|
โอ้อาลัยใจหายไม่วายห่วง
|
ดังศรศักดิ์ปักซ้ำระกำทรวง |
เสียดายดวงจันทราพะงางาม
|
เจ้าคุมแค้นแสนโกรธพิโรธพี่ |
แต่เดือนยี่จนย่างเข้าเดือนสาม
|
จนพระหน่อสุริย์วงศ์ทรงพระนาม |
จากอารามแรมร้างทางกันดาร
|
ด้วยเรียมรองมุลิกาเป็นข้าบาท |
จำนิราศร้างนุชสุดสงสาร
|
ตามเสด็จเสร็จโดยแดนกันดาร |
นมัสการรอยบาทพระศาสดาฯ
|
|
|
วันจะจรจากน้องสิบสองค่ำ |
พอจวนย่ำรุ่งเร่งออกจากท่า
|
รำลึกถึงดวงจันทร์ครรไลลา |
พี่ตั้งตาแลแต่ตามแพราย
|
ที่ประเทศเขตเคยได้เห็นเจ้า |
ก็แลเปล่าเปลี่ยวไปน่าใจหาย
|
แสนสลดให้ระทดระทวยกาย |
ไม่เหือดหายห่วงหวงเป็นห่วงครันฯ
|
|
|
ถึงคลองขวางบางจากยิ่งตรมจิต |
ใครช่างคิดชื่อบางไว้กางกั้น
|
ว่าชื่อจากแล้วไม่รักรู้จักกัน |
พิเคราะห์ครันหรือมาพ้องกับคลองบาง
|
ทั้งจากที่จากคลองเป็นสองข้อ |
ยังจากกอนั้นก็ขึ้นในคลองขวาง
|
โอ้ว่าจากช่างมารวบประจวบทาง |
ทั้งจากบางจากไปใจระบม
|
แสนวิบากหลากใจอาลัยเหลียว |
เห็นเวียงวังก็ยิ่งเสียวถึงเคยสม
|
ประสานสองหัตถ์ประนังตั้งประนม |
น้อมบังคมเทวารักษาวัง
|
ขอฝากน้องสองชนกช่วยปกเกศ |
อย่ามีเหตุอันตรายเมื่อภายหลัง
|
ใครปองชิงขอให้ตายด้วยรายชัง |
เทพทั้งชั้นฟ้าได้ปรานีฯ
|
|
|
ถึงสามเสนแจ้งความตามสำเหนียก |
เมื่อแรกเรียกสามแสนทั้งกรุงศรี
|
ประชุมฉุดพุทธรูปในวารี |
ไม่เคลื่อนที่ชลธารบาดาลดิน
|
จึงสาปนามสามแสนเป็นชื่อคุ้ง |
เออชาวกรุงกลับเรียกสามเสนสิ้น
|
นี่หรือรักจะมิน่าเป็นราคิน |
แต่ชื่อดินเจียวยังกลายเป็นหลายคำ
|
ขอใจนุชที่ฉันสุจริตรัก |
ให้แน่นหนักเหมือนพุทธรูปเลขาขำ
|
ถึงแสนคนจะมาวอนชะอ้อนนำ |
สักแสนคำอย่าให้เคลื่อนจงเหมือนใจฯ
|
|
|
ถึงบางพลัดยิ่งอนัตอนาถจิต |
นิ่งพินิจนึกน่าน้ำตาไหล
|
พี่พลัดนางร้างรักมาแรมไกล |
ประเดี๋ยวใจพบบางริมทางจร
|
ถึงบางซื่อชื่อบางนี้สุจริต |
เหมือนซื่อจิตที่พี่ตรงจำนงสมร
|
มิตรจิตขอให้มิตรใจจร |
ใจสมรขอให้ซื่อเหมือนชื่อบาง
|
ถึงบางซ่อนเหมือนเขาซ่อนสมรพี่ |
ซ่อนไว้นี่ดอกกระมังเห็นกว้างขวาง
|
เจ้าเยี่ยมหน้าออกมาหกพี่หน่อยนาง |
จะลาร้างแรมไกลเจ้าไปแล้วฯ
|
|
|
ถึงน้ำวนชลสายที่ท้ายย่าน |
เขาเรียกบ้านวัดโบสถ์ตลาดแก้ว
|
จะเหลียวกลับลับวังมาลิบแล้ว |
พี่ลับแก้วลับบ้านมาย่านบาง
|
พฤกษาสวนล้วนได้ฤดูดอก |
ตระหง่านงอกริมกระแสแลสล้าง
|
กล้วยระกำอัมพาพฤกษาปราง |
ต้องน้ำค้างช่อชุ่มเป็นพุ่มพวง
|
เห็นจันทน์สุกลูกเหลืองตลบกลิ่น |
แมงภู่บินร่อนร้องประคองหวง
|
พฤกษาพ้องต้องนามกานดาดวง |
พี่ยลพวงผลจันทน์ให้หวั่นใจ
|
แมงภู่เชยเหมือนพี่เคยประคองชิด |
นิ่งพินิจนึกน่าน้ำตาไหล
|
เห็นรักร่วงผลิผลัดสลัดใบ |
เหมือนรักใจขวัญเมืองที่เคืองเรา
|
พี่เวียนเตือนเหมือนอย่างน้ำค้างย้อย |
ให้แช่มช้อยชื่อช่อเช่นกอเก่า
|
โอ้รักต้นหรือมาต้องกับสองเรา |
จึงใจเจ้าโกรธไปไม่ได้นานฯ
|
|
|
ถึงแขวงแควแพตลอดตลาดขวัญ |
เป็นเมืองจันตประเทศรโหฐาน
|
ตลิ่งเบื้องบูรพาศาลาลาน |
เรือขนานจอดโจษกันจอแจ
|
พินิจนางแม่ค้าก็น่าชม |
ท้าคารมเร็วเร่งอยู่เซ็งแซ่
|
ใส่เสื้อตึงรึงรัดดูอัดแอ |
พี่แลแลเครื่องเล่นเป็นเสียดาย
|
ชมคณาฝูงนางมากลางชล |
สุริยนเยี่ยมฟ้าเวลาสาย
|
ถึงปากเกร็ดเสร็จพักผ่อนฝีพาย |
หยุดสบายบริโภคอาหารพลัน
|
แรงกำเริบเอิบอิ่มขยายออก |
เขาก็บอกโยนยาวฉาวสนั่น
|
ถึงหาดขวางบางพูดเขาพูดกัน |
พี่คิดฝันใจฉงนอยู่คนเดียว
|
เป็นพูดชื่อหรือผีภูตปีศาจหลอก |
ใคร่ช่วยบอกภูตผีมานี่ประเดี๋ยว
|
จะสั่งฝากขนิษฐาสุดาเดียว |
ใครเกินเกี้ยวแล้วอย่าไว้กำไรเลยฯ
|
|
|
ถึงบางพังน้ำพังลงตลิ่ง |
โอ้ช่างจริงเหมือนเขาว่านิจจาเอ๋ย
|
พี่จรจากดวงใจมาไกลเชย |
โอ้อกเอ๋ยแทบพังเหมือนฝั่งชล
|
ถึงวังวัดเทียนถวายบ้านใหม่ข้าม |
ก็รีบตามเรือที่นั่งมากลางหน
|
ทุ่งละลิ่วทิวเมฆเป็นหมอกมน |
สะพรั่งต้นตาลโตนดอนาถครัน
|
เจ้าของตาลรักหวานขึ้นปีนต้น |
ระวังตนตีนมือระมัดมั่น
|
เหมือนคบคนคำหวานรำคาญครัน |
ถ้าพลั้งพลันเจ็บอกเหมือนตกตาล
|
เห็นเทพีมีหนามลงราน้ำ |
เปรียบเหมือนคำคนพูดไม่อ่อนหวาน
|
เห็นกิ่งกีดมีดพร้าเข้าราราน |
ถึงหนามกรานก็ไม่เหน็บเหมือนเจ็บทรวงฯ
|
|
|
ถึงบางหลวงทรวงร้อนดังศรปัก |
พี่ร้างรักมาด้วยราชการหลวง
|
เมื่อคิดไปใจหายเสียดายดวง |
จนเรือล่วงมาถึงย่านบ้านกระแซง
|
พี่เร่งเตือนเพื่อนชายพายกระโชก |
ถึงสามโคกต้องแดดยิ่งแผดแสง
|
ให้รุ่มร้อนอ่อนจิตระอิดแรง |
เห็นมอญแต่งตัวเดินมาตามทาง
|
ตาโถงถุงนุ่งอ้อมลงกรอมส้น |
เป็นแยบยลเมื่อยกขยับอย่าง
|
เห็นขาขาววาวแวบอยู่หว่างกลาง |
ใครยลนางก็เป็นน่าจะปรานี
|
ดูเหย้าเรือนหาเหมือนอย่างไทยไม่ |
หลังคาใหญ่พื้นเล็กเป็นโรงผี
|
ระยะบ้านย่านนั้นก็ยาวรี |
จำเพาะมีฝั่งซ้ายเมื่อพายไปฯ
|
|
|
๏ ถึงวังตำหนักพักพลพอเสวย |
แล้วก็เลยตามแควกระแสไหล
|
ทั้งน้ำลงน่าสลดระทดใจ |
โอ้น้ำไหลเจียวยังมีเวลาลง
|
แต่โศกพี่หรือไม่มีเวลาว่าง |
ระยะทางก็ยังไกลถึงไพรระหง
|
ขึ้นจากน้ำแล้วจะซ้ำเข้าเดินดง |
เมื่อไรลงนั่นแลกายจะวายตรอม
|
เห็นลมอื้อจะใคร่สื่อสาราสั่ง |
ถึงร้อยชั่งคู่เชยเคยถนอม
|
ให้นิ่มน้องครองศักดิ์อย่าปลักปลอม |
เรียมนี้ตรอมใจถึงคะนึงนางฯ
|
|
|
ถึงทุ่งขวางกลางยานบ้านกระบือ |
ที่ลมอื้อนั่นค่อยเหือดด้วยคุ้งขวาง
|
ถึงย่านหนึ่งน้ำเซาะเป็นเกาะกลาง |
ต้องแยกทางสองแควกระแสชล
|
ปางบุรำคำบุราณขนานนาม |
ราชครามเกาะใหญ่เป็นไพรสณฑ์
|
ในแถวทางกลางย่านกันดารคน |
นาวาดลเดินเบื้องบูรพา
|
โอ้กระแสแควเดียวทีเดียวหนอ |
มาเกิดก่อเกาะถนัดสกัดหน้า
|
ต้องแยกคลองออกเป็นสองทางคงคา |
นี่หรือคนจะมิน่าเป็นสองใจ
|
ครั้นพอสิ้นถิ่นเกาะค่อยเลาะเลียบ |
นาวาเพียบน้ำลงกำลังไหล
|
โอ้อนาถเหนื่อยน่าระอาใจ |
ถึงบางไทรด่านดักนาวาเดิน
|
เขาบอกชื่อสีกุกตรงด่านข้าม |
เป็นสามง่ามน้ำนองในคลองเขิน
|
ปักษาโบกปีกบินลงดินเดิน |
มัจฉาเพลินผุดพล่านในคงคา
|
นกยางเลียบเหยียบปลานขาหยิก |
เอาปากจิกบินฮือขึ้นเวหา
|
กระทุงน้อยลอยทวนนาวามา |
โอ้ปักษาเอ๋ยจะลอยถึงไหนไป
|
หน้าวังหรือจะสั่งด้วยนะนก |
ให้แนบอกของพี่รู้ว่าโหยไห้
|
มิทันสั่งสกุณินก็บินไป |
ลงจับใกล้นกตะกรุมริมวุ้มวน
|
ศีรษะเตียนเลี่ยนโล่งหัวล้านเลื่อม |
เหนียงกระเพื่อมร้องแรงแสยงขน
|
โอ้หัวนกนี่ก็ล้านประจานคน |
เมื่อยามยลพี่ยิ่งแสนระกำทรวงฯ
|
|
|
ถึงเกาะเกิดเกิดเกาะขึ้นกลางน้ำ |
เหมือนเกิดกรรมเกิดราชการหลวง
|
จึงเกิดโศกขัดขวางขึ้นกลางทรวง |
จะตักตวงไว้ก็เติบกว่าเกาะดิน
|
รำพึงพายตามสายกระแสเชี่ยว |
ยิ่งแสนเปลี่ยวเปล่าในฤทัยถวิล
|
สักครู่หนึ่งก็มาถึงบางเกาะอิน |
กระแสสินธุ์สายชลเป็นวนวัง
|
อันเท็จจริงสิ่งนี้ไม่รู้แน่ |
ได้ยินแต่ยุบลแต่หนหลัง
|
ว่าที่เกาะบางอออินเป็นถิ่นวัง |
กษัตริย์ครั้งครองศรีอยุธยา
|
พาสนมออกมาชมคณานก |
ก็เรื้อรกรั้งร้างเป็นทางป่า
|
อันคำแจ้งกับเราแกล้งสังเกตตา |
ก็เห็นน่าที่จะแน่กระแสความ
|
แต่เดี๋ยวนี้มีไม้ก็ตายโกร๋น |
ทั้งเกิดโจรจระเข้ให้คนขาม
|
โอ้ฉะนี้แก้วพี่เจ้ามาตาม |
จะวอนถามย่านน้ำพี่ร่ำไปฯ
|
|
|
ถึงเกาะพระที่ระยะสำเภาล่ม |
เภตราจมอยู่ในแควกระแสไหล
|
ถึงเกาะเรียนโอ้เรียมยิ่งเกรียมใจ |
ที่เพื่อนไปเขาก็โจษกันกลางเรือ
|
ว่าคุ้งหน้าท่าเสือข้ามกระแส |
พี่แลแลหาเสือไม่เห็นเสือ
|
ถ้ามีจริงก็จะวิ่งลงจากเรือ |
อุทิศเนื้อให้เป็นภักษ์พยัคฆา
|
ไม่เคยตายเขาบ่ายนาวาล่อง |
เข้าในคลองตะเคียนให้โหยหา
|
ระยะย่านบ้านช่องในคลองมา |
ล้วนภาษาพวกแขกตะนีอึง
|
ดูหน้าตาก็ไม่น่าจะชมชื่น |
พี่แข็งขืนอารมณ์ทำก้มขึง
|
ที่เพื่อนเราร้องหยอกมันออกอึง |
จนเรือถึงปากช่องคลองตะเคียนฯ
|
|
|
เห็นวัดวาอารามตามตลิ่ง |
ออกแจ้งจริงเหลือจะจำในคำเขียน
|
พระเจดีย์ดูกลาดดาษเดียร |
การเปรียญโบสถ์กุฏิ์ชำรุดพัง
|
ถึงวัดธารมาใหม่ใจระย่อ |
ของพระหน่อสุริย์วงศ์พระวังหลัง
|
อุตส่าห์ทรงศรัทธามาประทัง |
อารามรั้งหรือมางามอร่ามทอง
|
สังเวชวัดธารมาที่อาศัย |
ถึงสร้างใหม่ชื่อยังธาระมาหมอง
|
เหมือนทุกข์พี่ถึงจะมีจินดาครอง |
มงกุฎทองสร้อยสะอิ้งมาใส่กาย
|
อันตัวงามยามนี้ก็ตรอมอก |
แสนวิตกมาตามแควกระแสสาย
|
ถึงคลองสระปทุมานาวาราย |
น่าใจหายเห็นศรีอยุธยา
|
ทั้งวังหลวงวังหลังก็รั้งรก |
เห็นนกหกซ้อแซ้บนพฤกษา
|
ดูปราสาทราชวังเป็นรังกา |
ดังป่าช้าพงชัฏสงัดคนฯ
|
|
|
๏ อนิจจาธานินสิ้นกษัตริย์ |
เหงาสงัดเงียบไปดังไพรสณฑ์
|
แม้กรุงยังพรั่งพร้อมประชาชน |
จะสับสนแซ่เสียงทั้งเวียงวัง
|
มโหรีปี่กลองจะก้องกึก |
จะโครมครึกเซ็งแซ่ด้วยแตรสังข์
|
ดูพาราน่าคิดอนิจจัง |
ยังได้ฟังแต่เสียงสกุณา
|
ทั้งสองฝั่งแฝกแขมแอร่มรก |
ชะตาตกสูญสิ้นพระชันษา
|
แต่ปู่ย่ายายเราท่านเล่ามา |
เมื่อแรกศรีอยุธยายังเจริญ
|
กษัตริย์สืบสุริย์วงศ์ดำรงโลก |
ระงับโศกสุขสุดจะสรรเสริญ
|
เราเห็นยับยังแต่รอยก็พลอยเพลิน |
เสียดายเกิดมาเมื่อเกินน่าน้อยใจ
|
กำแพงรอบขอบคูก็ดูลึก |
ไม่น่าศึกอ้ายพม่าจะมาได้
|
ยังให้มันข้ามเข้าเอาเวียงชัย |
โอ้อย่างไรเหมือนบุรีไม่มีชาย
|
หรือธานินสิ้นเกณฑ์จึงเกิดยุค |
ไพรีรุกรบได้ดังใจหมาย
|
เหมือนทุกวันแล้วไม่คัณนาตาย |
ให้ใจหายหวั่นหวั่นถึงจันทร์ดวงฯ
|
|
|
พี่ดูใจค่ายนอกออกหนักแน่น |
ดังเขตแคว้นคูขอบนครหลวง
|
ไม่เห็นจริงใจนางในกลางทรวง |
ชายทะลวงเข้ามาบ้างจะอย่างไร
|
ขอเทเวศร์เขตสวรรค์ชั้นดุสิต |
ดลใจมิตรอย่าให้เหมือนกับกรุงใหญ่
|
ให้เหมือนกรุงเราทุกวันไม่พรั่นใคร |
นั่นแลใจเห็นจะครองกับน้องนานฯ
|
|
|
สุริยนเย็นสนธยาย่ำ |
ประทับลำเรือเรียงเคียงขนาน
|
เขาเรียกวัดแม่นางปลื้มลืมรำคาญ |
ใครขนานชื่อหนอได้ต่อมา
|
ช่างแปลงโศกให้เราปลื้มพอลืมรัก |
จะรู้จักคุณจริงไม่แกล้งว่า
|
พลพายนายไพร่บรรดามา |
หุงข้าวหาฟืนใส่ก่อไฟฮือ
|
พี่ตันอกตกยากจากสถาน |
เห็นอาหารหวนทอดใจใหญ่หือ
|
ค่อยขืนเคี้ยวข้าวคำสักกำมือ |
พอกลืนครือคอแค้นดังขวากคม
|
จะเจือน้ำซ้ำแสบในทรวงเสียว |
มีเค็มเปรี้ยวกล้ำกลืนก็ขื่นขม
|
กินประทับแต่พอรับกับโรคลม |
ครั้นค่ำพรมน้ำค้างอยู่พร่างพราย
|
ก็แรมรอนนอนวัดแม่นางปลื้ม |
พี่ไม่ลืมอาลัยให้ใจหาย
|
ทั้งไพร่นายนอนกลาดบนหาดทราย |
พงศ์นารายณ์นรินทร์วงศ์ที่ทรงญาณ
|
บรรทมเรือพระที่นั่งบังวิสูตร |
เขารวบรูดรอบดีทั้งสี่ด้าน
|
ครั้นรุ่งเช้าราวโมงหนึ่งนานนาน |
จัดแจงม่านให้เคลื่อนนาวาคลาฯ
|
|
|
๏ เข้าลำคลองหัวรอตอระดะ |
ดูเกะกะรอร้างทางพม่า
|
เห็นรอหักเหมือนหนึ่งรักพี่รอรา |
แต่รอท่ารั้งทุกข์มาตามทาง
|
พอเลี้ยวแหลมถึงท่าศาลาเกวียน |
ตลิ่งเตียนแลโล่งดังคนถาง
|
พี่ตั้งตาหาเกวียนสองข้างทาง |
หมายจะจ้างบรรทุกไปท่าเรือ
|
แต่ทุกข์รักก็เห็นหนักถนัดอก |
ถึงสักหกเจ็ดเกวียนก็เจียนเหลือ
|
แต่โศกรักมาจนหนักในลำเรือ |
เฝ้าเติมเจือไปทุกคุ้งรำคาญครันฯ
|
|
|
ถึงบ่อโพงถ้ามีโพงจะผาสุก |
จะโพงทุกข์เสียให้สิ้นที่โศกศัลย์
|
นี่แลแลก็เห็นแต่ตลิ่งชัน |
ถึงปากจั่นตละเตือนให้ตรอมใจ
|
โอ้นามน้องหรือมาพ้องกับชื่อบ้าน |
ลืมรำคาญแล้วมานึกรำลึกได้
|
ถึงบางระกำโอ้กรรมระยำใจ |
เคราะห์กระไรจึงมาร้ายไม่วายเลย
|
ระกำกายมาถึงท้ายระกำบ้าน |
ระกำย่านนี่ก็ยาวนะอกเอ๋ย
|
โอ้คนผู้เขาช่างอยู่อย่างไรเลย |
หรืออยู่เคยความระกำทุกค่ำคืนฯ
|
|
|
ถึงคุ้งแคว้นแดนพระนครหลวง |
ยิ่งโศกทรวงเสียใจให้สะอื้น
|
โอ้อกเอ๋ยยังจะไปอีกหลายคืน |
กว่าจะชื่นแทบช้ำระกำกาย
|
ถึงแม่ลาเมื่อเรามาก็ลาแม่ |
แม่จะแลแลหาไม่เห็นหาย
|
จะถามข่าวเช้าเย็นไม่เว้นวาย |
แต่เจ้าสายสุดใจมิได้มา
|
ถึงอรัญญิกยามแดดแผดพยับ |
เสโทซับซาบโทรมทั้งนาสา
|
ถึงตะเคียนด้วนด่วนรีบนาวามา |
ถึงศาลาลอยแลลิงโลดใจ
|
เงื้อมตลิ่งงิ้วงามตระหง่านยอด |
ระกะกอดเกะกะกิ่งไสว
|
พยุยวบกิ่งเยือกเขยื้อนใบ |
ถึงวังตะไลเห็นบ้านละลานแล
|
ถึงบ้านขวางที่ทางนาวาจอด |
เรือตลอดแลหลามตามกระแส
|
ถึงท่าเรือเรือยัดกันอัดแอ |
ดูจอแจจอดริมตลิ่งชุม
|
ที่หน้าท่ารารับประทับหยุด |
อุตลุดขนของขึ้นกองสุม
|
เสบียงใครใครนั่งระวังคุม |
พร้อมชุมนุมแน่นหน้าศาลารีฯ
|
|
|
ฝ่ายพระหน่อสุริย์วงศ์ทรงสิกขา |
ขึ้นศาลาโสรจสรงวารีศรี
|
ข้างพวกเราเฮฮาลงวารี |
แต่โดยดีใจตนด้วยพ้นพาย
|
อุระเรียมเกรียมตรมอารมณ์ร้อน |
ระอาอ่านอกใจมิใคร่หาย
|
แลตลิ่งวิงหน้านัยน์ตาพราย |
หัวไหล่ตายตึงยอกตลอดตัว
|
ได้พึ่งเพื่อนเหมือนญาติเมื่อยามเข็ญ |
เขานวดเคล้นให้บ้างก็ยังชั่ว
|
พระอาทิตย์มืดมิดเข้าเมฆมัว |
ฟ้าสลัวแดดดับพยับไพร
|
กองคเชนทร์เกณฑ์ช้างยี่สิบเชือก |
มาจัดเลือกกองหมอขึ้นคอไส
|
ที่เดินดีขี่กูบไม่แกว่งไกว |
วิสูตรใส่สองข้างเป็นช้างทรง
|
แล้วผ่อนเกณฑ์กองช้างไว้กลางทุ่ง |
เวลารุ่งจะเสด็จขึ้นไพรระหง
|
ที่สี่เวรเกณฑ์กันไว้ล้อมวง |
พระจอมพงศ์อิศยมบรรทมพลันฯ
|
|
|
อันพวกเราเหล่าเสวกามาตย์ |
เหนื่อยอนาถนิทราดังอาสัญ
|
แสนวิตกอกพี่นี้ผูกพัน |
ให้หวั่นหวั่นเวทนาด้วยอาวรณ์
|
สดับเสียงสัปปุรุษที่หยุดพัก |
เขาร้องสักวาอึงทั้งครึ่งท่อน
|
บ้างชมป่าช้าปี่ทีละคร |
ถึงสบกลอนที่จะรู้ก็สู้เมิน
|
เฝ้าแหงนดูดวงแขชะแง้พักตร์ |
เห็นจันทร์ชักรถร่อนเวหาเหิน
|
ดูดวงเดือนเหมือนชื่อรื้อเผอิญ |
ระกำเกินที่จะเก็บประกอบกลอน
|
จนไก่เถื่อนเตือนขันสนั่นแจ้ว |
ดุเหว่าแว่วหวาดหมายว่าสายสมร
|
เดือนแอร่มแจ่มล้ำในอัมพร |
กองกุญชรผูกช้างมายืนเรียงฯ
|
|
|
บรรดาเพื่อนเตือนตื่นขึ้นเซ็งแซ่ |
บ้างจอแจจัดการประสานเสียง
|
บ้างม้วนเสื่อมัดกระสอบหอบเสบียง |
บ้างถุ้งเถียงชิงสัปคับกัน
|
บ้างขึ้นบนขนส่งคนข้างล่าง |
เสียงโฉ่งฉ่างขามแตกกระแทกขัน
|
จนคนบนสัปคับรับไม่ทัน |
หม้อข้าวขันตกแตกกระจายราย
|
ย่ามกระสอบกรอบแกรบกระไกรกริก |
กลักพริกพลิกแพลงตะแคงหงาย
|
กะโปเลเชือกร้อยขึ้นห้อยท้าย |
เมื่อยามร้ายดูงามกว่าชามดินฯ
|
|
|
สงสารนางชาวในที่ไปด้วย |
ทั้งโถถ้วยเครื่องแต่งแป้งขมิ้น
|
หวีกระจกตกแตกกระจายดิน |
เจ้าของผินหน้าหาน้ำตาคลอ
|
จะปีนขึ้นกูบช้างไม่กางขา |
แต่โดยผ้ากรีดกรอมทำซอมซ่อ
|
มือตะกายสายรัดสกนธ์คอ |
เห็นช้างงองวงหนีก็หวีดอึง
|
แต่ปีนไพล่เหนี่ยวพลัดสุหรัดขาด |
สองมือพลาดพลัดคว่ำลงต้ำผึง
|
กรมการบ้านป่าเขาฮาตึง |
ทำโกรธขึ้งเรียกพวกผู้ชายเร็ว
|
บ้างขึ้นช้างพลางฉวยข้อมือฉุด |
ดังอุณรุทจับกินนรที่ในเหว
|
ไม่นึกอายอัประมาณเป็นการเร็ว |
บ้างโอบเอวอุ้มนางขึ้นช้างพังฯ
|
|
|
สุรแสงแจ่มแจ้งอร่ามโลก |
บริโภคอิ่มเอิบอารมณ์หวัง
|
ขัตติยวงศ์ทรงช้างกูบบัลลังก์ |
รับสั่งสั่งสารถีให้ไสเดิน
|
จากศาลาท่าเรือเข้าทิวทุ่ง |
เป็นฝุ่นฟุ้งนภางค์ในทางเขิน
|
กูบกระโดกโยกอย่างทุกย่างเดิน |
เขยื้อนเยินยอบเยือกยะยวบกาย
|
ทั้งสองข้างท่านวางเป็นช้างดั้ง |
ระยะหลังมหาดเล็กนั้นเหลือหลาย
|
แต่ตัวพี่นี้จำเพาะเป็นเคราะห์ร้าย |
ต้องขึ้นพลายนำทางช้างน้ำมัน
|
เพื่อนเขาแกล้งตบมือกระพือผัด |
ช้างสะบัดบุกไปในไพรสัณฑ์
|
ผงะหงายคนท้ายเขาคว้าทัน |
โอ้แม่จันทร์เจียนจะไม่เห็นใจจริง
|
นึกจะโจนจากช้างลงกลางเถื่อน |
แล้วอายเพื่อนเขาจะเย้ยว่าใจหญิง
|
แต่ตึงเศียรเวียนหน้านัยน์ตาวิง |
เอาขอพิงพาดตักมาตามทางฯ
|
|
|
ถึงชายป่านาประโคนรำคาญคิด |
ถึงมิ่งมิตรแล้วให้หมองอารมณ์หมาง
|
จนพ้นทุ่งมุ่งตรงเข้าดงยาง |
ไม่สล้างลู่ล้มระทมทับ
|
รุกขชาติดาษดูระดะป่า |
สกุณาจอแจประจำจับ
|
ดุเหว่าแว่วหวาดไหวฤทัยวับ |
จะแลกลับหลังเหลียวยิ่งเปลี่ยวใจ
|
ทั้งสองข้างทางเดินก็รกระ |
ระเกะกะพาดพันเถาวัลย์ไสว
|
จักจั่นแซ่เสียงเรไรไพร |
ในจิตใจทดท้อระย่อเย็นฯ
|
|
|
ถึงบางโขมดมีธารตะพานช้าง |
บรรลุทางครบร้อยห้าสิบเส้น
|
มีโพธิ์พุ่มชุ่มชื่นระรื่นเย็น |
ไม่ว่างเว้นสัปปุรุษเขาหยุดเรียง
|
บ้างขายของสองข้างตามทางป่า |
จำนรรจาจอแจออกแซ่เสียง
|
พี่แกล้งไสให้คชสารเคียง |
เห็นของเรียงอยู่บนร้านทั้งหวานคาว
|
แต่น้ำยานั้นเขาว่ากิ้งกือกุ้ง |
เห็นชาวกรุงกินกลุ้มทั้งหนุ่มสาว
|
พี่คลื่นไส้ไสช้างในย่างยาว |
มาตามราวมรคาพนาวัน
|
ลมกระพือฮือหอบผงคลีหวน |
ปักษาครวญเพรียกพฤกษ์ในไพรสัณฑ์
|
ดุเหว่าแว่วแจ้วจับน้ำใจครัน |
ไก่เถื่อนขันขานเขาชวาคูฯ
|
|
|
ประจวบจนถึงตำบลบ่อโศก |
ยามวิโยคออกชื่อก็ครือหู
|
ถึงจะไม่รู้จักไม่รักรู้ |
แต่เหลือบดูไปที่บ่อยังท้อใจ
|
ระยะเดินเถินทางมากลางป่า |
สองร้อยห้าสิบเส้นถึงสระใหญ่
|
พอได้กึ่งมรคาพนาลัย |
พี่รีบไสช้างเดินโดยลำพองฯ
|
|
|
มาลับท่อบ่อโศกจนสุดเหลียว |
ยังเสียวเสียวโศกกายไม่วายหมอง
|
ถึงหนองคนทีมีสระละหานนอง |
เป็นเปือกกรองแต่ล้วนหญ้าคงดำ
|
อันริมรอบขอบหนองทั้งสองข้าง |
รอยตีนช้างลึกลุ่มหลุ่มถลำ
|
โอ้น้ำใจในอุราทาระกรรม |
เหมือนน้ำดำอยู่ในหนองเป็นฟองคราม
|
พี่ยลน้ำช้ำใจแล้วไสช้าง |
มาตามทางทิวป่าพนาหนาม
|
กำหนดนับมรคาพยายาม |
ก็ได้สามร้อยเส้นห้าสิบปลาย
|
โอ้ทางไกลไปเปลืองเหมือนเรื่องว่า |
แต่โศกข้านี่กระไรมิใคร่หาย
|
จะแลขวาป่าเขียวยังเปลี่ยวกาย |
จะแลซ้ายเห็นแต่โขดภูเขาเคียง
|
กับหมู่ไม้ไกรกรวยกันเกรากร่าง |
พะยอมยางตาพยัคฆ์พยุงเหียง
|
ข่อยมะขามตามทางสล้างเรียง |
นกเขาเคียงคู่คูประสานคำ
|
โอ้นกคู่ดูน่าจะผาสุก |
พี่นี้ทุกข์เพราะจากเจ้างามขำ
|
เห็นนกหนึ่งจับนิ่งกิ่งระกำ |
โอ้นกน้อยเห็นจะจำจากตัวเมีย
|
ถ้านกผู้ดูเหมือนหัวอกพี่ |
แสนทวีเวทนาประดาเสีย
|
นิจจาเอ๋ยถ้าเป็นอกนกตัวเมีย |
จะละเหี่ยหาผัวอยู่ตัวเดียว
|
พี่เห็นนกแล้ววิตกถึงน้องน้อย |
จะครวญคอยนับวันกระสันเสียว
|
ไม่เห็นพี่ก็จะโหยอยู่โดยเดียว |
พี่ก็เปลี่ยวเปล่ากายซังตายมาฯ
|
|
|
ถึงศาลาอาศัยเจ้าสามเณร |
ในบริเวณอึกทึกด้วยพฤกษา
|
ที่ป่านั้นขยาดพยัคฆา |
จะไปมาใครไม่อาจประมาทเมิน
|
ยามระงิดพี่ไม่คิดว่าเสือร้าย |
เขม้นหมายมุ่งลำเนาภูเขาเขิน
|
ได้สี่ร้อยทางจรไม่หย่อนเกิน |
เขารีบเดินการด่วนจะจวนเพล
|
ช้างที่นั่งก็รับสั่งให้รีบไส |
จนเหงื่อไหลหน้าแดงดังแสงเสน
|
ถึงสระยอรอช้างเสวยเพล |
จนกองเกณฑ์เดินทางมาตามทันฯ
|
|
|
พี่แวะเข้าเขาตกคอยนำเสด็จ |
ดูเทเวศร์อารักษ์นรังสรรค์
|
เอาเทียนจุดบูชาแก่เทวัญ |
ให้ป้องกันอันตรายในราวไพร
|
เห็นเขาตกเขาแตกมาตกลึก |
อนาถนึกแล้วน่าน้ำตาไหล
|
ที่ตกยากจากนางมากลางไพร |
วิตกใจตกมาถึงคีรี
|
รำจวญจิตคิดไปน่าใจหาย |
ไม่เว้นวายความเทวษสวาทศรี
|
จึงเลยลาอารักษ์ริมคีรี |
จงสุขีเถิดนะข้าขอลาจรฯ
|
|
|
ถึงสระยอพอได้เวลาเสด็จ |
ก็ตามเสร็จแวดล้อมพร้อมสลอน
|
กำดัดแดดแผดเที่ยงทินกร |
รีบกุญชรช้างที่นั่งขนัดตาม
|
บ่ายประมาณโมงหนึ่งพอถึงวัด |
ออกแออัดผู้คนอยู่ล้นหลาม
|
ลงหยุดปลงไอยราริมอาราม |
สมภารตามเชิญเสด็จให้คลาไคล
|
ขึ้นกุฎีฝากระดานสำราญรื่น |
ก็ครึกครื้นครอบครัวเข้าอาศัย
|
ทั้งไพร่นายรายเรียบกันเรียดไป |
ตัดใบไม้มุงเหมือนหลังคาบังฯ
|
|
|
ประจวบจนสุริยนเย็นพยับ |
ไม่ได้ศัพท์เซ็งแซ่ด้วยแตรสังข์
|
ปี่ระนาดฆ้องกลองประโคมดัง |
ระฆังหงั่งหงั่งหง่างลงครางครึม
|
มโหรีปี่ไฉนจับใจแจ้ว |
วิเวกแว่วกลองโยนตะโพนกระหึม
|
ทุกที่ทับสัปปุรุษก็พูดพึม |
รุกขาครึ้มครอบแสงพระจันทร
|
เสนาะเสียงเทศนาปุจฉาถาม |
ในสนามเสียงสนั่นเนินสิงขร
|
เป็นวันบรรณรสีรวีวร |
พระจันทรทรงกลดรจนา
|
ไฟตะเกียงเรียงรอบพระมณฑป |
กระจ่างจบจันทร์แจ่มแอร่มผา
|
ดอกไม้พุ่มจุดงามอร่ามตา |
จับศิลาแลเลื่อมเป็นลายลาย
|
พระจันทร์ส่องต้องยอดมณฑปสุก |
ในหน้ามุขเงางามอร่ามฉาย
|
นกบินกรวดพรวดพราดประกายพราย |
พลุกระจายช่อช่วงดังดวงเดือน
|
ดอกไม้ร้องป้องปีปสนั่นป่า |
ในแหล่งหล้าใครไม่มีเสมอเหมือน
|
แต่คนเดินพัลวันออกฟั่นเฟือน |
จนจันทร์เคลื่อนรถคล้อยลับเมฆา
|
สงัดเสียงคนดังระฆังเงียบ |
เย็นยะเยียบยามนอนริมเนินผา
|
เมื่อยามแกนแสนทุเรศเวทนา |
ต้องไสยาอยู่กลางน้ำค้างพราว
|
ทั้งต้องน้ำอำมฤกเมื่อดึกเงียบ |
แสนยะเยียบเนื้อเย็นเป็นเหน็บหนาว
|
ทั้งหนาวลมหนาวพรมน้ำค้างพราว |
ไหนจะหนาวซากผาศิลาเย็น
|
โอ้หนาวอื่นพอขืนอารมณ์ได้ |
แต่หนาวใจยากแค้นนี้แสนเข็ญ
|
ทั้งหนาวนอนไกลนุชสุดจะเย็น |
ใครปะเป็นเหมือนหนึ่งข้าจะว่าจริง
|
ถึงผ้าผ่อนซ้อนห่มเป็นไหนไหน |
ไม่อุ่นใจเหมือนกอดแม่ยอดหญิง
|
แต่ตรอมใจไสยาสน์หวาดประวิง |
จนไก่ชิงกันขันกระชั้นยาม
|
ได้เพลินอุ่นฉุนเคลิ้มสติหลับ |
ก็ฝันยับไปด้วยรักไม่พักถาม
|
ในนิมิตว่าได้ชิดพะงางาม |
เหมือนเมื่อยามยังสำราญอยู่บ้านน้อง
|
สบายนิดหนึ่งที่ฝันก็พลันรุ่ง |
ตื่นสะดุ้งเขาประดังระฆังก้อง
|
พอลืมตาก็ผวาคว้าประคอง |
ไม่พบน้องสุดแค้นแสนรำคาญฯ
|
|
|
จนแจ่มแจ้งแสงสายไม่วายโศก |
บริโภคโภชนากระยาหาร
|
แล้วเลือกธูปเทียนจัดไปนมัสการ |
เข้าในลานแลเลื่อมละอองทราย
|
มีร่มโพธิ์รุกขังเป็นรังรื่น |
พิกุลชื่นช่อบังพระสุริย์ฉาย
|
แสนรโหโอฬาร์น่าสบาย |
ทั้งหญิงชายกลาดกลุ้มประชุมกัน
|
ทวาราที่ตรงหน้าบันไดนาค |
มีรูปรากษสสองอสูรขยัน
|
แสยะแยกโอษฐ์อ้าสองตามัน |
ยืนยิงฟันแยกเขี้ยวอยู่อย่างเป็น
|
บันไดนาคนาคในบันไดนั้น |
ดูผกผันเพียงจะเลื้อยออกโลดเล่น
|
ขย้ำเขี้ยวขบปากเหมือนนาคเป็น |
ตาเขม้นมองมุ่งสะดุ้งกาย
|
มีต้นกำพฤกษ์ทานในลานวัด |
ลูกหมากยัดเงินทิ้งอุทิศถวาย
|
คนประชุมกลุ้มชิงทั้งหญิงชาย |
บ้างกอบปรายเบี้ยโปรยอยู่โกรยกราวฯ
|
|
|
ทิศประจิมริมฐานมณฑปนั้น |
มีดาบสรูปปั้นยิงฟันขาว
|
นุ่งหนังพยัคฆาชฎายาว |
ครังเคราคราวหนวดแซมสองแก้มคาง
|
ขั้นบันไดจะขึ้นไปมณฑปนั้น |
สิงโตตันสองตัวกระหนาบข้าง
|
ดูผาดเผ่นเหมือนจะเต้นไปตามทาง |
พี่ชมพลางขึ้นบนบันไดพลัน
|
ทั้งสาวหนุ่มเข้าประชุมกันแออัด |
ประนมหัตถ์ทักษิณเกษมสันต์
|
แต่เวียนเดินเพลินชมมาตามกัน |
ตามช่องชั้นกำแพงแก้วอันแพรวพราย
|
ทั้งซุ้มเสามณฑปกระจกแจ่ม |
กระจังแซมปลายเสาเป็นบัวหงาย
|
มีดอกจันทน์ก้านแย่งสลับลาย |
กลางกระจายดอกจอกประจำทำฯ
|
|
|
พื้นผนังหลังบัวที่ฐานปัทม์ |
เป็นครุฑอัดยืนเหยียบภุชงค์ขยำ
|
หยิกขยุ้มกุมวาสุกรีกำ |
กินนรรำรายเทพประนมกร
|
ใบระกาหน้าบันบนชั้นมุข |
สุวรรณสุกเลื่อมแก้วประภัสสร
|
ดูยอดเยี่ยมเทียมยอดยุคุนธร |
กระจังซ้อนแซมใบระกาบัง
|
นาคสะดุ้งรุงรังกระดึงห้อย |
ใบโพธิ์ร้อยระเรงอยู่เหง่งหงั่ง
|
เสียงประสานกังสดาลกระดึงดัง |
วิเวกวังเวงในหัวใจครันฯ
|
|
|
บานทวารลานแลล้วนลายมุก |
น่าสนุกในกระหนกดูผกผัน
|
เป็นนาคครุฑยุดเหนี่ยวในเครือวัลย์ |
รูปยักษ์ยันยืนกอดกระบองกุม
|
สิงโตอัดกัดก้านกระหนกเกี่ยว |
เทพเหนี่ยวเครือกระหวัดหัตถ์ขยุ้ม
|
ชมพูพานกอดก้านกระหนกรุม |
สุครีพกุมขรรค์เงื้อในเครือวง
|
รูปนารายณ์ทรงขี่ครุฑาเหิน |
พรหมเจริญเสด็จยังบัลลังก์หงส์
|
รูปอมรกรกำพระธำมรงค์ |
เสด็จทรงคชสารในบานบัง
|
ผนังในกุฎีทั้งสี่ด้าน |
โอฬาร์ฬารทองทาฝาผนัง
|
จำเพาะมีสี่ด้านทวารบัง |
ที่พื้นนั่งดาดด้วยแผ่นเงินงาม
|
มณฑปน้อยสรวมรอยพระบาทนั้น |
ล้วนสุวรรณแจ่มแจ้งแสงอร่าม
|
เพดานดาดลาดล้วนกระจกงาม |
พระเพลิงพลามพร่างพร่างสว่างพราย
|
ตาข่ายแก้วปักกรองเป็นกรวยห้อย |
ระย้าย้อยแวววามอร่ามฉาย
|
หอมควันธูปเทียนตลบอยู่อบอาย |
ฟุ้งกระจายรื่นรื่นทั้งห้องทองฯ
|
|
|
พี่เข้าเคียงเบื้องขวาฝ่าพระบาท |
อภิวาทหัตถ์ประนังขึ้นทั้งสอง
|
กราบกราบแล้วก็ตรึกรำลึกปอง |
เดชะกองกุศลที่ตนทำ
|
มาคำรพพบพุทธบาทแล้ว |
ขอคุณแก้วสามประการช่วยอุปถัมภ์
|
ฉันเกิดมาชาตินี้ก็มีกรรม |
แสนระยำยุบยับด้วยอับจน
|
ได้เคืองแค้นแสนยากลำบากบอบ |
ไม่สมประกอบทรัพย์สินก็ขัดสน
|
แม้นกลับชาติเกิดใหม่เป็นกายคน |
ชื่อว่าจนแล้วจงจากกำจัดไกล
|
สตรีหึงหนึ่งแพศยาหญิง |
ทั้งสองสิ่งอย่าได้ชิดพิสมัย
|
สัญชาติชายทรชนที่คนใด |
ให้หลีกไกลร้อยโยชน์อย่าร่วมทาง
|
ถ้ารักใครขอให้ได้คนนั้นด้วย |
บุญจงช่วยปฏิบัติอย่าขัดขวาง
|
อย่ารู้มีโรคาในสารพางค์ |
ทั้งรูปร่างขอให้ราวกับองค์อินทร์
|
หนึ่งบิดรมารดาคณาญาติ |
ให้ผุดผาดผาสุกเป็นนิจสิน
|
ความระยำคำใดอย่าได้ยิน |
ให้สุดสิ้นสูญหายละลายเอง
|
ทั้งหวายตรวจล้วนเครื่องที่ลำบาก |
ให้ปราศจากทั้งคนเขาข่มเหง
|
ใครปองร้ายขอให้กายมันเป็นเอง |
ให้ครื้นเครงเกียรติยศปรากฎครันฯ
|
|
|
อธิษฐานแล้วก็ลาฝ่าพระบาท |
เที่ยวประพาสในพนมพนาสัณฑ์
|
ขึ้นเขาโพธิ์ลังกาศิลาชัน |
มีสำคัญรุกขโพธิ์ลังกาเรียง
|
ศาลารีมีทั้งระฆังห้อย |
เขาตีบ่อยไปยังค่ำไม่ขาดเสียง
|
ดงลั่นทมร่มรอบคิรีเรียง |
มีกุฎิ์เคียงอยู่บนเขาเป็นหลั่นกัน
|
มีชะวากคูหาศิลาหุบ |
ในถ้ำมีพุทธรูปนรังสรรค์
|
แต่คนนมัสการนานอนันต์ |
บนเขานั้นแจ้งจริงทั้งหญิงชายฯ
|
|
|
เจ้าเณรน้อยเสด็จมาดูน่ารัก |
พระกลดหักทองขวางกางถวาย
|
พี่เหลียวพบหลบตกลงเจียนตาย |
กรตะกายกลิ้งก้อนศิลาตาม
|
เป็นบุญจริงจับกิ่งสะแกได้ |
ในจิตใจยอกเจ็บดังเหน็บหนาม
|
กำลังอายก็ซังตายพยายาม |
ลงเลียบตามตีนเขาลำเนาไพร
|
พบพวกนางเข้าที่หว่างชะวากผา |
เขาแกล้งว่าเยาะเย้ยเฉลยไข
|
พี่แกล้งเฉยเลยแลดูอื่นไป |
ให้เจ็บใจจำนิ่งดำเนินมาฯ
|
|
|
ถึงเขาขาดพี่ถามถึงนามเขา |
ผู้ใหญ่เล่ามาให้ฟังที่กังขา
|
ว่าเดิมรถทศกัณฐ์เจ้าลงกา |
ลักสีดาโฉมฉายมาท้ายรถ
|
หนีพระรามกลัวจะตามมารุกรบ |
กงกระทบเขากระจายทลายหมด
|
ศิลาแตกแหลกลงด้วยกงรถ |
จึงปรากฎตั้งนามมาตามกันฯ
|
|
|
พี่พูดพูดเขาขาดแล้วหวาดจิต |
พี่ขาดมิตรมาไกลถึงไพรสัณฑ์
|
นึกเฉลียวเสียวทรวงถึงดวงจันทร์ |
จะขาดกันเสียเหมือนเขาพี่เศร้าใจ
|
แล้วย่องเหยียบเลียบเนินลงเดินล่าง |
ตามแถวทางหิมวาพฤกษาไสว
|
เห็นพุ่มพวงบุปผายิ่งอาลัย |
สลดใจขุกคิดถึงคู่เคียง
|
ไม้แก้วกางกิ่งพิงกับกิ่งเกด |
ฝูงโนเรศขันขานประสานเสียง
|
น้ำตาคลอท้ออกเห็นนกเรียง |
เหมือนเรียมเคียงร่วมคู่เมื่ออยู่เรือน
|
ระกำป่ากาหลงกะลิงจับ |
ระกำกับเราระกำก็จำเหมือน
|
เห็นไม้จันทน์พี่ยิ่งฟั่นอารมณ์เฟือน |
เหมือนจันทร์เตือนใจตัวให้ตรอมใจ
|
โอ้นามไม้หรือมาต้องกับน้องพี่ |
ขณะนี้นึกหน้าน้ำตาไหล
|
เจ้าอยู่เรือนชื่อเชือนมาอยู่ไพร |
เหมือนเตือนใจให้พี่ทุกข์ทุกย่างเดินฯ
|
|
|
มาถึงเชิงคีรีที่มีถ้ำ |
ศิลาง้ำเงื้อมแหงนเป็นแผ่นเผิน
|
ไม้รวกรอบขอบเขาลำเนาเนิน |
พิศเพลินพฤกษาบรรดามี
|
อันชื่อถ้ำแต่บุรำบุราณเรียก |
สำเหนียกถ้ำประทุนคีรีศรี
|
สำคัญปากคูหาศาลามี |
ชวนสตรีเข้าถ้ำทั้งหกคน
|
เที่ยวชมห้องปล่องหินเป็นพู่ย้อย |
มีน้ำย้อยหยาดหยัดอย่างเม็ดฝน
|
พอเทียนดับลับแลไม่เห็นคน |
ผู้หญิงปนเดินปะปะทะชาย
|
เสียงร้องกรีดหวีดก้องในห้องถ้ำ |
ชายขยำหยอกแย่งผู้หญิงหวาย
|
ใครกอดแม่แปรกอกแตกตาย |
ใครปาดป้ายด้วยดินหม้อเหมือนแมวคราว
|
ครั้นออกจากคูหาเห็นหน้าเพื่อน |
มันมอมเปื้อนแปลกหน้าก็ฮาฉาว
|
บ้างถูกเล็บเจ็บแขนเป็นริ้วยาว |
ก็โห่กราวกรูเกรียวไปเที่ยวดงฯ
|
|
|
ถึงถ้ำหนึ่งชื่อถ้ำกินนรนั้น |
สะพรั่งพรรณพฤกษาป่าระหง
|
ดูคูหาก็เห็นน่ากินนรลง |
เป็นเวิ้งวงลึกแลตลอดริม
|
พาดพะองจึงจะลงไปเล่นได้ |
เป็นเหวใหญ่ลองโยนด้วยก้อนหิน
|
เสียงโก้งก้างก้องกึงไม่ถึงดิน |
กว่าจะสิ้นเสียงผาเป็นช้านาน
|
พี่กลัวตายชายชวนไปชมอื่น |
ร่มระรื่นรุกขาขึ้นขนาน
|
ถึงบ่อหนึ่งมีน้ำคำบุราณ |
ว่าบ่อพรานล้างเนื้อที่ในไพร
|
พิเคราะห์น้ำสมคำบุราณกล่าว |
ยังมีคาวเหม็นหืนจนคลื่นไส้
|
ถนอมหอมกลิ่นนุชเป็นสุดใจ |
โอ้เป็นไรจึงไม่ติดอุรามา
|
น่าฉงนจนใจสงสัยจ้าน |
ด้วยรอยพรานจารึกอยู่กับผา
|
แต่กล่าวไว้ว่าพรานไล่มฤคา |
รอยตีนหมาก็ยังมีสำคัญครันฯ
|
|
|
บนยอดเขามีสองสุนัขา |
สังเกตตาก็พิกลเหมือนคนขัน
|
ทั้งคอคางหางหูขึ้นชูชัน |
สี่เท้ายันเหยียบยอดคีรีเรียง
|
เช่นนี้เจ้าเสาวภาคย์มาตามพี่ |
จะถามจี้ไปทุกสิ่งไม่ขาดเสียง
|
พี่จะทำเฉยเมินเข้าเดินเรียง |
ประคองเคียงให้เจ้าค้อนชะอ้อนชม
|
นี่นึกนึกแล้วก็น่าน้ำตาตก |
เพราะแนบอกมิได้มาเป็นสองสม
|
ขืนสนุกไปทั้งทุกข์ระทมตรม |
ซังตายชมไปทั้งช้ำระกำทรวงฯ
|
|
|
ถึงคูหาชื่อชาละวันถ้ำ |
วิไลล้ำไปทุกเหลี่ยมภูเขาหลวง
|
ศิลาแลแวววาวดังดาวดวง |
เป็นเมฆม่วงมรกตทับทิมแดง
|
สมมุติแลแง่หินชะง่อนหุบ |
เป็นที่รูปสิงสัตว์เข้าเฟี้ยมแฝง
|
กระต่ายเหมือนกระต่ายป่าสองตาแดง |
ที่ลางแห่งพิศแลเห็นแต่ตัว
|
ที่ลางแห่งแกล้งพิศประดิษฐ์ต่อ |
เห็นแต่คอบ้างก็เห็นแต่เพียงหัว
|
ที่แผ่นเผินเนินผานั้นน่ากลัว |
ดูเงื้อมตัวเหมือนจะพังลงทับตาย
|
เทียนสว่างกลางห้องคูหาแจ่ม |
ศิลาแวมวาววามอร่ามฉาย
|
พี่ชมแล้วให้ตรมระบมกาย |
ด้วยเจ้าสายสุดใจมิได้มา
|
แล้วชักเชือนชวนเพื่อนให้กลับหลัง |
ที่อื่นยังมีอยู่หลายคูหา
|
จะแต่งเล่นก็ที่เห็นกับนัยนา |
ด้วยเวลาสุริยนก็พ้นเย็นฯ
|
|
|
จะกลับหลังยังพระพุทธบาท |
เหนื่อยอนาถอกใจมิใช่เล่น
|
ครั้นค่ำนอนตละตายทั้งกายเย็น |
ครั้นเช้าเป็นก็เที่ยวไปตามทาง
|
เขม้นเมินว่าจะเดินไปหินดาษ |
ลัดตลาดแลตลอดคนสล้าง
|
เห็นขนเม่นพี่ยังหมายเสียดายนาง |
เจ้าเคยสางสอยเส้นกระเด็นราย
|
สารพันกันภัยลูกนาคพด |
เครื่องโอสถชาวป่าเขามาขาย
|
ลักจั่นวัลย์เปรียงแก่นปรูลาย |
เป็นยาหายโรคภัยที่ในตัว
|
หัวล้านลูกละเบี้ยดูเสียหน้า |
ลูกขี้ข้าอะไรล้านประจานหัว
|
ใครล้านจ้อนควรเจียมเสงี่ยมตัว |
มันสิบหัวสิบเบี้ยออกเรี่ยทางฯ
|
|
|
พี่แกล้งเมินเดินมาข้างบ่อโพลง |
เห็นท่าเลี่ยนเตียนโล่งเป็นทางถาง
|
พิศพนมชมเพลินแล้วเดินพลาง |
ถึงระหว่างแนวน้ำที่ลำธาร
|
กระแสสินธุ์หินดาษสะอาดเอี่ยม |
วารีเปี่ยมปริ่มไหลในละหาน
|
เห็นหญิงชายว่ายคล่ำในลำธาร |
เสียงประสานสรวลสันต์สนั่นอึง
|
เห็นชีต้นปนประสกสีกากลุ้ม |
โถมกระทุ่มฟองฟุ้งอยู่ผลุงผึง
|
พี่หลีกเลียบไปให้พ้นที่คนอึง |
กระทั่งถึงธารเกษมค่อยสร่างใจฯ
|
|
|
ต้นโศกทอดยอดขวางออกกลางห้วย |
พี่ก็ช่วยผูกชิงช้าให้อาศัย
|
พวกผู้หญิงชิงขึ้นให้ช้าไกว |
สนุกใจร้องเตือนให้เพื่อนโยน
|
ดูทำนองนางในไกวชิงช้า |
ดังสีดาผูกคอที่โรงโขน
|
เถาวัลย์เปราะเคราะห์ร้ายพอสายโยน |
ก็ขาดโหนลงในน้ำเสียงต้ำโครม
|
ผ้าห่มเปลื้องเครื่องเล่นอล่างฉ่าง |
ทั้งสองข้างผู้คนเขาฮาโหม
|
พี่แลลานธารหลวงเพียงทรวงโทรม |
ให้แสนโทมนัสทัศนาฯ
|
|
|
คำขนานธารเกษมก็สมชื่อ |
สนุกคือเรื่องอิเหนาเสน่หา
|
เมื่อใช้บนเล่นชลธารา |
อันเรื่องว่ากับเราเห็นก็เช่นกัน
|
ประดับด้วยก้อนแก้วปัทมราช |
สดสะอาดทาเขียวก็เขียวขัน
|
มัจฉาว่ายรายเรียงมาเคียงกัน |
แล้วมีพรรณบุปผาก็น่าชม
|
หล่นลงกลาดดาษเกลื่อนที่กลางน้ำ |
ถึงใจช้ำก็ค่อยชื่นอารมณ์สม
|
ทั้งหญิงชายชิงชวนกันเก็บชม |
แสนภิรมย์เบิกบานสำราญเรียง
|
แต่หนุ่มสาวคราวเรานี้นับร้อย |
ลงเล่นลอยกลางธารประสานเสียง
|
ล้วนจับคู่ชู้ชายชม้ายเมียง |
ที่คู่ใครใครเคียงประคองกัน
|
แสนสนุกจะมาทุกข์อยู่เพียงพี่ |
ยิ่งทวีความวิโยคให้โศกศัลย์
|
เห็นคู่รักเขาสมัครสมานกัน |
คิดถึงวันเมื่อมาดสวาทนาง
|
แต่วอนเวียนเจียนวายชีวิตพี่ |
จึงได้ศรีเสาวภาคย์มาแนบข้าง
|
เจ้าเคืองขัดตัดสวาทขาดระวาง |
จนแรมร้างออกมาราวอรัญวา
|
ครั้นอิเหนาสุริย์วงศ์อันทรงกริช |
พระทรงฤทธิ์แรมร้างจินตะหรา
|
พระสุธนร้างห่างมโนห์รา |
พระรามร้างแรมสีดาพระทัยตรอม
|
องค์พระเพชรปาณีท้าวตรีเนตร |
เสียพระเวทผูกทวารกรุงพาลถนอม
|
สุจิตราลาตายไม่วายตรอม |
ล้วนเจิมจอมธรณีทั้งสี่องค์
|
แสนสุขุมรุ่มร้อนด้วยร้างรัก |
ยังไม่หนักเหมือนพี่โศกสุดประสงค์
|
ไม่ถึงเดือนเพื่อนรักเขาทักทรง |
ว่าซูบลงกว่าก่อนเป็นค่อนกาย
|
พี่แกล้งเฉยเลยชมชลาสินธุ์ |
ในที่ถิ่นธารเกษมกระแสสาย
|
แต่เพลินชมอยู่นั้นตะวันชาย |
ก็กลับหมายมุ่งมายังอารามฯ
|
|
|
ถึงพบเพื่อนที่รู้จักเคยรักใคร่ |
ก็เฉยไปเสียมิได้จะทักถาม
|
แต่คอยฟังเทวราชประภาษความ |
เมื่อไรจะคืนอารามวัดระฆัง
|
พี่จะได้ทูลลาไปหาเจ้า |
เป็นทุกข์เท่านี้แลน้องไม่วายหลัง
|
พอแรมค่ำหนึ่งวันนั้นท่านพระคลัง |
หาบุญยังไปฉลองศาลาลัย
|
มีละครผู้คนอลหม่าน |
กรับประสานสวบสวบส่งเสียงใส
|
สุวรรณหงส์ทรงว่าวแต่เช้าไป |
พี่เลี้ยงใส่หอกยนต์ไว้บนแกล
|
ตะวันบ่ายเข้าห้องก็ต้องหอก |
ชาวบ้านนอกตกใจร้องไห้แซ่
|
บ้างฮาครืนยืนยัดอยู่อัดแอ |
บ้างจอแจสุรเสียงที่เถียงกันฯ
|
|
|
ละครหยุดอุตลุดด้วยมวยปล้ำ |
ยืนประจำหมายสู้เป็นคู่ขัน
|
มงคลใส่สวมหัวไม่กลัวกัน |
ตั้งประจันจดจับกระหยับมือ
|
ตีเข่าปับรับโปกสองมือปิด |
ประจบติดเตะผางหมัดขว้างหวือ
|
กระหวัดหวิดหวิวผวาเสียงฮาฮือ |
คนดูอื้อเออเอาสนั่นอึง
|
ใครมีชัยได้เงินบำเหน็จมาก |
จมูกปากบอบบวมอลึ่งฉึ่ง
|
แสนสนุกสุขล้ำสำมดึงษ์ |
พระผู้ถึงนฤพานด้วยการเพียร
|
แต่รอยบาทอนุญาตไว้ยอดเขา |
บุญของเราได้มาเห็นก็เย็นเศียร
|
บังคมคัลวันละสองเวลาเวียน |
แต่จำเนียรนับไว้ได้สี่วันฯ
|
|
|
จอมนรินทร์เทวราชประภาษสั่ง |
จะกลับยังอาวาสเกษมสันต์
|
วันรุ่งแรมสามค่ำเป็นสำคัญ |
อภิวันท์ลาบาทพระชินวร
|
ถึงท่าเรือลงเรือไม่แรมหยุด |
ก็เร็วรุดตั้งหน้ามาหาสมร
|
แต่ตัวพี่ยังมาในสาคร |
น้ำใจจรมาถึงเสียก่อนกาย
|
ได้วันครึ่งถึงเวียงประทับวัด |
โทมนัสอาดูรค่อยสูญหาย
|
นิราศนี้ปีเถาะเป็นเคราะห์ร้าย |
เราจดหมายตามมีมาชี้แจง
|
ที่เปล่าเปล่ามิได้เอามาเสกใส่ |
ใครไม่ไปก็จงจำคำแถลง
|
ทั้งคนฟังคนอ่านสารแสดง |
ฉันขอแบ่งส่วนกุศลทุกคนเอยฯ
|