อ ะ ล า ดิ น
กั บ ต ะ เ กี ย ง วิ เ ศ ษ
อะลาดินเป็นลูกชายช่างเสื้อยากจนในนครฝ่ายตะวันออก เป็นเด็กหนุ่มเสียคน พอใจจะเล่นซนมากกว่าจะทำงาน ดังนั้น เมื่อสิ้นมุสตาฟา บิดาของเขา เขาจึงไม่รู้จะเลี้ยงตัวอย่างไร มารดาผู้ยากไร้จึงต้องปั่นฝ้ายทั้งวันเพื่อหากินเลี้ยงพวกตน แต่นางรักลูกหมดใจ เพราะรู้ว่า เขาน้ำใจงาม และนางเชื่อว่า พอเขาโตขึ้น เขาคงกระเตื้องขึ้น และกลายเป็นคนมีคุณค่ามีความรุ่งเรืองในที่สุด วันหนึ่ง ยามอะลาดินเดินทอดน่องอยู่นอกเมือง ชายเฒ่าผู้หนึ่งเข้ามาหาเขา ใบหน้าดูบึ้งตึงยิ่งนัก แจ้งว่า ตนเป็นน้องชายของบิดาเขา ออกจรไปยังแดนไกลแห่งหนึ่งมา แต่บัดนี้ เพื่อที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ จำนงจะได้ความช่วยเหลือจากเขาผู้เป็นหลาน พูดแล้วก็เอาแหวนสวมนิ้วเจ้าหนุ่ม พร้อมบอกว่า ตราบใดที่สวมแหวนนี้ อันตรายใด ๆ จะไม่เกิดมีแก่เขาเลย ที่จริง บุรุษแปลกหน้าผู้นี้มิใช่ทั้งอาของอะลาดิน และมิได้เกี่ยวดอง
อันใดกับเขาเลย หากแต่เป็นพ่อมดใจมารที่ต้องการใช้สอยแรงงานของชายหนุ่ม ดังที่เราจะได้เห็นกันเดี๋ยวนี้
ชายชราพาอะลาดินไปยังดินแดนแห่งนั้นอย่างดิบดี จนถึงซึ่งจุดสุดเปลี่ยวเปล่าร้างระหว่างภูผาทะมึนตระหง่านสองลูก ณ ที่นั้น เขาจุดเพลิงขึ้น แล้วโยนยางไม้สักอย่างลงไป พลางพร่ำบ่นถ้อยคำประหลาดมากมายอยู่ไม่ขาด ครั้นแล้ว พื้นดินก็แยกแตกออกต่อหน้าทั้งสอง เผยให้มองเห็นประตูกลทำด้วยศิลาบานหนึ่ง ซึ่งพ่อมดดึงขึ้น แล้วบอกให้อะลาดินลงไปเบื้องล่าง ตามขั้นบันไดแตกหักทั้งหลายลงไป ณ ขั้นสุดท้ายจะเห็นโถงสามแห่ง แห่งหลังสุดจะมีประตูไปสู่สวนพร้อมมวลด้วยแมกไม้งดงาม ให้เขาข้ามผ่านตรงนี้ไป และเมื่อไต่ขึ้นไปอีกสักหลายขั้น จะพลันเข้าสู่พื้นที่นอกชาน ซึ่งเขาจะเห็นโพรงในผนังมีตะเกียงดวงหนึ่งจุดอยู่ จากนั้น ให้เขาคว้าตะเกียงนั้นมา ดับไฟเสียให้มอด เทน้ำมันให้เกลี้ยง แล้วเอามันติดตัวออกมาด้วย
อะลาดินพบว่า ทุกอย่างที่พ่อมดบอกมานั้นเป็นจริง เขาผ่านโถงทั้งสามเข้าไปอย่างไวว่องแต่ระแวงระวัง แม้กระทั่งจะให้เสื้อติดชิดผนังก็ยังไม่ทำ ตามที่พ่อมดได้สั่งไว้แล้ว เขาคว้าตะเกียงจากโพรงผนัง เหวี่ยงน้ำมันออก แล้วยัดตะเกียงใส่แผงอก พอเขากลับออกมาทางสวน ดวงตาเขาก็เป็นประกายเพราะผลไม้สีสดใสบนลำต้นเปล่งแสงแวบวับอย่างกับแก้ว เขาจึงดึงทึ้งออกมาใส่กระเป๋าตัวเองเสียหลายผล ก่อนดั้นด้นออกมาพร้อมตะเกียง แล้วร้องเรียกอาให้ช่วยพาเขาขึ้นขั้นบันไดแตกพังนั้นไป "มอบตะเกียงให้ข้า" ตาแก่กล่าวเกรี้ยวกราด ชายหนุ่มร้องว่า "ไม่ จนกว่าข้าจะปลอดภัยออกไป" พ่อมดเลือดขึ้นหน้า กระแทกประตูกลลง เป็นอันขังอะลาดินไว้ในนั้นทันที ในยามคร่ำครวญขมขื่น เขาเผลอถูแหวนเข้า ร่างร่างหนึ่งก็ปรากฏต่อสายตาเขาแล้วกล่าวว่า "ข้า ภูตพิทักษ์แหวน เป็นทาสของท่าน ท่านประสงค์สิ่งใด
อะลาดินบอกภูตพิทักษ์แหวนว่า อย่างเดียวที่ตนต้องการ คือ เป็นอิสระและได้กลับไปหาแม่ เดี๋ยวเดียวเขาก็พบว่า ตนเองอยู่บ้านแล้ว หิวมาก ส่วนมารดาผู้ยากแค้นก็แสนดีใจที่ได้เห็นเขาอีก เขาเล่าทุกสิ่งที่เกิดให้แม่ฟัง นางสงสัยใคร่เห็นตะเกียงที่เขาพามาด้วย และเริ่มขัดถูมันให้แวววับจับตาขึ้น เมื่อเห็นร่างประหลาดร่างหนึ่งพวยพุ่งขึ้นต่อหน้า สองคนก็ปากอ้าตาค้าง ร่างนี้ปรากฏว่า เป็นภูตพิทักษ์ตะเกียง และขอทราบคำบัญชาจากพวกเขา พอได้ยินว่า สิ่งอันเป็นยอดปรารถนาของพวกเขา คือ อาหาร ทาสร่างคล้ำก็กลับเข้ามาทันควันพร้อมข้าวของเลิศล้ำในชามเงินประณีต มีจานเงินไว้ให้เขาใช้ตวงตักกิน
อะลาดินกับมารดาพากันสวาปามสิ่งของมากมี
ที่พวกตนได้รับ แล้วนำจานเงินชามเงินนั้นออกขาย รายได้ที่ได้ยังให้พวกเขาอยู่เย็นเป็นสุขไปได้อีกหลายสัปดาห์ เวลานี้ อะลาดินมีปัญญาแต่งตัวให้ดีขึ้นมาแล้ว และเมื่อเขาออกเดินเล่นเหมือนเช่นเคย เขาก็เผอิญพบราชธิดาสุลต่านที่กำลังกลับจากสรงสนานมาพร้อมเหล่าสนมกำนัลในคราวหนึ่ง สิริโฉมของนางตรึงติดใจเขานัก ชนิดที่เขาตกหลุมรักนางเข้าในทันที และบอกมารดาว่า "แม่ต้องไปเฝ้าสุลต่าน ขอประทานพระธิดามาเป็นเมียลูกให้ได้" นางหญิงยาจกว่า "ลูกข้าคงบ้าเสียแล้ว" แต่บุตรชายนางใช่เพียงตระหนักว่า สมบัติในตะเกียงกายสิทธิ์ที่ตนได้มานั้นช่างสุดวิเศษ เขายังพบอีกว่า ผลไม้สุกสกาวที่เขาเก็บมานั้นก็ช่างสูงค่า ซึ่งตอนนั้นเขาคิดว่า เป็นแต่แก้วเคลือบสี เบื้องต้น เขาจึงจัดอัญมณีเหล่านี้ไปถวายสุลต่านหนึ่งถาดเพราะคิดว่ามันเป็นอัญมณีเช่นนั้น สุลต่านตกพระทัยในความมั่งมี จึงมีพระดำรัสแก่มารดาอะลาดินว่า "บุตรเจ้าจักได้ดังประสงค์ หากส่งของเช่นนี้ให้ข้าได้ภายในหนึ่งสัปดาห์มาเป็นจำนวนสี่สิบถาด ทูนถือด้วยทาสผิวขาวยี่สิบคน ผิวดำยี่สิบคน ล้วนแต่งตนให้จงงาม" พระองค์ทรงพระจินตนาการไปว่า วิธีนี้จะช่วยให้พระองค์ได้ครองของที่ได้มาแล้วต่อไปโดยไม่มีเรื่องอะลาดินมาระคายพระกรรณอีก แต่ไม่ช้าภูตพิทักษ์ตะเกียงก็นำมวลมณีใส่ถาดมาให้พร้อมข้าทาส และมารดาอะลาดินก็เข้าไปเฝ้าสุลต่านพร้อมคนและของเหล่านั้น
สุลต่านปลื้มพระทัยที่ได้รับบรรณาการอู้ฟู่เหล่านี้ และออกพระโอษฐ์ทันทีว่า ให้เจ้าหญิง
บูลบูลเป็นชายาอะลาดิน ชายหนุ่มผู้เริงร่าจึงร้องเรียกภูตพิทักษ์ตะเกียงมาช่วยจัดการ และไม่นานก็ออกเดินทางไปสู่ราชวังกัน เขาสวมใส่ชุดพัสตราตระการ ขี่เคลื่อนอาชาอลังการ บริวารเดินเคียงสองข้าง โปรยทองเต็มกำมือไปในระหว่างหมู่ชน ฉับพลันที่เสกสมรส อะลาดินก็กำหนดให้ภูตพิทักษ์ตะเกียงเนรมิตตำหนักโอ่อ่าขึ้นหลังหนึ่งในชั่วข้ามคืน และคู่บ่าวสาวก็พำนักที่นั่นกันอย่างค่อนข้างเป็นสุขอยู่สักระยะ จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่ออะลาดินโดยเสด็จสุลต่านออกไปล่าสัตว์ พ่อมดใจหยาบได้ทราบเรื่องราวความโชคดีของเขาแล้ว ก็หวังจะได้ตะเกียงกายสิทธิ์มาไว้ในกำมือ จึงร้องเร่ไปในท้องถนนว่า "ตะเกียงใหม่แลกเก่า" หญิงรับใช้ผู้ไร้ไหวพริบในตำหนักได้ยินเข้า ก็ขอประทานอนุญาตพระองค์หญิงให้นำตะเกียงเก่าของอะลาดินที่ตนเห็นอยู่ ณ เสาบัวอันเป็นที่ที่อะลาดินวางทิ้งไว้ทุกคราไปเปลี่ยนอันใหม่มา เหตุนั้นเอง พ่อมดจึงได้ครองตะเกียง
ทันทีที่พ่อมดได้ตะเกียงมาอย่างราบรื่น เขาก็จัดให้ภูตพิทักษ์ย้ายตำหนักนั้นไปแอฟริกาพร้อมด้วยบูลบูลที่ประทับอยู่ภายใน อะลาดินสุดแสนโศกเศร้า เท่า ๆ กับที่สุลต่านโกรธกริ้วที่เสียพระธิดา ชีวิตอะลาดินผู้อนาถาจึงตกเป็นอันตรายบางประการ ด้วยสุลต่านขู่เข็ญจะเข่นฆ่าเขาเสีย ถ้าเขาไม่คืนพระธิดามาภายในสามทิวา เดิมทีอะลาดินวิงวอนให้ภูตพิทักษ์
แหวนช่วยเหลือ แต่ภูตนั้นทำได้เพียงพาเขาไปแอฟริกา เจ้าหญิงดีพระทัยที่ได้เห็นเขาอีก แต่ก็โทมนัสลงมากเมื่อทราบว่า พระองค์เป็นเหตุให้เกิดเคราะห์ร้ายทั้งหลายด้วยการยกตะเกียงวิเศษให้เขาไป กระนั้น อะลาดินปลอบประโลมเจ้าหญิง และทูลว่า ตนได้คิดแผนเอาคืนแล้ว ว่าแล้วอะลาดินก็ผละไป ก่อนกลับมาอีกในไม่ช้าพร้อมยานอนหลับฤทธิ์แรง และทูลแนะนำว่า ให้ทรงแสร้งต้อนรับขับสู้พ่อมดด้วยพระทัยโอบเอื้อ แล้วเทยานี้ในเหล้าของพ่อมดช่วงมื้อเย็นวันนั้น เพื่อทำให้พ่อมดหลับใหลสนิท จะได้ช่วยกันเอาตะเกียงจากพ่อมด ทุกอย่างเป็นไปดังที่พวกเขาคาด พ่อมดดื่มสุรา และเมื่ออะลาดินเข้ามา ก็พบว่า พ่อมดหงายหลังตายอยู่บนตั่งแล้ว อะลาดินจึงหยิบตะเกียงออกจากอกพ่อมด และเรียกใช้ภูตพิทักษ์ให้ขนย้ายตำหนัก เจ้าหญิง และตัวอะลาดินเอง กลับไปยังนครดั้งเดิม สุลต่านทรงทั้งแปลกและปลื้มพระทัยที่พวกเขากลับคืนมา ด้วยว่าได้ทรงขุ่นเคืองอยู่เพราะความเสียลูกสาว หลังจากนั้น อะลาดินกับบูลบูลของเขาก็ครองคู่กันมายาวนานโดยสุขสำราญไปกับความวาสนาดีของเขา