ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๗ ลงวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๑๕
ประกาศของคณะปฏิวัติ
ฉบับที่ ๓๗[1]
โดยที่คณะปฏิวัติพิจารณาเห็นว่า ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีองค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และได้ทำความตกลงกับองค์การดังกล่าวตามความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งประเทศไทยกับองค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เกี่ยวกับสำนักงานใหญ่ขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในประเทศไทย ลงนามเมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๓ ซึ่งกำหนดให้ประเทศไทยให้เอกสิทธิและความคุ้มกันดังที่ระบุไว้ ในการนี้จำเป็นต้องตรากฎหมายเพื่อดำเนินการตามความตกลงนั้น หัวหน้าคณะปฏิวัติจึงมีคำสั่ง ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ เพื่อคุ้มครองการดำเนินงานในประเทศไทยขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้บรรลุผลตามความมุ่งประสงค์
(๑) ให้ยอมรับนับถือว่า องค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นนิติบุคคล และให้ถือว่ามีภูมิลำเนาในประเทศไทย
(๒) ให้องค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้แทนของรัฐสมาชิก ผู้อำนวยการสำนักงานใหญ่ขององค์การหรือพนักงานใดๆ ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ทำการแทนผู้อำนวยการ พนักงานระหว่างประเทศ พนักงานอื่นๆ ของสำนักงานใหญ่ขององค์การ รวมตลอดถึงผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาผู้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อสำนักงานใหญ่ขององค์การ ได้รับเอกสิทธิและความคุ้มกันตามที่ระบุไว้ในความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับองค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เกี่ยวกับสำนักงานใหญ่ขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในประเทศไทย ลงนามเมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๓ ท้ายประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ ทั้งนี้ในระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่ในประเทศไทยหรือเข้ามาในประเทศไทยเพื่อปฏิบัติหน้าที่หรือในการปฏิบัติภารกิจเกี่ยวกับองค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ข้อ ๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการรักษาการตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้
ข้อ ๓ ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งประเทศไทย
กับ
องค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เกี่ยวกับสำนักงานใหญ่ขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในประเทศไทย
ท้ายประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๗ ลงวันที่ ๑๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๑๕
_______________
รัฐบาลแห่งประเทศไทย
(ซึ่งต่อไปในความตกลงนี้เรียกว่า “รัฐบาล”)
และ
องค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
(ซึ่งต่อไปในความตกลงนี้เรียกว่า “องค์การ”)_______________
โดยคำนึงถึงความปรารถนาขององค์การรัฐมนตรีแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่จะจัดตั้งสำนักงานใหญ่ (ซึ่งต่อไปในความตกลงนี้เรียกว่า “ซีเมส”) ขึ้นในกรุงเทพฯ ในประเทศไทย และเพื่อที่จะให้ความสะดวกแก่การปฏิบัติการหน้าที่ของสำนักงานใหญ่อย่างมีประสิทธิผล รัฐบาลกับองค์การจึงได้ทำความตกลงกันดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
รัฐบาลยอมรับนับถือสภาพนิติบุคคล และความสามารถขององค์การที่จะ
ก) ทำสัญญา
ข) ได้มาและจำหน่ายซึ่งสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์
ค) เป็นคู่กรณีในการดำเนินคดีของศาล
ข้อ ๒
๑) รัฐบาลให้โดยไม่คิดมูลค่าแก่องค์การ และองค์การรับนับแต่วันที่เริ่มใช้บังคับ และชั่วอายุของความตกลงนี้ ซึ่งการใช้และครอบครองที่ที่จัดให้ เริ่มแรกในสถานที่ส่วนหนึ่งของกระทรวงศึกษาธิการ จนกว่าจะถึงเวลาที่ได้สร้างสถานที่ขึ้นใหม่ เพื่อการใช้ของซีเมส และการใช้สิ่งติดตั้ง เครื่องเรือนและบริภัณฑ์ประจำสำนักงานซึ่งมีอยู่ ณ สถานที่นั้น ตลอดจนความสะดวกอื่นๆ ด้วย สถานที่ สิ่งติดตั้ง บริภัณฑ์ และเครื่องเรือนเช่นว่านั้น ตลอดจนความสะดวกอื่นๆ จะได้ทำความตกลงกันในรายละเอียดต่อไประหว่างเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยที่เกี่ยวข้องกับองค์การ
๒) ในส่วนที่เกี่ยวกับซีเมส และสิ่งติดตั้ง ณ สถานที่นั้นซึ่งรัฐบาลเป็นผู้จัดหาให้
ก) เว้นแต่ในกรณีความผิดเนื่องมาจากองค์การรัฐบาลจะรับผิดชอบสำหรับค่าซ่อมแซมรายใหญ่ๆ ที่มีลักษณะไม่เกิดเสมอๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการซ่อมแซมความเสียหายอันเกิดจากอัคคีภัย เหตุสุดวิสัย ข้อบกพร่อง หรือการเสื่อมสภาพในทางโครงสร้าง และจะรับผิดชอบสำหรับการหาสิ่งติดตั้งเช่นว่านั้นมาแทน เมื่อและหากจำเป็นและสำหรับการหาอาคารใดๆ หรือส่วนแห่งอาคารนั้นในซีเมสซึ่งอาจถูกทำลายไปทั้งหมดหรือเพียงบางส่วนมาแทน
ข) องค์การจะรับผิดชอบสำหรับการซ่อมแซมเล็กๆ น้อยๆ ทุกรายเพื่อการทนุบำรุงและรักษาส่วนของสถานที่ที่ซีเมสได้ครอบครองอยู่
ข้อ ๓
๑) รัฐบาลยอมรับนับถือความละเมิดมิได้ของซีเมส เจ้าพนักงานหรือข้าราชการของรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบริหาร ตุลาการ ทหารหรือตำรวจ จะเข้ามาในซีเมสเพื่อปฏิบัติหน้าที่ราชการใด ๆ ในที่นั้นมิได้ เว้นแต่จะได้รับความยินยอมและเป็นไปตามเงื่อนไขที่ผู้อำนวยการซีเมส ได้ตกลงด้วยแล้ว
๒) เจ้าหน้าที่ของไทยที่เหมาะสมจะใช้ความพยายามอันควรที่จะรับรองว่าความสงบสุขของซีเมสจะไม่ถูกรบกวนจากบุคคลหรือคณะบุคคลที่พยายามจะเข้ามาโดยมิได้รับอำนาจหรือก่อความไม่สงบขึ้นในบริเวณใกล้ชิดกับซีเมส
๓) หากได้รับการขอร้องจากซีเมส เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของไทยที่เหมาะสมจะจัดตำรวจมีจำนวนเพียงพอเพื่อรักษากฎหมายและความสงบในซีเมส และเพื่อนำตัวผู้กระทำผิดออกไปจากที่นั้น
๔) องค์การจะป้องกันมิให้ใช้ซีเมสเป็นที่ลี้ภัยของบุคคลผู้หลบหนีการจับกุมตามกฎหมายใดๆ ของประเทศไทย หรือผู้ซึ่งรัฐบาลต้องการตัวเพื่อการส่งข้ามแดนไปยังอีกประเทศหนึ่ง หรือผู้ที่พยายามจะหลีกเลี่ยงไม่รับกระบวนการทางกฎหมายหรือการดำเนินคดีของศาล
ข้อ ๔
บรรณสารของซีเมส และโดยทั่วไป เอกสารทั้งปวงที่เป็นของซีเมส จะถูกละเมิดมิได้ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใด
ข้อ ๕
รัฐบาลรับที่จะรับรองว่า องค์การจะได้รับบริการสาธารณะที่จำเป็น และจะได้อุปโภคผลประติบัติเช่นเดียวกับองค์การระหว่างประเทศอื่นที่ตั้งอยู่ในประเทศ สำหรับการสื่อสารเป็นทางการขององค์การ
ข้อ ๖
ตามมูลฐานแห่งการไม่ค้ากำไร สินทรัพย์ รายได้และทรัพย์สินอื่นขององค์การจะได้รับยกเว้น
ก) จากการเก็บภาษีอากรทางตรงไม่ว่าในรูปใด อย่างไรก็ตาม องค์การจะไม่เรียกร้องให้มีการยกเว้นภาษี ซึ่งอันที่จริงมิได้มากไปกว่าค่าภาระเพื่อบริการสาธารณูปโภค
ข) จากศุลกากรและภาษีใดๆ นอกเหนือจากค่าบริการที่ได้ให้ และจากข้อห้ามและข้อกำกัดใดๆ ในเรื่องการนำเข้าและส่งออกในส่วนที่เกี่ยวกับสิ่งของที่องค์การนำเข้าหรือส่งออกเพื่อการใช้เป็นทางการขององค์การ โดยเป็นที่เข้าใจกันว่าสิ่งของที่นำเข้าโดยได้รับยกเว้นเช่นว่านี้ หากได้ใช้เพื่อความมุ่งประสงค์อย่างอื่น หรือได้จำหน่ายไปในภายหลัง หรือได้โอนไปภายในประเทศไทยให้แก่บุคคลอื่นใดซึ่งไม่มีสิทธิได้รับการยกเว้น สิ่งของนั้นๆ จะอยู่ในบังคับแห่งศุลกากรและภาษีตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
ค) รัฐบาลจะให้ส่วนแบ่งสำหรับน้ำมันและน้ำมันหล่อลื่นสำหรับยานพาหนะที่ซีเมสจำเป็นต้องใช้อย่างเป็นทางการในปริมาณและอัตราที่ให้แก่คณะทูตานุทูตในประเทศไทย
ข้อ ๗
โดยไม่อยู่ในบังคับแห่งการควบคุมทางการเงิน ข้อบังคับหรือคำสั่งประวิงการชำระหนี้ใดๆ องค์การอาจ
ก) รับและถือครองกองทุนและเงินตราต่างประเทศทุกชนิด และดำเนินการทางบัญชีเกี่ยวกับเงินตราต่างประเทศทุกสกุล
ข) โอนกองทุน และเงินตราต่างประเทศขององค์การภายในประเทศไทยและจากประเทศไทยไปยังอีกประเทศหนึ่งได้โดยเสรี
ในการใช้สิทธิขององค์การตามข้อนี้ องค์การจะรับฟังข้อทักท้วงใดๆ ที่มีมาจากรัฐบาลเท่าที่จะให้ผลตามข้อทักท้วงเช่นว่านั้นได้ โดยไม่เสียผลประโยชน์ขององค์การ
ข้อ ๘
รัฐบาลจะให้การตรวจลงตราซึ่งอาจจำเป็นในการเข้าประเทศไทยโดยไม่คิดค่าธรรมเนียมแก่บุคคลดังต่อไปนี้
ก) ผู้แทนของรัฐสมาชิก
ข) พนักงานของซีเมส คู่สมรส และบุตรที่พึ่งพิงตน
ค) บุคคลผู้ปฏิบัติหน้าที่ให้ซีเมส
ข้อ ๙
ผู้แทนของรัฐสมาชิกซึ่งมีส่วนร่วมในงานขององค์การหรือในการประชุมใดๆ ซึ่งอาจเรียกประชุมโดยองค์การ ณ ที่ทำงาน จะมีสิทธิได้รับเอกสิทธิและความคุ้มกันในอาณาเขตประเทศไทยขณะปฏิบัติการหน้าที่ของตน และระหว่างการเดินทางไปยังและมาจากที่ทำงานเช่นเดียวกับที่ได้ประสาทให้แก่สมาชิกของคณะทูตานุทูตในชั้นที่เทียบกันได้
เอกสิทธิและความคุ้มกันที่ระบุไว้ข้างต้นจะไม่ขยายไปถึงบุคคลที่มีสัญชาติไทย
ข้อ ๑๐
๑. ผู้อำนวยการซีเมส หรือพนักงานใดๆ ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ทำการแทนผู้อำนวยการจะได้อุปโภคเอกสิทธิและความคุ้มกันในระหว่างพำนักอยู่ในประเทศไทย เช่นเดียวกับสมาชิกของคณะทูตานุทูตในชั้นที่เทียบกันได้
๒. บุคคลที่กล่าวถึงในวรรค ๑ ของข้อนี้ ถ้ามีสัญชาติไทยจะไม่เรียกร้องความ คุ้มกันในศาลไทยในส่วนการดำเนินคดีของศาลเกี่ยวกับเรื่องใดๆ ที่อยู่นอกหน้าที่เป็นทางการของบุคคลนั้นๆ
ข้อ ๑๑
ความคุ้มกันซึ่งบัญญัติไว้ในข้อ ๙ และ ๑๐ ได้ประสาทให้ก็เพื่อผลประโยชน์ขององค์การและมิใช่เพื่อคุณประโยชน์ส่วนตัวของปัจเจกบุคคลนั้นๆ เอง ความคุ้มกันเช่นว่านั้นอาจสละเสียได้โดยรัฐบาลของรัฐที่เกี่ยวข้องในส่วนที่เกี่ยวกับผู้แทนและโดยคณะมนตรีรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้อำนวยการ
ข้อ ๑๒
๑) พนักงานระหว่างประเทศซึ่งมีชื่อส่งไปและได้รับความเห็นชอบจากเจ้าหน้าที่ของไทยที่เหมาะสมแล้ว จัก
ก) ได้รับความคุ้มกันจากกระบวนการทางกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับกิจกรรมทั้งปวงที่พนักงานนั้นได้ปฏิบัติไปในการปฏิบัติการหน้าที่เป็นทางการของตน (รวมถึงถ้อยคำที่ได้กล่าวหรือได้เขียนด้วย)
ข) ได้รับยกเว้นจากภาษีทางตรงทั้งปวงสำหรับเงินเดือนและรายได้ ซึ่งองค์การได้จ่ายให้
ค) ได้รับยกเว้นพร้อมทั้งคู่สมรสและบุตรที่พึ่งพิงตนจากข้อกำกัดในการเข้าเมืองและการจดทะเบียนคนต่างด้าว
ง) ได้รับความสะดวกในส่วนที่เกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเช่นเดียวกันกับที่ได้ให้แก่สมาชิกของคณะทูตานุทูตที่อยู่ในประเทศในชั้นที่เทียบกันได้
จ) ได้รับความสะดวกพร้อมทั้งคู่สมรสและบุตรที่พึ่งพิงตนในการกลับประเทศ ในขณะมีวิกฤติกาลระหว่างประเทศเช่นเดียวกันกับที่ได้ประสาทให้แก่สมาชิกของคณะทูตานุทูตที่ประจำอยู่ในประเทศไทย
ฉ) ได้รับยกเว้นจากศุลกากรสำหรับสิ่งของซึ่งได้นำเข้าภายในหกเดือนหลังจากได้เดินทางมาถึงครั้งแรกเพื่อเข้ารับหน้าที่ในประเทศไทย หรือหลังจากที่ความตกลงนี้เริ่มมีผลบังคับ แล้วแต่กรณีใดจะเกิดทีหลัง ได้แก่
๑. ของใช้ส่วนตัว
๒. ของใช้ในครัวเรือน
๓. ยานยนต์หนึ่งคันสำหรับพนักงานคนหนึ่งในบังคับแห่งข้อบังคับเกี่ยวกับการนำรถยนต์เข้า การโอน และการเปลี่ยนรถยนต์ดังที่ใช้บังคับแก่สมาชิกของคณะทูตที่อยู่ในประเทศในชั้นที่เทียบกันได้
๒) พนักงานอื่นๆ ของซีเมสจะได้รับเอกสิทธิตามที่ระบุไว้ในข้อ ๑ (ข), (ค) และ (ฉ) ๑ - ๒
ข้อ ๑๓
ผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษานอกจากพนักงานของซีเมสผู้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อซีเมสจักได้รับเอกสิทธิและความคุ้มกันดังที่ระบุไว้ในข้อ ๑๒ วรรค ๑, เว้นแต่เอกสิทธิและความคุ้มกันใน (ฉ) ๒ - ๓
ข้อ ๑๔
๑) ชื่อของพนักงานและบุคคลที่กล่าวถึงในข้อ ๑๒ และ ๑๓ จะได้ส่งให้เจ้าหน้าที่ของไทยที่เหมาะสมเป็นครั้งคราว
๒) พนักงานทั้งปวงของซีเมสจะได้รับบัตรประจำตัวพิเศษรับรองว่าเป็นพนักงานของซีเมส ผู้อุปโภคเอกสิทธิและความคุ้มกันดังที่ระบุไว้ในความตกลงนี้
ข้อ ๑๕
ผู้อำนวยการซีเมสตกลงจะสละความคุ้มกันของพนักงานหรือบุคคลใด ที่อ้างถึงในข้อ ๑๒ และ ๑๓ ในกรณีใดๆ ที่ความคุ้มกันเช่นว่านั้นจะขัดขวางกระบวนความยุติธรรมและอาจสละเสียได้โดยไม่เสียหายต่อผลประโยชน์ของซีเมส
ข้อ ๑๖
ซีเมสและพนักงานของซีเมสจะร่วมมือในทุกโอกาสกับเจ้าหน้าที่ของไทยที่เหมาะสม ในการให้ความสะดวกแก่การรักษาความยุติธรรมที่ถูกต้อง ประกันการปฏิบัติตามข้อบังคับของตำรวจและป้องกันมิให้เกิดการใช้ในทางที่ผิดอย่างหนึ่งอย่างใดเกี่ยวกับเอกสิทธิและความคุ้มกันที่ได้ให้ไว้ในความตกลงนี้
ข้อ ๑๗
ความตกลงนี้จะเริ่มมีผลบังคับในวันที่สามสิบหลังจากการแลกเปลี่ยนสัตยาบันสารโดยรัฐบาลกับตราสารให้ความเห็นชอบโดยองค์การแล้ว
ความตกลงนี้และความตกลงเพิ่มใดๆ ที่ได้กระทำกันระหว่างรัฐบาลกับองค์การโดยอนุวัตตามความตกลงนี้จะเลิกใช้บังคับเมื่อครบสิบสองเดือน หลังจากที่รัฐบาลหรือองค์การฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะได้แจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบความตกลงใจของตนที่จะเลิกความตกลงนี้
เพื่อเป็นพยานแก่การนี้ ผู้แทนซึ่งได้รับอำนาจจากรัฐบาลและองค์การผู้ลงนามข้างท้ายนี้ ได้ลงนามความตกลงนี้
ทำคู่กันเป็นสองฉบับเป็นภาษาอังกฤษ ณ กรุงเทพฯ วันที่เก้าเดือนตุลาคม พุทธศักราชสองพันห้าร้อยสิบสาม ตรงกับคริสต์ศักราชหนึ่งพันเก้าร้อยเจ็ดสิบ
พลตำรวจตรี ส. กิตติขจร พลเอก น. เขมะโยธิน
(สง่า กิตติขจร) (เนตร เขมะโยธิน)
รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ รักษาราชการแทน ผู้อำนวยการองค์การซีเมส
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
รับรองว่าเป็นคำแปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษที่ถูกต้อง
บุญถิ่น อัตถากร
ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ผู้ใช้อำนาจของ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
เชิงอรรถ
แก้ไข- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๘๙/ตอนที่ ๖/ฉบับพิเศษ หน้า ๑/๑๓ มกราคม ๒๕๑๕
งานนี้ไม่มีลิขสิทธิ์ เพราะเป็นงานตาม แม่แบบผิดพลาด: โปรดระบุประเภทของงานนี้ (ดูวิธีใช้) แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ของประเทศไทย ซึ่งบัญญัติว่า
- "มาตรา 7 สิ่งต่อไปนี้ไม่ถือว่าเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัตินี้
- (1)ข่าวประจำวัน และข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่มีลักษณะเป็นเพียงข่าวสาร อันมิใช่งานในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์ หรือแผนกศิลปะ
- (2)รัฐธรรมนูญ และกฎหมาย
- (3)ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง คำชี้แจง และหนังสือโต้ตอบของกระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือของท้องถิ่น
- (4)คำพิพากษา คำสั่ง คำวินิจฉัย และรายงานของทางราชการ
- (5)คำแปลและการรวบรวมสิ่งต่าง ๆ ตาม (1) ถึง (4) ที่กระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือของท้องถิ่น จัดทำขึ้น"