึ่ง พระยาแพร่ พระยายอง ยกกองทัพมาณเมืองเชียงแสน ข้าพเจ้าผู้เปนธาปะระกามะนีหนีไปหาพระยาเชียงราย ๆ จับข้าพเจ้าได้ ส่งมาเมืองลคร เจ้าเมืองลครส่งมากรุงศรีอยุทธยาคุ้งเท่าบัดนี้ แต่ข้าพเจ้าธาปะระกามะนีรู้ว่า รามัญข้าราชการคนเก่าในเมืองหงษาวดี บุตรชันลุนอำมาตย์ทิน บุตรจอกะตุกวุ่น เปนกองน่า ละเมิงหวุ่นเปนโปชุก ยกมาทางเมืองเมาะตมะจะมาตีกรุงศรีอยุทธยา ตั้งรวมเสบียงอาหารอยู่ท่าดินแดง กองทัพกรุงศรีอยุทธยายกขึ้นไปตีกองทัพพม่าแตกหนีล้มตายเปนอันมาก ข้าพเจ้าได้ทราบเกล้าฯ จำได้แต่เท่านี้ ก่อนมังลองยังไม่ได้เปนเจ้า ข้าพเจ้าธาปะระกามะนีได้รู้มา มีนามชื่อว่า เจ้าอาทิตย์ ได้สมบัติยี่สิบปี มีบุตรคนหนึ่งได้สมบัติสิบห้าปี ตั้งให้สาอ่องนั่งเมืองหงษาวดีสามเดือน แซงหมู่คิดประทุษฐร้ายฆ่าสาอ่องเสีย แซงหมู่ขึ้นเปนเจ้าได้เจ็ดปี มังลองไปตีเอาเมืองหงษาวดีได้ มังลองได้ราชสมบัติเมืองอังวะเจ็ดปี มังลองมีพี่ชายคนหนึ่ง น้องชายคนหนึ่ง ก่อนยังไม่ได้เปนเจ้านั้น พี่ชายตาย น้องชื่อ สะโดะอุจจะหน่า ยังอยู่คุ้งเท่าบัดนี้ มังลองมีบุตรชาย ๖ มีบุตรหญิง ๓ รวม ๙ คน ครั้นมังลองถึงอนิจกรรม มองลอกได้สมบัติ มีบุตรชายคนหนึ่งชื่อ มองหม่อง ได้นั่งเมืองสามปี มองลอกถึงอนิจกรรม มองระได้ราชสมบัติ มีบุตรชายชื่อ จิงกู คนหนึ่ง ชะแลง คนหนึ่ง มีบุตรหญิงสองคน แต่ได้นั่งเมืองอยู่ ๑๓ ปี มองระเปนโรคสำหรับบุรุษถึงอนิจกรรม จิงกูได้ราชสมบัติอยู่ห้าปี จิงกูถึงอนิจกรรม มองหม่องได้ราชสมบัติหกวันครึ่งถึงอนิจกรรม ปะดุงได้เสวยราชสมบัติ ฆ่าแปงตะแลน้องชายสุดท้องเสีย ยังอยู่แต่ปะคานสะแข่งบุตร แต่บุตรมังลองยังคงอยู่เท่าทุกวันนี้แต่สองคน มีบุตรชาย ๓ หญิง ๓ อินแซะสะแข่ง ๑ จักกุสะแข่ง ๑ กามะสะแข่ง ๑ รวม ๖ คน ขอเดชะ ๚