กลอนเพลงยาวนิราศ เรื่องรบพม่าที่ท่าดินแดง

(เปลี่ยนทางจาก นิราศท่าดินแดง/นิราศ)
ตราของหอพระสมุดวชิรญาณ
ตราของหอพระสมุดวชิรญาณ
พระราชนิพนธ์
รัชกาลที่ ๑

ตราของหอพระสมุดวชิรญาณ
ตราของหอพระสมุดวชิรญาณ
พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๑
กลอนเพลงยาวนิราศ เรื่องรบพม่าที่ท่าดินแดง
พิมพ์ในงานฉลองสุพรรณบัฎท่านเจ้าพระยารามราฆพฯ
วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๔
พิมพ์ที่โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร

ตราของหอพระสมุดวชิรญาณ
ตราของหอพระสมุดวชิรญาณ
พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๑
กลอนเพลงยาวนิราศ เรื่องรบพม่าที่ท่าดินแดง
พิมพ์ในงานฉลองสุพรรณบัฎท่านเจ้าพระยารามราฆพฯ
วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๔
พิมพ์ที่โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร

อธิบาย
เรื่องพระราชนิพนธ์นิราศฯ ท่าดินแดง

เมื่อรัชกาลที่ ๑ พอสร้างกรุงรัตนโกสินทรสำเร็จในปีมเสง พ.ศ. ๒๓๒๘ ปีนั้นเองพม่าก็ยกกองทัพมาตีเมืองไทย ศึกพม่าครั้งปีมเสงนั้นใหญ่โตกว่าที่เคยปรากฎในพงศาวดารมาแต่ก่อน เพราะพม่ายกกองทัพมาทุกทางทั้งปักษ์ใต้ฝ่ายเหนือแลทิศตวันตก ประสงค์จะมิให้ไทยมีโอกาศที่จะต่อสู้รักษาบ้านเมืองไว้ได้ จำนวนรี้พลพม่าก็มากกว่าไทยราว ๕ ต่อ ๓ แต่ฝ่ายไทยคิดต่อสู้เอาไชยชนะได้โดยยุทธวิธี คือปล่อยให้พม่าทำทางอื่นตามชอบใจบ้าง เปนแต่ขัดตาทัพหน่วงไว้บ้าง รวมกำลังไประดมตีกองทัพหลวงของพม่าซึ่งพระเจ้าปะดุงยกมาเองทางด่านพระดีย์สามองคทัพเดียว ครั้นทัพหลวงของพม่าพ่ายแพ้ กองทัพพม่าที่ยกมาทางอื่นก็ถอยหนีไปบ้าง ที่หนีไม่ทันกองทัพไทยก็ตีแตกยับเยินไปหมดทุกทัพ พระเจ้าปะดุงเสียทีไทยไปในคราวที่กล่าวนี้มีความอัปรยศอดสู ด้วยยังไม่เคยรบแพ้ใครมาก่อน จึงให้เตรียมกองทัพจะยกมาอิก เห็นว่ากระบวรทัพที่ยกมาหลายทางอย่างครั้งก่อนเอาไชยชนะไทยไม่ได้ ด้วยขัดข้องในการลำเลียงเสบียงอาหาร กองทัพทั้งปวงจึงไม่สามารถจะทุ่มเทเข้ามาให้ถึงที่มุ่งหมายพร้อมกันได้ ในครั้งนี้คิดจะรวมกำลังยกมาแต่ทางด่านพระเจดีย์สามองค์ทางเดียว แลจะทำสงครามเปนการแรมปี ตีกรุงเทพฯ อย่างเมื่อครั้งพม่าตีกรุงศรีอยุธยาในคราวหลัง เพราะฉนั้นพระเจ้าปดุงจึงให้กะเกณฑ์เสบียงอาหารขนมารวบรวมไว้ที่เมืองเมาะตมะแต่ในฤดูฝนเมื่อปีมเมีย พ.ศ. ๒๓๒๙ พอถึงฤดูแล้งก็ให้ประชุมทัพที่เมืองเมาะตมะ ให้ราชบุตรผู้เปนพระมหาอุปราชาลงมาเปนนายทัพที่ ๑ มีจำนวนพล ๕๐,๐๐๐ ยกเข้ามาตั้งในแดนไทยตอนที่ข้ามเขาบรรทัด ให้มาตั้งยุ้งฉางวางเสบียงอาหารรายทาง แลต่อเรือสำหรับกองทัพที่จะยกเข้ามาตีกรุงเทพฯ เมื่อการตระเตรียมพร้อมแล้ว พระเจ้าปะดุงจะยกกองทัพหลวงตามเข้ามา พระมหาอุปราชาจดกองทัพที่ยกเข้ามาเปนสามกอง กองที่ ๑ ให้เมียนหวุ่นคุมพล ๑๕,๐๐๐ มาตั้งที่ตำบลท่าดินแดง กองที่ ๒ ให้เมียนเมหวุ่นคุมพลหนึ่ง ๑๕,๐๐๐ มาตั้งที่ตำบลสามสบ กองที่ ๓ พระมหาอุปราชาคุมมาเอง จำนวนพล ๒๐,๐๐๐ มาตั้งอยู่ที่ริมลำน้ำแม่กระษัตริย์ ใกล้กับด่านพระเจดีย์สามองค์ เพราะกองทัพพระมหาอุปราชาที่ยกเข้ามาจะต้องทำการอยู่ในแดนข้าศึกนานวัน เกรงว่าไทยจะยกไปตี จึงตั้งค่ายอย่างมั่นคงหลายค่าย แล้วสร้างสะพานข้ามห้วยธาร แลทำทางที่จะไปมาถึงกันได้โดยสดวกทุก ๆ ค่าย

ฝ่ายไทย ครั้นทราบว่าพม่ายกกองทัพเข้ามาตั้งค่ายมั่นอยู่ที่ปลายน้ำไทรโยคดังกล่าวมา ก็คาดความคิดพม่าถูก จึงตกลงกันว่าจะต้องชิงไปตีพม่าเสียให้แตกแต่ที่นั้นอย่าให้ตั้งทำการอยู่ได้ การสงครามจึงจะเบาแรง กองทัพไทยที่ยกไปครั้งนั้นจำนวนพล ๔๐,๐๐๐ พระบาทสมเด็จฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก กับกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เสด็จไปทรงบัญชาการศึกเองทั้ง ๒ พระองค์ เสด็จโดยกระบวรเรือจากกรุงเทพฯ ไปจนถึงเมืองไทรโยค แล้วยกเปนกองทัพบกต่อไป พระบาทสมเด็จฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เสด็จไปตีค่ายพม่าที่ท่าดินแดง กรมพระราชวังบวรฯ เสด็จไปตีค่ายพม่าที่ตำบลสามสบ เข้าตีค่ายพม่าพร้อมกันทั้ง ๒ ทัพเมื่อวันพุธ เดือน ๔ ขึ้น ๕ ค่ำ ปีมะเมีย พ.ศ. ๒๓๒๙ รบกันอยู่ ๓ วัน ถึงวันขึ้น ๗ ค่ำ เพลาบ่าย ไทยแหกค่ายพม่าเข้าไปได้ พม่าต่อสู้อยู่จนพลบค่ำก็พากันทิ้งค่ายแตกหนี กองทัพไทยไล่ติดตามไปถึงค่ายพระมหาอุปราชาที่ตำบลแม่กระษัตริย์ พระมหาอุปราชารู้ว่ากองทัพน่าแตกแล้ว ก็รีบหนี มิได้รอต่อสู้ ในพงศาวดารพม่าว่า ครั้งนี้กองทัพพม่าแตกยับเยิน ไทยฆ่าฟันพม่าล้มตายมากนัก ที่จับเปนได้ก็มาก เสียทั้งช้างม้าพาหนะเสบียงอาหารแลเครื่องอาวุธยุทธภัณฑ์เปนอันมาก แลปืนใหญ่นั้นว่าไทยได้ไว้ทั้งหมดไม่เหลือไปสักกระบอกเดียว เรื่องราวการสงครามครั้งรบพม่าที่ท่าดินแดงมีเนื้อความดังกล่าวมา.

การแต่งกลอนเพลงยาวนิราศในเวลาไปทัพฤๅไปเที่ยวทางไกล เปนการที่ชอบแต่งกันมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเปนราชธานี ยังมีตัวอย่างปรากฎอยู่ เช่นเพลงยาวนิราศของหม่อมพิมเสนเปนต้น เหตุใดจึงพอใจแต่งนิราศกัน คิดดูก็พอเห็นได้ ด้วยในเวลาเดินทัพฤๅเวลาเที่ยวที่ต้องไปในเรือหลาย ๆ วัน มีเวลาว่างมาก นั่ง ๆ นอน ๆ ไปจนเบื่อ ก็ต้องหาอะไรทำแก้รำคาญ ผู้มีความรู้ในทางวรรณคดีก็หันเข้าหาการแต่งกลอนแก้รำคาญ จึงชอบแต่งนิราศ ที่พระบาทสมเด็จฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงพระราชนิพนธ์นิราศท่าดินแดงก็ด้วยเหตุนั้นเอง พระราชนิพนธ์เรื่องนี้มีผู้พิมพ์ไว้กับเพลงยาวเรื่องอื่น แล้วพิมพ์ต่อกันมาอิกหลายครั้ง แต่ที่พิมพ์กันนั้นมักวิปลาสคลาศเคลื่อนมาก ซ้ำหลงกันไปว่าเปนเพลงยาวของเจ้าฟ้าจีดครั้งกรุงศรีอยุธยาด้วย ฉบับซึ่งได้ชำระถูกต้องดีมีแต่ที่ในหอพระสมุดวชิรญาณ เพราะฉนั้นจึงเห็นว่าสมควรจะพิมพ์ออกเฉภาะเรื่องให้ได้อ่านกันแพร่หลายแลรักษาพระราชนิพนธ์ไว้อย่าให้สูญเสีย.

พระราชนิพนธ์นิราศท่าดินแดง

แสนรักสุดรักภิรมย์สมร
ทุกอนงค์ทรงลักษณ์อันสุนทร
สถาวรพูนสวาดิ์สวัสดี
ประกอบศักดิสมบูรณ์จำรูญเนตร
อัคเรศงอนงามจำเริญศรี
แสนกระสันปั่นป่วนฤดีทวี
มีมโนเสน่ห์น้อมถนอมนวล
อันราคีมิให้เคืองระคางข้อง
ปองประคองนิ่มเนื้อนวลสงวน
หวังสวาดิ์มิรู้ขาดอารมณ์ครวญ
เปนที่ชวนชูชื่นทุกอิริยา
เกษมศุขภิรมย์สมสมาน
เคยสำราญมิได้แรมนิราศา
ไม่นิราศขาดชมสักเวลา
บำเรอล้อมพร้อมหน้าไม่ราวัน
นิจาเอ๋ยโอ้กรรมจึงจำไกล
มาซ้ำให้ทุเรศร้างมไหสวรรย์
ก็เพราะมีอธิราชไภยัน
เข้าหักหั่นด่านแดนบุรีรมย์
จึงต้องกรูกรีธาพลากร
มาจำจรจากศุขเกษมสม
สาระพัดสิ่งสวัสดิ์ที่เคยชม
ก็นิยมให้วิโยคด้วยจำเปน
เมื่อวันออกนาเวศทุเรศสถาน
แสนสงสารสุดอาไลยใครจะเห็น
พี่เคยทัศนาเจ้าทุกเช้าเย็น
เพราะเกิดเข็ญจึงต้องละสละมา
ครั้นถึงด่านดาลทเวศทวีถึง
คนึงในให้หวนละห้อยหา
ถึงนางนองเหมือนพี่นองชลนา
ยิ่งอาทวาอาวรณ์สท้อนใจ
ครั้นถึงโขลนทวาร[1] ยิ่งลานแล
ให้หวาดแหวอารมณ์ดังจะล้มไข้
จนลุล่องคลองชลามหาไชย
ย่านไกลสุดสายในตาแล
เหมือนอกเราที่นิรามาทุเรศ
เหลือสังเกตมุ่งหามาห่างแห
รกำเดียวเปลี่ยวดิ้นฤดีแด
จนล่วงกระแสสาครบุรีไป
ลุสถานบ้านบ่อนาขวาง
ให้อางขนางร้อนรนกระมลไหม้
ถึงย่านซื่อเหมือนพี่ซื่อสังวรใจ
มิได้มีลำเอียงเที่ยงธรรม์
เมื่อถึงสามสิบสามคดแล้ว
แคล้วแคล้วเหมือนจะกลับมารับขวัญ
คล้ายคล้ายอัษฎงค์พระสุริยันต์
ก็บรรลุถึงคลองสุนักข์ใน
พอชลาถอยถดลงลดฝั่ง
เรือดั่งเคืองเขินไม่เดินได้
พลพายรายกันลงเข็นไป
เหมือนเข็ญใจเคืองจิตรที่จากมา
ครั้นเพลาสุริยาอรุณเรือง
แสงประเทืองเบื้องบูรพ์ทิศา
พอตกลึกแล้วให้ล่องนาวาคลา
ประทับท่าเมืองสมุทบุรีรมย์
อันฝูงชนชาวบ้านย่านนั้น
ผิวพรรณไม่รื่นรวยสวยสม
ไม่เปนที่ชวนชื่นอารมณ์ชม
ยิ่งเกรียบตรมสุดแสนรกำใจ
ให้ปั่นป่วนหวนสวาดิประวัติหา
จะดูใครไม่พาใจชื่นได้
จึงให้ออกนาวาคลาไคล
รีบไปตามสายชลธี
อันเรือหลังดั้งกันสิ้นทั้งหลาย
ก็พายแซงแข่งขึ้นไปอึงมี่
โห่สนั่นครั่นครื้นทั้งนาวี
มีแต่ความเกษมศุขไปทุกคน
เสียงเส้าเร้าเร่งพลพาย
เหมือนรักหมายสายสวาดิทุกขุมขน
ให้อักอ่วนป่วนจิตรจลาจล
ถึงตำบลบางกุ้งเปนคุ้งเลี้ยว
ยิ่งลับไม้ไกลเนตรทุเรศสถาน
ให้แดดาลหวั่นหวั่นกระสันเสียว
ดังเอกามาแต่นาวาเดียว
เปลี่ยวสวาดินิราศไร้ภิรมย์ชม
มาถึงย่านนกแขวกแสกส่งเสียง
ฟังสำเนียงถอนใจเพียงใจล่ม
เคยยินเสียงประโคมขานสำราญรมย์
โอ้ครั้งนี้มาระงมแต่เสียงนก
แสนทุเรศเวทนานิจาเอ๋ย
นี่ใครเลยจะเลงเห็นในอก
ได้ระกำช้ำใจมาหลายยก
หวังจะป้องปิดปกให้พ้นไภย
มิให้หมู่พาลาอาธรรม์
มาย่ำยีเขตรขัณฑ์บุรีได้
จึงสู้สละรักหักใจ
มาทนเทวศอยู่ไกลเอกา
ถึงบำหรุเหมือนพี่บำราศรัก
ให้อักอ่วนครวญใคร่อาไลยหา
ครั้นลุราชบุรีภิรมยา
ที่อาทวาหักอารมณ์ค่อยสมประดี
จึงรีบรัดจัดหมู่โยธา
ให้อยู่รักษาบุรีศรี
ครั้นอรุณเรืองแรงแสงรวี
ก็จรลีนาเวศทุเรศจร
ด่วนเดินทางโดยทางชลมารค
แสนลำบากด้วยร้างแรมสมร
กระหายหิวหวิวใจให้อาวรณ์
แต่ข้อนข้อนขุ่นเข็ญเปนนิรันดร์
ถึงท่าราบเหมือนพี่ทาบทรวงถวิล
ยิ่งโดยดิ้นโหยหวนครวญกระสัน
ด้วยได้ทุกข์ฉุกใจมาหลายวัน
จนบรรลุเจ็ดเสมียนตำบลมา
ลำลำจะใคร่เรียกเสมียนหมาย
มารายทุกข์ที่ทุกข์คนึงหา
จึงรีบเร่งนาเวศครรไลคลา
พอทิวากรเยื้องจะสายัณห์
ก็ลุถึงวังศาลาท่าลาด
ชายหาดทรายแดงดังแกล้งสรร
จึงประทับแรมรั้งยังที่นั้น
พอพักพวกพลขันธ์ให้สำราญ
พรั่งพร้อมล้อมวงเปนหมู่หมวด
ชาวมหาดตำรวจแลทวยหาญ
เฝ้าแหนแน่นนันต์กราบกราน
นุ่งห่มสครานจำเริญตา
ต่างว่าจะเข้าโหมหักศึก
ห้าวฮึกขอขันอาสา
ไม่คิดกายขอถวายชีวา
พร้อมหน้าถ้วนทั่วทุกตัวไป
แต่ตริการที่จะผลาญอรินราช
จนโอภาสแสงจันทร์จำรัสไข
ให้ขุกคิดอาวรณ์สท้อนใจ
ถึงอนงค์นางในไม่รู้วาย
ด้วยเคยทอดทัศนาไม่รารัก
ภิรมย์ภักตร์ร้องรำบำเรอถวาย
บ้างเฝ้าแหนหมอบเมียงเรียงราย
กรกรายโบกพัชนีพาน
ยิ่งเร่าร้อนทอนทอดฤไทยทุกข์
เมื่อเคยศุขฤๅมาเสื่อมทุกสิ่งสมาน
จนลืมหลงที่ดำรงดำริห์การ
แต่เดือดดาลอารมณ์ไม่สมประดี
จนเพลาสิบทุ่มยิ่งรุ่มร้อน
ให้ยกพลนิกรออกจากที่
กระบวนทัพซับซ้อนมามากมี
โห่มี่สเทือนก้องท้องวาริน
ถึงม่วงชุมเหมือนเมื่อเคยประชุมเฝ้า
ยิ่งร้อนเร่ารื้อกำหนัดประวัติถวิล
ยามเสวยเคยเห็นเปนอาจิณ
แดดิ้นถึงเนื้อวิมลมาลย์
แสนเทวศเสื่อมสิ้นสิ่งสวาดิ์
ด้วยนิราศแรมร้างห่างสถาน
ถึงยามชื่นมิได้ชื่นสำราญบาน
แต่นี้นานสวาดิเว้นไม่เห็นใคร
ถึงปากแพรกซึ่งเปนที่ประชุมพล
พร้อมพหลพลนิกรน้อยใหญ่
ค่ายคูเขื่อนขันธ์ทั้งนั้นไซ้
สารพัดแต่งไว้ทุกประการ
จึงรีบรัดจัดโดยกระบวนทัพ
สรรพด้วยพยุหทวยหาญ
ทุกหมู่หมวดตรวจกันไว้พร้อมการ
ครั้นได้ศุภวารเวลา
ให้ยกขึ้นตามทางไทรโยคสถาน
ทั้งบกเรือล้วนทหารอาสา
จะสังหารอริราชพาลา
อันสถิตย์อยู่ยังท่าดินแดง
ครั้นเดือนสามวันแรมเก้าค่ำ
ย่ำรุ่งสี่บาทอรุณแสง
จึงให้ยกพหลรณแรง
ล้วนกำแหงหาญเหี้ยมสงครามครัน
ไปโดยพยุหบาตรรัถยา
พลนาวาตามไปเปนหลั่นหลั่น
สพรึบพร้อมน่าหลังดั้งกัน
โห่สนั่นสเทือนท้องนทีธาร
รีบเร่งพลพายให้เร่งพาย
ฝืนสายชลเชี่ยวฉ่าฉาน
ถึงตำแหน่งแก่งหลวงศิลาดาล
ชลธารไหลเชี่ยวเปนเกลียวมา
แต่จำเภาะเตราะตรอกซอกทาง
แก่งเกาะขัดขวางอยู่หนักหนา
แสนลำบากยากใจที่ไคลคลา
ใครจะเห็นเวทนาบันดามี
สองวันบรรลุถึงวังยาง
คนึงวังอ้างว้างเกษมศรี
เคยเปนศุขทุกทิวาราตรี
โอ้ครานี้มีกรรมมาจำไกล
ถึงบางลานยิ่งดาลทรวงสมร
ให้ขุ่นข้อนอารมณ์หม่นไหม้
จึงเร่งรีบนาวาคลาไคล
มาถึงไศลชลธีศีขรินทร์
สูงส่งตรงโตรกโดดเดี่ยว
อยู่ริมสายชลเชี่ยวกระแสสินธุ์
พรายแพร้วดังแก้วแกมนิล
ปักษินบินร้องร้องระงมไพร
บ้างจับไม้รายเรียงบนเชิงเขา
บ้างง่วงเหงาหาคู่พิศมัย
นกเอ๋ยยังรู้มีอาไลย
อกเราฤๅจะไม่เวทนา
ครั้นบรรลุถึงศาลเทพารักษ์
อันพิทักษ์ปากน้ำประจำท่า
มีแต่ศาลสันโดษอยู่เอกา
คิดมาเหมือนอกพี่ที่จากจร
เห็นอารักษ์แล้วคิดสังเวชจิตร
มาไร้มิตรเหมือนพี่ร้างแรมสมร
สารพัดจะวิบัติอนาทร
แต่ร้อนแรมตามทางทุเรศมา
ครั้นมาถึงวังนางตะเคียน
พิศเพี้ยนมิ่งไม้ใบหนา
คั่งเคียงเรียงเรียบริมชลา
สาขารื่นร่มสำราญใจ
ต้นไม้เปลาเปลาอยู่สล้าง
เหมือนไม้กระถางวางเรียงงามไสว
ชมพลางพลางรีบนาวาไป
บรรลุล่วงมาได้หลายตำบล
มาทางพลางแสนคนึงหา
นัยนาแลลับไพรสณฑ์
ยิ่งแดดาลร่านร้อนทุรนทน
จนลุดลเขาท้องไอยรารมย์
เปนช่องชั้นเชิงผาศิลาลาด
รุกขชาติรื่นรวยสวยสม
ไพจิตรพิศพรรณอยู่น่าชม
ลมพัดพากลิ่นสุมาลย์มา
มีท่อธารน้ำพุดุดั้น
ตลอดลั่นไหลลงแต่ยอดผา
เปนโปลงปล่องช่องชั้นบรรพตา
เซนซ่าดังสายสุหร่ายริน
บ้างเปนท่อแถวทางหว่างบรรพต
เลี้ยวลดไหลมามิรู้สิ้น
น้ำใสไหลซอกศิขรินทร์
แสนถวิลถึงสวาดิ์ไม่คลาศคลา
เกษมศุขสรงสนานสำราญเริง
บรรเทิงจิตรพิศวงหรรษา
ชลอได้ก็จะใคร่ชลอมา
ให้เปนที่ผาศุกทุกนางใน
คิดเคยเมื่อเคยสรงสนาน
สุธาธารทิพรศสดใส
อันหอมหวนอวลอบสุมาไลย
มาร้างไร้สุคนธกำจร
เจ้าเคยถวายภูษาสุธาสรง
อันบรรจงทิพรศเกสร
เคยไพบูลย์ด้วยตรุณนิกร
ทีนี้มาจำจรอยู่เอกา
ชมเขาลำเนาพนาวาศ
แสนสวาดิ์ไม่วายถวิลหา
ถึงไทรโยคปลายแดนนัครา
มิให้หยุดโยธาเร่งคลาไคล
แต่เห็นทางท่าชลานั้น
เปนเกาะแก่งขัดขั้นล้วนเนินไศล
ยากที่นาวีจะหลีกไป
จึงสั่งให้รอรั้งยั้งนาวา
เร่งรีบคชสารอัศดร
บทจรตามแถวแนวพฤษา
ชมพรรณมิ่งไม้นานา
บ้างทรงผลปนผกาเขียวขจี
ลางต้นสาขาดูน่าชม
รื่นร่มมิดแสงพระสุรศรี
สดับเสียงปักษาสุวาที
ลิงค่างบ่างชนีวิเวกดง
เสนาะเสียงจักระจั่นสนั่นไพร
แม่ม่ายลองไนในป่าระหง
เรไรร้องหริ่งหริ่งอยู่ริมพง
ส่งเสียงดังสำเนียงอนงค์นวล
คิดคล้ายลม้ายเหมือนดนตรี
จำเรียงรี่เรื่อยโรยโหยหวน
ยิ่งซับซาบอาบชื่นอารมณ์ชวน
กำสรวญว้าเหว่ทุเรโรย
ฟังแต่เสียงสำเนียงนกวิหคร้อง
วิเวกก้องเกริ่นไพรฤไทยโหย
รุกขชาติแกว่งกวัดสบัดโบย
ลมโชยคันธรศจรุงใจ
ตวันรอนอ่อนแสงจะอัษฎงคต์
เหล่าจัตุรงค์เตรียมกายทั้งนายไพร่
แรมร้อนนอนแนวพนาไลย
เขตรไศลป่าระหงดงดอน
นอนเดียวเปลี่ยวเทวศทวีทุกข์
ไม่มีศุขเร่าร้อนสท้อนถอน
แสงจันทร์ส่องสว่างกลางอัมพร
ยิ่งอาวรณ์หวังสวาดิ์ไม่ขาดคิด
วายุพัดพานดวงศศิธร
เขจรจรบังเมฆมิดสนิท
พิรุณโรยโปรยปรายใบไม้ชิด
สท้านจิตรเจียนจักเปนไข้ใจ
เย็นฉ่ำน้ำฟ้าลอองฝน
มาทนเทวศครั้งนี้จะมีไหน
ถึงทั้งหลายหนาวกายได้ผิงไฟ
ไม่เหมือนพี่หนาวใจที่ในทรวง
เห็นดาวดึกนึกหวนรัญจวนหา
ในอุราเพียงทับด้วยเขาหลวง
อันหาบหามที่เขาตามมาทั้งปวง
ไม่หนักทรวงเหมือนพี่หนักอาไลยไกล
เขาหนักหาบถึงที่ก็ได้พัก
พี่หนักรักนี้ไม่ปลงเอาลงได้
มีแต่คอนข้อนทุกข์ทุกวันไป
จะเห็นใจฤๅที่ใจการุญกัน
แต่นอนนิ่งกลิ้งกลับไม่หลับสนิท
ยิ่งคิดคิดก็ยิ่งโทมนัศสันต์
จนอรุณเรืองศรีระวีวรรณ
จึงให้ยกพลขันธ์ยาตรา
ออกจากเนินผาศิลาพนัศ
เร่งรัดทวยหาญทั้งซ้ายขวา
ไปตามแนวแถวในพนาวา
พอสุริยาสายัณห์ลงรอนรอน
ก็ถึงด่านท่าขนุนโดยหมาย
ให้ตั้งค่ายตามเชิงศิขร
แล้วรีบเร่งพหลพลนิกร
ทั้งลาวมอญเขมรไทยเข้าโจมตี
ทัพพม่าอยู่ยังท่าดินแดง
แต่งค่ายรายไว้เปนถ้วนถี่
ทั้งเสบียงอาหารสารพันมี
ดังสร้างสรรค์ธานีทุกประการ
มีทั้งพ่อค้ามาขาย
ร้านรายกระท่อมพลทุกสถาน
ด้านหลังท่าทางวางตะพาน
ตามลหานห้วยน้ำทุกตำบล
ร้อยเส้นมีฉางระหว่างค่าย
ถ่ายเสบียงมาไว้ทุกแห่งหน
แล้วแต่งกองร้อยอยู่คอยคน
จนตำบลสามสบครบครัน
อันค่ายคูประตูหอรบ
ตบแต่งสาระพัดเปนที่มั่น
ทั้งขวากหนามเขื่อนคูป้องกัน
เปนชั้นชั้นอันดับมากมาย
ให้ทหารเข้าหักโหมโรมรัน
สามวันพวกพม่าก็พังพ่าย
แตกยับกระจัดพลัดพราย
ทั้งค่ายคอยน้อยใหญ่ไม่ต่อดี
ให้ติดตามไปจนแม่กษัตร
เหล่าพม่ารีบรัดลัดหนี
บ้างก็ตายก่ายกองในปัถพี
ด้วยเดชะบารมีที่ทำมา
ตั้งใจจะอุประถัมภก
ยอยกพระพุทธสาสนา
จะป้องกันขอบขัณฑสิมา
รักษาประชาชนแลมนตรี
จะบำรุงทั้งฝูงสุรางค์รัก
ให้อัคเรศเปนศุขจำเริญศรี
ครั้นเสร็จการผลาญราชไพรี
ก็ให้กรีธาทัพกลับมา
ทั้งทิวาราตรีไม่หยุดหย่อน
ด้วยอาวรณ์ทนเทวศถวิลหา
แสนคนึงถึงสวาดิ์ไม่คลาศคลา
แต่พร่ำปรารภนั้นเปนอาจิณ
จิตรเจ็บจะขาดด้วยนิราศรศ
จะอดไว้ก็สุดอาไลยถวิล
อันบำราบรบราชไพริน
ถึงจะไร้ศรศิลป์ที่ชิงไชย
ก็พอจะพยายามตามตี
ให้ชนะไพรีจงได้
จะสู้สงครามรักนี้หนักใจ
ด้วยไร้ศรรศสวาดิ์จะราวี
อันแสนศึกทั้งหลายก็พ่ายแพ้
ยากแต่จะรบรักให้หน่ายหนี
ที่ลำบากแต่หลังในครั้งนี้
สุดที่จะปรับทุกข์กับผู้ใด
อันฝูงสุรางค์นางทั้งหลาย
ยังค่อยอยู่ศุขสบายฤๅไฉน
ฤๅในจิตรคิดอ่านประการใด
อย่าอำไว้จงแจ้งแต่จริงเอย ฯ


จบพระราชนิพนธ์

  1. ที่ตั้งโขลนทวารครั้งนั้นว่าอยู่ตรงวัดไทร อำเภอบางขุนเทียร จังหวัดธนบุรี

งานนี้ ปัจจุบันเป็นสาธารณสมบัติแล้ว เพราะลิขสิทธิ์ได้หมดอายุตามมาตรา 19 และมาตรา 20 ของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ซึ่งระบุว่า

ถ้ารู้ตัวผู้สร้างสรรค์ ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นบุคคลธรรมดา
  1. ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย
  2. ถ้ามีผู้สร้างสรรค์ร่วม ลิขสิทธิ์หมดอายุ
    1. เมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายถึงแก่ความตาย หรือ
    2. เมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้โฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก ในกรณีที่ไม่เคยโฆษณางานนั้นเลยก่อนที่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายจะถึงแก่ความตาย
ถ้ารู้ตัวผู้สร้างสรรค์ ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นนิติบุคคล หรือถ้าไม่รู้ตัวผู้สร้างสรรค์
  1. ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น
  2. แต่ถ้าได้โฆษณางานนั้นในระหว่าง 50 ปีข้างต้น ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้โฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก

Public domainPublic domainfalsefalse