จดหมายเหตุเรื่องปราบขบถเวียงจันท์/ส่วนที่ 2



วันศุกร์ เดือน ๗ ขึ้น ๑๔ ค่ำ ปีกุญ นพศก (พ.ศ. ๒๓๗๐) หมื่นชำนาญ ตำรวจ ถือหนังสือบอกพระยาจ่าแสนยากรฉบับ ๑ กับคำให้การอ้ายพระยานรินทร์ลงมา ว่า

หนังสือพระยาจ่าแสนยากรมาถึงพระยาศรีสหเทพ ให้นำเอาขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาให้ทราบใต้ฝ่าลอองฯ ด้วยมีพระบัณฑูรโปรดเกล้าฯ ให้บอกลงมาว่า ได้บอกข้อราชการให้สมิงไชยเสนถือลงมาแต่ก่อน แจ้งอยู่แล้ว ครั้นณวันเดือน ๖ แรม ๖ ค่ำ เสด็จยกขึ้นมาถึงค่ายหลวงฟากแม่น้ำปชี กรมหมื่นนเรศร์โยธีให้พระยากลาโหมราชเสนาบอกลงมาว่า ณวันเดือน ๖ ขึ้น ๙ ค่ำ กรมหมื่นเรศร์โยธี นายทัพนายกอง ปรึกษาพร้อมกันให้หมื่นนรินทร์ ชาวเมืองโคราช เปนคนรู้จักคุ้นเคยกับอ้ายพระยานรินทร์มาแต่ก่อน เข้าไปพูดกับอ้ายลาวที่หนองบัวลำภูใกล้ค่ายประมาณ ๙ ศอก ๑๐ ศอก ได้พูดกันถึง ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง อ้ายลาวเขียนหนังสือโยนออกมาฉบับ ๑ กรมหมื่นนเรศร์โยธีให้อ่านหนังสือยังหาสิ้นข้อความไม่ อ้ายลาวในค่ายรดมยิงปืนออกมา ได้ยิงตอบโต้กันแต่เพลาบ่าย ๔ โมงไปจนเพลาพลบค่ำ แลทำค่ายตับ ค่ายวิหลั่น สนามเพลาะ เข้าไปชิด ห่างค่าย ๑๐ วาบ้าง ๑๕ วาบ้าง รุ่งขึ้น ณวันเดือน ๖ ขึ้น ๑๐ ค่ำ เพลาเช้าตรู่ อ้ายลาวทิ้งค่ายเสียแตกหนีไป อ้ายลาวตายในที่รบ ๗๐ เศษ พระยากลาโหมราชเสนา พระยาพิไชยราชา พระยาสิทธิอาวุธ ไพร่ ๓ คน จับพระยานรินทร์ ๑ กับไพร่ ๑๒ คน พระยาอุทัยธานี พระยาณรงควิไชย กับนายอ่อน ข้ากรมหมื่นเสนีบริรักษ์ จับได้ ๑๓ คน เข้ากัน ๒๖ คน กับปืนคาบศิลา คาบชุด ดีแลชำรุด ๒๕ บอก กองทัพถูกปืนเมื่อรบอ้ายลาว กองมอญตายนาย พระยาเกียรติ์ (บุตร์คนใหญ่ของเจ้าพระยามหาโยธา ทอเรีย คชเสนี) ๑ สมิงสิทธิราชา ๑ ไพร่ ๓ รวม ๕ คน ลำบากสมิงสิทธิ นายกอง ๑ ปลัดกอง ๓ นายหมวด ๒ คน เข้ากัน ๖ คน กองพระยาพิไชยบุรินทรา ตาย ไทย ๑ พม่า ๑ รวม ๒ คน ลำบาก ๔ คน กองพระยาท้ายน้ำ ไพร่ลำบาก ๑ กองพระยาทศโยธา ไพร่ตาย ๑ ลำบาก ๑ รวม ๒ กรมหมื่นนเรศร์โยธี ไพร่ลำบาก ๓ กรมหมื่นเสนีบริรักษ์ ไพร่ลำบาก ๑ กองพระเสมาบริรักษ์เมืองโคราช ไพร่ตาย ๑ ลำบาก ๕ รวม ๖ คน เข้ากัน ตายนาย ๒ ไพร่ ๗ รวม ๙ คน ลำบากนาย ๔ ไพร่ ๑๗ รวม ๒๑ คน แต่อ้ายพระยานรินทร์ ๑ กับอ้ายลาว ๑๐ รวม ๑๑ คนนั้น กรมหมื่นนเรศร์โยธีขอพระราชทานไว้ไล่เลียงถามข้อราชการก่อนจึงจะส่งลงมา แล้วว่า พระยากลาโหมราชเสนา หมื่นณรงค์ ข้ากรมหมื่นนเรศร์โยธี หมื่นฤทธิ์ ข้ากรมหมื่นเสนีบริรักษ์ ไปติดตามอ้ายลาว พบครัวไทยลาวเมืองโคราช ฉกรรจ์ ๓๐ ชายหญิงใหญ่น้อย ๑๗๙ รวม ๒๐๙ คน แต่ฉกรรจ์นั้น พระยากลาโหมขอพระราชทานไว้ในกองทัพ กำหนดกรมหมื่นนเรศร์โยธี นายทัพนายกอง จะได้ยกขึ้นไปตีอ้ายลาวด่านเข้าสารช่องแคบ ณวันเดือน ๖ แรมค่ำ ๑ กรมหมื่นนเรศร์โยธีจึงให้นายขุนทอง ข้าในกรม คุมอ้ายลาวไพร่ ๑๔ คน ปืน ๒๕ บอก กับครัวเมืองโคราช ๑๗๙ คน แลคำให้การอ้ายพระยานรินทร์ ลงมาส่ง อนึ่ง กองมอญจับอ้ายลาวได้ที่หนองบัวลำภู ๘ คน กับสามเณร บุตรหลวงปลัดเมืองปักธงไชย หลานพระยายกกระบัตรเมืองโคราช หนีอ้ายลาวลงมาแต่บ้านเชียงเพง ๒ รูป แจ้งความว่า อ้ายอนุเวียงจันท์ฆ่าหลวงปลัด บิดา กับอาว์ ๒ คนเสีย เณรแก้ว เณรศีล พากันหนีไปซุ่มซ่อนอยู่กับครัว ครั้นรู้ว่า กองทัพกรุงฯ ตีค่ายหนองบัวลำภูแตก เณรแก้ว เณรศีล จึงหนีมา กรมหมื่นนเรศร์โยธีส่งอ้ายลาว ๘ คน กับสามเณร ๒ รูป ลงมา ฝ่ายพระยาเกษตรรักษาก็บอกลงมาว่า ยกขึ้นไปถึงลำเชิญ ณวันเดือน ๖ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ไพร่ในกองทัพไปตัดไม้ทำสพานเรือก กลับมาแจ้งความว่า พบรอยครัว พระยาเกษตรรักษาให้หลวงจำเริญสาลี ขุนรตเทพ ขุนวิสูตรสาลี นายไพร่ ๑๒ คน ไปตามครัวที่เชิงเขาทางใกล้ลำเชิญประมาณ ๔๐๐ เส้น พาครัวชายหญิงใหญ่น้อย ๕๒ คนมา พวกครัวแจ้งว่า หนีอ้ายลาวมาแต่หนองบัวลำภูณวันเดือน ๖ ขึ้น ๘ ค่ำ ครั้นจะส่งครัวลงมา ครัวยังเลื่อยล้าอิดโรยอยู่ พระยาเกษตรรักษาให้อยู่พักบ้านเตาก่อน แล้วส่งครัวลงมาอยู่บ้านเรือนตามภูมิลำเนา

ครั้นณวันเดือน ๖ แรม ๔ ค่ำ กรมหมื่นนเรศร์โยธีให้พระยากลาโหมราชเสนาบอกลงมาว่า กรมหมื่นนเรศร์โยธีให้ทัพพระยาพิไชยบุรินทรา พระยานครเขื่อนขันธ์ พระยานครอินทร์ พระเสนาบริรักษ์ หลวงเมือง หลวงคลัง ขุนณรงคพินาส กองหน้า ยกขึ้นไปก่อน นายทัพนายกองตั้งค่ายอยู่ณบ้านส้มป่อย ๖ ค่าย ทางไกลด่านเข้าสารลงมาทาง ๔๐๐ เส้น แล้วว่า กองตระเวนซึ่งให้ไปลาดตระเวนพาลาวเมืองหล่ม พาครัวประมาณ ๑๐๐๐ เศษ หนีอ้ายราชวงศ์กลับมาตั้งอยู่ณลำพรม ทางใกล้หนองบัวลำภู ๔๐๐ เส้น กรมหมื่นนเรศร์โยธีให้หลวงณรงควิชิต นายขุนเณร ข้าในกรม ไปพาตัวอ้ายอุปฮาด กับพุทธวงศ์ ผู้บุตร มาณค่ายหนองบัวลำภู ได้ให้อุปฮาดไปพาครอบครัวออกมาอยู่ ถ้าครัวมาถึงหนองบัวลำภูมากน้อยเท่าใด จะบอกลงมาครั้งหลัง กรมหมื่นนเรศร์โยธีให้พระยาพิไชยราชา พระอินทบุรี นายไพร่ ๓๐๐ คน รักษาค่ายแลรับครอบครัวอยู่ณหนองบัวลำภู ณวันเดือน ๖ แรมค่ำ ๑ กรมหมื่นนเรศร์โยธียกขึ้นไปถึงใต้บ้านส้มป่อยลงมา ทางประมาณ ๓๐ เส้น ได้ยินเสียงปืนรบกันณบ้านส้มป่อย แล้วอ้ายลาวขี่ช้างเข้ามารบถึงตลุมบอน ได้สู้รบกัน อ้ายลาวตายประมาณ ๕๐ เศษ อ้ายลาวแตกหนีไป อ้ายลาวกลับตั้งสนามเพลาะประชิดใกล้ค่ายอีกนั้น ได้มีตราขึ้นไปให้พระยาเกษตรรักษา พระยาราชโยธา เร่งรีบคุมปืนใหญ่ ๒ บอก กับกระสุนดินดำ ขึ้นไประดมตีอ้ายลามณบ้านส้มป่อย ๒๐๐๐ แล้วให้พระยาไกรโกษาธิบดี ทัพ ๑ หลวงปลัดพิมาย ทัพ ๑ พระนเรนทราชา หลวงราชสุเรนทร์ หลวงพิลึกโยธา หลวงมหิมาโยธี กำกับทัพขุนพล ทัพ ๑ คุมปืนใหญ่ ๒ บอก กระสุนดินดำ หนุนขึ้นไปอีก ๓ ทัพ ได้ยกไปจากลำปชีแต่ณวันเดือน ๖ แรม ๘ ค่ำ กรมหมื่นเสนีเทพ ทัพหน้า ทัพหลวงจะได้เดิรจากลำปชีณวันเดือน ๖ แรม ๙ ค่ำ แลทัพหลวงนั้นกำหนดจะได้กราบถวายบังคมลายกจากลำปชีขึ้นไปณวันเดือน ๖ แรม ๑๐ ค่ำ ถ้ากรมหมื่นนเรศร์โยธี นายทัพนายกอง บอกข้อราชการลงมาประการใด จะบอกลงมาครั้งหลัง แลครัวชาวเมืองโคราชซึ่งนายทัพนายกองส่งลงมา ๑๗๙ คนนั้น ได้ให้กลับมาอยู่บ้านเรือนตามภูมิลำเนาเดิม แต่อ้ายลาวซึ่งนายทัพนายกองส่งลงมา ๒๑ คนนั้น ขอพระราชทานไว้ไล่เลียงไต่ถามข้อราชการ ๓ คน ส่งลงมากรุงเทพฯ ๑๘ คน แต่ปืนคาบสิลา คาบชุด ดีแลชำรุด ๒๕ บอก ได้ส่งคำให้การอ้ายพระยานรินทร์ลงมาด้วยแล้ว

อนึ่ง เจ้าพระยามหาโยธาป่วยเปนโรคเก่าซ้ำลงอีก รับพระราชทานอาหารไม่ได้ กรมหมื่นนเรศร์โยธี นายทัพนายกอง ปรึกษาพร้อมกันให้เจ้าพระยามหาโยธากลับลงมาถึงค่ายหลวง ทรงจัดแจงให้หมอไปรักษาพยาบาล โรคคลาย ค่อยรับพระราชทานอาหารได้ขึ้นแล้ว จะให้เจ้าพระยามหาโยธาลงไปณกรุงฯ แลจะได้รักษาตัวอยู่ณเมืองโคราชแลค่ายลำปชีก่อนก็ไม่อยู่ จะขอเข้ากระบวรทัพหลวงกลับขึ้นไป แต่ทว่า จะให้ขึ้นขี่ช้างยังมิได้ จึงให้ทำแคร่กันยาพระราชทานเจ้าพระยามหาโยธาแคร่หนึ่ง แต่เจ้าพระยามหาโยธาครั้งนี้ดูเห็นโศกเศร้าเสียใจด้วยพระยาเกียรติ์ ผู้บุตร เปนอันมาก เลขในกองพระยาเกียรติ์ยังอยู่ แต่ปลัดกรมว่ากล่าวแต่ผู้เดียว ขอพระราชทานตั้งให้สมิงธนูศิลป์เปนพระยาเกียรติ์ พระภักดีโยธาเปนพระธนูศิลป์ นายเกษม มหาดเล้กในพระราชวังบวรฯ บุตรเจ้าพระยามหาโยธา เปนหลวงภักดีโยธา จะได้ควบคุมเลขทำราชการฉลองพระเดชพระคุณสืบไป ได้พระราชทานพระภักดีโยธา ผู้เปนพระธนูศิลป์ ลูกประคำทองสายหนึ่ง นายเกษม มหาดเล็ก ผู้เปนหลวงภักดีโยธา ผู้ช่วยราชการ กตุดทองคำ ๕ ดอกสายหนึ่ง

ราชการที่ด่านเข้าสารนั้น เห็นอ้ายลาวจะรับตึงมืออยู่ อ้ายสุทธิสารนั้นก็หาตายไม่ เมื่ออ้ายอนุเวียงจันท์กลับขึ้นไปจากเมืองโคราชถึงลำปชีแล้ว อ้ายสุทธิสารจึงตามขึ้นไป เห็นจะตายที่ทุ่งสัมริด แต่อ้ายเถือน อ้ายปัน นั้น ก็ส่งไปอยู่กับอ้ายป่าสัก ทัพเจ้าพระยาอภัยภูธร พระยาเพ็ชรพิไชย แลทัพพุงดำทางเมืองเลย ก็ยังหาได้ความประการใดไม่ ทัพเจ้าพระยาธรรมาซึ่งจะขึ้นมารักษาเมืองโคราช ก็ยังหามาถึงไม่ แต่กระสุนดินดำในกองทัพหลวงนั้นจ่ายกองหน้า กองพระยาราชสุภาวดี กองเจ้าพระยาโคราช ไปเสียเปนอันมาก ราชการยังจะทำต่อไปอีกมากอยู่ ดินดำยังค้างอยู่บ้านม่วงสองคอน ๕๐ หาบ กระสุน ๑๔๐,๐๐๐ นั้น ได้มีตราไปถึงเจ้าพระยามหาเสนาว่า ถ้าชำระเลขเมืองโคราชได้มากน้อยเท่าใด ให้จัดแจงลงไปขนกระสุนดินดำขึ้นมา ครั้นจะให้จัดแจงช้างลงไปรับบันทุก ช้างเมืองโคราชก็ขัดสน ถ้าเจ้าพระยาธรรมา นายไพร่ ๗๐๐ คน จะขึ้นมา ก็ขอให้เจ้าพระยาธรมาจัดแจงเอาลูกกระสุนดินดำขึ้นมาไว้ณเมืองโคราชให้สิ้น กระสุนดินดำจะใช้มาอย่ ถ้านายทัพนายกองขัดสนเมื่อใด จึงจะให้มารับกระสุนดินดำณเมืองโคราช

หนังสือมาณวัน ค่ำ ปีกุญ นพศก ฯ (พ.ศ. ๒๓๗๐)

อ้ายพระยานรินทร์ เจ้าเมืองศรีมุม[1] ให้การว่า ณเดือนอ้าย ปีจอ อัฐศก อ้ายอนุเวียงจันท์ใช้ให้อ้ายแก้ว ตำรวจ กับไพร่ ๑๓ คน ไปเอาตัวข้าพเจ้ามาหาอ้ายอนุเวียงจันท์ณบ้านดอนสาร ตำรวจว่า ถ้าไม่ไป จะตัดศีร์ษะเสีย ข้าพเจ้ากลัว ก็มาหาอ้ายอนุบานดอนสาร อ้ายอนุถามข้าพเจ้าว่า จะไปด้วยกันหรือไม่ไป ข้าพเจ้าว่า จะไป แล้วอ้ายอนุพาข้าพเจ้าลงไปเมืองโคราช ประมาณไพร่ซึ่งมากับอ้ายอนุ ๙๐๐ เศษ ครั้นถึงเมืองโคราช อ้ายอนุให้หาพระยายกระบัตร กรมการ มาถามว่า จะไปเมืองเวียงจันท์ด้วยกันหรือไม่ พระยายกระบัตร กรมการ ก็ว่า ถ้าปล่อย จะยอมไปด้วยอ้ายอนุเวียงจันท์ ๆ ให้อ้ายราชวงศคุมไพร่ ๖๖๐ คนยกลงไปไล่ครัวเมืองสระบุรี แต่ตัวข้าพเจ้า อ้ายอนุใช้ให้อ้ายศักกะละคอน (สกลนคร?) กับไพร่ ๑๐๐ คนคุมกลับไปเมืองศรีมุม ให้ไล่ครัวมาบัญจบกันที่ทางสามม่อ จะได้ไปเวียงจันท์ ข้าพเจ้าตามครัวชายหญิงประมาณ ๑๐๐ เศษออกจากเมืองศรีมุมแต่ณวันแรม ๑๓ ค่ำ ตามครัวมาถึงบ้านแทน อ้ายอนุให้ตำรวจขึ้นมาเร่งให้ข้าพเจ้าตั้งค่ายณบ้านแทน ข้าพเจ้าตั้งค่ายยังหาแล้วไม่ จึงยกกลับขึ้นมา อ้ายอนุบอกข้าพเจ้าว่า ครัวเมืองโคราชซึ่งให้เพี้ยรามพิไชยคุมไพร่ ๒๐๐ คนไปถึงบ้านสัมริด พวกครัวฆ่านายไพร่ตายเสียหมดแล้ว ให้อ้ายสุทธิสารคุมไพร่ ๒๐๐๐ คน มีปืน ๒๐๐ บอก ยกไปรบกับครัวโคราชณบ้านสัมริด อ้ายสุทธิสารแตกหนีมา พวกครัวฆ่านายไพร่ตายเปนอันมาก พออ้ายสุทธิสารหนีมาถึงณบ้านแทน อ้ายสุทธิสารบอกอ้ายอนุว่า ครัวฆ่าไพร่ลาวตายเสีย ๖๐๐ เศษแล้ว อ้ายอนุ กับอ้ายสุทธิสาร ข้าพเจ้า ก็พากันขึ้นมาถึงบ้านหนองบัวลำภู อ้ายอนุตั้งให้เปนเจ้าเมืองหนองบัวลำภู แล้วอ้ายอนุจัดแจงให้ตั้งค่ายไม้จริงยาว ๓๐ เส้นกว้าง ๑๖ เส้น อ้ายอนุจัดให้ข้าพเจ้า กับอ้ายปลัดหนองบัวลำภูคนเก่า อ้ายวรจักรบ้านบัว อ้ายหามองค์บ้านเทวี อ้ายอุปราชาบ้านภูเวียง อ้ายวรวงศ์บ้านมะโดด อ้ายตนามบ้านลำภู คุมไพร่ ๑๘๐๐ คน ปืนคาบศิลา ๓๐๐ บอก อยู่รักษาค่าย แล้วอ้ายอนุจัดครัวเมืองโคราชที่ไว้ใจได้ให้ข้าพเจ้า ๓๐ ครัว ชายหญิงประมาณ ๗๐ คน กับครัวข้าพเจ้า ๑๐๐๐ เศษ อยู่กับข้าพเจ้า แต่ครัวอ้ายมีชื่อทั้งนี้ บ้านใคร ๆ อยู่ ครั้นอ้ายอนุกลับขึ้นไปถึงบ้านส้มป่อย ให้อ้ายราชวงศ เจ้าเมืองชนบท กับไพร่ครัวฉกรรจ์ ๖๐๐ คน กับปืนคาบศิลา ๗๐ บอก กลับลงมาอยู่รักษาค่ายกับข้าพเจ้า เข้ากันไพร่ฉกรรจ์ ๒๓๐๐ ครัว ๘๐๐ คน ปืนคาบศิลา ๑๙๐ บอก ครั้นณวันเดือน ๕ ข้างขึ้น ไพร่ลาว ๒๐ คนซึ่งอ้ายอนุให้มานั่งทางอยู่เขาสามม่อ แตกหนีกลับขึ้นมาแจ้งความว่า กองทัพกรุงเทพฯ ยกขึ้นมาถึงเขาสามม่อ ได้รบกับกองทัพหน้า ๆ ฆ่าลาวตัวนายตายคน ๑ จับไพร่ได้คน ๑ อ้ายปลัดจัดให้นายไพร่ ๑๐๐ เศษ ปืนคาบศิลา ๓๐ บอก ลงไปสืบกองทัพ แต่ก่อนนั้น อ้ายอนุมีหนังสือมาให้ข้าพเจ้าขนเข้าตามบ้านระยะทางเข้ามาไว้ในค่าย ถ้าขนไม่ทัน ให้คนไปเผาเสีย ครั้นณวันเดือน ๖ แรม ๗ ค่ำ ข้าพเจ้ากับอ้ายปลัดคุมไพร่ ๔๐๐ คน ปืนคาบศิลา ๔๙ บอก กับช้าง ๔๐ เชือก ลงไปขนเข้าณบ้านลาด ครั้นเพลาประมาณ ๒ ยามเศษ อ้ายมีชื่อลาวกองหน้าที่ภูเวียงแตกหนีมา ข้าพเจ้ากับอ้ายปลัดมาในเพลากลางคืน ถึงค่ายหนองบัวลำภูรุ่งขึ้นเช้า ข้าพเจ้ากับอ้ายปลัดคนมีชื่อผ่อนครัวออกจากค่ายไป แต่ข้าพเจ้า กับอ้ายปลัดคนมีชื่อ นายไพร่ ๑๘๐๐ อยู่รักษาค่าย ข้าพเจ้าจึงใช้ให้กองตระเวนซึ่งหนีไปบอกความกับอ้ายอนุว่า กองทัพกรุงเทพฯ ยกขึ้นมามาก ให้เร่งคิดอ่านเถิด อ้ายลาวที่ขึ้นไปยังหากลับมาไม่ ครั้นณวันเดือน ๖ ขึ้น ๙ ค่ำ เพลาบ่าย กองทัพยกขึ้นมาถึง ข้าพเจ้ากับอ้ายปลัดกำกับไพร่รักษาหน้าที่คนด่านยิงสู้กันจนรุ่งขึ้นเวลาเช้า ข้าพเจ้ากับอ้ายปลัดคนมีชื่อแตกออกจากค่าย ต่างคนต่างหนี กองทัพจับข้าพเจ้า กับหลานชายข้าพเจ้าคน ๑ ไพร่ ๑๐ คน แลเมื่อข้าพเจ้าไล่ครัวมาถึงมอแกนั้น พออ้ายราชวงศกลับมาแต่เมืองสระบุรีถึงหนองภูเขาเหนือลำปชี ให้หาข้าพเจ้าไปแล้วบอกความข้าพเจ้าว่า เดิมเจ้าเมืองหล่มศักดิ์เข้าด้วยกันแล้ว ๆ หาเข้าด้วยกันไม่ บัดนี้ เราคุมไพร่ ๖๖๐๖ คน ปืนคาบศิลา ๑๐๐๐ เศษ จะยกไปตีหล่มศักดิ์ทางภูเวียง ให้อ้ายนามวงศ อ้ายเชียงไค เปนกองหน้ายกไปก่อน ครั้นอยู่มา อ้ายราชวงศจับเจ้าเมืองหล่มศักดิ์กับอ้ายอุปราชส่งมาให้อ้ายอนุ ๆ ฆ่าเสียที่ลำปชี แล้วข้าพเจ้ารู้ว่า อ้ายราชวงศรบกับกองทัพกรุงเทพฯ แตกหนีกลับขึ้นไปเมืองเวียงจันท์ หาได้มาทางค่ายหนองบัวลำภูไม่

แต่ค่ายหนองบัวลำภูไปบ้านส้มป่อยแต่เช้าจนเที่ยง มีลำคลองบ้านส้มป่อยเปนที่สำนักแห่งหนึ่ง มีทางแยกไปทางซ้ายมือแต่เช้าจนเที่ยงถึงค่ายซึ่งอ้ายราชวงศมาตั้งอยู่ คนประมาณ ๖๐๐๐ เศษ มีทางตัดข้ามหลังเขาไปอีกทางหนึ่ง แต่บ้านส้มป่อยถึงบ้านช่องเข้าสาร ทางเช้าจนเพล มีเขาสองข้าง ช่องแคบ ปากช่องกว้างประมาณ ๔ วา อ้ายอนุให้ตั้งค่ายหน้ากระดานอยู่บนเนินเขาทั้งสองข้างปิดทางไว้ อ้ายสุทธิสารคุมไพร่ประมาณ ๙๐๐๐ คน ปืน ๒๐๐๐ เศษ รักษาค่ายอยู่ มีน้ำซับอยู่กลางค่ายพออาศรัย แต่หน้าค่ายนั้นหามีน้ำไม่ แต่ค่ายหน้ากระดานไปถึงบ้านช่องเข้าสาร ทาง ๓๐๐ เส้นเศษ แต่บ้านเข้าสารไปถึงห้วยบง ทาง ๔๐๐ เส้นเศษ มีน้ำพออาศรัย แต่นั้นไปถึงบ้านแม่น้ำโขง ทางเช้าจนค่ำ ตามระยะทางมีน้ำพออาศรัยอยู่

ครั้นเฆี่ยนอ้ายพระยานรินทร์ ๆ ออกความว่า เมื่ออ้ายปลัดยังไม่หนีนั้น บอกกับข้าพเจ้าว่า ทางไปเมืองเวียงจันท์นั้นก็ตัดเดิรตามหลังเขามาสามมอทางหนึ่ง ระยะทางเดิรลำลอง ๙ คืน อยู่ข้างตวันขึ้น หารวมกับทางเขาที่มาไม่ แลเมื่อวันเดือน ๕ แรม ๒ ค่ำ อ้ายสุทธิสารบอกหนังสือมาถึงข้าพเจ้าว่า อ้ายโถงบอกหนังสือมาถึงอ้ายสุทธิสาร อ้ายโถงตั้งค่ายอยู่เมืองกาฬสินธุ์ คุมไพร่ ๔๐๐ ระยะทางตั้งแต่กาฬสินธุ์มาถึงอ้ายสุทธิสารตั้งอยู่ ทาง ๙ คืน แต่อ้ายอุปฮาดเวียงจันท์ตั้งค่ายอยู่บ้านหนองหาร ใช้ให้อ้ายลาวลงมาบอกข้าพเจ้าว่า มีไพร่ ๔๐๐๐ ถ้ามีกองทัพไทยมาแล้ว ให้บอกหนังสือขึ้นไปด้วย จะได้ลงมาช่วย แต่หนองหารมาค่ายอ้ายสุทธิสาร ระยะทาง ๔ คืน แต่เจ้าเมืองขอนแก่นไล่ครัวมาอยู่บ้านสระแจ้ง ไพร่ฉกรรจ์ ๒๕๐๐ แต่ตัวเจ้าเมืองขอนแก่นกับไพร่ฉกรรจ์นั้นมารักษากับอ้ายสุทธิสาร แต่ครัวเจ้าเมืองชนบทมาอยู่บ้านคาง ไพร่ฉกรรจ์ ๒๗๐๐ เจ้าเมืองชนบทอยู่รักษาครัว ให้แต่บุตรกับไพร่ ๙๐๐ คนมาอยู่กับข้าพเจ้าณค่ายหนองบัวลำภู เมืองนอกนั้นตามระยะทางมีมากอยู่ อ้ายอนุให้ไล่ครัวขึ้นไปเมืองเวียงจันท์สิ้น เมื่ออ้ายอนุยังอยู่ที่ค่ายข้าพเจ้านั้น ว่ากับอ้ายสุทธิสาร กับข้าพเจ้า ผู้มีชื่อ ว่า การศึกครั้งนี้ จะรับให้หยุดที่เขาช่องแคบบ้านเข้าสาร จะเอาภูเขาเปนโลงสู้ตายไม่ถอยแล้วเปนอันขาด สิ้นคำให้การข้าพเจ้าเท่านี้

วันเสาร์ เดือน ๗ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีกุญ นพศก พระยาไกรสีให้ถามอ้ายเชียงยัน

อ้ายเชียงยันให้การว่า อายุข้าพเจ้าได้ ๔๕ ปี เมียข้าพเจ้าชื่อ อีทา มีบุตรชาย ๓ หญิง ๑ รวม ๔ คน ข้าพเจ้าเปนเลขเจ้าพระยาโคราช ข้าพเจ้าอยู่ณบ้านสูงเนิน ทางใกล้เมืองโคราชวันหนึ่ง ณวันเดือน ๙ ขึ้น ๑๐ ค่ำ เจ้าพระยาโคราชให้นายหมวดนายกองคุมเลขบ้านสูงเนิน พระสุริยภักดี ข้าหลวงกองสัก ขึ้นไปรับเอาเลขเมืองโคราชซึ่งขึ้นไปมีบุตรภรรยาอยู่ณแขวงเมืองสุวรรณภูมิ เมืองร้อยเอ็ด เมืองกาฬสินธุ์ นายหมวด แลข้าพเจ้า กับนายจัน น้องเมียนายหมวด ขึ้นไปถึงเมืองร้อยเอ็ดณเดือน ๑๐ ข้างขึ้น พบพระสุริยภักดีกับข้าหลวงมีชื่อขึ้นไปสักเลขอยู่ณเมืองร้อยเอ็ด ข้าพเจ้าเห็นคนที่เมืองร้อยเอ็ดมีอยู่ประมาณ ๓๐๐๐ ครัวเศษ พระสุริยภักดีชำระได้อ้ายเชียงโย อ้ายทิดดา เลขเมืองโคราชหนีขึ้นไปอยู่ณเมืองร้อยเอ็ด ๒ คน พระสุริยภักดีมอบอ้ายเชียงโย อ้ายทิดดา ให้นายหมวด ๆ ก็รับเอาตัวอ้ายเชียงโยตามพระสุริยภักดีขึ้นไปณเมืองกาฬสินธุ์ แต่อ้ายทิดดาป่วย หาได้ไปไม่ ครั้นถึงเมืองกาฬสินธุ์ณเดือน ๑๒ ข้างขึ้น ข้าพเจ้ากับนายหมวดไปสืบหาตัวอ้ายทิดชาติชาตรี เลขโคราชซึ่งหนีขึ้นไปอยู่กาฬสินธุ์ หาพบตัวไม่ ได้ความว่า อ้ายทิดชาติได้หนีขึ้นไปอยู่เวียงจันท์แต่ณปีระกา สัปตศก พระสุริยภักดี ข้าหลวงมีชื่อ อยู่ณเมืองกาฬสินธุ์ นายหมวดกับข้าพเจ้าอยู่ที่โรงหลวงศรีสุนทร ข้าหลวงวังหน้า ข้าพเจ้าเห็นไพร่พลเมืองกาฬสินธุ์มีอยู่ประมาณ ๑๐๐ ครัว แต่เรือนร้างมีอยู่ประมาณ ๑๐๐ เศษ ข้าพเจ้าถาม ชาวบ้านบอกข้าพเจ้าว่า ที่เรือนร้างนั้น เจ้าของเรือนพาครัวยกขึ้นไปอยู่เมืองสกลนครหลายปีแล้ว จะเปนคนมากน้อยเท่าใด ข้าพเจ้าหาได้ถามไม่ ครั้นอยู่มาณเดือนยี่ ข้างแรม ข้าพเจ้าเห็นอ้ายอุปราชเวียงจันท์กับอ้ายโถงยกคนเวียงจันท์ลงมา นายไพร่ประมาณ ๓๐๐๐ คน ช้างพลายพังประมาณ ๑๐๐ ช้าง ม้าประมาณ ๓๐ ม้า แต่ปืนใหญ่ปืนน้อยข้าพเจ้าหาเห็นไม่ แต่หอกมัด ๆ ละ ๒๐ เล่ม ๒๐ เล่ม ประมาณ ๑๐๐๐ เล่ม อ้ายอุปราช อ้ายโถง ยกมาตั้งอยู่น้ำเปา ทางไกลเมืองกาฬสินธุ์ประมาณ ๑๐๐ เส้น หาได้ตั้งค่ายไม่ ในวันนั้น เจ้าเมืองกาฬสินธุ์รู้ว่า อ้ายอุปราช อ้ายโถง ยกคนลงมาติดเมืองกาฬสินธุ์ นายไพร่ ๑๐๐ คน พากันหนีไปอยู่บ้านจันเบี้ยได้ ๒ วัน พระสุริยภักดี พระเสนีพิทักษ์ หลวงศรีสุนทร พากันไปหาอ้ายอุปราช ข้าพเจ้าหาได้ไปด้วยไม่ ครั้นเพลากลางวัน พระสุริยภักดีกลับมา ข้าพเจ้าได้ยินพระสุริยภักดีพูดว่า อ้ายอุปราชถามพระสุริยภักดีถึงเจ้าเมืองกาฬสินธุ์ พระสุริยภักดีบอกว่า เจ้าเมืองกาฬสินธุ์หนีไปอยู่บ้านจันเบี้ย แขวงเมืองกาฬสินธุ์ ทางครึ่งวัน ข้าพเจ้าเห็นพระสุริยภักดี ข้าหลวงกองสัก ออกไปหาอ้ายอุปราชทุกวัน ๆ ละครั้ง อ้ายอุปราชมาถึงเมืองกาฬสินธุ์ได้ ๓ วัน ๆ หนึ่งเพลาน้องเพล ข้าพเจ้ากับนายหมวดไปเที่ยวต่อนกที่ริมฝั่งน้ำเปา เห็นอ้ายลาวเวียงจันท์ พวกอ้ายอุปราช ประมาณ ๒๐ คน ถือหอกดาบ แล้วมัดเอาเจ้าเมืองกรมการเมืองกาฬสินธุ์ ๕ คนใส่อู่หามลุยข้ามแม่น้ำเปามาฝั่งตะวันตก แล้วตัดศีร์ษะเสียบไว้ทั้ง ๕ คน ข้าพเจ้ารู้จักจำหน้าได้แต่เจ้าเมืองกาฬสินธุ์ ๑ เมืองแสน ๑ เมืองจันท์ ๑ เมืองแพน ๑ แต่อิกคนหนึ่งนั้นข้าพเจ้าหารู้จักหน้าไม่ ข้าพเจ้า นายหมวด จึงรู้ว่า อ้ายอุปราชเปนขบถ ข้าพเจ้ากับนายหมวดกลัว ก็กลับมาที่อยู่ นายหมวดกับข้าพเจ้าจึงเอาความซึ่งอ้ายอุปราชเวียงจันท์ฆ่าเจ้าเมืองกรมการเมืองกาฬสินธุ์เล่าให้หลวงศรีสุนทรฟัง แล้วข้าพเจ้ากับนายหมวดจึงบอกกับหลวงศรีสุนทรว่า จะพากันกลับมาบ้านข้าพเจ้าณเมืองโคราช หลวงศรีสุนทรว่า เกิดเหตุขึ้นดังนี้แล้ว จะพากันไปก็ไปเถิด แต่พระสุริยภักดีนั้นหาได้ไปบอกไม่ ในวันนั้น ข้าพเจ้า กับนายหมวด นายเชียงโย อ้ายจัน พากันหนีออกจากเมืองกาฬสินธุ์ณเดือนยี่ ข้างแรม จะใกล้สิ้นเดือน พากันเดิรหนีลัดป่ามาคืนหนึ่ง ถึงบ้านท่าขอนยาง แขวงเมืองร้อยเอ็ด เพลากลางวัน พบพวกลาวเวียงจันท์ประมาณ ๑๐ คนถือหอกดาบเดิรมาไล่ครัวบ้านท่าขอนยาง พวกอ้ายลาวเวียงจันท์ถามข้าพเจ้ากับนายหมวดว่า ลาวหรือไทย จะพากันไปไหน นายหมวดกลัว หาพูดไม่ ข้าพเจ้าจึงบอกพวกอ้ายลาวเวียงจันท์ว่า ข้าพเจ้ามีชื่อ ๔ คนนี้เปนลาวบ้านสูงเนิน อ้ายลาวพวกเวียงจันท์จึงปล่อยข้าพเจ้ามาแล้วว่า ถ้าเปนไทย จะฆ่าเสีย ข้าพเจ้ากับนายหมวดคนมีชื่อพากันเดิรหนีลัดป่ามา ๖ คืนถึงเมืองไชยภูมิ ครอบครัวที่เมืองไชยภูมิปรกติอยู่ ยังหากวาดต้อนไม่ ข้าพเจ้ากับนายหมวดเข้าสำนักอยู่เรือนหมอศรีกุนพี่น้องนายหมวด ข้าพเจ้าถาม พวกชาวบ้านบอกข้าพเจ้าว่า อ้ายเวียงจันท์ยกคนเวียงจันท์ ๑๐๐๐๐ ลงมาตั้งอยู่ณเมืองโคราชแต่ณเดือน ๓ อ้ายราชวงศ์ลงมากวาดครัวเมืองสระบุรี แลอ้ายราชวงศ์จะยกคนลงมามากน้อยเท่าใด แลบุตรหลานเพี้ยกวานผู้ใดมากับอ้ายเวียงจันท์นั้น ชาวบ้านหาได้พูดให้ข้าพเจ้าฟังไม่ แล้วว่า อ้ายแลเจ้าเมืองไชยภูมิลงมาอยู่กับอ้ายเวียงจันท์ณเมืองโคราช อ้ายเวียงจันท์จะกวาดครัวเมืองโคราชขึ้นมา แล้วจะกวาดครัวเมืองไชยภูมิไปด้วย ข้าพเจ้าเปนไข้ป่วยอยู่ที่เมืองไชยภูมิประมาณ ๙ วัน ๑๐ วัน ครั้นคลายป่วยแล้ว ณเดือน ๓ จะเปนขึ้นแรมจำมิได้ ข้าพเจ้ากับนายหมวดคนมีชื่อพากันมาจากเมืองไชยภูมิ ๓ คืนถึงท้องลางฟันเทียมด่านโคราชทางไกลเมืองโคราชวันหนึ่ง พบครัวลาวโคราชประมาณ ๙ ครัว ๑๐ ครัวอ้ายพวกลาวเวียงจันท์กวาดต้อนขึ้นไป พวกครัวเอาสิ่งของบันทุกช้างบ้าง ต่างบ้าง หาบไปบ้าง ข้าพเจ้าดูทีกิริยาพวกครัวที่พร้อมลูกผัวก็ชื่นบานเต็มใจไป ที่ลูกผัวติดอยู่ในกองทัพเจ้าพระยาโคราชซึ่งยกขึ้นไปเมืองขุขันธ์ อยู่แต่บุตรภรรยา อ้ายลาวพวกเวียงจันท์กวาดต้อนไป ก็พากันร้องไห้หาเต็มใจไปไม่ ข้าพเจ้าถามถึงครัวข้าพเจ้า พวกครัวบอกว่า ครัวลาวเมืองโคราช อ้ายเวียงจันท์ให้ไปทางหนองบัวพะยุ ครัวไทยโคราชอ้ายเวียงจันท์ให้ไปทางตวันออก แลทางหนองบัวพะยุมาร่วมเมืองไชยภูมิ ทางตวันออกมาร่วมแม่น้ำปชี นายหมวดนายจันจึงว่ากับข้าพเจ้าว่า อ้ายเวียงจันท์มากวาดครัวเมืองโคราชแล้ว นายหมวดนายจันก็จะไปตามครัว นายหมวดนายจันให้ข้าพเจ้าไปตามครัว ข้าพเจ้ากับนายหมวดนายจันก็ต่างคนต่างไป ข้าพเจ้าก็กลับเข้ามาสำนักอยู่ณเรือนตาตูเมืองไชยภูมิ เที่ยวหาครัวอยู่ ๓ วัน พวกอ้ายเวียงจันท์จึงไล่ครัวบ้านสูงเนินไปถึงเมืองไชยภูมิประมาณ ๒๐๐ ครัว ข้าพเจ้าพบครัวข้าพเจ้า ๆ ก็พาบุตรภรรยาข้าพเจ้ากับพี่น้องข้าพเจ้าไปณเมืองไชยภูมิ แต่ครัวบ้านสูงเนินแลครัวลาวเมืองโคราชนั้น พวกอ้ายเวียงจันท์กวาดต้อนขึ้นไปเวียงจันท์ ข้าพเจ้าอยู่เมืองไชยภูมิประมาณเดือนหนึ่ง ครั้นณเดือน ๔ ข้างแรม อ้ายแลเจ้าเมืองกลับขึ้นไปณเมืองไชยภูมิ อ้ายแลพูดว่า เมื่อแรกอ้ายเวียงจันท์ยกลงมาเมืองโคราช ปลัดกองอ้ายแลไปฟ้องกับอ้ายเวียงจันท์ว่า อ้ายแลไม่เข้าด้วยอ้ายเวียงจันท์ ๆ โกรธว่า จะฆ่าอ้ายแลเสีย ครั้นอ้ายแลไปถึง พูดจาประสมประสาน อ้ายเวียงจันท์หายโกรธ จึงให้อ้ายแลนำตำรวจเวียงจันท์มากวาดครัวเมืองไชยภูมิขึ้นไปเวียงจันท์ อ้ายแลอยู่ณเมืองไชยภูมิได้ ๒ วัน พออ้ายลาวตำรวจเวียงจันท์ไปถึงเมืองไชยภูมิประมาณ ๒๐ คน อ้ายแลกับอ้ายลาวตำรวจเวียงจันท์พากันกวาดต้อนไล่ครัวเมืองไชยภูมิไปทั้งไทยลาวประมาณ ๓๐๐ ครัว ครัวข้าพเจ้าไปด้วย แลเข้าเปลือกที่เมืองไชยภูมิพวกครัวเอาไปมิได้ มีอยู่เรือนละ ๓๐๐ กระบุง ๔๐๐ กระบุงทุกเรือน หาได้จุดเผาไม่ ข้าพเจ้าเดิรครัวไปประมาณ ๙ คืน ๑๐ คืนถึงเมืองภูเขียว อ้ายแลไปหาเจ้าเมืองภูเขียว ๆ คิดกับอ้ายแลว่า จะพาครัวหนีเข้าป่าลัดมาทางตวันตก จะลงมาณกรุงฯ ครั้นอยู่ ๒ วัน อ้ายลาวตำรวจไปเตือนเจ้าเมืองภูเขียวให้เดิรครัว เจ้าเมืองภูเขียวผัดว่า จะคอยช้างซึ่งอ้ายเวียงจันท์เกณฑ์เอาไปบันทุกทรัพย์สิ่งของเมืองโคราชขึ้นไปเวียงจันท์กลับมาถึงก่อน จะได้บันทุกเสบียงไป พวกครัวอ้ายแลและชาวเมืองไชยภูมิพากันยั้งอยู่ณเมืองภูเขียวประมาณ ๑๕ วัน เจ้าเมืองภูเขียวก็ยังหาพาครัวเข้าป่าไม่ ณเดือน ๕ ข้างขึ้น อ้ายเวียงจันท์ให้ลาวเวียงจันท์ประมาณ ๒๐๐ คน ตัวนายจะชื่อใดไม่ทราบ มีขึ้นบืนคาบศิลาประมาณ ๓๐ บอก กระสุนดินดำบอกหนึ่งประมาณ ๙ นัด ๑๐ นัด หอกดาบครบมือกัน พวกอ้ายลาวเวียงจันท์ไปบอกเจ้าเมืองภูเขียวกับอ้ายแลว่า อ้ายเวียงจันท์ให้พากันกวาดต้อนครัวขึ้นไปเมืองเวียงจันท์ให้สิ้นเชิง ถ้าไม่ไป จะฆ่าเสีย เจ้าเมืองภูเขียวกับอ้ายแลก็ผัดอ้ายลาวตำรวจอยู่ ยังหาไปไม่ พวกอ้ายลาวตำรวจก็กลับไปหาอ้ายเวียงจันท์บ้าง คุมครัวอยู่ประมาณ ๑๔ คน ๑๕ คน ครั้นณเดือน ๕ แรม ๔ ค่ำ ๕ ค่ำ อ้ายเวียงจันท์ให้บุตรอ้ายเวียงจันท์คนหนึ่งขี่ม้ามากับลาวไพร่ประมาณ ๕๐ คน ปืน ๕ บอก หอกดาบครบมือกัน มือถือหนังสืออ้ายเวียงจันท์มาถึงเจ้าเมืองภูเขียว อ้ายแล ในหนังสือนั้นว่า อ้ายเวียงจันท์กลับไปถึงเวียงจันท์แล้ว ให้หาเมืองภูเขียว อ้ายแล ขึ้นไปคิดราชการณเมืองเวียงจันท์ แลบุตรอ้ายเวียงจันท์ซึ่งมานั้นรูปสันทัดคน ผิวเนื้นขาว หน้ากลม อายุประมาม ๒๐ ปี จะชื่อใดไม่ทราบ รุ่งขึ้น บุตรอ้ายเวียงจันท์ก็คุมตัวเจ้าเมืองภูเขียว อ้ายแล เพี้ยกวาน ท้าวเมืองไชยภูมิ ขึ้นไปณเมืองเวียงจันท์ แลบ่าวไพร่เจ้าเมืองภูเขียวหาได้เอาไปไม่ ครั้นอยู่ประมาณ ๓ วัน อ้ายลาวเวียงจันท์ นายไพร่ประมาณ ๑๐๐ คน ปืน ๑๐ บอก หอกดาบครบมือกัน มาณเมืองภูเขียว อ้ายลาวพวกเวียงจันท์เข้าเก็บรับเอาปืนหอกดาบชาวเมืองภูเขียวแลเมืองไชยภูมิจนสิ้นเชิง พวกเมืองภูเขียว เมืองไชยภูมิ ก็ยอมให้เครื่องศัสตราอาวุธไปกับอ้ายลาวเวียงจันท์โดยดี หาสู้รบไม่ แลอ้ายพวกลาวเวียงจันท์จะเก็บเครื่องศัสตราอาวุธไปได้มากน้อยเท่าใดไม่ทราบ แล้วอ้ายพวกลาวเวียงจันท์ก็กวาดต้อนพวกครัวเมืองภูเขียวไปประมาณ ๓๐๐ ครัว และครัวเมืองไชยภูมิกับทั้งครัวข้าพเจ้านั้นก็กวาดต้อนไปด้วย หามีผู้ใดหลบหนีไม่ แลพวกครัวเก็บเอาทรัพย์สิ่งของบันทุกช้างไปบ้าง ที่มีต่างก็บันทุกต่างไปบ้าง หายไปบ้าง แต่กระบือพวกครัวเอาไปมิได้ ทิ้งไว้ประมาณ ๒๐๐ เศษ เข้าเปลือกมีอยู่เรือนละ ๑๐๐ กระบุงบ้าง ๒๐๐ กระบุงบ้างทุกเรือน อ้ายลาวหาได้จุดเผาไม่ เมื่อไปตามทาง พบบ้านในแขวงเวียงจันท์ บ้านแก บ้านคุกไส้เทียน มีเรือนบ้านละ ๑๔ เรือน ๑๕ เรือน มีเข้าเรือนละ ๕๐ กระบุงบ้าง ๑๐๐ กระบุงบ้าง อ้ายลาวหาจุดเผาเสียไม่ แต่ครัวนั้นกวาดต้อนไปหมด อ้ายเวียงจันท์ไล่ครัวพวกข้าพเจ้าไป ณวันเดือน ๖ ขึ้น ๕ ค่ำ ถึงบ้านคุกไส้เทียน ไปจากบ้านคุกไส้เทียนอีกคืนหนึ่ง ยังทางอีกเช้าชั่วงายจะถึงบ้านเหมันต์ อ้ายลาวตำรวจเวียงจันท์พาคนลงมาเก็บเอาชายพวกครัวเมืองภูเขียว เมืองไชยภูมิ ไปเข้าค่ายหนองบัวสำภูจนสิ้นเชิง หาได้แบ่งให้อยู่รักษาครัวไม่ ชายตั้งแต่อายุ ๑๖ ปีขึ้นไปจนอายุ ๗๐ ปี อ้ายลาวกวาดเอาไปเข้าค่ายหนองบัวลำภู จะได้คนเมืองภูเขียว เมืองไชยภูมิ มากน้อยเท่าใดไม่ทราบ เอาไปจนหมด กับเมืองชนบท เมืองร้อยเอ็ด เมืองพุทไธสง เมืองศรีมุม กับคนเมืองรายทางซึ่งกวาดไป ๑๐๐ คน ให้พระยานรินทร์กับเพี้ยสิงหนาทเวียงจันท์เปนแม่ทัพ กับไพร่หนองบัวลำภูประมาณ ๔๐ คน ๕๐ คน รักษาค่ายหนองบัวลำภู มีปืนคาบศีลา ๘ กระบอก ๙ กระบอก หอกดาบประมาม ๑๐๐ เล่ม ที่ไม่มีปืนไม่มีหอกดาบอ้ายพระยานรินทร์ให้ตัดไม้ทำกระบองทำหลาวสำหรับมือ เมื่อข้าพเจ้าไปถึงค่ายหนองบัวลำภู เห็นครัวบ้านหนองบัวลำภูยังอยู่กับบ้าน หาได้กวาดต้อนไปไม่ กับครัวอ้ายพระยานรินทร์ จะเปนสักกี่ครัวไม่ทราบ แลค่ายนั้นทำด้วยไม้เตงรังใหญ่รอบประมาณ ๓ กำ ๔ กำ สูงประมาณ ๘ ศอก ปลายเสาค่ายเจาะร้อยคร่าว ห่างเสาค่ายออกไป ๔ ศอก ขุดคูกว้าง ๔ ศอก ลึก ๒ ศอกเศษ ค่าย ๔ เหลียม ๆ หนึ่งยาวประมาณชั่วกำลังปืนคาบศีลา มีประตูหอรบ ๔ ประตู ข้าพเจ้าไปรักษาค่ายเมื่อณวันเดือน ๖ ขึ้น ๗ ค่ำ ในวันนั้น อ้ายลาวกองตระเวนไปบอกอ้ายพระยานรินทร์ว่า พบพวกกองทัพกรุงฯ ยกขึ้นไปภูเวียง อ้ายพระยารินทร์จึงไห้เอาช้างประมาณ ๒๐ ช้างบันทุกครัวอ้ายพระยานรินทร์กับครัวบ้านหนองบัวลำภูขึ้นไปณเวียงจันทร์ ครั้นณวันเดือน ๖ ขึ้น ๘ ค่ำ เพลาบ่าย กองทัพกรุงฯ ผู้ใดจะเปนแม่ทัพแลไพร่มากน้อยเท่าใดไม่ทราบ ยกขึ้นไปตั้งปีกกาล้อมห่างค่ายประมาณ ๕ เส้น ๖ เส้น อ้ายพระยานรินทร์ อ้ายเพี้ยสิงหนาท ขี่ม้าเอาคนออกมาวางรายรักษาค่าย ยืนห่างกันคนละ ๔ ศอก ๕ ศอก รอบค่ายอ้ายลาวพวกบ้านพร้าว บ้านจิก หนองบัวลำภู กับอ้ายลาวเมืองศรีมุม บ่าวอ้ายพระยานรินทร์นั้น อ้ายพระยานรินทร์ อ้ายเพี้ยสิงหนาท ให้ถือปืนหอกดาบรายกันไปรอบค่าย แต่อ้ายลาวเชลยนอกกว่า เมืองศรีมุมนั้นหามีปืนหอกดาบไม่ มีแต่กระบองบ้าง ไม้รวกเสี้ยมเปนหลาวบ้าง อ้ายพระยานรินทร์ อ้ายพระยาสิงหนา ขี่ม้าตรวจคนในค่าย แล้วสั่งกำชับว่า ถ้ากองไทยปีนค่ายขึ้นไป ให้เอากระบองตี เอาหลาวแทง ถ้าใครทิ้งหน้าที่เสียให้กองทัพไทยแหกค่ายเข้ามา จะฆ่าเสีย ข้าพเจ้าได้ยินอ้ายพวกลาวครัวพูดกันว่า ทีนี้ ความตายมาถึงแล้ว จะหนีออกจากค่าย ก็กลัวพวกอ้ายลาวเวียงจันท์จะฆ่าเสีย จะขืนอยู่ พวกกองทัพไทยแหกค่ายเข้ามา จะฆ่าเสีย แต่อ้ายลาวพวกบ้านจิก บ้านพร้าว หนองบัวลำภูนั้น จะคิดสู้กับกองทัพไทยหรือสดุ้งกลัวประการใด ข้าพเจ้าหาได้ยินพูดไม่ แล้วไทยคนหนึ่งใส่เสื้อแดง หาได้ถืออาวุธไม่ เดิรเข้ามาใกล้ค่ายประมาณ ๕ วา ก็ร้องถามเข้ามาในค่ายว่า พระยานรินทร์อยู่หรือไม่ อ้ายเพี้ยสิงหนาทร้องบอกออกไปว่า อ้ายพระยานรินทร์หนีขึ้นไปเวียงจันท์แล้ว ๆ อ้ายเพี้ยสิงนาทว่ากับไทยว่า เราเปนทองแผ่นเดียว อย่าสู้รบกัน แล้วไทยก็กลับออกไปหาพวกไทย เมื่อให้เข้ามาถามหาอ้ายพระยานรินทร์ ๆ ไปตรวจค่ายหาอยู่ที่นั่นไม่ สักครู่หนึ่งพวกกองทัพไทยแอบไม้รายกันเข้ามาทีละ ๔ คน ๕ คน เข้ามาดูสนามเพลาะยังค่ายประมาณเส้นเศษ อ้ายเพี้ยสิงหนาทร้องห้ามไปว่าอย่าเข้ามา พวกกองทัพไทยไม่ฟังรายกันมามากขึ้นทุกที แต่แม่ทัพไทยนั้นข้าพเจ้าเห็นยืนกั้นสัปทนรายกันไปหลายคน อ้ายเพี้ยสิงหนาทให้อ้ายลาวพวกถือปืน เอาขึ้นผลัดเปลี่ยนกันยิงออกไปตามช่องค่าย จะถูกนายไพร่ในกองทัพไทยประการใดไม่ทราบ พวกกองทัพไทยก็ยิงโต้ตอบลอดค่ายเข้ามาถูกอ้ายลาวเวียงจันท์ในค่ายตายหลายคน ถูกอ้ายลาวบนหอรบตาย ๕ คน ยิงสู้รบกันอยู่แต่เพลาเย็นจนสว่าง กระสุนดินดำสำหรับลำกล้องบอกละ ๙ นัด ๑๐ นัด อ้ายลาวเวียงจันท์ยิงเสียหมด ครั้นเพลาใกล้รุ่ง อ้ายเพี้ยสิงนาทกับบ่าว ๓ คน ๔ คนพากันหนีออกจากค่าย จะออกทางไหนไม่ทราบ ครั้นรุ่งเช้าอ้ายลาวในค่ายพูดกันว่าอ้ายพระยานรินทร์หนีไปแล้ว อ้ายลาวมีชื่อในค่ายก็พากันหนีออกจากค่าย ข้าพเจ้าก็ขึ้นเสาค่ายหนีโดดออกมาจะไปทางบ้านเม้นหาครัวข้าพเจ้า ไปหาได้ไม่ พวกกองทัพไทยจับเอาตัวข้าพเจ้ามา แต่พวกกองทัพไทยฆ่าฟันอ้ายลาวตายเปนอันมากจะประมาณมิได้ แลอ้ายพวกลาวในค่ายซึ่งนอกจากกองทัพไทยฆ่าเสียแลจับเปนได้นั้น พากันแตกกระจัดกระจายต่างคนต่างหนีไป . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

ข้าพเจ้า . . . . . . . . . . เปนลาวเมืองแสนเมืองชนบท ให้การว่า บ้านเรือนข้าพเจ้า . . . . . . . . . . ไกลเมืองชนบท ทางเช้าชั่วเพล . . . . . . . . . . ข้าพเจ้าได้ยินลาวชาวชนบทพูดกันว่า อ้ายอนุเวียงจันท์คุม . . . . . . . . . . เจ้าเมืองชนบทมาหาอ้ายอนุเวียงจันท์ณบ้านหนอง . . . . . . . . . . อ้ายเวียงจันท์ . . . . . . . . . . เจ้าเมืองชนบทว่า แก่แล้วไปมิได้ อ้ายเวียงจันท์ว่า ไปไม่ได้ก็ (ให้กวาด) ครอบครัวขึ้นไป (เมืองเวียงจันท์) เจ้าเมืองชนบทก็กลับมา ครั้นณเดือน ๔ ข้างขึ้น ข้าพเจ้าได้ยินอ้ายลาวพูดกันว่า ตำรวจเมืองเวียงจันท์มาณเมืองชนบท ๒๐ คนมีปืน ๓ บอกถือหอกดาบครบมือกัน แต่ตัวนายตำรวจนั้นชื่อใดข้าพเจ้าไม่ทราบ มาทางหัวเมืองชนบท (ให้กวาด) ครอบครัวณบ้านข้าพเจ้าแลครัวเมืองชนบทไป ๑๔ คืน ๑๕ คืนถึงบ้านนาแตง ครัวชายหญิงใหญ่น้อยประมาณ ๒๐๐๐ แต่บ้านนาแตงไปหนองบัวลำภูทางคืนหนึ่ง ครั้นเมื่อณเดือน ๖ ข้างขึ้น อ้ายเพี้ยสิงหนาทเมืองเวียงจันท์ไปณบ้านนาแตงที่ครัวอยู่ เกณฑ์เอาคนครัวเมืองชนบทแต่อายุ ๑๕ ปี ๑๖ ปีขึ้นไป ได้คนประมาณ ๓๐๐ คน ๔๐๐ คน เมืองแสนเมืองจันท์อุปฮาดราชวงศ์เมืองชนบทก็ไปด้วย ตัวข้าพเจ้าก็ต้องเกณฑ์มากับเมืองแสนคืนหนึ่งถึงหนองบัวลำภู ให้เข้าอยู่ในค่ายหนองบัวลำภู ข้าพเจ้าเห็นคนเมืองเวียงจันท์ . . . . . . . . . . อยู่ด้วยอ้ายเพี้ยสิงหนาทประมาณ ๓๐ คน ๔๐ คน เมืองกาฬสินธุ์ เมืองร้อยเอ็ด เมืองภูเขียว เมืองพุทไธสง เข้ากัน ๖ เมือง ประมาณ ๒๐๐๐ คนอยู่ในค่าย พระยานรินทร์เปนนายใหญ่ ข้าพเจ้าอยู่ในค่ายได้คืนหนึ่ง รุ่งขึ้นเปนเพลาเย็น กองทัพไทยขึ้นไปถึง ล้อมค่ายเข้าไว้สามด้าน พวกทัพไทยร้องถามว่า ใครเปนนายอยู่ในค่าย จะเข้าด้วยหรือไม่เข้า พวกอ้ายลาวเวียงจันท์บอกว่า อ้ายราชวงศ์เปนนายอยู่ในค่าย ไม่เข้าด้วยแล้ว ๆ พวกอ้ายลาวเอาปืนยิงออกไปจากค่าย พวกกองทัพไทยก็ยิงเข้าไปในค่าย ครั้นเพลาพลบค่ำ พวกไทยทำค่ายตับล้อมทั้งสามด้าน อ้ายเพี้ยสิงหนาทตำรวจเมืองเวียงจันท์หนีออกมาจากค่ายแต่เพลากลางคืน หาให้พวกลาวเมืองอื่นรู้ไม่ ครั้นเพลาเช้า อ้ายลาวในค่ายพวกข้าพเจ้ารู้ว่าอ้ายเพี้ยสิงหนาทหนี พวกข้าพเจ้าก็แตกออกจากค่าย วิ่งหนีไปได้ประมาณเส้น ๑ กองทัพไทยจับเอาตัวข้าพเจ้ากับอ้าย . . . . . . . . . . ๑ เชียงกันยา ๑ แล้วพวกไทยส่งตัวข้าพเจ้ากับพวกข้าพเจ้าสามคนมาณค่ายหลวง ฯ

วันจันทร์ แรม ๒ ค่ำ เดือน ๗ ปีกุญ นพศก ได้ถามข้าพเจ้า ๆ อ้ายจันโคชให้การว่า ข้าพเจ้าตั้งบ้านเรือนอยู่ณบ้านสามพันแขวง เมืองชนบท อายุข้าพเจ้าได้ ๕๐ เศษ ภรรยาข้าพเจ้าชื่ออีสั้น มีบุตรชาย ๔ หญิง ๓ เปน ๗ คน ข้าพเจ้าเปนบ่าวพระยาพรหมภักดียกระบัตรเมืองโคราช ครั้นอยู่มาณเดือน ๓ กี่ค่ำข้าพเจ้าจำมิได้ ปีวอก อัฐศก ข้าพเจ้าได้ยินผู้มีชื่อพูดกันว่า อ้ายเวียงจันท์ยกกองทัพมาตั้งอยู่ณเมืองนครสวรรค์(?) ประมาณ ๒๐๐๐ คน ๓๐๐๐ คน ว่าจะลงไปช่วยทำการพระบรมศพณกรุงเทพฯ แล้วอ้ายเวียงจันท์ได้ให้ตำรวจลงมาบอกพระยาจันตประเทศกับเพี้ยสิงหนาทราชบุตรเมืองชนบทให้ขึ้นไปหาอ้ายเวียงจันท์ พระยาจันตเทศกับเพี้ยสิงหนาทราชบุตรก็พากันไปหาอ้ายเวียงจันท์ณเมืองนครสวรรค์ ไปได้ ๒ คืนแล้ว พระยาจันตประเทศกับเพี้ยสิงหนาทราชบุตรก็พากันกลับมาบ้านได้คืน ๑ อ้ายเจ้าเวียงจันท์ก็ยกกองทัพมาณเมืองโคราช แล้วพระยาจันตประเทศจึงมาป่าวร้องแก่ราษฎรชาวบ้านว่า ใครจะสมัคไปกับเจ้าเวียงจันท์บ้าง ถ้าจะสมัคไปกับอ้ายเจ้าเวียงจันท์ จะให้ไปอยู่คูเวียง ถ้าใครมิสมัคไป จะฆ่าเสีย เพี้ยแสนกับอุปฮาดจึงว่ากับพระยาจันตประเทศว่า ท่านจะไปก่อนก็ไปเถิด ข้ายังไม่ไป จะฟังดูก่อน ครั้นณวันเดือนข้างขึ้น จะเปนกี่ค่ำข้าพเจ้าจำไม่ได้ พระยาจันตประเทศกับเพี้ยสิงหนาท เพี้ยกวาน ก็พาบุตรภรรยาผู้คนบ่าวไพร่ยกไปจากเมืองชนบทไปอยู่บ้านผขุได้เดือน ๑ ครั้นณวันเดือน ๕ ข้างขึ้น แต่จะเปนกี่ค่ำข้าพเจ้าจำมิได้ อ้ายเจ้าเวียงจันท์ใช้ตำรวจลาวลงมาไล่ครัวที่เมืองชนบทให้ไปอยู่บ้านคูเวียงให้สิ้นเชิง ถ้าผู้ใดมิไป จะตัดศีร์ษะเสีย ราษฎรชาวบ้านกลัวก็พากันยกครอบครัวไปอยู่ณบ้านคูเวียง ครั้นณวันเดือน ๕ ข้างขึ้น อ้ายเจ้าเวียงจันท์ยกจากโคราชไปพักอยู่คูเวียงคืน ๑ แล้วยกไปอยู่บ้านหนองบัว แล้วอ้ายเจ้าเวียงจันท์จึงใช้ให้ตำรวจลาวมาไล่ครัวที่บ้านคูเวียงไปอยู่บ้านหนองบัว ครั้นพากันไปอยู่บ้านหนองบัว พระยาจันตประเทศจึงให้ไปหาอ้ายเจ้าเวียงจันท์ ๆ จึงสั่งให้พระยาจันตประเทศไล่ครัวให้ไปอยู่บ้านนาแตง อ้ายเจ้าเวียงจันท์ก็จะยกไปทางด่านป่าเข้าสาร พระยาจันตประเทศไล่ครัวไปทางบ้านนาแตง ครัวไปถึงบ้านนาแตงได้ ๕ วัน อ้ายพระยานรินทร์ที่เปนแม่ทัพอยู่ที่ค่ายบ้านหนองบัวจึงใช้ให้ตำรวจลาวมาจัดเอาผู้ชายที่ครัวบ้านนาแตง ๒๐๐ คนทั่งข้าพเจ้าให้เข้าค่ายบ้านหนองบัว ข้าพเจ้ามายืมเอาหอกของอ้ายทิดโสภาหลานข้าพเจ้าได้เล่ม ๑ มาเข้าค่าย ๆ หนองบัว กว้างยาวประมาณ ๑๐ เส้น คนรักษาค่ายอยู่ประมาณ ๑๒๐๐ คน มีปืนคาบศิลาอยู่ในค่ายประมาณ ๑๐๐ เศษ อ้ายพวกเวียงจันท์ให้ข้าพเจ้ารักษาค่ายข้างตวันออก ครั้นณวันขึ้นค่ำ ๑ เดือน ๖ เพลาเย็น ทัพไทยเข้าไปตีค่าย ได้รบกันอยู่จนเพลาสว่าง ทัพลาวจึงแตกหนีไป ทัพไทยไล่จับเอาข้าพเจ้าได้ มาจำข้าพเจ้าไว้ได้ ๒ คืน จึงส่งตัวข้าพเจ้าลงมาที่ทัพหลวงแม่น้ำปชีได้ ๒ คน แล้วจึงส่งข้าพเจ้าลงมาณกรุงเทพฯ สิ้นคำให้การข้าพเจ้าแต่เท่านี้

วันจันทร์ แรม ๒ ค่ำ เดือน ๗ ปีกุญ นพศก ขุนอภัยพินิจ หมื่นวิเศษ เวรแสนใจรบ ถามอ้ายเชียงมั่น ให้การว่า อายุข้าพเจ้าได้ ๓๐ ปี เดิมบิดามารดาข้าพเจ้าอยู่ณเมืองนครพนม ข้าพเจ้าก็เกิดณเมืองนครพนม ครั้นปีวอก ฉศก ข้าพเจ้าไปค้าขายณเมืองกาฬสินธุ์ ข้าพเจ้าได้อีมาบุตรเชียงโคชเปนภรรยาที่บ้านเอือ แขวงเมืองกาฬสินธุ์ ข้าพเจ้าอยู่กันกับอีมา เกิดบุตรชายคน ๑ อายุได้ ๓ ขวบ บ้านเอือที่ข้าพเจ้าอยู่กับเมืองกาฬสินธุ์ทางประมาณ ๒๐ เส้น ข้าพเจ้าก็เปนบ่าวเจ้าเมืองกาฬสินธุ์ ๆ ให้บุตรตาวงชาวบ้านเอือเปนนายหมวดคุมข้าพเจ้าเสียเงินเปนค่าขี้ผึ้งผ้าขาวปีละตำลึง ครั้นอยู่ณเดือน ๓ ข้างขึ้น ปีจอ อัฐศก อ้ายเวียงจันท์ยกทัพมาตั้งอยู่นอกเมืองนครราชสิมา แต่อ้ายอุปราชยกทัพไปตั้งอยู่นอกเมืองกาฬสินธุ์ประมาณ ๔ เส้น ๕ เส้น คนประมาณ ๓๐๐๐ คน แล้วอ้ายอุปราชให้หาเจ้าเมืองกาฬสินธุ์ออกไปค่ายอุปราช ข้าพเจ้าเปนคนถือคนโทน้ำตามเจ้าเมืองกาฬสินธุ์ออกไปค่าย เจ้าเมืองกาฬสินธุ์ก็ไปหาอ้ายอุปราช ๆ ถามเจ้าเมืองกาฬสินธุ์ว่า จะไปเมืองเวียงจันท์ด้วยอ้ายอุปราชหรือไม่ เจ้าเมืองกาฬสินธุ์ว่า ไม่ไปแล้ว จะขออยู่ อ้ายอุปราชว่า เจ้าจะอยู่ก็จะให้อยู่ ไม่เอาไปดอก อ้ายอุปราชก็ให้เจ้าเมืองกาฬสินธุ์กลับไปเมืองกาฬสินธุ์ อยู่มาวันหนึ่ง อ้ายอุปราชให้หาเจ้าเมืองกาฬสินธุ์ไปณค่ายอีก ข้าพเจ้าก็ไปด้วยกัน ตามไปด้วยเจ้าเมืองกาฬสินธุ์ประมาณ ๕๐ คน มีหอกดาบไปด้วยครบมือกัน ครั้นไปถึงประตูค่ายอ้ายอุปราช ๆ ให้พวกอ้ายอุปราชเก็บหอกดาบแลห้ามคนเสียมิให้ตามเจ้าเมืองกาฬสินธุ์เข้าไปในค่าย แต่ข้าพเจ้าถือคนโทน้ำกับคนถือล่วมหมากตามเจ้าเมืองกาฬสินธุ์เข้าไปในค่ายสองคน ข้าพเจ้าได้ยินอ้ายอุปราชถามเจ้าเมืองกาฬสินธุ์ว่า เจ้าไม่ไปแน่แล้วหรือ เจ้าเมืองกาฬสินธุ์ว่า ไม่ไปแน่แล้ว อ้ายอุปราชก็ให้จับเจ้าเมืองกาฬสินธุ์ (มัด) ข้อมือจูงออกไปข้างหลังค่าย . . . . . . . . . . เจ้าเมืองกาฬสินธุ์ อ้ายอุปราชก็ให้ยกบ้านเรือนในนอกเมืองกาฬสินธุ์เสียหมด กวาดครอบครัวไปเวียงจันท์ บุตรภรรยาข้าพเจ้าก็ติดไปด้วย แต่ตัวข้าพเจ้ากับเชียงดำ เชียงโคช เชียงคำมา เชียงแก้ว หนีเข้าอยู่ในป่า ครั้นรู้ข่าวว่า กองทัพกรุงเทพฯ ยกขึ้นไป ข้าพเจ้าก็ชวนกันว่าจะมาหากองทัพหลวง ครั้นมาถึงบ้านพร้าว แขวงเมืองโคราชกับเวียงจันท์ต่อกัน เชียงดำ เชียงโคช เชียงคำมา เชียงแก้ว หนีข้าพเจ้าไป แต่ข้าพเจ้าผู้เดียวเดิรมาหากองทัพหลวงยังค่าย . . . . . . . . . . มาถึงบ้านพร้าวห่างกับค่ายหนองบัวลำภู (ทาง) แต่เช้าจนเพลาน้องเพล . . . . . . . . . . พวกกองมอญสามคนจับตัวข้าพเจ้าได้มาส่งที่ค่ายหนองบัวลำภูคืนหนึ่ง แล้วส่งข้าพเจ้ามาหน้า:จมห ปราบขบถเวียงจันทน์ - ๒๔๖๙.pdf/70หน้า:จมห ปราบขบถเวียงจันทน์ - ๒๔๖๙.pdf/71หน้า:จมห ปราบขบถเวียงจันทน์ - ๒๔๖๙.pdf/72หน้า:จมห ปราบขบถเวียงจันทน์ - ๒๔๖๙.pdf/73หน้า:จมห ปราบขบถเวียงจันทน์ - ๒๔๖๙.pdf/74หน้า:จมห ปราบขบถเวียงจันทน์ - ๒๔๖๙.pdf/75หน้า:จมห ปราบขบถเวียงจันทน์ - ๒๔๖๙.pdf/76หน้า:จมห ปราบขบถเวียงจันทน์ - ๒๔๖๙.pdf/77หน้า:จมห ปราบขบถเวียงจันทน์ - ๒๔๖๙.pdf/78หน้า:จมห ปราบขบถเวียงจันทน์ - ๒๔๖๙.pdf/79หน้า:จมห ปราบขบถเวียงจันทน์ - ๒๔๖๙.pdf/80หน้า:จมห ปราบขบถเวียงจันทน์ - ๒๔๖๙.pdf/81หน้า:จมห ปราบขบถเวียงจันทน์ - ๒๔๖๙.pdf/82หน้า:จมห ปราบขบถเวียงจันทน์ - ๒๔๖๙.pdf/83หน้า:จมห ปราบขบถเวียงจันทน์ - ๒๔๖๙.pdf/84หน้า:จมห ปราบขบถเวียงจันทน์ - ๒๔๖๙.pdf/85หน้า:จมห ปราบขบถเวียงจันทน์ - ๒๔๖๙.pdf/86หน้า:จมห ปราบขบถเวียงจันทน์ - ๒๔๖๙.pdf/87หน้า:จมห ปราบขบถเวียงจันทน์ - ๒๔๖๙.pdf/88หน้า:จมห ปราบขบถเวียงจันทน์ - ๒๔๖๙.pdf/89หน้า:จมห ปราบขบถเวียงจันทน์ - ๒๔๖๙.pdf/90หน้า:จมห ปราบขบถเวียงจันทน์ - ๒๔๖๙.pdf/91หน้า:จมห ปราบขบถเวียงจันทน์ - ๒๔๖๙.pdf/92หน้า:จมห ปราบขบถเวียงจันทน์ - ๒๔๖๙.pdf/93หน้า:จมห ปราบขบถเวียงจันทน์ - ๒๔๖๙.pdf/94หน้า:จมห ปราบขบถเวียงจันทน์ - ๒๔๖๙.pdf/95


  1. เห็นจะเปนเมืองขึ้นนครราชสีมา ภายหลังเรียกว่า เมืองจตุรัส