|
๏ |
ถึงหน้าแพแลเห็นเรือที่นั่ง |
คิดถึงครั้งก่อนมาน้ำตาไหล
|
|
เคยหมอบรับกับพระจมื่นไวย |
แล้วลงในเรือที่นั่งบัลลังก์ทอง
|
|
เคยทรงแต่งแปลงบทพจนารถ |
เคยรับราชโองการอ่านฉลอง
|
|
จนกฐินสิ้นแม่น้ำแลลำคลอง |
มิได้ข้องเคืองขัดหัทยา
|
|
เคยหมอบใกล้ได้กลิ่นสุคนธ์ตลบ |
ละอองอบรสรื่นชื่นนาสา
|
|
สิ้นแผ่นดินสิ้นรสสุคนธา |
วาสนาเราก็สิ้นเหมือนกลิ่นสุคนธ์ฯ
|
|
๏ |
ดูในวังยังเห็นหอพระอัฐิ |
ตั้งสติเติมถวายฝ่ายกุศล
|
|
ทั้งปิ่นเกล้าเจ้าพิภพจบสกล |
ให้ผ่องพ้นภัยสำราญผ่านบุรินทร์ฯ
|
|
ถึงอารามนามวัดประโคนปัก |
ไม่เห็นหลักลือเล่าว่าเสาหิน
|
|
เป็นสำคัญปันแดนในแผ่นดิน |
มิรู้สิ้นสุดชื่อที่ลือชา
|
|
ขอเดชะพระพุทธคุณช่วย |
แม้นมอดม้วยกลับชาติวาสนา
|
|
อายุยืนหมื่นเท่าเสาศิลา |
อยู่คู่ฟ้าดินได้ดังใจปอง
|
|
ไปพ้นวัดทัศนาริมท่าน้ำ |
แพประจำจอดรายเขาขายของ
|
|
มีแพรผ้าสารพัดสีม่วงตอง |
ทั้งสิ่งของขาวเหลืองเครื่องสำเภาฯ
|
|
๏ |
ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง |
มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา
|
|
โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา |
ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย
|
|
ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ |
สรรเพชญโพธิญาณประมาณหมาย
|
|
ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย |
ไม่ใกล้กรายแกล้งเมินก็เกินไป
|
|
ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก |
สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
|
|
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป |
แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืนฯ
|
|
๏ |
ถึงบางจากจากวัดพลัดพี่น้อง |
มามัวหมองม้วนหน้าไม่ฝ่าฝืน
|
|
เพราะรักใคร่ใจจืดไม่ยืดยืน |
จึงต้องขืนในพรากมาจากเมือง
|
|
ถึงบางพลูคิดถึงคู่เมื่ออยู่ครอง |
เคยใส่ซองส่งให้ล้วนใบเหลือง
|
|
ถึงบางพลัดเหมือนพี่พลัดมาขัดเคือง |
ทั้งพลัดเมืองพลัดสมรมาร้อนรน
|
|
ถึงบางโพธิ์โอ้พระศรีมหาโพธิ์ |
ร่มนิโรธรุกขมูลให้พูนผล
|
|
ขอเดชะอานุภาพพระทศพล |
ให้ผ่องพ้นภัยพาลสำราญกายฯ
|
|
๏ |
ถึงบ้านญวนล้วนแต่โรงแลสะพรั่ง |
มีข้องขังกุ้งปลาไว้ค้าขาย
|
|
ตรงหน้าโรงโพงพางเขาวางราย |
พวกหญิงชายพร้อมเพรียงมาเมียงมอง
|
|
จะเหลียวกลับลับเขตประเทศสถาน |
ทรมานหม่นไหม้ฤทัยหมอง
|
|
ถึงเขมาอารามอร่ามทอง |
พึ่งฉลองเลิกงานเมื่อวานซืนฯ
|
|
๏ |
โอ้ปางหลังครั้งสมเด็จพระบรมโกศ |
มาผูกโบสถ์ก็ได้มาบูชาชื่น
|
|
ชมพระพิมพ์ริมผนังยังยั่งยืน |
ทั้งแปดหมื่นสี่พันได้วันทา
|
|
โอ้ครั้งนี้มิได้เห็นเล่นฉลอง |
เพราะตัวต้องตกประดาษวาสนา
|
|
เป็นบุญน้อยพลอยนึกโมทนา |
พอนาวาติดชลเข้าวนเวียน
|
|
ดูน้ำวิ่งกลิ้งเชี่ยวเป็นเกลียวกลอก |
กลับกระฉอกฉาดฉันฉวัดเฉวียน
|
|
บ้างพลุ่งพลุ่งวุ้งวงเหมือนกงเกวียน |
ดูเปลี่ยนเปลี่ยนคว้างคว้างเป็นหว่างวน
|
|
ทั้งหัวท้ายกรายแจวกระชากจ้วง |
ครรไลล่วงเลยทางมากลางหน
|
|
โอ้เรือพ้นวนมาในสาชล |
ใจยังวนหวังสวาทไม่คลาดคลาฯ
|
|
๏ |
ตลาดแก้วแล้วไม่เห็นตลาดตั้ง |
สองฟากฝั่งก็แต่ล้วนสวนพฤกษา
|
|
โอ้รินรินกลิ่นดอกไม้ใกล้คงคา |
เหมือนกลิ่นผ้าแพรดำร่ำมะเกลือ
|
|
เห็นโศกใหญ่ใกล้น้ำระกำแฝง |
ทั้งรักแซงแซมสวาทประหลาดเหลือ
|
|
เหมือนโศกพี่ที่ระกำก็ซ้ำเจือ |
เพราะรักเรื้อแรมสวาทมาคลาดคลาย
|
|
ถึงแขวงนนท์ชลมารคตลาดขวัญ |
มีพ่วงแพแพรพรรณเขาค้าขาย
|
|
ทั้งของสวนล้วนแต่เรือเรียงราย |
พวกหญิงชายชุมกันทุกวันคืนฯ
|
|
๏ |
มาถึงบางธรณีทวีโศก |
ยามวิโยคยากใจให้สะอื้น
|
|
โอ้สุธาหนาแน่นเป็นแผ่นพื้น |
ถึงสี่หมื่นสองแสนทั้งแดนไตร
|
|
เมื่อเคราะห์ร้ายกายเราก็เท่านี้ |
ไม่มีที่พสุธาจะอาศัย
|
|
ล้วนหนามเหน็บเจ็บแสบคับแคบใจ |
เหมือนนกไร้รังเร่อยู่เอกาฯ
|
|
๏ |
ถึงเกร็ดย่านบ้านมอญแต่ก่อนเก่า |
ผู้หญิงเกล้ามวยงามตามภาษา
|
|
เดี๋ยวนี้มอญถอนไรจุกเหมือนตุ๊กตา |
ทั้งผัดหน้าจับเขม่าเหมือนชาวไทย
|
|
โอ้สามัญผันแปรไม่แท้เที่ยง |
เหมือนอย่างเยี่ยงชายหญิงทิ้งวิสัย
|
|
นี่หรือจิตคิดหมายมีหลายใจ |
ที่จิตใครจะเป็นหนึ่งอย่าพึงคิดฯ
|
|
๏ |
ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์ |
มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต
|
|
แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร |
จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจาฯ
|
|
๏ |
ถึงบ้านใหม่ใจจิตก็คิดอ่าน |
จะหาบ้านใหม่มาดเหมือนปรารถนา
|
|
ขอให้สมคะเนเถิดเทวา |
จะได้ผาสุกสวัสดิ์จำกัดภัย
|
|
ถึงบางเดื่อโอ้มะเดื่อเหลือประหลาด |
บังเกิดชาติแมลงหวี่มีในไส้
|
|
เหมือนคนพาลหวานนอกย่อมขมใน |
อุปไมยเหมือนมะเดื่อเหลือระอา
|
|
ถึงบางหลวงเชิงรากเหมือนจากรัก |
สู้เสียศักดิ์สังวาสพระศาสนา
|
|
เป็นล่วงพ้นรนราคราคา |
ถึงนางฟ้าจะมาให้ไม่ไยดีฯ
|
|
๏ |
ถึงสามโคกโศกถวิลถึงปิ่นเกล้า |
พระพุทธเจ้าหลวงบำรุงซึ่งกรุงศรี
|
|
ประทานนามสามโคกเป็นเมืองตรี |
ชื่อปทุมธานีเพราะมีบัว
|
|
โอ้พระคุณสูญลับไม่กลับหลัง |
แต่ชื่อตั้งก็ยังอยู่เขารู้ทั่ว
|
|
โอ้เรานี้ที่สุนทรประทานตัว |
ไม่รอดชั่วเช่นสามโคกยิ่งโศกใจ
|
|
สิ้นแผ่นดินสิ้นนามตามเสด็จ |
ต้องเที่ยวเตร็ดเตร่หาที่อาศัย
|
|
แม้นกำเนิดเกิดชาติใดใด |
ขอให้ได้เป็นข้าฝ่าธุลี
|
|
สิ้นแผ่นดินขอให้สิ้นชีวิตบ้าง |
อย่ารู้ร้างบงกชบทศรี
|
|
เหลืออาลัยใจตรมระทมทวี |
ทุกวันนี้ก็ซังตายทรงกายมาฯ
|
|
๏ |
ถึงบ้านงิ้วเห็นแต่งิ้วละลิ่วสูง |
ไม่มีฝูงสัตว์สิงกิ่งพฤกษา
|
|
ด้วยหนามดกรกดาษระดะตา |
นึกก็น่ากลัวหนามขามขามใจ
|
|
งิ้วนรกสิบหกองคุลีแหลม |
ดังขวากแซมเสี้ยมแซกแตกไสว
|
|
ใครทำชู้คู่ท่านครั้นบรรลัย |
ก็ต้องไปปีนต้นน่าขนพอง
|
|
เราเกิดมาอายุเพียงนี้แล้ว |
ยังคลาดแคล้วครองตัวไม่มัวหมอง
|
|
ทุกวันนี้วิปริตผิดทำนอง |
เจียนจะต้องปีนบ้างหรืออย่างไรฯ
|
|
๏ |
โอ้คิดมาสารพัดจะตัดขาด |
ตัดสวาทตัดรักมิยักไหว
|
|
ถวิลหวังนั่งนึกอนาถใจ |
ถึงเกาะใหญ่ราชครามพอยามเย็น
|
|
ดูห่างย่านบ้านช่องทั้งสองฝั่ง |
ระวังทั้งสัตว์น้ำจะทำเข็ญ
|
|
เป็นที่อยู่ผู้ร้ายไม่วายเว้น |
เที่ยวซ่อนเร้นตีเรือเหลือระอาฯ
|
|
๏ |
พระสุริยงลงลับพยับฝน |
ดูมัวมนมืดมิดทุกทิศา
|
|
ถึงทางลัดตัดทางมากลางนา |
ทั้งแฝกคาแขมกกขึ้นรกเรี้ยว
|
|
เป็นเงาง้ำน้ำเจิ่งดูเวิ้งว้าง |
ทั้งกว้างขวางขวัญหายไม่วายเหลียว
|
|
เห็นดุ่มดุ่มหนุ่มสาวเสียงกราวเกรียว |
ล้วนเรือเพรียวพร้อมหน้าพวกปลาเลย
|
|
เขาถ่อคล่องว่องไวไปเป็นยืด |
เรือเราฝืดเฝือมานิจจาเอ๋ย
|
|
ต้องถ่อค้ำร่ำไปทั้งไม่เคย |
ประเดี๋ยวเสยสวบตรงเข้าพงรก
|
|
กลับถอยหลังรั้งรอเฝ้าถ่อถอน |
เรือขย่อนโยกโยนกระโถนหก
|
|
เงียบสงัดสัตว์ป่าคณานก |
น้ำค้างตกพร่างพรายพระพายพัด
|
|
ไม่เห็นคลองต้องค้างอยู่กลางทุ่ง |
พอหยุดยุงฉู่ชุมมารุมกัด
|
|
เป็นกลุ่มกลุ่มกลุ้มกายเหมือนทรายซัด |
ต้องนั่งปัดแปะไปมิได้นอนฯ
|
|
๏ |
แสนวิตกอกเอ๋ยมาอ้างว้าง |
ในทุ่งกว้างเห็นแต่แขมแซมสลอน
|
|
จนดึกดาวพราวพร่างกลางอัมพร |
กาเรียนร่อนร้องก้องเมื่อสองยาม
|
|
ทั้งกบเขียดเกรียดกรีดจังหรีดเรื่อย |
พระพายเฉื่อยฉิวฉิววะหวิวหวาม
|
|
วังเวงจิตคิดคะนึงรำพึงความ |
ถึงเมื่อยามยังอุดมโสมนัส
|
|
สำรวลกับเพื่อนรักสะพรักพร้อม |
อยู่แวดล้อมหลายคนปรนนิบัติ
|
|
โอ้ยามเข็ญเห็นอยู่แต่หนูพัด |
ช่วยนั่งปัดยุงให้ไม่ไกลกาย
|
|
จนเดือนเด่นเห็นกอกระจับจอก |
ระดะดอกบัวเผื่อนเมื่อเดือนหงาย
|
|
เห็นร่องน้ำลำคลองทั้งสองฝ่าย |
ข้างหน้าท้ายถ่อมาในสาคร
|
|
จนแจ่มแจ้งแสงตะวันเห็นพันธุ์ผัก |
ดูน่ารักบรรจงส่งเกสร
|
|
เหล่าบัวเผื่อนแลสล้างริมทางจร |
ก้ามกุ้งซ้อนเสียดสาหร่ายใต้คงคา
|
|
สายติ่งแกมแซมสลับต้นตับเต่า |
เป็นเหล่าเหล่าแลรายทั้งซ้ายขวา
|
|
กระจับจอกดอกบัวบานผกา |
ดาษดาดูขาวดั่งดาวพราย
|
|
โอ้เช่นนี้สีกาได้มาเห็น |
จะลงเล่นกลางทุ่งเหมือนมุ่งหมาย
|
|
ที่มีเรือน้อยน้อยจะลอยพาย |
เที่ยวถอนสายบัวผันสันตวา
|
|
ถึงตัวเราเล่าถ้ายังมีโยมหญิง |
ไหนจะนิ่งดูดายอายบุปผา
|
|
คงจะใช้ให้ศิษย์ที่ติดมา |
อุตส่าห์หาเอาไปฝากตามยากจน
|
|
นี่จนใจไม่มีเท่าขี้เล็บ |
ขี้เกียจเก็บเลยทางมากลางหน
|
|
พอรอนรอนอ่อนแสงพระสุริยน |
ถึงตำบลกรุงเก่ายิ่งเศร้าใจฯ
|
|
๏ |
มาทางท่าหน้าจวนจอมผู้รั้ง |
คิดถึงครั้งก่อนมาน้ำตาไหล
|
|
จะแวะหาถ้าท่านเหมือนเมื่อเป็นไวย |
ก็จะได้รับนิมนต์ขึ้นบนจวน
|
|
แต่ยามยากหากว่าถ้าท่านแปลก |
อกมิแตกเสียหรือเราเขาจะสรวล
|
|
เหมือนเข็ญใจใฝ่สูงไม่สมควร |
จะต้องม้วนหน้ากลับอัปประมาณฯ
|
|
๏ |
มาจอดท่าหน้าวัดพระเมรุข้าม |
ริมอารามเรือเรียงเคียงขนาน
|
|
บ้างขึ้นล่องร้องลำเล่นสำราญ |
ทั้งเพลงการเกี้ยวแก้กันแซ่เซ็ง
|
|
บ้างฉลองผ้าป่าเสภาขับ |
ระนาดรับรัวคล้ายกับนายเส็ง
|
|
มีโคมรายแลอร่ามเหมือนสำเพ็ง |
เมื่อคราวเคร่งก็มิใคร่จะได้ดู
|
|
อ้ายลำหนึ่งครึ่งท่อนกลอนมันมาก |
ช่างยาวลากเลื้อยเจื้อยจนเหนื่อยหู
|
|
ไม่จบบทลดเลี้ยวเหมือนเงี้ยวงู |
จนลูกคู่ขอทุเลาว่าหาวนอนฯ
|
|
๏ |
ได้ฟังเล่นต่างต่างที่ข้างวัด |
จนสงัดเงียบหลับลงกับหมอน
|
|
ประมาณสามยามคล้ำในอัมพร |
อ้ายโจรจรจู่จ้วงเข้าล้วงเรือ
|
|
นาวาเอียงเสียงกุกลุกขึ้นร้อง |
มันดำล่องน้ำไปช่างไวเหลือ
|
|
ไม่เห็นหน้าสานุศิษย์ที่ชิดเชื้อ |
เหมือนเนื้อเบื้อบ้าเคอะดูเซอะซะ
|
|
แต่หนูพัดจัดแจงจุดเทียนส่อง |
ไม่เสียของขาวเหลืองเครื่องอัฏฐะ
|
|
ด้วยเดชะตบะบุญกับคุณพระ |
ชัยชนะมารได้ดังใจปองฯ
|
|
๏ |
ครั้นรุ่งเช้าเข้าเป็นวันอุโบสถ |
เจริญรสธรรมาบูชาฉลอง
|
|
ไปเจดีย์ที่ชื่อภูเขาทอง |
ดูสูงล่องลอยฟ้านภาลัย
|
|
อยู่กลางทุ่งรุ่งโรจน์สันโดษเด่น |
เป็นที่เล่นนาวาคงคาใส
|
|
ที่พื้นลานฐานบัทม์ถัดบันได |
คงคาลัยล้อมรอบเป็นขอบคัน
|
|
มีเจดีย์วิหารเป็นลานวัด |
ในจังหวัดวงแขวงกำแพงกั้น
|
|
ที่องค์ก่อย่อเหลี่ยมสลับกัน |
เป็นสามชั้นเชิงชานตระหง่านงาม
|
|
บันไดมีสี่ด้านสำราญรื่น |
ต่างชมชื่นชวนกันขึ้นชั้นสาม
|
|
ประทักษิณจินตนาพยายาม |
ได้เสร็จสามรอบคำนับอภิวันท์
|
|
มีห้องถ้ำสำหรับจุดเทียนถวาย |
ด้วยพระพายพัดเวียนอยู่เหียนหัน
|
|
เป็นลมทักขิณาวัฏน่าอัศจรรย์ |
แต่ทุกวันนี้ชราหนักหนานัก
|
|
ทั้งองค์ฐานราญร้าวถึงเก้าแสก |
เผลอแยกยอดสุดก็หลุดหัก
|
|
โอ้เจดีย์ที่สร้างยังร้างรัก |
เสียดายนักนึกน่าน้ำตากระเด็น
|
|
กระนี้หรือชื่อเสียงเกียรติยศ |
จะมิหมดล่วงหน้าทันตาเห็น
|
|
เป็นผู้ดีมีมากแล้วยากเย็น |
คิดก็เป็นอนิจจังเสียทั้งนั้นฯ
|
|
๏ |
ขอเดชะพระเจดีย์คีรีมาศ |
บรรจุธาตุที่ตั้งนรังสรรค์
|
|
ข้าอุตส่าห์มาเคารพอภิวันท์ |
เป็นอนันต์อานิสงส์ดำรงกาย
|
|
จะเกิดชาติใดใดในมนุษย์ |
ให้บริสุทธิ์สมจิตที่คิดหมาย
|
|
ทั้งทุกข์โศกโรคภัยอย่าใกล้กราย |
แสนสบายบริบูรณ์ประยูรวงศ์
|
|
ทั้งโลโภโทโสแลโมหะ |
ให้ชนะใจได้อย่าใหลหลง
|
|
ขอฟุ้งเฟื่องเรืองวิชาปัญญายง |
ทั้งให้ทรงศีลขันธ์ในสันดาน
|
|
อีกสองสิ่งหญิงร้ายแลชายชั่ว |
อย่าเมามัวหมายรักสมัครสมาน
|
|
ขอสมหวังตั้งประโยชน์โพธิญาณ |
ตราบนิพพานภาคหน้าให้ถาวรฯ
|
|
๏ |
พอกราบพระปะดอกปทุมชาติ |
พบพระธาตุสถิตในเกสร
|
|
สมถวิลยินดีชุลีกร |
ประคองซ้อนเชิญองค์ลงนาวา
|
|
กับหนูพัดมัสการสำเร็จแล้ว |
ใส่ขวดแก้ววางไว้ใกล้เกศา
|
|
มานอนกรุงรุ่งขึ้นจะบูชา |
ไม่ปะตาตันอกยิ่งตกใจ
|
|
แสนเสียดายหมายจะชมบรมธาตุ |
ใจจะขาดคิดมาน้ำตาไหล
|
|
โอ้บุญน้อยลอยลับครรไลไกล |
เสียน้ำใจเจียนจะดิ้นสิ้นชีวัน
|
|
สุดจะอยู่ดูอื่นไม่ฝืนโศก |
กำเริบโรคร้อนฤทัยเฝ้าใฝ่ฝัน
|
|
พอตรู่ตรู่สุริย์ฉายขึ้นพรายพรรณ |
ให้ล่องวันหนึ่งมาถึงธานีฯ
|
|
๏ |
ประทับท่าหน้าอรุณอารามหลวง |
ค่อยสร่างทรวงทรงศีลพระชินสีห์
|
|
นิราศเรื่องเมืองเก่าของเรานี้ |
ไว้เป็นที่โสมนัสทัศนา
|
|
ด้วยได้ไปเคารพพระพุทธรูป |
ทั้งสถูปบรมธาตุพระศาสนา
|
|
เป็นนิสัยไว้เหมือนเตือนศรัทธา |
ตามภาษาไม่สบายพอคลายใจ
|
|
ใช่จะมีที่รักสมัครมาด |
แรมนิราศร้างมิตรพิสมัย
|
|
ซึ่งครวญคร่ำทำทีพิรี้พิไร |
ตามนิสัยกาพย์กลอนแต่ก่อนมา
|
|
เหมือนแม่ครัวคั่วแกงแพนงผัด |
สารพัดเพียญชนังเครื่องมังสา
|
|
อันพริกไทยใบผักชีเหมือนสีกา |
ต้องโรยน่าเสียสักหน่อยอร่อยใจฯ
|
|
จงทราบความตามจริงทุกสิ่งสิ้น |
อย่านึกนินทาแกล้งแหนงไฉน
|
|
นักเลงกลอนนอนเปล่าก็เศร้าใจ |
จึงร่ำไรเรื่องร้างเล่นบ้างเอยฯ
|