๏ |
|
นิราศร้างห่างเหเสน่หา
|
|
ปางอิเหนาเศร้าสุดถึงบุษบา |
พระพายพาพัดน้องเที่ยวล่องลอย
|
|
ตะลึงเหลียวเปลี่ยวเปล่าให้เหงาหงิม |
สุชลปริ่มเปี่ยมเหยาะเผาะเผาะผอย
|
|
โอ้เย็นค่ำน้ำค้างลงพร่างพร้อย |
น้องจะลอยลมบนไปหนใด
|
|
หรือเทวัญชั้นฟ้ามาพาน้อง |
ไปไว้ห้องช่องสวรรค์ที่ชั้นไหน
|
|
แม้นน้องน้อยลอยถึงชั้นตรึงส์ตรัย |
สหัสนัยน์จะช่วยรับประคับประคอง
|
|
หรือไปปะพระอาทิตย์พิศวาส |
ไปร่วมอาสน์เวชยันต์ผันผยอง
|
|
หรือเมขลาพาชวนนวลละออง |
เที่ยวลอยล่องเลียบฟ้าชมสาคร
|
|
หรือไปริมหิมพานต์ชานไกรลาส |
บริเวณเมรุมาศราชสิงขร
|
|
หรือจะออกนอกเหมินท์อิสินธร |
เที่ยวลอยร่อนรอบฟ้านภาลัย
|
|
โอ้ลมแดงแสงแดดจะแผดส่อง |
จะมัวหมองมิ่งขวัญจะหวั่นไหว
|
|
จะดั้นหมอกออกเมฆวิเวกใจ |
นี่เวรใดเด็ดสวาทให้คลาดคลาฯ
|
|
๏ |
พระผันแปรแลรอบขอบทวีป |
เห็นแต่กลีบเมฆเคลื่อนเกลื่อนเวหา
|
|
จะแลดูสุริยนก็สนธยา |
จะดูฟ้าฟ้าคล้ำให้รำจวน
|
|
ฝืนวิโยคโศกเศร้าเข้าในห้อง |
เห็นแท่นทองที่ประทมภิรมย์สงวน
|
|
ไม่เห็นนุชสุดจะทรงพระองค์ซวน |
ละห้อยหวนหิวโหยด้วยโรยแรง
|
|
ยลยี่ภู่ปูเปล่าเศร้าสลด |
ระทวยทดทอดทบซบกันแสง
|
|
โอ้สุดแสนแค้นอารมณ์ด้วยลมแดง |
ดูเหมือนแกล้งพัดไปให้ไกลทรวง
|
|
เสียดายเอ๋ยเคยแอบแนบสนิท |
ถึงชีวิตวอดวายไม่หายห่วง
|
|
โอ้น้องนุชบุษบาสุดาดวง |
พี่เปล่าทรวงทรวงดังจะพังโทรมฯ
|
|
๏ |
โอ้โพล้เพล้เวลาปานฉะนี้ |
เคยเข้าที่พี่เคยได้เชยโฉม
|
|
เห็นแต่ห้องน้องน้อยลอยโพยม |
ยามประโลมมิรู้ลืมเจ้าปลื้มใจ
|
|
โอ้เขนยเคยหนุนยังอุ่นอ่อน |
แต่น้องน้อยลอยร่อนไปนอนไหน
|
|
ยี่ภู่เอ๋ยเคยชิดสนิทใน |
วันนี้ไกลกลอยสวาทอนาถนอน
|
|
โอ้รินรินกลิ่นนวลยังหวนหอม |
เคยถนอมแนบทรวงดวงสมร
|
|
ยังรื่นรื่นชื่นใจอาลัยวอน |
สะอื้นอ้อนอ่อนอารมณ์ระทมทวี
|
|
จนฆ้องค่ำย่ำหึ่งหึ่งกระหึม |
ยิ่งเศร้าซึมโศกาถึงยาหยี
|
|
โอ้ยามอยู่คูหาเวลานี้ |
เคยพาทีทอดประทับไว้กับทรวงฯ
|
|
๏ |
โอ้อกเอ๋ยเคยอุ่นละมุนละม่อม |
เคยโอบอ้อมอ่อนตามไม่ห้ามหวง
|
|
ยังเคลิ้มเคล้นเช่นปทุมกระพุ่มพวง |
เคยแนบทรวงไสยาสน์ไม่คลาดคลาย
|
|
จนเคลิ้มองค์หลงเชยเขนยหนุน |
ถนอมอุ่นแอบประโลมว่าโฉมฉาย
|
|
ครั้นรู้สึกดึกดื่นสะอื้นอาย |
แสนเสียดายสุดจะดิ้นสิ้นชีวัน
|
|
เห็นสิ่งของน้องนุชยิ่งสุดเศร้า |
พระทัยเฝ้าเคลิ้มไคล้ดังใฝ่ฝัน
|
|
ยิ่งรำลึกตรึกตรายิ่งจาบัลย์ |
สุดจะกลั้นรีบออกนอกบรรพตฯ
|
|
๏ |
พินิจจันทร์วันเพ็งขึ้นเปล่งแสง |
กระจ่างแจ้งแจ่มวงทั้งทรงกลด
|
|
สี่พี่เลี้ยงเคียงพร้อมน้อมประณต |
พระเลี้ยวลดแลแสวงดูแสงเดือน
|
|
ดูเก๋งก่อต่อเตาเห็นเงาคล้าย |
เขม้นหมายมุ่งไปก็ไม่เหมือน
|
|
เห็นเงาไม้ไหวหวั่นให้ฟั่นเฟือน |
จนเดือนเคลื่อนคล้อยฟ้าให้อาวรณ์
|
|
เห็นสระศรีที่เคยมาประพาส |
ระดะดาษดอกดวงบัวหลวงสลอน
|
|
ลมรำเพยเชยชายกระจายจร |
หอมเกสรเสาวคนธ์ที่หล่นโรยฯ
|
|
๏ |
โอ้รินรินกลิ่นบุหงาสะตาหมัน |
เหมือนกลิ่นจันทน์เจือนวลให้หวนโหย
|
|
หอมยี่หุบสุกรมดอกยมโดย |
พระพายโชยเฉื่อยชื่นยืนตะลึง
|
|
โอ้ที่นี่ศีลาเคยมานั่ง |
เห็นบัลลังก์แล้วยิ่งนึกรำลึกถึง
|
|
ดูเงื้อมเขาเงาไม้พระไทรซึ้ง |
เสียงหึ่งหึ่งผึ้งรวงเฝ้าหวงรัง
|
|
จังหรีดหริ่งกิ่งไทรเรไรร้อง |
แว่วว่าน้องนึกเสียวพระเหลียวหลัง
|
|
เห็นน้ำพุดุดั้นตรงบัลลังก์ |
เคยมานั่งสรงชลที่บนเตียง
|
|
เจ้าสรงด้วยช่วยพี่สีขนอง |
แต่น้ำต้องถูกนิดก็หวีดเสียง
|
|
โอ้รื่นรื่นชื่นเชยที่เคยเคียง |
พระทรวงเพียงเผ่าร้อนถอนฤทัย
|
|
ทุกเงื้อมเขาเหงาเงียบเซียบสงัด |
ใบไม้กวัดแกว่งกิ่งประวิงไหว
|
|
ยะเยือกเย็นเส้นหญ้าพนาลัย |
ยิ่งเยือกในทรวงช้ำระยำเย็น
|
|
เที่ยวรอบสระปทุมาสะตาหมัน |
เคยเห็นขวัญเนตรที่ไหนก็ไม่เห็น
|
|
ชลนัยน์ไหลซกตกกระเซ็น |
ยิ่งเยือกเย็นหยุดยืนกลืนน้ำตา
|
|
จนดึกดื่นรื่นรินกลิ่นกุหลาบ |
ตะลึงเหลียวเสียวซาบอาบนาสา
|
|
เหมือนปรางทองน้องนุชบุษบา |
หรือกลับมายืนแฝงอยู่แห่งใด
|
|
เที่ยวดูดาวเปล่าเปลี่ยวเสียวสะดุ้ง |
จนจวนรุ่งรางรางสว่างไสว
|
|
หนาวน้ำค้างพร่างพรมพนมไพร |
ดวงดอกไม้บานแบ่งรับแสงทอง
|
|
หอมมณฑาสารภีดอกยี่หุบ |
บ้างร่วงหรุบถูกอุระพระขนอง
|
|
ภุมรินบินว่อนมาร่อนร้อง |
อาบละอองเกสรขจรจายฯ
|
|
๏ |
จนแจ่มแจ้งแสงสว่างนภางค์พื้น |
ถอนสะอื้นอาลัยพระทัยหาย
|
|
ดูเวหาว่าแสนแค้นพระพาย |
ไม่พาสายสวาทคืนมาชื่นใจ
|
|
จำจะตามทรามชมทางลมพัด |
เผื่อจะพลัดตกลงที่ตรงไหน
|
|
ดำริพลางทางสะท้อนถอนฤทัย |
ให้เตรียมพลสกลไกรจะไคลคลา
|
|
จึงแปลงนามตามกันเป็นปันจุเหร็จ |
จะเที่ยวเตร็ดเตร่ในไพรพฤกษา
|
|
พลางอุ้มองค์ยาหยีวิยะดา |
ขึ้นรถแก้วแววฟ้าแล้วพาไปฯ
|
|
๏ |
พระเหลียวดูภูผาสะตาหมัน |
ที่สำคัญคูหาเคยอาศัย
|
|
จะแลลับนับปีแต่นี้ไป |
จะมิได้มาเห็นเหมือนเช่นเคย
|
|
เสียแรงแต่งแปลงสร้างจะร้างเริด |
ค่อยอยู่เถิดแผ่นผาคูหาเอ๋ย
|
|
โอ้มิ่งไม้ไพรพนมเคยชมเชย |
จะแลเลยลับแล้วทุกแนวเนินฯ
|
|
๏ |
โอ้นกเอ๋ยเคยพากันมาจับ |
จะแลลับฝูงนกระหกระเหิน
|
|
โอ้เขาสูงฝูงหงส์เคยลงเดิน |
เคยเพลิดเพลินพิศวงด้วยหงส์ทอง
|
|
จะเริดร้างห่างหงส์ไปดงอื่น |
ทุกวันคืนค่ำเช้าจะเศร้าหมอง
|
|
โอ้ก้านกิ่งมิ่งไม้เรไรร้อง |
ประสานซ้องเสียงดังดูวังเวง
|
|
ได้เคยฟังครั้งนี้มาวิบาก |
ต้องพลัดพรากเพราะว่าลมทำข่มเหง
|
|
แม้นพบเห็นเป็นตัวไม่กลัวเกรง |
จะรำเพลงกริชผลาญสังหารลม
|
|
นี่จนใจไม่เห็นด้วยเป็นเคราะห์ |
มาจำเพาะพลัดคู่เคยสู่สม
|
|
ยิ่งสุดแสนแค้นขัดอัดอารมณ์ |
จะแลชมอื่นอื่นไม่ชื่นใจ
|
|
แต่จำเป็นเกนหลงมาดงด้วย |
ต้องชี้ช่วยชมผาพฤกษาไสว
|
|
กรดกระถินอินจันพรรณไม้ |
มีดอกใบก้านกิ่งขึ้นพริ้งเพรียว
|
|
บ้างแก่อ่อนซ้อนซับสลับสล้าง |
บ้างสดสร่างสีชุ่มชอุ่มเขียว
|
|
ที่ตายตอหน่อหนุนขึ้นรุ่นเรียว |
เถาวัลย์เกี่ยวกอดกิ่งเหมือนชิงช้าฯ
|
|
๏ |
พระชวนพลอดกอดน้องประคองอุ้ม |
ให้ชมเพลินเดินมะงุมมะงาหรา
|
|
ป่าประเทศเขตแคว้นแดนชวา |
อินทะผาลัมชุมสลุมพัน
|
|
โกฐสดำจำปาดะดงองุ่น |
สหัสคุณขึ้นระคนปนปาหนัน
|
|
สลาสล้างนางแย้มเข้าแกมกัน |
หญ้าฝรั่นฝรั่งเรียงขึ้นเคียงดง
|
|
โกฐกระวานกานพลูดูระบัด |
กำจายกำจัดสารพันต้นตันหยง
|
|
หอมระรื่นชื่นใจที่ในดง |
พฤกษาทรงเสาวคนธ์ดังปนปรุง
|
|
ที่พื้นปราบราบรายล้วนทรายอ่อน |
เข้าดงดอนเลียบเดินเนินกุหนุง
|
|
เทียนยี่หร่าป่าฝิ่นส่งกลิ่นฟุ้ง |
สมส้มกุ้งโกฐจุฬาการบูรฯ
|
|
๏ |
คิดถึงนุชบุษบานิจจาเอ๋ย |
มิได้เชยชมสบายมาหายสูญ
|
|
ยิ่งโศกเสียวเหลียวหาให้อาดูร |
ยิ่งเพิ่มพูนพิศวงในดงแดน
|
|
ดูเล็บนางนึกถึงนางเหมือนอย่างเล็บ |
เคยข่วนเจ็บรอยมีอยู่ที่แขน
|
|
เห็นนมนางกลางพนมนึกชมแทน |
ละม้ายแม้นเหมือนเหมือนจะเยื้อนยิ้ม
|
|
มะปรางต้นผลอย่างพระปรางน้อง |
น้ำเนตรคลองคลอคล้อยย้อยหยิมหยิม
|
|
ฝืนอารมณ์ชมพลับต้นทับทิม |
ขึ้นรอบริมหว่างเขาลำเนาเนินฯ
|
|
๏ |
พนมมาศลาดเลี่ยนเตียนตลิบ |
บ้างสูงลิบลอยแหงนเป็นแผ่นเผิน
|
|
บ้างทะมึนทึนเทิ่งเป็นเชิงเทิน |
เป็นกรอกเกริ่นโกรกกรวยลำห้วยธาร
|
|
เสียงสินธุดุดั้นลั่นพิลึก |
สะท้านสะทึกโถมฟาดฉาดฉาดฉาน
|
|
ที่น้ำโจนโผนพังดังสะท้าน |
บ้างพุซ่านสาดสายสุหร่ายริน
|
|
คะนึงถึงนุชบุษบาแม้นมาเห็น |
จะลงเล่นลำธารละหานหิน
|
|
ฝูงปลาทองท่องไล่เล็มไคลกิน |
กระดิกดิ้นดูงามตามกระบวน
|
|
ปลาเนื้ออ่อนอ่อนกายขึ้นว่ายเกลื่อน |
ไม่อ่อนเหมือนเนื้อน้องประคองสงวน
|
|
ปลานวลจันทร์นั้นก็งามแต่นามนวล |
ไม่งามชวนชื่นเช่นระเด่นดวง
|
|
พลางรีบทัพขับรถกำหนดแสวง |
ทุกหล้าแหล่งลำเนาภูเขาหลวง
|
|
ไม่ประสบพบเห็นให้เย็นทรวง |
ให้เหงาง่วงเงียบเหงาเศร้าพระทัย
|
|
ถึงพลมากจากมิตรแต่จิตเปลี่ยว |
เหมือนมาเดียวดั่งจะพาน้ำตาไหล
|
|
เห็นนกหกผกโผนโจนจับไม้ |
บ้างฟุบไซ้ปีกหางต่างต่างกัน
|
|
นกกระตั้วคลัวเคลียตัวเมียป้อน |
เหมือนขวัญอ่อนแอบประทับพี่รับขวัญ
|
|
ป้อนสลาพาชื่นทุกคืนวัน |
มาจากกันกรรมเอ๋ยไม่เคยเป็น
|
|
เห็นนกเปล้าเคล้าคู่เข้าชูชื่น |
ถอนสะอื้นเหมือนไม่พอใจเห็น
|
|
พอเวลาสายัณห์ตะวันเย็น |
นกยูงเล่นลมเพลินบนเนินเตียน
|
|
บ้างเยื้องอกหกหางก้อกางปีก |
แฉลกฉลีกเลี้ยวลัดฉวัดเฉวียน
|
|
บ้างย่างย่องจ้องประจงที่วงเวียน |
ออกกลางเตียนตีนขวิดดูกรีดกรายฯ
|
|
๏ |
คิดถึงไปใช้บนได้ยลสมร |
เมื่อทอดกรฟ้อนรำระบำถวาย
|
|
โอ้อาภัพลับนุชสุดเสียดาย |
สะอื้นอายมยุราให้อาวรณ์
|
|
เห็นเขาเขียวเดี่ยวโดดล้วนโสดสูง |
แต่ล้วนฝูงหงส์จับสลับสลอน
|
|
หงส์ก็งามตามอย่างเพราะหางงอน |
เป็นคู่ป้อนปกปิดกันชิดชม
|
|
อรหันนั้นหน้าเหมือนมนุษย์ |
ปีกเหมือนครุฑครีบเท้ามีเผ้าผม
|
|
พวกม่าเหมี่ยวเที่ยวเดินเนินพนม |
ลูกเล็กล้มลากจูงเหมือนฝูงคน
|
|
เหล่าละเมาะเงาะป่าคุลาอยู่ |
เที่ยวกินปูเปี้ยวป่าผลาผล
|
|
สิงโตตื่นยืนหยัดสะบัดตน |
เห็นผู้คนโผนข้ามลำเนาเนิน
|
|
ฝูงมฤคถึกเถื่อนเที่ยวเกลื่อนกลุ้ม |
เป็นคู่คุมเคียงนางไม่ห่างเหิน
|
|
เห็นกวางทองย่องเยื้องชำเลืองเดิน |
เหมือนน้องเชิญพานผ้าประหม่าเมียง
|
|
พี่เข้าด้วยช่วยประคองพระน้องนุช |
สงสารสุดสุดสวาทไม่อาจเถียง
|
|
โอ้ยามนี้มิได้น้องประคองเคียง |
พี่ก็เสี่ยงบุญตามเจ้าทรามเชย
|
|
เป็นกุศลหนหลังเราทั้งสอง |
คงได้น้องคืนมาเรียงเคียงเขนย
|
|
แม้นกรรมหนุนบุญน้อยจะลอยเลย |
มิได้เชยบุษบาพะงางอนฯ
|
|
๏ |
พระครวญคร่ำร่ำไรมาในรถ |
โศกกำสรดแสนเสียดายสายสมร
|
|
พอเวลาสายัณห์ตะวันรอน |
ปักษาร่อนรีบกลับมาจับรัง
|
|
โอ้นกเอ๋ยเคยอยู่มาสู่ถิ่น |
แต่ยุพินลิบลับไม่กลับหลัง
|
|
ครั้นแลดูสุริย์แสงก็แดงดัง |
หนึ่งน้ำครั่งคล้ำฟ้านภาลัย
|
|
เหมือนครั้งนี้พี่มาโศกแสนเทวษ |
ชลเนตรแดงเดือดดังเลือดไหล
|
|
โอ้ตะวันครั้นจะลบภพไตร |
ก็อาลัยโลกยังหยุดรั้งรอ
|
|
ประหลาดนักรักเอ๋ยมาเลยลับ |
เหมือนเพลิงดับเด็ดเดี่ยวไปเจียวหนอ
|
|
ชลนัยน์ไหลหลั่งลงคลั่งคลอ |
ยิ่งเย็นย่อเสียวทรวงให้ร่วงโรย
|
|
ชะนีน้อยห้อยไม้เรไรร้อง |
เสียงแซ่ซ้องเริ่มรัวเรียกผัวโหวย
|
|
เหมือนอกพี่ที่ถวิลให้ดิ้นโดย |
ละห้อยโหยหานางมากลางไพรฯ
|
|
๏ |
พระสุริยงลงลับพยับค่ำ |
ถึงแนวน้ำเนินผาพฤกษาไสว
|
|
หยุดสำนักพักพลสกลไกร |
พระเนาในรถทองกับน้องยา
|
|
ถนอมแนบแอบองค์หลงหนึ่งหรัด |
ให้บรรทมโสมนัสในรัถา
|
|
ต้องจากวังครั้งนี้เพราะพี่พา |
พระน้องมาอ้างว้างวังเวงใจ
|
|
นอนเถิดหนายาหยีพี่จะกล่อม |
งามละม่อมมิ่งขวัญอย่าหวั่นไหว
|
|
คิรีรอบขอบเคียงเหมือนเวียงชัย |
อยู่ร่มไม้เหมือนปราสาทราชวัง
|
|
เคยสำเนียงเสียงนางสุรางค์เห่ |
มาฟังเรไรแซ่เหมือนแตรสังข์
|
|
เคยมีวิสูตรรูดกั้นบนบัลลังก์ |
มากำบังใบไม้ในไพรวัน
|
|
หนาวน้ำค้างกลางคืนสะอื้นอ้อน |
จะกางกรกอดน้องประคองขวัญ
|
|
เอาดวงดาราระยับกับพระจันทร์ |
ต่างช่อชั้นชวาลาระย้าย้อย
|
|
จักจั่นหวั่นแว่วแจ้วแจ้วเสียง |
ต่างสำเนียงขับครวญหวนละห้อย
|
|
พระพายเอ๋ยเชยมาต้องพระน้องน้อย |
เหมือนนางคอยหมอบกรานอยู่งานพัด
|
|
โอ้เวลาปานฉะนี้เจ้าพี่เอ๋ย |
กระไรเลยแลเงียบเชียบสงัด
|
|
น้ำค้างเผาะเหยาะเย็นกระเซ็นซัด |
ดึกสงัดดวงจิตจงนิทรา
|
|
พระขวัญเอ๋ยเคยนอนอย่าร่อนเร่ |
ไปว้าเหว่หว่างไม้ไพรพฤกษา
|
|
ขวัญมาอยู่สู่ที่พระพี่ยา |
พระมารดาบิตุเรศนิเวศน์เวียง
|
|
พระขวัญเอ๋ยเคยแอบแนบถนอม |
มาฟังกล่อมกลอนเพราะเสนาะเสียง
|
|
โอ้แรมล่วงดวงเดือนก็เลื่อนเอียง |
พี่พิศเพียงพักตร์แฝงพลิกแพลงบัง
|
|
บุษบายาหยีเจ้าพี่เอ๋ย |
ช่างลอยเลยลิบลับไม่กลับหลัง
|
|
เมื่ออุ้มออกนอกเขตนิเวศน์วัง |
พระน้องนั่งรถทรงที่ตรงริม
|
|
พี่หยอกเย้าเซ้าซี้มีแต่โกรธ |
สะอื้นโอษฐ์โอษฐ์เอี่ยมเสงี่ยมหงิม
|
|
อยู่ใกล้เคียงเพี้ยงเอ๋ยได้เชยชิม |
ถนอมนิ่มเนื้อน่วมร่วมฤทัย
|
|
พระครวญคร่ำรำลึกจนดึกเงียบ |
เย็นระเยียบหย่อมหญ้าพฤกษาไสว
|
|
สงบเสียงสิงสัตว์สงัดไพร |
ทุกกอกิ่งมิ่งไม้พระไทรครึ้ม
|
|
สุมามาลย์บานกลิ่นระรินรื่น |
ในเที่ยงคืนเสียงแต่ผึ้งหึ่งระหึม
|
|
ผีพระไทรไม้พุ่มงุมงุมงึม |
โขมดพึมผิวกู่หวิวหวู่โวย
|
|
เหล่ามารยาป่าโป่งเที่ยวโทงเถื่อน |
ตะโกนเพื่อนเพิกเสียงสำเนียงโหย
|
|
น้ำค้างพรมลมเรื่อยเฉื่อยเฉื่อยโชย |
ยิ่งดิ้นโดยเดือนดับไม่หลับเลย
|
|
จนทรวงเจ็บเหน็บแน่นแหงนดูฟ้า |
องค์ประตาระกาหลาเจ้าข้าเอ๋ย
|
|
พระน้องนุชบุษบาเจ้าข้าเคย |
เป็นคู่เชยชมชื่นให้คืนมา
|
|
ทั้งโกสีย์ตรีเนตรเห็นเหตุสิ้น |
ว่ายุพินอยู่ที่ไหนนำไปหา
|
|
หาไม่ฉันวานแต่พระสุชาดา |
ช่วยอุ้มพามาให้พบประสบกัน
|
|
ทั้งพรหมานวานแต่พาหนะหงส์ |
จะได้ทรงเหาะแสวงทุกแห่งสวรรค์
|
|
แม้นได้นุชบุษบาวิลาวัณย์ |
จะทำขวัญหงส์พรหมให้สมยศฯ
|
|
๏ |
จนพลบค่ำรำลึกนึกอนาถ |
ไม่ไสยาสน์ยามวิโยคโศกกำสรด
|
|
จนแจ่มแจ้งแสงตะวันให้รันทด |
ให้ยกทัพขับรถเลี้ยวลดเดิน
|
|
ทุกแว่นแคว้นแดนชวาสุธาทวีป |
เที่ยวเร็วรีบรอบเกาะดังเหาะเหิน
|
|
ไม่พบเห็นเป็นเคราะห์จำเพาะเผอิญ |
ไปจนเกินมะละกาพารารายฯ
|
|
๏ |
เมืองระตูรู้ทั่วกลัวอำนาจ |
ต่างแต่งราชธิดามาถวาย
|
|
ไม่ไยดีอีนังแต่ซังตาย |
แม้นแก้วหายได้ปัดไม่ทัดเทียม
|
|
แม้นมิเหมือนเพื่อนเชยที่เคยชิด |
ไม่ขอคิดนึกหน่ายละอายเหนียม
|
|
แต่ปราศรัยไต่ถามตามธรรมเนียม |
ไม่และเลียมเลยแสวงทุกแห่งไปฯ
|
|
๏ |
ถึงเจ็ดเดือนเคลื่อนคลาดประหลาดแล้ว |
ไม่พบแก้วกลอยจิตพิสมัย
|
|
จนพระรูปซูบผอมเพราะตรอมใจ |
ทั้งนายไพร่พลนิกรอ่อนกำลัง
|
|
จนถึงทางร่วมที่บุรีรัตน์ |
ที่จะตัดมรคาไปกาหลัง
|
|
เห็นเขาเขินเนินร่มพนมวัง |
ต้นดงรังครึกครื้นระรื่นเย็น
|
|
ที่ธารถ้ำน้ำพุทะลุลั่น |
เป็นช่องชั้นบัลลังก์น่านั่งเล่น
|
|
ผลาผลหล่นกลาดดาษกระเด็น |
ดอกไม้เป็นดอกพร้อมหอมรัญจวน
|
|
จะใคร่บวชสวดมนต์อยู่บนเขา |
เพราะแสนเศร้าสุดจะตามทรามสงวน
|
|
แม้นมิตามความรักเฝ้าชักชวน |
ให้ปั่นป่วนไปตามเพราะความรัก
|
|
จะหักอื่นขืนหักก็จักได้ |
หักอาลัยนี้ไม่หลุดสุดจะหัก
|
|
สารพัดตัดขาดประหลาดนัก |
แต่ตัดรักนี้ไม่ขาดประหลาดใจ
|
|
จะสร้างพรตอดรักหักสวาท |
เผื่อจะขาดข้อคิดพิสมัย
|
|
แม้นน้องนุชบุษบานิคาลัย |
จะได้ไปสู่สวรรค์ชั้นโสฬส
|
|
จึงหยุดทัพยับยั้งตั้งอาศรม |
รักษาพรหมจรรย์ด้วยกันหมด
|
|
ปะตาปาอายันอยู่บรรพต |
อุตส่าห์อดอาลัยก็ไม่คลาย
|
|
ภาวนาว่าจะตั้งปลงสังเวช |
ก็หลับเนตรเห็นคู่ไม่รู้หาย
|
|
จะสวดมนต์ต้นถูกถึงผูกปลาย |
ก็กลับกลายเรื่องราวเป็นกล่าวกลอนฯ
|
|
๏ |
คิดถึงนุชบุษบาออกมานั่ง |
บนบัลลังก์เหลี่ยมผาหน้าสิงขร
|
|
พระตรวจน้ำร่ำว่าด้วยอาวรณ์ |
หวังสมรเหมือนจะคลาดในชาตินี้
|
|
จะอุตส่าห์ปะตาปารักษากิจ |
อวยอุทิศผลผลาถึงยาหยี
|
|
จะเกิดไหนในจังหวัดปัถพี |
ให้เหมือนปี่กับขลุ่ยต้องทำนองกัน
|
|
เป็นจีนจามพราหมณ์ฝรั่งแลอังกฤษ |
ให้สนิทเสน่หาตุนาหงัน
|
|
แม้นเป็นไทยให้เป็นวงศ์ร่วมพงศ์พันธุ์ |
พอโสกันต์ให้ได้อยู่เป็นคู่ครอง
|
|
ครั้นกรวดน้ำสำเร็จเสด็จกลับ |
เข้าห้องหับโหยไห้พระทัยหมอง
|
|
ทุกเช้าค่ำรำลึกเฝ้าตรึกตรอง |
จนขาดครองคราวสวาทนิราศเอยฯ
|