ปัญญาสชาดก/ภาคที่ 19/เรื่อง
สจฺจํ กิเรวมาหํสูติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรนฺโต อนาถปิณฺฑิกสฺสาราเม อตฺตโน วราย ปริสกนฺตํ เทวทตฺตํ อารพฺภ กเถสิ
สตฺถา สมเด็จพระบรมศาสนา เมื่อประทับอยู่ณพระเชตวันอันเป็นอารามของอนาถปิณฑิกคฤหบดี ทรงพระปรารภภิกษุเทวทัตผู้ขวนขวายอยู่เพื่อจะปลงพระชนม์ของพระองค์เป็นมูลเหตุ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มว่า สจฺจํ กิเรวมาหํสุ ดังนี้เป็นอาทิ ดำเนินความในนิทานวจนว่า
กิร ดังได้สดับฟังมาว่า ภิกษุเทวทัตนั้นเป็นโอรสแห่งสุปพุทธสากยราช ครั้นบรรพชาในพุทธศาสนาแล้ว พยายามคอยจะฆ่าพระผู้มีพระภาคเจ้า คราวหนึ่ง พระภิกษุทั้งหลายประชุมสนทนากันณโรงธรรมสภาดังนี้ว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุเทวทัตเป็นผู้หยาบช้าสาหัสนัก คิดจักพยายามฆ่าพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา สมเด็จพระศาสดาจารย์เจ้า เมื่อประทับอยู่ณคันธกุฎี ทรงสดับกถาเรื่องนั้นด้วยทิพโสตธาตุ จึ่งเสด็จออกจากคันธกุฎีไปประทับณบวรพุทธอาสน แล้วตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายประชุมพูดกันด้วยเรื่องอะไร พระภิกษุทั้งหลายจึ่งกราบทูลว่า ข้าพระบาททั้งหลายประชุมพูดกันด้วยเรื่องเทวทัตพยายามจะฆ่าพระองค์อย่างนี้ จึ่งมีพุทธดำรัสว่า ดูกรภิ⟨ก⟩ษุทั้งหลาย ภิกษุเทวทัตจะได้พยายามฆ่าตถาคตแต่ในเดี๋ยวนี้ก็หาไม่ ถึงในกาลปางก่อน เธอก็พยายามตามฆ่าตถาคตมาแล้ว ตรัสดังนี้แล้ว จึ่งนำเรื่องราวที่ภพน้อยใหญ่กำบังไว้มาอ้าง ดังปรากฎต่อไปนี้ว่า
อตีเต ภิกฺขเว พฺรหฺมนคเร ฯลฯ รชฺชํ กาเรสิ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในกาลที่ล่วงมาแล้วนาน มีพระราชองค์หนึ่ง พระนามว่า พรหมทัต ดำรงราชสมบัติอยู่ณพรหมนคร พระเจ้ากรุงพรหมทัตนั้นมีราชกัญญาเป็นอัครมเหษีซ้ายขวาสององค์ มเหษีขวานั้นพระนามว่า จันทาเทวี มเหษีซ้ายนั้นยังไม่ปรากฎว่านามใด ราชกัญญาซ้ายขวานั้นเป็นที่โปรดปรานของพระราชายิ่งกว่านารีอื่น ๆ คราวนั้น พระบรมโพธิสัตวยังท่องเที่ยวอยู่ในสงสารวัฏ จุติจากเทวโลกแล้ว ได้เกิดในครรภ์แห่งมเหษีขวาของพระเจ้ากรุงพรหมทัต
วันที่พระโพธิสัตวมาปฏิสนธินั้น พระนางจันทาเทวีบรรทมหลับอยู่ณแท่นที่สิริไสยาสน์ พอเวลาจวนจะใกล้รุ่งสว่าง นางทรงพระสุบินไปว่า พระอาทิตย์เปล่งรัศมีแผ่ไปในทิสานุทิส แล้ววนเวียนสิเนรุบรรพตสามรอบ มาตกต้องพระทรวงของพระนางจันทาเทวี พระนางจันทาเทวีก็ตกพระทัยตื่น ครั้นเวลาราตรีสว่างแล้ว พระนางจันทาเทวีจึ่งสรงน้ำชำระกาย เสร็จแล้วก็เข้าไปสู่ที่เฝ้า ถวายบังคม แล้วทูลเล่าความฝันนั้นให้ทรงทราบ ในคืนวันเดียวกันนั้น พระมเหษีซ้ายบรรทมหลับเหนือที่สิริไสยาสน์ พอเวลาจวนจะใกล้สว่าง นางก็ทรงสุบินไปว่า ท้าววาศพ เจ้าพิภพดาวดึงษ์ ทรงประทานดอกจำปาทองให้แก่นางเทวี แล้วก็เสด็จกลับไป นางเทวีรับดอกจำปาทองนั้นไว้ แล้วก็เชยชมชื่นชูพระทัย นางเทวีตื่นขึ้นแล้วสรงน้ำชำระกาย เสร็จแล้วจึ่งเข้าไปสู่ที่เฝ้า ถวายบังคม แล้วทูลเล่าเรื่องความฝันนั้นให้ทรงทราบ พระเจ้ากรุงพรหมทัตทรงสดับความฝันของราชเทวีทั้งสองนั้นแล้ว รับสั่งให้หาตัวเนมิตกาจารย์เข้ามาเฝ้า เล่าลักษณะความฝันสองเรื่องนั้นให้ฟัง เนมิตกาจารย์จึ่งพยากรณ์ถวายว่า ซึ่งพระนางจันทาเทวีฝ่ายขวาฝันเห็นพระอาทิตย์เปล่งรัศมีวนเวียนสิเนรุบรรพตสามรอบ แล้วกลับมาตกต้องพระทรวงพระราชเทวี พระสุบินข้อนี้ส่อให้เห็นว่า พระราชเทวีจักได้ราชโอรส ทรงพระรูปโฉมงามเลิดหาผู้ใดจะเสมอมิได้ ก็ส่วนพระราชเทวีซ้ายนั้นฝันเห็นพระอินทร์ประทานดอกจำปาทองให้เทวี ความฝันข้อนี้ส่อให้เห็นว่า พระราชเทวีซ้ายจักได้พระราชธิดาทรงรูปสิริโสภาหานารีอื่นจะเสมอเหมือนมิได้ แต่นั้นมา พระราชเทวีซ้ายนั้นจึ่งมีนามปรากฎว่า สุวรรณจัมปากเทวี ด้วยประการฉะนี้แล
พระเจ้ากรุงพรหมทัตทรงพระโสมนัส ตรัสประทานเรือนหลวงเป็นที่สบายให้แก่ราชเทวีสององค์ ด้วยพระประสงค์จะให้ราชเทวีรักษาครรภ์ไว้ให้ดี ต่อนั้นมา พระเจ้ากรุงพรหมทัตมีพระประสงค์จะให้สร้างเบ็ญจกุกุธภัณฑ์ไว้ท่า สำหรับจะได้ทำราชาภิเษกพระราชบุตร (ต่อเมื่อมีชันษาอันสมควร) แล้วพระองค์รำพึงต่อไปอีกว่า กุมารที่มาเกิดนี้จักได้สืบวงศสกูลต่อไป ทรงดำริแล้ว จึ่งรับสั่งให้พนักงานจัดสร้างเบ็ญจกุกุธภัณฑ์ไว้พร้อมเสร็จทุกอย่าง
คราวนั้น สุวรรณจัมปากเทวี มเหษีฝ่ายซ้าย เมื่อได้สดับคำเนมิตกาจารย์ทำนายสุบินว่า ตนจะได้ราชธิดา กลับมานอนตรึกตรองไปว่า ทำอย่างไรเราจะให้พระราชาขับไล่นางจันทาเทวีเสียได้หนอ เราคนเดียวไม่มีคู่คิด ที่ไหนจะอาจคิดอุบายเรื่องนี้ให้สำเร็จได้ คิดแล้วจึ่งไปหาท่านปาลกเสนาบดี เล่าความเรื่องนั้นให้เสนาบดีฟังว่า เนมิตกาจารย์เขาทำนายไว้ว่า นางจันทาเทวีตั้งครรภ์แล้ว สัตวอยู่ในครรภ์นั้นจะเป็นราชโอรส ส่วนดีฉันตั้งครรภ์แล้ว ทารกซึ่งอยู่ในครรค์นั้นจะเป็นราชธิดา ถ้าว่าเป็นจริงเหมือนดังว่านี้ไซร้ พระราชาจักทำความรักใคร่นางจันทาเทวีมากกว่าดีฉันถึงร้อยเท่าพันเท่า ดีฉันจักไม่เป็นที่เอิบอาบพระหฤทัยของพระราชา ดีฉันจักทำอุบายอย่างไรดี จึ่งจะตั้งอยู่ในขัตติยวงศและดำรงอยู่ในราชสมบัติ เมื่อใดดีฉันจักมีอิสสริยยศปรากฎแล้ว เมื่อนั้นตัวท่านก็จักได้เป็นที่มหาเสนาบดี ท่านจงช่วยคิดหาอุบายให้ดีฉันด้วย ทำไฉนจักให้พระราชาขับไล่นางจันทาเทวีไปเสียจากราชนิเวศน์ได้ ดีฉันได้เป็นอิศรในขัตติยวงศแล้ว ดีฉันจักอุปถัมภ์ให้ท่านได้ยศและกิตติศัพท์อย่างสูงสุด ปาลกเสนาบดีจึ่งทูลสนองราชเทวีฝ่ายซ้ายว่า พระนางเธออย่าพรั่นพรึงเลย ข้าพเจ้าจะหาอุบายให้พระราชาขับไล่นางจันทาเสียให้ได้ การที่จะขับไล่นางจันทานี้ไม่ยากเลย เรื่องนี้เป็นภารธุระของข้าพเจ้าเอง นางสุวรรณจัมปากเทวีปรึกษาตกลงกันแล้ว จึ่งกลับมายังที่อย่ของตนตามเดิม
อยู่มาวันหนึ่ง ท่านปาลกเสนาบดีเข้าไปสู่ที่เฝ้าพระเจ้าพรหมทัต ถวายบังคม แล้วจึ่งกราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราช พระนางจันทาเทวีจะมีใจซื่อตรงต่อพระองค์ก็หาไม่ ย่อมไปเสพกามคุณกับชนชาติต่ำช้า พระนางจันทาเทวีนั้นประพฤติการหาสมควรไม่ เมื่อลับหลังพระองค์ไปแล้ว ประพฤติอนาจารเหมือนหญิงรุ่น ๆ สาวบ้าง เหมือนหญิงหม้ายบ้าง และหาเกรงกลัวพระราชอาชญาฝ่าพระบาทไม่ เห็นว่า พระนางจันทานั้นไม่ควรจะให้อยู่ในราชนิเวศน์ต่อไป เมื่อท่านปาลกเสนาบดีทูลยุยงอย่างนี้แล้วก็กลับไป พระนางสุวรรณจัมปากเทวีจึ่งสวนเข้าไปเฝ้าพระราชา ถวายบังคม แล้วทูลยุยงเสิมคำเสนาบดีอีกว่า ข้าแต่พระมหาราช ถ้อยคำของปาลกเสนาบดีที่กราบทูลนั้นหาเหลวไหลไม่ จริงทีเดียว นางจันทาเทวีนั้นจะตั้งใจบำเรอพระองค์ตามธรรมดาหามิได้ มักทำกรรมลามกด้วยบุรุษคนเลว นางจันทาเทวีมีครรภ์นั้นจะได้เกิดด้วยอำนาจสัมภวของพระองค์เดียวหามิได้ ย่อมสาธารณ์ทั่วไปกับบุรุษชาวเมืองด้วยกัน พระเจ้ากรุงพรหมทัตทรงสดับถ้อยคำปาลกเสนาบดีและนางสุวรรณจัมปากเทวีทูลบรรยายนั้น หาทรงวิจารณ์โทษของนางจันทาเทวีให้ได้ความเท็จจริงก่อนไม่ ทรงกริ้วกราดเป็นกำลัง จึ่งรับสั่งให้ขับไล่นางจันทาเทวีให้ไปเสียจากราชนิเวศน์เรือนหลวง
พระนางจันทาเทวีนั้นหาที่พึ่งบมิได้ ดำเนินพลางทางกรรแสงไห้ว่า แต่ก่อนเราทำอกุศลกรรมสิ่งใดไว้ จึ่งได้มาเสวยความทุกข์อย่างใหญ่ฉะนี้ พวกนักสนมและพนักงานทั้งหลายสดับฟังสำเนียงพระนางจันทาเทวีปริเทวนาดำเนินจากอิฏฐาคารกาลครั้งนั้น พากันร้องไห้ล้มกลิ้งเกลือกอยู่ไปมาเหมือนไม้รังอันถูกลมยุคันตวาตพัดผันให้ล้มระเนนไปฉะนั้น พระนางจันทาเทวีจึ่งทำอัญชลีกรแก่เทพดาผู้รักษาราชนิเวศน์ แล้วจึ่งมีเสาวนีย์ตรัสแก่พวกหญิงผู้สัมพันธวงศของตนว่า ท่านทั้งหลายจงอยู่ดีกินดีและอย่ามีความประมาท ดีฉันขอลาท่านทั้งหลายไปเสวยมหันตทุกข์ตามกรรมที่เราทำไว้ นางกล่าวร่ำลาดังนี้แล้วดำเนินไปแต่ผู้เดียวอนาถาหาที่พึ่งและเพื่อนมิได้
น่าสมเพชเวทนาพระนางจันทาเทวี เมื่อครั้งยังอยู่ในราชนิเวศน์อันสะพรั่งพร้อมด้วยอิฏฐาคาร พระนางเธอเคยทรงสุวรรณปาทุกาและสีวิกากาญจน อนึ่งเล่า พระนางเธอเคยประพรมสรีระกายด้วยน้ำหอมและจุณจันทน์ และเสยสางสระเกศด้วยน้ำมันหอมประดับกายงามสง่า ตั้งแต่นางถูกขับไล่ออกมา หามีเครื่องหอมประปรุงไม่ มีกายอันเหม็นสาบ เงื่อไหลอาบทั่วสรีราพยพ ขมกคะมอมไปด้วยละอองผงธุลี ดำเนินพลางปริเทวนาไปจนได้พบตายายสองคนเข้า
ตายายสองคนนั้น ครั้นเห็นพระนางจันทาเทวี จึ่งพากันเข้าไปใกล้ ไต่ถามว่า แน่ะนางผู้เจริญ แม่อยู่ที่ไหน ทำไมจึ่งอนาถามาคนเดียว นี่จะไปใหนต่อไป พระนางจันทาเทวีจึ่งบอกว่า ข้าแต่ท่านตายาย ดีฉันเป็นมเหษีฝ่ายขวาของพระเจ้าพรหมทัต ๆ โปรดปรานข้าพเจ้ามาก นางสุวรรณจัมปากเทวี มเหษีฝ่ายซ้าย เห็นดีฉันเป็นที่โปรดปรานของพระราชา แกล้งทูลยุยงให้พระราชาขับไล่ดีฉันเสียราชนิเวศน์ ตายายทราบเหตุแล้วนึกสมเพชและนึกดีใจ จึ่งพาพระนางจันทาเทวีมาเลี้ยงไว้ยังเรือน พระนางจันทาเทวีอาศัยตายายอยู่ต่อมาจนทรงครรภ์ได้หกเดือน
ครั้งนั้นแล พระบรมโพธิสัตว เมื่ออยู่ในครรภ์พระมารดา พิจารณาดูมารดา เห็นพระมารดาเสวยความทุกข์มากนัก จึ่งดำริว่า พระมารดาของเราพลัดพรากจากเมืองมา เป็นผู้อนาถาหาญาติพี่น้องมิได้ น่ากรุณานัก ถ้าหากว่าเราจะพึงเกิดด้วยสัณฐานเป็นรูปทองไซร้ พระมารดาจักเลี้ยงเราลำบากกว่าก่อนได้ร้อยเท่าพันส่วน ถ้ากะไร เราควรจักแปลงกายให้เป็นรูปหอยสังข์เสียเถิด คิดแล้วก็ทำสัจจาธิษฐานกลายไปเป็นรูปสังข์ทอง เมื่ออยู่ในครรภ์มารดาครบสิบเดือนแล้ว รูปสังข์ทองนั้นจึ่งออกจากครรภ์มารดางดงามยิ่งนักหนา พระนางจันทาเทวีจึ่งชำระคัพมลทินด้วยวารี แล้วจึ่งรักษาพระมหาสัตวอยู่สิ้นกาลนาน
วันหนึ่ง จึ่งพระนางจันทาเทวีเสด็จไปสู่ป่าด้วยกิจอันหนึ่ง พระสุวรรณสังข์โพธิสัตวออกจากรูปหอยสังข์ แล้วทำการปัดกวาเรือนและที่นอนของมารดา แล้วก็เข้าไปยังที่อยู่แห่งรูปหอยสังข์ตามเดิม ครั้นพระนางจันทาเทวีกลับจากป่า เห็นเรือนอันกวาดปัดไว้ดี มีจิตต์โสมนัส จึ่งกำหนดนิ่งไว้ในหทัย หาได้บอกให้ใคร ๆ รู้ไม่ วันหนึ่ง จึ่งนางจันทาเทวีเสด็จไปป่าด้วยกิจอันหนึ่งอีก พระบรมโพธิสัตวจึ่งออกจากรูปหอยสังข์ ปัดกวาดที่นอนในห้องเรือน และเก็บงำสิ่งของที่กระจาย ลำดับไว้ในที่อันสมควร แล้วก็กลับเข้าไปยังที่อยู่ของตน พระนางจันทาเทวี เมื่อกลับมาเห็นดังนั้น ก็อัศจรรย์ใจ ไม่รู้จักเหตุที่โอรสกระทำไว้ให้ จึ่งดำริว่า นี่อัศจรรย์นัก อะไรจักมีแก่เรา คิดแล้วก็หาได้บอกให้ใครรู้ไม่ วันหนึ่ง จึ่งพระนางจันทาเทวีทำอาการเหมือนจะไปป่า แง้มประดูเรือนไว้หน่อยหนึ่งแล้วก็ไป แล้วนางหวนกลับมาส้อนตัวอยู่ณที่แห่งหนึ่ง เพื่ออยากจะรู้ซึ่งเหตุนั้น
คราวนั้น พระสุวรรณสังข์เห็นมารดาไปแล้ว จึ่งออกจากที่อยู่ของตนไปปัดกวาดเรือนและที่นอนของมารดา พระนางจันทาเทวีเห็นโอรสออกจากรูปสังข์แล้วกวาดที่เรือนอยู่ ทรงรูปโฉมงามยวดยิ่ง หาคนอื่นเสมอมิได้ เกิดความดีใจ วิ่งมาโดยเร็ว ตรงเข้ากอดจุมพิตโอรส แล้วตรัสว่า พ่อสุวรรณสังขกุมาร พ่อเป็นโอรสของพระราชา พระราชบิดาของพ่อมีมเหษีสองนาง พระเทวีราชมารดาเลี้ยงนั้นอิจฉามารดา ทูลยุยงให้พระราชาขับไล่มารดาเสียจากราชนิเวศน์ พระนางจันทาเล่าเรื่องราวให้โอรสฟังแล้วดำริว่า ถ้าหากว่าโอรสของเราจักเป็นหอยสังข์อยู่อย่างนี้ คนเราจักพูดกันไปต่าง ๆ นา ๆ คิดแล้วจึ่งเอาหอยสังข์นั้นทุบเสียให้แตก เก็บเอาเปลือกเผาไฟเสีย
พระสุวรรณสังขกุมารเห็นมารดาทำอย่างนั้น จึ่งพูดว่า ข้าแต่พระมารดา เหตุไรพระมารดาจึ่งทุบสังข์ซึ่งมีของทิพอยู่ภายในเสียเล่า ถ้าหากว่าภัยจักมีแก่ข้าพเจ้าไซร้ ใครจักเป็นที่พึ่งแก่ข้าพเจ้าได้ พระนางจันทาจึ่งชี้แจงเรื่องราวให้โอรสฟังว่า พ่อบุตรสุดที่รักของมารดา ตัวพ่อพร้อมด้วยรูปลักษณะมีบุญมากนัก ใคร ๆ จักไม่อาจผจญพ่อได้ เพราะเหตุไรเล่า เพราะเหตุว่า เมื่อแรกพ่อมาปฏิสนธิ มารดาได้ฝันเห็นเป็นเครื่องมั่นใจ นางจึ่งเล่าความฝันตั้งต้นจนถึงเนมิตกาจารย์ทำนายทายไว้แล้ว พระนางเธอจึ่งตรัสปลอบใจโอรสว่า พ่อมีรูปงามสูงสุดเป็นยอดเยี่ยม มนุษใคร ๆ จักไม่ชนะพ่อไปได้ จำเดิมแต่นั้นมา พระนางจันทาเทวีก็ตั้งใจถนอมเลี้ยงพระบรมโพธิสัตวไว้มิให้อนาทร
คราวนั้น ประชาราษฎรเห็นสังขราชกุมารผู้รูปงามหาคนอื่นจะเหมือนมิได้ พากันสรรเสริญยกย่องว่าประเสริฐในโลก กิตติศัพท์นั้นก็เลื่องลือไปถึงพระกรรณพระเจ้ากรุงพรหมทัตต์ ๆ ทรงพระโสมนัส จึ่งตรัสบังคับพวกอำมาตย์ว่า ท่านทั้งหลายจงประดับม้าสินธพด้วยสรรพาภรณ์ แล้วพร้อมด้วยพลนิกรออกไปรับโอรสกับราชเทวีของเราเข้ามาณบัดนี้ อำมาตย์ทั้งหลายจึ่งพากันออกไปจัดการเสร็จตามกระแสรับสั่ง พระนางจันทาเทวีเสด็จมาถึงพร้อมด้วยพระสุวรรณสังข์ ก็เสด็จประทับอยู่ณราชวังเหมือนดังก่อนเก่า พระเจ้ากรุงพรหมทัตต์รับสั่งให้เชิญพระสุวรรณสังข์เข้ามาเฝ้า ทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว ทรงกอดรัด และให้ประทับบนพระเพลา จุมพิตเศียรเกล้า แล้วภิรมย์ชมเชยยิ่งนักหนา
ส่วนสุวรรณจัมปากเทวี เห็นพระราชาทรงปรีดาภิรมย์ด้วยราชโอรส นางก็มีจิตต์ริษยา ตั้งหน้าพยายามแสวงหาโทษแก่พระโพธิสัตวและนางจันทาเทวี ประสงค์จะให้ถึงความพินาศ วันหนึ่ง นางสุวรรณจัมปากเทวีทราบว่า พระโพธิสัตวเกิดภายในหอยสังข์ นางนึกขึ้นได้ว่า ได้อุบายเรื่องนี้มีแก่เราหละ แล้วนางก็เข้าไปเฝ้าพระราชา กราบทูลว่า ข้าแต่เทวดา นางจันทาเทวีเป็นหญิงกาฬกิณณี ออกลูกเป็นหอยสังข์ ฝ่ายปาลกเสนาบดีก็ทูลซ้ำใส่โทษต่าง ๆ แก่พระนางจันทาเทวีต่อหน้าพระที่นั่งอีก
พระเจ้ากรุงพรหมทัตหามีปรีชาไม่ หลงเชื่อถ้อยคำเสนาบดีและนางสุวรรณจัมปากเทวี ทรงพระพิโรธอย่างใหญ่ จึ่งบังคับรับสั่งอำมาตย์ว่า พวกอำมาตย์จงช่วยกันผูกแพให้ใหญ่ เอานางจันทากับกุมารใส่ไว้ในแพ ไปลอยเสียในแม่น้ำคงคา ฝ่ายพระนางจันทาเทวีและชนชาวบุรีทราบเหตุนั้นแล้วก็พากันร่ำร้องไห้ยกใหญ่
เตน วุตฺตํ เพราะเหตุนั้น พระบรมศาสดาพระองค์ได้ถึงสัมโพธิญาณแล้ว จึ่งนำเหตุเรื่องมาแสดงธรรมแก่พระสาริบุตร์ อันมีในจริยาปิฎกปกรณ์ว่า[1] ดูกร ธรรมเสนาบดีสาริบุตร เมื่อกาลครั้งก่อน เราผู้ตถาคตยังแสวงหาพระโพธิญาณอยู่ ได้เกิดเป็นราชโอรสแห่งพระเจ้าพรหมทัตณพรหมบุรีพระนคร พระราชานั้นหลงเชื่อถ้อยคำราชเทวีผู้ใจบาป นำเรา ตถาคต กับพระมารดา ไปลอยแพเสียในกระแสน้ำคงคา คราวนั้น พวกอำมาตย์และราษฎรทั้งหลายประชุมกันณหน้าพระลานหลวง พากันทูลขอพระบรมโพธิสัตวไว้ พระราชาก็มิได้ประทานให้ พากันร้องไห้ล้มลงณพื้นปถพี เหมือนป่ารังอันถูกลมยุคันธวาตพัดให้ล้มลงฉะนั้น กาลเมื่อใดพวกอำมาตย์เข้าจับเรา ตถาคต กับมารดา ใส่เข้าไว้ในแพใหญ่ กาลเมื่อนั้น มหัศจรรย์ก็เกิดเป็นโกลาหล เมทินีดลอันหนาได้สองแสนสี่หมื่นโยชน์ก็เกิดหวั่นไหวปานประหนึ่งว่าจะโสกเศร้า พระยาเขาสิเนรุเป็นที่พึ่งของโลกก็อ่อนเอนอยู่ไปมาเปรียบดังยอดหวายฉะนั้น ฝนก็ตกลงมาแต่เบื้องบน สาครก็คำรนร้องก้องสนั่นเหมือนดังช้างอันเมามันฉะนั้น บรรดาหมู่สัตวดิรัจฉานทั้งปวงก็เกิดความกรุณาใหญ่ด้วยประการฉะนี้ ฯ
โส อุลุมฺโป ความว่า แพนั้นลอยไปตามกระแสน้ำคงคาช้านาน ด้วยบุรพอกุศลกรรมของพระราชเทวีและพระโพธิสัตว มีลมพายุใหญ่พัด ทำให้แพแตกออกไป พระนางจันทาเทวีได้ไม้ที่แพแตกนั้นท่อนหนึ่งเกาะลอยไป ทอดพระเนตรเห็นไม้ต้นหนึ่งตั้งอยู่ริมฝั่ง มียอดประลงมาใกล้น้ำ นางจึ่งพยายามว่ายไปด้วยกำลังแรง จับยอดไว้นั้นไว้ได้มั่น ค่อย ๆ ไต่ขึ้นไปถึงคบไม้ นั่งนึกถึงโอรส แล้วทางโสกายกใหญ่ นางก็เลยนั่งอยู่ณต้นไม้ที่ฝั่งคงคาใกล้มัททราชบูรี
คราวนั้น เศรษฐีคนหนึ่งนามว่า ธนญชัย มีสมบัติมาก อยู่ในมัททราชบุรี วันนั้น ทาสีของธนญชัยเศรษฐีไปเที่ยวตามฝั่งคงคาด้วยกิจธุระอย่างหนึ่ง ไปพบพระนางจันทาเทวีร้องไห้อยู่บนคบไม้ จึ่งเดินเข้าไปใกล้ ร้องถามว่า แม่ทำไมจึ่งนั่งร้องไห้อยู่ที่นี้ ฯ แน่ะแม่ ดีฉันเป็นมเหษีของพระเจ้าพรหมทัต เจ้าเมืองพรหมบุรี นางเทวีจึ่งเล่าเรื่องราวทั้งปวงให้ทาสีนั้นฟังตามลำดับแต่ต้นมา ทาสีนั้นทราบเรื่องแล้วจึ่งรับพระราชเทวีนำมายังมัททราชบุรี ครั้นถึงจึ่งเล่าเรื่องราวให้ธนญชัยเศรษฐีนายของตนฟัง ธนญชัยเศรษฐีสดับทราบความแล้ว บอกให้ทาสีพาตัวพระราชเทวีมา แล้วทำความต้อนรับด้วยวาจาน่ารักใคร่ ชวนให้พระราชเทวีอยู่ด้วยกันกับตน พระนางจันทาเทวีรับรองว่า สาธุ แล้วก็อยู่ในเรือนเศรษฐีนั้นต่อไป ธนญชัยเศรษฐีจึงตั้งพระราชเทวีให้เป็นแม่ครัวของตน แต่นั้นมา พระนางจันทาเทวีอาศัยเศรษฐีนั้นเลี้ยงชีพอยู่เป็นสุขทุกทิวาราตรี
คราวนั้น พระโพธิสัตวหน่อพระพุทธเจ้า เมื่อลอยมากับแพถูกลมร้ายพัดแพแตกแล้ว ได้พลัดจากกันกับมารดา เสวยทุกขเวทนาอยู่ในมหาสมุทร์ ด้วยเดชบุญของพระมหาบุรุษนั้น นาคพิภพแสดงความร้อนปรากฎขึ้น พระยานาคเจ้าของพิภพขึ้นจากนาคพิภพไปยังมหาสมุทร์ นิรมิตเรือทองขึ้นลำหนึ่ง จัดแจงแต่งเรือนมียอดเจ็ดยอด (ปุสบก) ไว้ในท่ามกลางเรือทอง นำเรือนั้นไปใกล้พระมหาสัตว อุ้มพระมหาสัตวขึ้นเรือได้ ให้นั่งอยู่ในกุฏาคาร แล้วปล่อยให้เรือนั้นลอยไป สุวรรณนาวาลอยไปถึงเกาะแห่งหนึ่ง เกาะนั้นมีต้นไม้ดกดาดไปด้วยดอกและผลน่ารื่นรมย์ ระงมไปด้วยเสียงมยุรโกญจาเสนาะเพราะจับใจ อาจเปลื้องความโศกออกเสียได้เมื่อมีผู้มาเห็น
พระสุวรรณสังขกุมารขึ้นจากสุวรรณนาวาได้แล้ว ดำเนินชมไม้ต่าง ๆ ออกจากที่นั้นไป เห็นสระแห่งหนึ่ง สะพรั่งไปด้วยบัวแดงและบัวขาว ฝูงเต่าปลาแหวกว่ายอยู่คล้าคล่ำ ชมดอกไม้ที่ริมฝั่งนที แล้วดำเนินแต่นั้นไป จึ่งได้พบพระฤษีองค์หนึ่งนั่งเจริญจตุพรหมวิหารอยู่ณอาศรม จึ่งดำเนินเข้าไปใกล้ ยกหัตถ์ไหว้นั่งอยู่ส่วนหนึ่ง พระฤษีนั้นครั้นเห็นสุวรรณกุมารก็ดีใจ จึ่งซักถามว่า พ่อมานพคนเดียวโดดอนาถามาธุระสิ่งไรหรือ ฯ พระโพธิสัตวทำการปราไสแล้วแจ้งว่า ข้าแต่พระฤษีผู้เจริญ ข้าพเจ้าเป็นราชโอรสพระเจ้าพรหมทัตต์ณพรหมบุรีนคร พระราชานั้นจับข้าพเจ้ากับมารดาใส่ในแพใหญ่ลอยเสียในคงคา เมื่อแพลอยมาถูกลมพัดแพแตก พลัดกับมารดาลอยมาตามกระแสคงคา พระยานาคมีความกรุณามายกข้าพเจ้าขึ้นไว้ในเรือทอง ข้าพเจ้ามาถึงสำนักพระผู้เป็นเจ้าด้วยเรือทองลำนั้น ถ้าหากว่ามรรคาที่จะเดินไปยังเมืองทั้งปวงมีอยู่ไซร้ พระผู้เป็นเจ้าจงโปรดบอกมรรคานั้นให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด
พระดาบศจึ่งพูดว่า ถ้าหากว่าพ่อจักไปทางเมืองพาราณสี มรรคาก็มีไป แต่มรรคานั้นเป็นที่อยู่ของหมู่ยักษ์ ฯ พระดาบศผู้เจริญ ถ้ามรรคาใดไปสวัสดีไซร้ ขอท่านบอกมรรคานั้นให้ข้าพเจ้า ฯ พ่อมานพผู้เจริญ ถ้าหากว่าพ่อจะไปเมืองพาราณสีไซร้ พ่อจงไปตามทางกระแสน้ำก่อน แล้วพ่อจักไปพบเมืองยักษินีในระวางทาง ยักษินีเหล่านั้นพบพ่อแล้วจักลงมาจับเอาพ่อไป แต่ไม่อาจทำอันตรายแก่พ่อได้ บอกแล้วจึ่งพร้อมด้วยพระโพธิสัตวไปถึงเรือทองซึ่งจอดอยู่ท่าน้ำ ให้พระโพธิสัตวนั่งในกุฏาคารแล้วปล่อยลอยไป สุวรรณนาวาลอยไปตามกระแสคงคา ไม่นานนักก็บรรลุถึงเมืองยักษ์ ในรัฐประเทศนั้น พระยายักษ์เจ้านายของพวกยักษ์ทำกาลกิริยาไปแล้ว นางยักษินีผู้เทวีได้รักษาเมืองอยู่กับยักษินีบริวาร พวกยักษินีเหล่านั้นพบพระโพธิสัตวลอยมาตามกระแสคงคา จึ่งพากันลงน้ำเพื่อจะจับเอาพระโพธิสัตวมากิน แต่หาอาจกินพระโพธิสัตวได้ไม่ มหานทีก็กำเริบเป็นคลื่นใหญ่ ท่วมทับยักษินีทั้งหลายให้กระเด็นไปใกลได้พันวา (ถึงความตายเสียเป็นอันมาก) นางยักษินีพวกที่เหลือจากตายสะดุ้งตกใจกลัวนัก พากันไปสู่สำนักยักขเทวีแล้วบอกเล่าว่า พระแม่เจ้า สุวรรณนาวากับกุมารน้อยลอยมาในคงคา พวกข้าพเจ้าทั้งปวงรีบลงน้ำจะไปจับกุมารนั้นมา ปราร์ถนาจะให้แก่แม่เจ้า น้ำในคงคากำเริบเป็นคลื่นใหญ่ พวกยักษินีจมน้ำตายเสียเป็นอันมากด้วยกำลังน้ำพัดไป
ยักษินีเทวีนั้น ครั้นได้ฟังแล้วจึงคิดว่า เมื่อก่อน ๆ ราชสามีของเรายังครองราชสมบัติอยู่ ไม่เคยมีอัศจรรย์เลย เมื่อราชสามีทิวงคตไปแล้ว มีอัศจรรย์ขึ้นได้ ควรเราจักไปที่ท่าน้ำตรวจเหตุการณ์นั้นดู คิดแล้วก็ไปยังท่าน้ำ เห็นพระโพธิสัตวนั่งอยู่ณกุฏาคาร สมบูรณด้วยสิริวิลาศเลิด หาผู้อื่นจะเสมอมิได้ นางยักษินีมีความรักใคร่เหมือนลูกอันเกิดในอุทร จึ่งโดดลงไปในคงคา รับเอาพระโพธิสัตวนำมาเลี้ยงไว้ในราชนิเวศน์สิ้นกาลช้านาน
วันหนึ่ง ยักขเทวีเคล้าคลึงบุตรเลี้ยงให้นั่งเหนือตักแล้วปลอบว่า พ่อลูกรักของมารดา มารดาเลี้ยงพ่อไว้ ให้ประดับเครื่องประดับเหล่านี้ และจะให้สตรีพันนางอภิบาลพ่อไว้ในราชนิเวศน์เป็นนิตย์ มิได้คิดจะให้พ่อไปที่อื่น พูดดังนี้แล้วจึ่งเก็บสมบัติทั้งปวงที่มีอยู่ณปราสาทส้อนไว้เสียให้ดี จึ่งส่งสุวรรณวลัยกับแหวนก้อยให้พระโพธิสัตวประดับแล้วกล่าวว่า พ่อลูกรักของมารดา พ่อจงเจริญสิริสวัสดิอยู่ในเมืองยักษจนถึงอายุได้ร้อยยี่สิบปีเถิด มารดาไม่เห็นคนอื่นนอกจากพ่อผู้เดียวแล้วที่จะรับกเลวรของมารดาไว้ได้ แต่นั้นมา ยักขเทวีให้โอวาทแก่พระโพธิสัตวว่า พ่อลูกรักของมารดา พ่ออย่าไปภายนอกปราสาทและมรรคาสวนทิศอุดร พ่ออย่าไปจรไปเล่นณปราสาทชั้นบนเลยเป็นอันขาด แล้วเรียกสตรีทั้งหลายมาสั่งว่า เราจักไปป่า พวกเจ้าอยู่ข้างหลัง จงระวังลูกเราให้ดี สั่งแล้วก็ลงจากปราสาทไปสู่ป่า จับสัตวต่าง ๆ กินเป็นอาหาร
พระสุวรรณสังขกุมาร เมื่อยักขเทวีผู้มารดาเลี้ยงไปแล้ว จึ่งดำริว่า มารดาเราห้ามไม่ให้เราไปณปราสาทชั้นบนด้วยเหตุอย่างไร กับสั่งไว้ไม่ให้เราไปสวนด้วยเหตุอย่างไร คิดดังนี้แล้ว ครั้นถึงเวลาเย็น ก็ดำเนินไปชมสวนเล่น เห็นกระดูกที่ยักษินีกินเนื้อแล้วกองอยู่เกลื่อนกลาด ก็เกิดความสลดจิตต์ยิ่งนัก พระโพธิสัตวกลับจากสวนแล้วก็เลยขึ้นไปยังปราสาทชั้นบน เห็นบ่อเงินบ่อทองล้วนเป็นน้ำทิพใส และได้เห็นเกือกทองทั้งคู่ กับเกราะรูปคนป่า (รูปเงาะ) อันน่าเกลียดน่ากลัว กับเห็นพระขรรค์ด้ามแก้ว แล้วคิดว่า ทิพาภรณ์ที่เราประดับนี้เป็นของเลว คิดแล้วจึ่งสวมรูปเงาะป่าเข้ากับกาย แล้วเหน็บพระขรรค์เข้าเอ็ว เอาเกือกทองสวมเข้ากับเท้า ทำเหมือนท่ากุมาร เหาะเล่นในปราสาทนั้น เมื่อจะกลับจึ่งเปลื้องเครื่องประดับเสียแล้วเดินออกมาทางเก่า จึ่งเอานิ้วก้อยจุ่มลงในบ่อน้ำทอง นิ้วก้อยนั้นก็เป็นสีทองไป ขัดสีเท่าใดก็หาหายสีทองไม่ ยิ่งถูก็ยิ่งผ่องหนักไป พระโพธิสัตวจึ่งเอาผ้าขี้ริ้วพันนิ้วก้อยไว้ ประสงค์จะไม่ให้คนอื่นรู้ แล้วก็ลงจากปราสาทชั้นบนไปยังที่อยู่ของตน
ครั้นถึงเวลาเย็น ยักขเทวีกลับมาแต่ป่า จึ่งถามสตรีพี่เลี้ยงว่า แน่ะพวกสาวใช้ เมื่อเราไปแล้ว กุมารลูกของเราไปเที่ยวที่ไหนบ้างหรือไม่ ฯ ข้าแต่แม่เจ้า กุมารนี้กล้าหาญนัก ตั้งแต่แม่เจ้าไปแล้ว ก็เที่ยวไปในที่ต่าง ๆ กุมารนี้เกรงกลัวแม่เจ้าผู้เดียวเท่านั้น พวกข้าพเจ้าห้ามเท่าไรก็ไม่ฟังเสียง นางยักขเทวีจึ่งเรียกพระสุวรรณสังข์เข้ามา เห็นนิ้วก้อยพันผ้าขี้ริ้วอยู่ จึ่งถามว่า เหตุไรพ่อจึ่งเอาผ้าขี้ริ้วพันนิ้วก้อยไว้ ฯ นิ้วของข้าพเจ้าถูกมีดน้อยบาด จึ่งเอาผ้าขี้ริ้วพันไว้ ฯ ไหนจงแก้ออกดูที ความทุกขเวทนาอันใดมี เราจักพิจารณาดูทุกขเวทนานั้น พูดแล้ว นางยักขเทวีจึ่งแก้ผ้าพันออก เห็นนิ้วก้อยนั้นมีสีเป็นทอง นางจึ่งถ่มน้ำลายรดนิ้วก้อย ๆ ที่เป็นสีทองนั้นก็หายไปทันที
ตั้งแต่นั้นมา นางยักขเทวีพร่ำสอนพระโพธิสัตวให้ตั้งอยู่ในโอวาท และตั้งใจอภิบาลบำรุงไว้สิ้นกาลนานนักหนา จนนางมีกายาซูบผอม เพราะอดอยากลำบากด้วยไม่ค่อยได้เนื้อสดมากิน วันหนึ่ง จึ่งยักขเทวีเรียกพระโพธิสัตวมาสั่งว่า พ่อลูกรักของมารดา ๆ จะไปป่าเที่ยวหาอาหาร พ่อจงอยู่เป็นสุขเถิดหนา พ่ออย่าเที่ยวซนไป สอนสั่งแล้วก็ไปป่าแสวงหาเนื้อเพื่อเป็นอาหาร
คราวนั้น พระโพธิสัตว เมื่อยักขินีไปป่าแล้ว จึ่งคิดว่า เมื่อเราอยู่ที่นี้จะมีประโยชน์อะไร เราจักประดับกายด้วยทิพาภรณ์แล้วหนีมารดาเลี้ยงไปเสียดีกว่าอยู่ คิดแล้วจึ่งขึ้นไปบนปราสาทชั้นบน ลงอาบน้ำทิพในบ่อทอง สกลกายก็ผุดผ่องเป็นทองไปหมด แล้วสวมเกราะรูปเงาะป่าเข้ากับกาย เหน็บพระขรรค์ด้ามแก้ว แล้วสอดเท้าเข้าในเกือกทอง จึ่งเหาะออกไปตามช่องสีหบัญชรลอยไปในอากาศ จนบรรลุถึงแว่นแคว้นแดนเมืองตักสิลา ได้เห็นบรรณศาลาหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่นอกเมืองณฝั่งฟากโน้นใกล้แม่น้ำแห่งหนึ่ง จึ่งเหาะข้ามนทีไปอาศัยอยู่ณบรรณศาลานั้น
นางยักขเทวีแสวงหาอาหารในป่า ถึงเวลาเย็นก็กลับมายังปราสาทของตน ไม่เห็นสุวรรณสังข์บุตรเลี้ยงแล้วถามว่า แน่ะสาวใช้ ลูกของเราหายไปไหน ฯ ข้าแต่แม่เจ้า พวกข้าพเจ้าไม่รู้ว่า กุมารไปข้างไหน ยักขเทวีสดับคำสาวใช้บอกดังนั้น มีหฤทัยเร่าร้อน ไม่อาจดำรงกายอยู่ได้ ร้องไห้หาไปในอุทยาน แล้วกลับมาขึ้นค้นที่ปราสาทชั้นบนก็มิได้เห็น นางนึกว่า ลูกของเราเห็นจักหนีเราไปแล้ว นางจึ่งตรวจดูของทิพ ๓ อย่าง คือ เกราะรูปเงาะป่า ๑ เกือกทองทั้งคู่ ๑ พระขรรค์ด้ามแก้ว ๑ หายไปมิได้เห็น จึ่งเข้าใจชัดว่า ลูกรักของเราหนีไปจริงแล้ว นางทั้งรักทั้งแค้นแสนอาลัยร้องไห้หา แล้วเหาะติดตามมาทางอากาศจนถึงฝั่งนที (คือ ฟากนี้เป็นแดนของยักษ) นางมองไปเห็นพระสุวรรณสังข์เธอนั่งอยู่ศาลาฝั่งน้ำโน้น (คือ ฝั่งโน้นเป็นแดนมนุษย์เมืองตักสิลา) ยักขเทวีก็มิอาจเหาะข้ามแม่น้ำนั้นได้ นั่งอยู่ในฝั่งนทีฟากนี้แล้วปลอบลูกด้วยปิยวาจาว่า พ่อลูกรักของแม่ดังดวงใจ เชิญพ่อกลับมาไปกับมารดาเถิด พ่อโกรธเคืองมารดาด้วยข้อไรจึ่งได้หนีมา มารดาตั้งใจรับรองกเลวระของพ่อไว้ และตั้งใจจะยกสรรพสมบัติและสาวใช้ทั้งปวงให้แก่พ่อ พ่อจะได้ดำรงค์วงศ์ประเพณีของมารดาต่อไป
ในที่นี้ มีคำถามเข้ามาว่า ยักขเทวีมีฤทธิมาก เหตุไรจึ่งไม่อาจเหาะข้ามนทีไปได้ มีคำแก้ว่า ยักขเทวีนั้นเหาะไปได้เท่าที่เขตต์แดนของตนเท่านั้น ไม่อาจเหาะไปนอกเขตต์แดนของตนได้ นางจึ่งนั่งร้องไห้อยู่ที่ฝั่งนทีฟากนี้ พระสุวรรณสังขกุมารได้สดับเสียงยักขมารดาร้องไห้และวิงวอนให้พระองค์กลับ พระองค์จึ่งร้องตอบว่า ข้าแต่มารดา ข้าพเจ้าไม่อาจอยู่กับมารดาได้ เชิญมารดากลับเสียเถิด ข้าพเจ้าเคยมาเป็นบุตรของมารดาเท่านี้เอง ถ้าหากว่าข้าพเจ้ากลับไป ก็จักได้ความละอายในสำนักพวกสาวใช้ มารดาจงกลับไปเสวยสมบัติปกครองชาวรัฐวาสีให้เป็นสุขสำราญเถิด ข้าพเจ้าจักไม่กลับไปกับมารดาจริงแล้ว ฯ พ่อลูกรักของแม่ ถ้าหากว่าพ่อไม่กลับไปกับแม่ไซร้ แม่ก็จักตายอยู่ที่นี้ พ่อจงมาเรียนเอาทิพมนต์ไป แม่จะให้ทิพมนต์แก่พ่อ จะได้เอาไว้เป็นที่พึ่งต่อไปภายหน้า
พระสุวรรณสังขกุมารสดับฟังมารดาบอกให้เรียนทิพมนต์ก็ดีใจ จึ่งให้ยักขเทวีบอกคัมภีร์มนต์ เรียนได้แล้วจึ่งถามว่า มนต์นี้มีประโยชน์อย่างไร ฯ ดูกรพ่อ มนต์นี้มีอิทธิวิธีวิเศษนัก ถ้าหากว่าพ่อต้องการปลาหรือเนื้อไซร้ พ่อจงร่ายมนต์เป่าไปอย่างนี้ว่า สัตวทั้งหลายเหล่าใด จะเป็นปลาก็ดี เนื้อก็ดี บรรดามีในน้ำและในป่า สัตวทั้งหลายเหล่านั้น ถ้าว่ามีกรรมได้ทำไว้แล้ว จงมาสู่สำนักเรา ถ้าว่าไม่ได้ทำกรรมไว้แล้ว และไม่ควรจะตาย จงพากันหนีไปเสียที่อื่น พระสุวรรณสังขกุมารเรียนมนต์ได้ ก็บอกลายักขเทวีผู้มารดาว่า ข้าแต่มารดา เชิญมารดากลับไปเมือง จงมีอายุเจริญยิ่งนาน ข้าพเจ้าจักพรากจากมารดาแล้ว แต่นี้ไปนาน ลูกแก้วจักไม่ได้กลับมาเห็นมารดาอีกต่อไป พระสุวรรณสังขกุมารลามารดาแล้วก็เหาะลอยไปในอากาศ
ยักขเทวีเห็นพระสุวรรณสังข์กำลังเหาะไป เกิดความโสกใหญ่จนถึงตายไปในที่นั้น ครั้นตายแล้วก็ได้ไปเกิดในวิมานณดาวดึงส์สถานเทวโลก ในที่นี้ มีคำถามว่า ยักขเทวีนั้นประพฤติลามกฆ่าสัตวกินจนตลอดชีวิต ตายแล้วได้ไปเกิดในเทวโลกเพราะเหตุไร พระอัฏฐกถาจารย์กล่าวแก้ว่า ยักขเทวีนั้นมีบุญได้ทำไว้ในปางก่อน และได้มาสะโมสรกับพระโพธิสัตวผู้เป็นสาธุสับปุรุษผู้บำเพ็ญบารมี และยักขเทวีผูกพันฉันทสิเนหากับพระโพธิสัตวมั่นคงถึงวันตาย เพราะเหตุนั้น ยักขเทวีจุติจากอัตตภาพยักษ์แล้ว จึ่งไปบังเกิดในดาวดึงส์เทวโลกด้วยประการฉะนี้
คราวนั้น พระโพธิสัตวเห็นยักขินีมารดาตายแล้ว จึ่งกลับมาดูรู้ว่าตายจริง จึ่งเก็บเอาฟืนทำจิตรกร ยกศพมารดาขึ้นบนจิตรกร แล้วจึ่งเอาไฟเผากเลวระของมารดาจนไหม้ ทำปทักษิณสามรอบเสร็จ ก็เสด็จลอยไปในอากาศ ทรงตรวจดูเมืองน้อยใหญ่ เห็นเมืองพาราณสีเกษมสุขด้วยโภชนาหารดี จึ่งลงจากอากาศดำเนินไปถึงบ้าน ๆ หนึ่ง ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ เมืองพาราณสี เข้าไปหานายคามโภชกในบ้านนั้น นายคามโภชกเห็นพระโพธิสัตวมีรูปเหมือนเงาะป่าจึ่งถามว่า แน่ะหลานน้อย พ่อมาแต่ไหน ฯ ข้าแต่นายคามโภชก ข้าพเจ้าหาที่พึ่งมิได้ เที่ยวมาหาเลี้ยงชีพ ฯ แน่ะหลานน้อย พ่ออย่าไปที่อื่นเลย จงอยู่กับเรา ๆ จะรับเลี้ยงพ่อไว้
นายคามโภชกจัดแจงโภชนให้พระโพธิสัตวบริโภค แล้วจึ่งห่อเข้าให้พระสุวรรณสังขกุมารห่อหนึ่ง แล้วให้ไปเลี้ยงโคกับเด็กเลี้ยงโคทุกวัน พวกเด็กเลี้ยงโคเห็นพระสุวรรณสังขกุมารรูปแปลกเหมือนเงาะป่า บางคนก็หมิ่นประมาท บางคนก็กล่าวท้าทายว่า เจ้ามานพรูปชั่วช้า เจ้าจงมาเล่นขลุบกับพวกเรา พวกเด็กเลี้ยงโคเล่นขลุบอยู่กับพระโพธิสัตว แม้แต่คนหนึ่งก็ไม่อาจทำให้พระโพธิสัตวแพ้ได้ ครั้นเวลาเย็น พากันมาบ้าน แล้วไปชวนพระโพธิสัตวเล่นขลุบอีก ต้องการจะให้พวกตนชะนะ เมื่อเล่นขลุบกัน ก็ไม่อาจทำให้พระโพธิสัตวแพ้ได้ ก็เกิดโทมนัสน้อยใจทุกคน
วันหนึ่ง พวกเด็กเลี้ยงโคไปหาพระโพธิสัตวพูดว่า เจ้าฉลาดในการเล่นขลุบ ขอให้พวกเราเรียนบ้าง พวกเราเรียนได้ชำนาญแล้ว แต่นี้ไปเราไปเลี้ยงโคแล้วจะให้เข้าห่อเจ้ากินทุกวัน ๆ พระโพธิสัตวนั้นยอมให้โคปาลทารกเรียนวิชาเล่นขลุบ ทำให้ฉลาดดี โคปาลทารกก็ดีใจ เมื่อไปยังที่เลี้ยงโคแล้ว จึ่งแบ่งห่อเข้าของตนให้เป็นสองส่วน แล้วให้พระโพธิสัตวบริโภคส่วนหนึ่งทุก ๆ วัน
คราวนั้นแล พระราชาองค์หนึ่งครองราชสมบัติอยู่ณเมืองพาราณสี สมบูรณ์ด้วยเกียรติยศและบริวารยศ หาพระราชาองค์อื่นจะเสมอมิได้ พระราชานั้นมีพระราชธิดาเจ็ดนาง ทรงรูปโฉมงามเลิดล้ำนารี พระเชฏฐราชธิดาหกนางนั้นมีภัศดาแล้ว แต่พระกนิฏฐธิดาสุดท้องนั้นยังหามีภัศดาไม่ พระเจ้ากรุงพาราณสีทรงดำริว่า ธิดาของเราหกนางมีภัศดาไปหมดแล้ว แต่นางคันธาเทวี ลูกสุดท้องของเรา ยังหามีภัศดาไม่ เราจักทำอาวาหมงคลให้นางคันธาเสีย และจักทำชนชาวนครและชนบทปราศจากมลทิน (คือ จะไม่ให้ใครนินทาต่อไปในภายหน้าได้) ดำริแล้วจึ่งรับสั่งให้หาตัวมหาเสนาและราชโอรสราชนัดดาท้าวพระยาบรรดาอยู่ในราชอาณาจักรมาประชุมกัน แล้วจึ่งดำรัสว่า ท่านทั้งหลายจงประดับกายให้เหมือน ๆ กัน พาพวกเสนาพลนิกายออกจากนครต่าง ๆ มาประชุมกันณหน้าพระลานที่เมืองนี้ (เราจักให้ราชธิดาเลือกภัศดาเอาตามชอบใจ)
มหาชน มีราชโอสเป็นต้น ก็มีความโสมนัสหรรษาปราร์ถนาจะได้ราชเทวีเป็นมเหษี ต่างก็ตกแต่งประดับกายแล้วมาประชุมกันณหน้าพระลานหลวง พระเจ้ากรุงพาราณสีให้เชิญราชธิดาคันธาเทวีมากับนารีบริวาร แล้วรับสั่งให้เลือกสามีตามชอบใจ ราชธิดาคันธาเทวี เมื่อจะเลือกสามีนั้น เห็นมหาชน มีราชโอรสเป็นต้น ก็ไม่ชอบใจตน จึ่งทูลพระราชบิดาว่า ข้าแต่เทวดา มหาชนบรรดาที่มาประชุมกันเหล่านี้หาเป็นที่รักใคร่อาบใจของหม่อมฉันไม่ พระเจ้ากรุงพาราณสีทรงฟังดังนั้นก็กริ้วยกใหญ่ ตรัสตวาดว่า อีหญิงทมิลหีนชาติ เราปราร์ถนาจะทำอาวาหมงคลให้ ได้เรียกมหาชน มีราชโอรสเป็นต้น มีรูปร่างโสภณ มามากมาย เจ้าจะเลือกเอาสักคนหนึ่งก็ไม่ได้เจียวหรือ
พระเจ้ากรุงพาราณสีจึ่งตรัสถามพวกชาวเมืองว่า พวกชาวเมืองได้เห็นและได้รู้ว่า บุรุษคนใดคนหนึ่งซึ่งมาแต่ที่อื่นมาอยู่เมืองนี้มีบ้างหรือไม่ ฯ ข้าแต่พระมหาราช มีทุคตบุรุษคนหนึ่ง รูปผิดมนุษย์ธรรมดา สกลกายาวิกลน่าชัง รูปเหมือนเงาะป่า บัดนี้ อาศัยนายคามโภชกเลี้ยงชีวิตด้วยกิจรับจ้างเลี้ยงโค ฯ พระเจ้ากรุงพาราณสีจึ่งตรัสบอกกะราชธิดาว่า ดูกรคันธาเทวี เดี๋ยวนี้มีบุรุษคนหนึ่ง รูปร่างพิกลน่าชัง อาศัยนายคามโภชกเลี้ยงชีวิต ถ้าเจ้าไม่ชอบใจมหาชน มีราชโอรสเป็นต้นไซร้ เราจะให้นำเจ้าเงาะป่านั้นมาทำให้เป็นภัศดาของเจ้า จะเอาหรือไม่ ราชธิดาคันธาเทวีสดับโองการดังนั้น ให้มีจิตต์รักใคร่ในพระโพธิสัตว จึงตอบโองการว่า ขอพระองค์จงให้รับตัวเจ้าเงาะป่ามาเถิดพระเจ้าข้า พระราชาจึ่งสั่งอำมาตย์ว่า พวกเจ้าจงไปนำเอาตัวเจ้าเงาะป่ามาให้เราณบัดนี้ อำมาตย์ถวายบังคมแล้วก็พากันไป
ในกาลเมื่ออำมาตย์จะไปรับเอาตัวพระโพธิสัตวมา คืนวันนั้น เวลาจะใกล้รุ่ง พระโพธิสัตวฝันเห็นว่า พระองค์ได้ลงไปอาบน้ำในสระอโนดาษ พระโพธิสัตวตื่นขึ้นแล้วก็คิดว่า ความฝันที่เราเห็นแล้วนี้เป็นมงคลดีนักหนา พวกอำมาตย์พากันไปถึงบ้านนั้นแล้วจึ่งเข้าไปหานายคามโภชกแจ้งว่า แน่ะนายคามโภชก พระราชรับสั่งให้นำตัวเจ้าเงาะป่าลูกจ้างของท่านไป จะทรงให้ราชธิดาเลือกหาสามีเอาตามชอบใจ ใช่จะให้ตัวเงาะป่าไปแต่คนเดียวก็หาไม่ ชาวเมืองนี้และราชโอรสราชนัดดาท้าวพระยาทั้งปวงก็รับสั่งให้ไปประชุมเลือกด้วย
พระสุวรรณสังขกุมารได้ฟังอำมาตย์พูดดังนั้นจึ่งตอบว่า ข้าพเจ้าผู้อนาถา ถึงซึ่งความอันผู้อื่นจะกรุณาและหามารดาบิดาญาติสาโลหิตบมิได้ ทั้งรูปร่างก็พิกลเหลือเดนมนุษ ไม่ควรจะเอาไปเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน ฯ ดูกรพ่อรูปทรพล ชื่อว่าพระราชา มีอำนาจร้ายกาจนัก ท่านไม่ควรจะปฏิเสธว่า ตัวเป็นเดนบุรุษดังนี้ ท่านจงมาไปกับพวกเราเถิด พระโพธิสัตวนึกถึงความฝันแล้วดำริว่า ภัยหน่อยหนึ่งหามีแก่เราไม่ ดำริแล้วก็รับคำว่า จะไปกับพวกอำมาตย์ นายคามโภชกร้องห้ามพระโพธิสัตวไว้ว่า พ่อรูปทรพล พ่อไปกับเขาแล้ว เขาก็จักไม่ทำประโยชน์ให้แก่พ่อได้ เมื่อพ่ออยู่ในที่นี้ จักเลี้ยงชีพให้เป็นสุขด้วยรับจ้างเลี้ยงโค พระสุวรรณสังขกุมารจะได้ฟังคำคามโภชกก็หาไม่ แล้วไปยังนครกับด้วยพวกอำมาตย์
คราวนั้น เป็นเวลาราตรีกาล นางคันธาราชเทวีไสยาสน์หลับไป ได้ฝันเห็นว่า มีเทพบุตรองค์หนึ่งนำเอาผลไม้ทิพมาให้ราชเทวี ผลไม้ทิพนั้นมีกลิ่นหอมแค่น ๆ ไม่เป็นที่พอใจของนรชน ราชเทวีจึ่งผ่าทิพผลด้วยมีด ทิพผลนั้นก็ปรากฎเป็นแก้วเจ็ดประการ ราชเทวีจึ่งนำเอาแก้วนั้นประดับกาย ราชเทวีตื่นแล้ว ก็สรงพักตร์ แล้วเสวยกระยาสุทธาโภชน์ พินิจนึกถึงเรื่องฝันว่า น่าอัศจรรย์ ความฝันข้อนี้จักให้สำเร็จผลแก่เราแน่ คิดแล้วก็เผยพระแกลแลไป เห็นรูปเงาะเดินตามอำมาตย์มาณหน้าพระลานหลวง ทรงสำรวลหน่อยหนึ่ง จึ่งเกิดความเยื่อใยในพระโพธิสัตวเหลือเกิน
ในกาลครั้งนั้น พระโพธิสัตวเหลือบแลไปเบื้องบนปราสาท เห็นนางคันธาเทวี ก็มีจิตต์รักใคร่ ทำยิ้มย่องต้องหฤทัย แท้จริงในกาลปางก่อน พระโพธิสัตวได้บำเพ็ญกุศลร่วมกับนางคันธาเทวีไว้มากแล้ว แต่พอมาเห็นซึ่งกันและกันเข้า ก็มีจิตต์ปฏิพัทธ์ต่อกัน นางคันธาเทวีนั้นเห็นพระโพธิสัตวแล้วจึ่งดำริว่า คืนนี้ เราฝันไป เราจักได้ราชสามีอันรอบรู้ศิลปศาสตร์หาผู้อื่นจะเทียมถึงบมิได้ พระโพธิสัตวดำเนินมาถึงหน้าพระลานหลวงแล้ว จึ่งถวายบังคมพระราชา ๆ ตรัสว่า วันพรุ่งนี้เช้า เจ้าจงมารับพวงมาลาที่นี้ แล้วจึ่งตรัสถามต่อไปว่า เจ้ามานพมาแต่ไหน ประมาณกี่วันจึ่งมาถึงเมืองเรา ฯ ข้าแต่พระมหาราช ข้าพระบาทมาใกลประมาณเดือนหนึ่ง จึ่งมาถึงเมืองของพระองค์ พระโพธิสัตวกราบทูลแล้วก็ถวายบังคมลาไปยังที่ตนอยู่
คราวนั้น พระราชารับสั่งกะอำมาตย์ทั้งหลายว่า พวกท่านจงให้พนักงานเอานันทเภรีไปตีประกาศว่า วันพรุ่งนี้เช้า พระราชาจะให้นางคันธาเทวีโยนพวงมาลาเสี่ยงทายหาราชสามี ถ้าหากว่าพวกมาลานั้นลอยไปสวมมือบุรุษคนใด พระราชาจะอภิเษกบุรุษคนนั้นกับราชธิดาให้เป็นราชภัศดาและพระชายาซึ่งกันและกัน พวกอำมาตย์รับราชดำรัสแล้ว ก็พากันไปจัดการเสร็จตามกระแสรับสั่ง ครั้นรุ่งเช้า ชาวนครทั้งหลาย มีอำมาตย์เป็นต้น พากันจัดแจงแต่งตนด้วยสรรพาภรณ์ออกจากเรือนของตน ไปประชุมพร้อมกันณหน้าพระลานหลวง
พระราชารับสั่งให้หาตัวนางคันธาเทวีมา แล้วตรัสว่า แน่ะแม่ลูกรักของบิดา เธอจงโยนพวงมาลาไปในอากาศ ถ้าหากว่า ในกาลปางก่อน บุรุษคนใดเคยได้ทำบุญสมภารไว้กับเธอ ขอให้พวงมาลานั้นไปสวมในมือของบุรษคนนั้น บิดาจักทำอภิเษกบุรุษคนนั้นกับเธอให้เป็นภัสดาและชายาซึ่งกันและกัน นางคันธาเทวีรับราชดำรัสว่า สาธุ กระนี้แล้วประทับนั่งณที่อันสมควร ส่วนพระโพธิสัตวรูปเหมือนเงาะป่าเข้ามานั่งเฝ้าพระราชาอยู่ส่วนหนึ่ง จึ่งพวกมหาชนทั้งหลายพากันตวาดพระโพธิสัตวว่า เจ้าอย่ามานั่งตรงนี้ ที่ตรงนี้เราจะนั่ง พระราชเทวีเธอจักโยนพวงมาลา ถ้าหากว่า พระราชเทวีเห็นเจ้าแล้ว เธอจักทรงพระสรวล และจักไม่ทำสัจจาธิษฐาน เจ้าจงหลีกไปนั่งเสียที่อื่น พระโพธิสัตวถูกมหาชนบ่นว่าดังนั้น เธอก็นั่งนิ่งอยู่ในที่นั้น
พระนางคันธารีเทวีจึ่งทำสัจจาธิษฐานต่อหน้าพระที่นั่งและต่อหน้ามหาชนว่า ข้าแต่ฝูงเทพดาผู้เจริญ ท่านทั้งหลาย คือ คนธรรพ์และนาคครุฑก็ดี ท้าวโกสีย์และมหาพรหมก็ดี เทพดาผู้รักษาแผ่นดินและรักษาพระนครก็ดี จงมาพร้อมกันสะดับฟังสัจจกิริยวาจาของข้าพเจ้า ๆ จักทำเสี่ยงทายด้วยพวงมาลานี้ ถ้าหากว่า บุรุษคนใดเคยได้อยู่ร่วมกับข้าพเจ้ามาในกาลปางก่อนไซร้ ขอให้พวงมาลานี้จงลอยไปสรวมหัตถ์ของบุรุษคนนั้นเถิด นางทำสัจจกิริยาแล้ว ก็ยกพวงมาลาขึ้นทูนเศียร แล้วก็โยนไปในอากาศ พวงมาลานั้นลอยไปทำปทักษิณปราสาทสามรอบ แล้วก็ลอยลงจากอากาศเข้าไปสวมหัตถ์ขวาของพระมหาสัตว์ด้วยประการฉะนี้ มหาชนทั้งหลาย มีอำมาตย์เป็นต้น เห็นพวงมาลาลอยมาสวมหัตถ์พระโพธิสัตว์ดังนั้น พากันเข้าไปจะแย่งเอาพวงมาลานั้น ก็ไม่อาจแย่งเอาไปได้ พากันร้องติเตียนพระนางคันธาเทวีว่า พวงมาลานี้สวมมือเจ้าเงาะป่าเสียแล้ว ในชาติปางก่อนพระราชเทวีอาศัยกรรมที่เธอทำไว้ จึ่งมาได้สามีรูปทุรพล
พระราชาทอดพระเนตรเห็นพวงมาลาสวมหัตถ์พระโพธิสัตว์แล้ว ตรัสว่า ตามบุญตามกรรมของลูกเราเขาทำไว้แล้วในกาลปางก่อน พระองค์จึ่งให้เตรียมพิธีสรงน้ำราชาภิเษกตามเยี่ยงอย่างที่เคยมีมา แล้วจึ่งบังคับพระโพธิสัตวจะให้สรงน้ำราชาภิเษก พระโพธิสัตวจึ่งดำริว่า ถ้าเราจักสรงน้ำราชาภิเษกไซร้ มหาชนเห็นร่างกายของเราเป็นสีทองแล้ว ก็จักรู้ว่าเรามีบุญสมภารมาก ดำริแล้วก็มิได้สรงน้ำราชาภิเษก ถึงพระราชาจะอ้อนวอนสักเท่าใดก็ไม่สรง พระราชาทรงกริ้วยกใหญ่ จึ่งขับไล่สองกษัตริย์นั้นไปเสีย
คราวนั้น พระนางคันธาเทวีกับพระโพธิสัตว์ไม่อาจขัดรับสั่งพระราชาได้ ชวนกันออกไปจากนคร หาทาสและทาสีที่จะตามไปบมิได้ ไปอาศัยที่แห่งหนึ่งอยู่ส่วนหนึ่งต่างหาก พระโพธิสัตว์กับนางคันธาเทวี เมื่ออยู่ในที่นั้น ชาวเมืองทั้งหลายไม่มีใครไปหาเลย พระสุวรรณสังขกุมารกับนางคันธาเทวีอยู่ด้วยกันสองคนเท่านั้น เหมือนมนุษย์ผู้อนาถาหาที่พึ่งมิได้
คราวนั้น ภัศดาของราชธิดาทั้งหกพากันติเตียนด้วยเหตึต่าง ๆ ว่า บุรุษผู้นี้รูปร่างชั่วช้าลามก ไม่เป็นที่รักไม่เป็นที่ชอบใจของมหาชน ทำความครหาให้เกิดขึ้นแก่พวกเรา ท้าวสามนตราชทั้งหลายพากันนำดอกไม้เงินทองมาถวายพระราชาของเรา เขาเห็นบุรุษทุรพลคนนี้เข้า เขาจักติเตียนได้ กิตติศัพท์ก็จักระบือไปต่าง ๆ แม้พระนครก็จักถึงความพินาศไป พากันติเตียนดังนี้แล้ว ก็ชวนกันไปเฝ้าพระราชา กราบทูลว่า ผัวของนางคันธาเทวีรูปชั่วช้าลามก ไม่เหมือนคนเมืองนี้เลย (เป็นกาฬกิณี) แม้พระนครจักถึงความพินาศไปเพราะผัวนางคันธาเทวี
พระเจ้ากรุงพาราณสีทรงสะดับดังนั้น จึ่งตรัสว่า พ่อเขยทั้งหก เราจักคิดทำอย่างไรกะเจ้าบุรุษรูปพิกลผัวลูกสาวเรา ฯ ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ พระองค์จงขับไล่ผัวเมียสองคนไปอยู่เสียใกล ๆ พระราชาก็ให้ขับไล่พระโพธิสัตวกับนางคันธาเทวีไปตามถ้อยคำอำมาตย์กราบทูล กษัตริย์ภัศดาและชายาทั้งสองพากันไปอยู่ที่ใกลเมืองออกไปมาก เมื่ออาศัยอยู่ที่นั้น ได้ความคับใจและถึงทุกขเวทนามากนัก พระโพธิสัตวจึ่งปลอบนางคันธาเทวีด้วยปิยวาจาว่า แน่ะท้าวนางผู้เจริญ พระนางอย่าโทมนัสน้อยใจเลย พระนางเสวยทุกขเวทนาก็เพราะอาศัยกุสลากุสลกรรมที่ทำไว้ พี่หาใช่คนชั่วช้าลามกไม่ พี่สมบูรณแล้วด้วยบุญญาธิการไม่ มหาชนทั้งปวงหารู้จักเราไม่
ครั้งนั้น พระเจ้ากรุงพาราณสีนึกถึงพระโพธิสัตวขึ้นมา ให้ละอายพระทัยนัก จึ่งดำริว่า มานพรูปทรพลคนชั่วช้าผู้นี้ เมื่อยังอยู่กับธิดาของเรา ๆ ขายหน้าประชาชนนัก ถ้าเราจักฆ่ามันเสียเงียบ ๆ ความครหาก็จักมีแก่เรา เราจักทำอุบายให้โทษผิดปรากฎขึ้นแล้วจึงฆ่าเสีย ดำริแล้วจึ่งปรึกษากับราชบุตรเขยทั้งหกว่า เราจักคิดอุบายแกล้งฆ่าเจ้าเงาะป่าเสีย ท่านทั้งหลายจะเห็นอย่างไร ฯ ข้าแต่สมมติเทวดา พระองค์จงทำพวกข้าพระบาทเหมือนจะไม่ปราณีเช่นดังเจ้าเงาะป่า จึ่งจะพ้นความครหา พระราชาทรงฟังดังนั้น จึ่งรับสั่งให้หาตัวเงาะป่าเข้ามาเฝ้า แล้วบังคับราชบุตรเขยทั้งเจ็ดว่า เราอยากจะกินเนื้อมฤค ท่านทั้งเจ็ดจงไปจับเนื้อมาให้เราคนละตัว ถ้าหากว่าท่านทั้งเจ็ดหาเนื้อมาให้เราไม่ได้ไซร้ เราจะฆ่าเสียสิ้น
ฝ่ายราชบุตรเขยทั้งเจ็ดรับราชดำรัสว่า สาธุ แล้วถวายบังคมลามาบ้านเรือนของตน บุตรเขยทั้งหกนั้นหารือกันว่า พวกเรามีบริวารมาก ทั้งอาวุธก็มีพร้อม จักหาเนื้อได้ดี หารือกันแล้วก็ชวนกันไปป่า เที่ยวเสาะหาเนื้อสิ้นวันยังค่ำก็ไม่พบเนื้อ เหน็ดเหนื่อยเข้าแล้วจึ่งชวนกันหยุดพักเสวยอาหารแล้วหารือกันอีกว่า ถ้าหากว่าพวกเราไม่ได้เนื้อไปถวายพระราชาไซร้ พระราชาจักฆ่าพวกเราเสีย (เราจักแก้ไขอย่างไรดี)
พระโพธิสัตวกลับจากเฝ้าแล้วเดินนึกไปว่า เราจักหาเนื้อถวายพระราชาให้จงได้ ครั้นมาถึงที่พักแล้วจึ่งบอกกะคันธาเทวีว่า บัดนี้ พระราชบิดารับสั่งหาตัวพี่ไปเฝ้า บังคับให้พี่หาเนื้อถวาย พระราชบิดาจะพระราชทานทรัพย์ให้เป็นรางวัล ถ้าหากว่าพี่หาเนื้อถวายไม่ได้ พระราชบิดาจักให้ฆ่าพี่เสีย พี่จะลานางน้องไปป่าเที่ยวหาเนื้อถวายพระราชบิดาให้ได้ ฯ ข้าแต่ภัศดา พระภัศดาจักไปป่าองค์เดียวกะไรได้ ธรรมดาว่าป่า มากไปด้วยเสือและช้าง ภูตปิศาจอันตรายก็มีมาก หม่อมฉันขอตามพระองค์ไปเป็นเพื่อนด้วย ฯ นางน้องอย่าไปกับพี่เลย พี่จะได้กลัวเสือช้างภูตปิศาจก็หาไม่ พระน้องอย่าไปกับพี่เลย ฟังพี่ว่า
เมื่อพระโพธิสัตวห้ามดังนี้แล้ว จึ่งทรงฉลองพระบาททองและพระขรรค์แก้ว แล้วสวมเกราะรูปเงาะป่ากับกายเหาะไปในอากาศ งามราวกะว่าสุวรรณราชหงส์เสด็จไปถึงป่า จึงลงประทับนั่งเหนือแผ่นสิลาแห่งหนึ่ง เปลื้องรูปเงาะป่าออกวางไว้ พระฉวีวรรณสรีกายงามผ่องใสดุจทองคำ รัศมีนั้นแผ่ซ่านสว่างไปทั่วป่า ทรงร่ายทิพมนต์ซึ่งนางยักขินีมารดาเลี้ยงให้ไว้ เรียกฝูงเนื้อทั้งหลายมาประชุมกัน แล้วอธิษฐานว่า เนื้อเหล่าใดยังไม่ถึงอนิจกรรม เนื้อเหล่านั้นจงหนีไปเสีย เนื้อเหล่าใดถึงอนิจจมรณะแล้ว เนื้อเหล่านั้นจงตายฉะเพาะหน้าเรา ครั้งนั้น เนื้อเหล่าใดยังไม่ถึงมรณะ เนื้อเหล่านั้นก็พากันหนีไป เนื้อเหล่าใดถึงอนิจจมรณะแล้ว เนื้อเหล่านั้นก็ถึงมรณะฉะเพาะหน้าพระโพธิสัตว ด้วยอำนาจอธิษฐานบารมี
ทีนั้น ราชบุตรเขยหกองค์เที่ยวเสาะหามฤคไปในป่า จะได้พบเนื้อแม้ตัวหนึ่งก็หาไม่ เที่ยวค้นไปข้างทิศอุดร เห็นพระโพธิสัตวนั่งอยู่ณะแผ่นสิลา เปล่งรัศมีงามดุจทองคำ ก็พากันสะดุ้งตกใจกลัว ปรึกษากันว่า ผู้นี้หาใช่มนุษย์ไม่ จักเป็นเทพดาแน่ทีเดียว ปรึกษากนแล้ว จึ่งเข้าไปหาพระโพธิสัตว กราบไหว้แล้วถามว่า ท่านเป็นพรหมินทรหรือครุฑนาคและคนธรรพ์ ไฉนท่านมาอยู่ที่นี้เล่า ท่านจงกรุณาให้เนื้อแก่พวกข้าพเจ้าคนละตัวเถิด ข้าพเจ้าทั้งหลายจะนำไปถวายพระราชา ถ้าหากว่าได้เมตตาให้เนื้อแก่ข้าพเจ้า ๆ จักได้รางวัลเป็นมากแต่ราชสำนัก ถ้าหากว่าท่านไม่เมตตาให้เนื้อแก่พวกข้าพเจ้า ๆ จักถึงซึ่งความตายเที่ยงแท้
พระโพธิสัตวจึ่งตรัสว่า ตัวเราหาใช่ท้าวสักกะ หาใช่คนธรรพ์ไม่ เราเป็นมนุษย์ อยู่แว่นแคว้นเมืองพาราณสี พวกท่านมาขอเนื้อกะเรา ๆ จักให้แก่พวกท่าน ๆ จักบูชาเราด้วยสิ่งอันใด ฯ พวกข้าพเจ้าจะบูชาท่านด้วยแก้วเจ็ดประการบ้าง ด้วยโคและกระบือทั้งหลายบ้าง ฯ เราไม่ต้องการสิ่งของเหล่านั้น เราต้องการใบหูของท่านคนละหน่อย ฯ ท่านจะให้พวกข้าพเจ้าตัดใบหูบูชา พวกข้าพเจ้าไม่อาจอดกลั้นทุกขเวทนาได้ ฯ ถ้าหากว่าพวกท่านทำไม่ได้อย่างนั้นไซร้ เราก็ให้เนื้อแก่พวกท่านไม่ได้เหมือกัน กุมารราชบุตรเขยทั้งหกจึ่งปรึกษากันว่า ถ้าหากว่าพวกเราไม่ให้ใบหูแก่เขา ๆ ก็ไม่ให้เนื้อแก่พวกเรา เราพร้อมยอมกันให้ใบหูแก่เขาเถิด ปรึกษากันแล้วก็ตัดใบหูออกคนละหน่อยส่งให้พระโพธิสัตว ๆ ก็ปล่อยฝูงเนื้อให้กุมารทั้งหก ๆ ได้เนื้อแล้วนำมาถวายพระราชา
พระเจ้ากรุงพาราณสีทอดพระเนตรกุมารทั้งหกนำเนื้อมาถวายแล้วตรัสถามว่า พวกท่านทั้งหกได้เนื้อที่ไหนมา ฯ ข้าแต่สมมติเทวดา พวกข้าพระพุทธเจ้าเที่ยวเสาะหาเนื้อไปในป่าทางทิศอุดร พบพระอินทรนั่งอยู่ณแผ่นสิลา พร้อมกันขอต่อพระอินทร ๆ ท่านประทานเนื้อให้คนละตัว พวกข้าพระพุทธเจ้าจึ่งได้เนื้อมาถวายพระองค์ พระราชาทรงทราบแล้วก็โสมนัส ตรัสชมเชยกุมารทั้งหกโดยอเนกปริยาย
ฝ่ายพระโพธิสัตวนึกแต่ในใจว่า บัดนี้ หกกษัตริย์จักไปถึงพระนครเข้าเฝ้าพระราชา เราก็จักไปเฝ้าพระเจ้ากรุงพาราณสีบ้าง นึกแล้วจึ่งใส่รองพระบาททอง สวมเกราะรูปเงาะ เหน็บสอดพระขรรค์ แล้วร่ายมนต์เรียกฝูงเนื้อให้มาสู่สำนักของตน ฝูงเนื้อก็พากันไปสู่สำนักพระโพธิสัตว ๆ จึ่งเลือกคัดจับเนื้อตัวหนึ่งผูกมั่นคงแล้วจูงมายังพระนคร ผูกไว้ในที่ใกล้ปราสาท แล้วเข้าเฝ้าพระราชา กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราช ข้าพระบาทได้เนื้อตัวหนึ่งมาถวาย ผูกไว้ใกล้ปราสาท พระองค์จงโปรดให้ราชบุรุษไปผูกเสียให้มั่นคง พระโพธิสัตวก็ถวายบังคมลากลับไปยังที่อยู่ของตน
พระเจ้ากรุงพาราณสีสดับคำพระโพธิสัตวทูลดังนั้น นึกอัศจรรย์พระทัย รับสั่งให้อำมาตย์ไปตรวจดูเนื้อที่พระโพธิสัตวนำมาถวายนั้น อำมาตย์ทั้งหลายพากันไปตรวจดูตามกระแสรับสั่ง เนื้อตัวนั้นเห็นราชบุรุษมากมาย ก็ตื่นตกใจกลัว เพราะไม่เคยเห็นพวกมนุษ จึ่งโดดทะลึ่งด้วยกำลังแรง เชือกที่ผูกไว้ก็ขาด เลยวิ่งหนีเข้าป่าใหญ่ไปได้ {{มปก}พระเจ้ากรุงพาราณสีแกล้งใส่โทษแก่พระโพธิสัตวไม่ได้แล้ว จึ่งคิดหาอุบายอีกต่อไป เราจักฆ่าเจ้าเงาะป่าด้วยอุบายบังคับให้หาสุกรมาให้เราเถิด ดำริแล้วจึ่งรับสั่งให้หกกษัตริย์ (คือ บุตรเขยทั้งหก) เข้ามาบังคับว่า เธอทั้งหกจงไปหาสุกรมาให้เราคนละตัว ถ้าหากว่าหามาให้เราไม่ได้ไซร้ เราจะให้ลงราชอาชญาแก่พวกเธอ ตรัสกะหกกษัตริย์แล้ว จึ่งรับสั่งให้หาราชบุรุษไปบอกแก่พระโพธิสัตวเหมือนกะที่บังคับหกกษัตริย์ไว้แล้วนั้น หกกษัตริย์เรียกบริวารมาพร้อมแล้ว ผูกสอดเบ็ญจาวุธเสร็จ เสด็จไปสู่ป่า ก็ไม่พบสุกรที่จะนำไปถวายแต่สักตัวหนึ่งเลย
พระโพธิสัตวนึกว่า เวลานี้เป็นเวลาควรที่เราจะไปป่า จึ่งทรงปาทุกาและพระขรรค์แก้วแล้วเหาะไป ครั้นถึงป่าใหญ่ ได้ลงนั่งประทับเหนือแผ่นสิลา งามโสภาเหมือนรูปหล่อด้วยทองคำทั้งแท่ง สังวัธยายมนต์อันวิเศษชื่อ มณีจินดา เรียกฝูงสุกรให้มาสู่สำนักของตน ฝูงสุกรก็พากันมาสู่สำนักพระโพธิสัตวพร้อมกัน พระโพธิสัตวจึ่งทำสุกรเป็นและสุกรจะตายให้อยู่เป็นแผนกกัน ด้วยอำนาจสัจจกิริยาเหมือนนัยดังกล่าวมาแล้วนั้น
หกกษัตริย์ (คือ เขยทั้งหก) เหล่านั้น ครั้นเที่ยวหาสุกรไปตามป่า ได้พบพระโพธิสัตวนั่งอยู่ณแผ่นสิลา เปล่งรัศมีงามดุจทองคำ จึ่งพากันเข้าหาพระโพธิสัตว กราบไหว้วิงวอนขอสุกร พระโพธิสัตวถามหกกษัตริย์ว่า ท่านทั้งหลายอยากได้สุกรไปทำอะไร ฯ ข้าแต่เทวดา ข้าพเจ้าทั้งหลายอยากได้สุกรไปถวายพระราชา พระราชาต้องประสงค์จะฆ่าเจ้าเงาะป่า ทรงบังคับข้าพเจ้าทั้งหลายให้มาหาสุกรกับเจ้าเงาะป่า เมื่อพวกข้าพเจ้าไม่ได้สุกรไปถวายพระราชา พระราชาจักฆ่าพวกข้าพเจ้าเสีย ฯ ถ้าหากพวกท่านต้องการสุกรจริงไซร้ เราจักให้สุกรแก่พวกท่าน พวกท่านจักบูชาเราด้วยสักการะอะไร ท่านต้องการสิ่งใด พวกข้าพเจ้าจักบูชาท่านด้วยสิ่งนั้น ฯ เราต้องการนิ้วมือของท่านทุกคน หกกษัตริย์ปรึกษาเห็นพร้อมกัน ยอมให้นิ้วมือของตน จึ่งตัดนิ้วมือของตนคนละหน่อยทำบูชาพระโพธิสัตว ๆ ก็ให้สุกรแก่หกกษัตริย์ไปคนละตัว หกกษัตริย์นำสุกรไปถวายพระราชา
เมื่อหกกษัตริย์ไปแล้ว พระโพธิสัตวจึ่งนำเอาสุกรซึ่งตายแล้วตัวหนึ่งไปทูลถวายพระราชยังพระนครทีหลังหกกษัตริย์ พระราชาตรัสถามพระโพธิสัตวว่า เจ้าได้สุกรมาด้วยอาการอย่างไร ฯ ข้าแต่สมมติเทวดา ข้าพระบาทเที่ยวไปในป่า พบสุกรตัวนี้เข้า จึ่งนำเอามาถวายพระองค์ พระโพธิสัตวกราบทูลแล้วก็ทูลลากลับไป ในที่นี้ มีคำถามว่า เหตุไรพระโพธิสัตวจึ่งกราบทูลพระราชาง่ายดายอย่างนี้เล่า มีคำแก้ว่า พระโพธิสัตวกราบทูลพระราชง่ายดายอย่างนี้ ก็เพื่อจะให้เห็นบุญสมภารของพระองค์มีมากด้วยประการฉะนี้
พระเจ้ากรุงพาราณสีทรงรำพึงไปว่า เราคิดอุบายจะให้เจ้าเงาะป่าตายถึงสองครั้งแล้วก็ไม่สมประสงค์ ทีนี้ เราจะบังคับให้เจ้าเงาะป่าไปหาปลา ความปรารถนาของเราจักสำเร็จแน่ เพราะเหตุไรเล่า เพราะเหตุว่าเจ้าเงาะป่าไม่รู้จักดำน้ำหาปลา ครั้นรุ่งขึ้นเข้า หกกษัตริย์มาเข้าเฝ้า จึ่งบังคับว่า วันนี้ เธอทั้งหกจงไปหาปลาให้ได้คนละมาก ๆ มาให้เรา ถ้าหากว่าพวกเธอไม่ได้ปลามาให้เรา เราจักลงราชอาชญาแก่พวกเธอ ตรัสกะหกกษัตริย์แล้ว จึ่งรับสั่งให้ราชบุรุษนำราชดำรัสไปบอกแก่พระโพธิสัตวเหมือนนัยที่กล่าวมาแล้ว ฝ่ายหกกษัตริย์รับราชดำรัสแล้ว พร้อมด้วยบริวารมากด้วยกันไปยังนทีแห่งหนึ่ง จึ่งเที่ยวเสาะหาปลาในทิศานุทิศตามลำนที สิ้นวันยังค่ำก็หาพบปะปลาไม่ จึ่งได้ประชุมกันในที่หนึ่งทำพลีกรรมแก่เทพดาว่า ข้าแต่เทวราช ขอเทวราชจงประทานปลาให้พวกข้าพเจ้าเถิด
ฝ่ายพระโพธิสัตวรับราชดำรัสแล้ว ถึงเวลาอันสมควร ก็ด่วนแต่งกายด้วยสรรพาภรณ์เสร็จ เหาะไปตามฝั่งนที ลงประทับนั่งณสิลาปัฏน์ใกล้ ๆ หกกษัตริย์ ร่ายมหาจินดามนต์กระซิบเรียกฝูงปลาและอธิษฐานว่า ปลาเหล่าใดยังไม่ถึงอนิจภาพความตาย ปลาเหล่านั้นจงหนีไปเสียให้พ้น ปลาเหล่าใดควรถึงความตายแล้ว ปลาเหล่านั้นจงมาตายอยู่ในที่นี้ หกกษัตริย์เที่ยวหาปลาไปตามกระแสน้ำข้างบน พบพระโพธิสัตวนั่งอยู่ณสิลาปัฏน์ริมฝั่งนที เปล่งรัศมีงามดุจทองคำ นึกแปลกใจว่า บุรุษผู้นี้เป็นพระอินทร์แน่ เมื่อคราวก่อนเคยให้เนื้อและสุกรแก่พวกเรา พวกเราจักขอปลาต่อพระอินทร์อีกจะดี คิดตกลงกันแล้วจึ่งเข้าไปหาพระโพธิสัตว กราบไหว้วิงวอนขอปลา พระโพธิสัตวถามหกกษัตริย์ว่า เราจะให้ปลาแก่พวกท่าน ๆ จะให้อะไรแก่เราบ้าง ฯ ท่านต้องการสิ่งใด พวกข้าพเจ้าจะให้สิ่งนั้นแก่ท่าน ฯ เราต้องการนาสิกของพวกท่านคนละนิด พวกท่านจะพร้อมใจกันให้ได้หรือไม่ หกกษัตริย์พร้อมใจยอมตัดปลายนาสิกของตนคนละนิดให้พระโพธิสัตว แล้วหาบเอาปลากลับมายังนคร ทูลถวายปลาแก่พระเจ้าพาราณสี
พระเจ้าพาราณสีทรงตรัสถามหกกษัตริย์ว่า เธอได้ปลามาแต่ที่ไหน ฯ ข้าพระพุทธเจ้าขอต่อพระอินทร์ จึ่งได้ปลามาถวาย พระอินทร์ได้ประทานเนื้อและสุกรกับปลาแก่พวกข้าพระพุทธเจ้าทั้งสามครั้ง พระราชาทรงฟังก็โสมนัส ตรัสสรรเสริญหกกษัตริย์ว่า บุตรเขยของเราทั้งหกมีบุญ ได้ไปพบท้าวอินทราทั้งสามหน ครั้งนั้น ราชธิดาหกนางเห็นหกกษัตริย์มีใบหู และนิ้วมือ และปลายจมูกขาดไป หาได้ถามกะตัวหกกษัตริย์เองไม่ ไพล่ไปถามพวกอำมาตย์เมื่อไปตามหกกษัตริย์มาว่า หกกษัตริย์ถูกตัดใบหู และนิ้วหัตถ์ และนาสิกด้วยเหตุอะไร ฯ ข้าแต่แม่เจ้า หกกษัตริย์ภัศดาของแม่เจ้า เมื่อไปหาเนื้อก็ถูกตัดใบหูครั้งหนึ่ง เมื่อไปหาสุกรก็ถูกตัดนิ้วหัตถ์มาครั้งหนึ่ง เมื่อไปหาปลาก็ถูกตัดนาสิกมาครั้งหนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้าได้เห็นทั้งสามครั้ง แต่ไม่ทราบต้นสายปลายเหตุเป็นอย่างไร
คราวนั้น เมื่อหกกษัตริย์กลับจากหาปลาแล้ว พระโพธิสัตวหาบเอาปลาไปถวายพระราชาเหมือนกับหกกษัตริย์ แล้วก็กลับไปยังที่พักของตน พระเจ้ากรุงพาราณสีจึ่งปรึกษากับอำมาตย์ว่า เราบังคับให้เจ้าเงาะหาเนื้อ หาสุกร หาปลามาให้ เจ้าเงาะก็หามาได้ทุกอย่างสมประสงค์ของเรา บัดนี้ เราจักฆ่าเจ้าเงาะป่าด้วยอุบายอย่างไรดี อำมาตย์ก็ไม่รู้จะทูลอย่างไร
คราวครั้งนั้น บัณฑุกัมพลสิลาอาสนแห่งท้าวสักกเทวราชก็แสดงอาการร้อนผิดปกติ ท้าวเทวราชทรงใคร่ครวญก็รู้เหตุนั้นสิ้น จึ่งทรงดำริว่า พระเจ้ากรุงพาราณสีหาอุบายจะใคร่ฆ่าพระโพธิสัตว ถ้ากะไร เราจะไปมนุษย์โลก แล้วถามปัญหากะพระราชา จะข่มขี่พระราชาเสีย แล้วยกย่องพระโพธิสัตว แล้วจึ่งกลับมา ดำริแล้วออกจากวิมานมาประดิฏฐานอยู่ณอากาศใกล้สีหบัญชรของพระราชา ถามปัญหาสองข้อกะพระราชาดังนี้ว่า พระเจ้าพาราณสีราช ข้าพเจ้าคือท้าวอินทรา จักถามปัญหาแก่พระองค์สองข้อ ข้อที่หนึ่ง แสงสว่างอย่างยิ่งจะได้แก่สิ่งอะไรในโลกนี้ ข้อที่สอง ความมืดมัวอย่างยิ่งจะได้แก่สิ่งอะไรในโลกนี้ พระองค์จงแก้ปัญหาสองข้อนี้ให้ได้ภายในเจ็ดวัน ถึงวันคำรบเจ็ด พระองค์จงเหาะมาตีคลีกับข้าพเจ้ากลางอากาศ ถ้าหากว่าพระองค์ไม่อาจแก้ปัญหาสองข้อได้ และไม่อาจตีคลีกับข้าพเจ้ากลางอากาศได้ไซร้ พระองค์จงเสาะหาคนอื่นให้เขาแก้ปัญหาและตีคลีแทนพระองค์จงได้ ถ้าหากว่าพระองค์เองไม่อาจแก้ปัญหาและไม่อาจตีคลีได้ ทั้งไม่อาจให้คนอื่นแก้ปัญหาและตีคลีกลางอากาศได้ไซร้ ในวันคำรบเจ็ด เวลาตะวันเที่ยง ข้าพเจ้าจักประหารพระเศียรพระองค์ด้วยค้อนเหล็ก ท้าวสักกเทวราชขู่ตวาดพระราชา แล้วก็กลับไปยังที่อยู่ของพระองค์
พระเจ้ากรุงพาราณสีสดับเทวราชดำรัสแล้ว สะดุ้งตกพระทัยยิ่งนักหนา ครั้นรุ่งขึ้นเช้า จึ่งรับสั่งให้หาตัวเสนาคุตอำมาตย์และราชกุมารทั้งหกเข้ามาเฝ้า ตรัสเล่าเรื่องราวทั้งปวงนั้นให้ราชเสวกมีหกกษัตริย์เป็นต้นฟัง แล้วตรัสถามว่า ไครจะอาจเหาะไปแก้ปัญหาและตีคลีกับพระอินทรในอากาศได้บ้าง ราชเสวกมีหกกษัตริย์เป็นต้นกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ใคร ๆ ก็ไม่อาจแก้ปัญหาสองข้อนี้ได้เลย เพราะอะไรจึ่งไม่มีใครแก้ปัญหานี้ เพราะเหตุว่าชนทั้งปวงยังหนาแน่นอยู่ด้วยกิเลสกามและวัตถุกามมากนัก เพราะเหตุนั้น จึ่งจักไม่มีใครแก้ปัญหานี้ได้ เว้นไว้ก็แต่บรรชิตท่านผู้ลุญาณวิเศษแล้วนั่นและ ท่านอาจเหาะไปแก้ปัญหาและตีคลีกับพระอินทร์บนอากาศได้ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายจะสนองพระเดชพระคุณได้ก็เพียงชั้นพื้นดินเท่านั้น พระเจ้าข้า
พระเจ้ากรุงพาราณสีสดับถ้อยคำราชเสวกมีอำมาตย์เป็นต้นทูลดังนั้น มีหฤทัยเร่าร้อนเหมือนถูกไฟเผา จึ่งรับสั่งให้อำมาตย์นำเนื้อความไปบอกแก่ชาวนครและชาวนิคมชนบทให้รู้ทั่วกันดังนี้ว่า ใครคนใดอาจเหาะไปแก้ปัญหาและตีคลีกับพระอินทร์บนอากาศได้ เราจะให้ราชสมบัติแก่ผู้นั้นทั้งหมด อำมาตย์ได้จัดการตามรับสั่งแล้ว จะหาใครคนหนึ่งอาจเข้ามารับอาสาก็มิได้มี พระเจ้ากรุงพาราณสีทรงทราบว่า หาคนรับอาสาไม่ได้ ก็เศร้าพระหฤทัย จึ่งไปปรับทุกข์กับอัครมเหษีว่า ถึงวันคำรบเจ็ด พี่ก็จักต้องตาย เพราะเสาะหาคนที่จะแก้ปัญหาและตีคลีกับพระอินทร์บนอากาศไม่ได้ ตรัสแล้วก็ทรงพิลาปร่ำไรอยู่ในปราสาท
พระราชเทวีจึ่งกราบทูลพระราชสามีว่า ข้าแต่สมมติเทวา พระองค์ทรงพิลาปไปทำไม หาควรไม่ พระองค์ให้ไปเรียกตัวเจ้าเงาะป่าเข้ามาหารือดู เจ้าเงาะป่านั้นเขามีบุญฤทธิ์จริง ๆ พระองค์ทรงบังคับให้เขาเอาเนื้อ และสุกร และปลามาให้ เจ้าเงาะป่าตัวคนเดียวเขายังหามาถวายได้ เจ้าเงาะป่าเขาฉลาดในอุบายปัญญา สามารถจะแก้ปัญหาและรบกับพระอินทร์ได้แท้ หกกษัตริย์และพวกอำมาตย์ก็พากันหัวเราะแล้วทูลทัดทานขึ้นต่อหน้าพระที่นั่งว่า พระแม่เจ้าข้า เจ้าเงาะป่าเป็นมนุษย์เหมือนรูปหุ่น ไม่สามารถจะแก้ปัญาหาและรบกับพระอินทร์ได้เลย พระราชเทวีมีเสาวนีย์ตรัสว่า พ่อพวกอำมาตย์ เจ้าเงาะป่ามีฤทธิ์มาก ท่านอย่าห้ามไว้เลย จงรีบไปตามตัวมาประชุมเดี๋ยวนี้ พระราชาทรงฟังเสาวนีย์เทวีตรัสดังนั้น จึ่งบังคับพวกอำมาตย์ว่า พวกท่านจงไปเรียกตัวเงาะป่าให้มาพร้อมกับนางคันธาเทวีณบัดนี้ พวกอำมาตย์รับราชดำรัสแล้ว ก็รีบไปนำตัวพระโพธิสัตวกับนางคันธาเทวีมาถวายพระราชา
พระราชากับราชเทวีทอดพระเนตรพระโพธิสัตวแล้วตรัสว่า ดูกรลูกรักของบิดา บิดาไม่มีความสุขเลย เพราะเหตุพระอินทรมาถามปัญหา และท้าให้บิดาตีคลีกันบนอากาศ บิดาและประชาชนก็หมดความสามารถที่จะแก้ปัญหาและตีคลีกับพระอินทร์ได้ ถึงวันคำรบเจ็ด พระอินทร์ก็จะเสด็จตีศีร์ษะบิดาด้วยค้อนเหล้ก พระราชาเล่าเนื้อความของปัญหาสองข้อและเหตุการณ์ทั้งปวงให้พระโพธิสัตวฟังถ้วนถี่ทุกประการแล้วตรัสว่า ถ้าหากพ่ออาจช่วยเปลื้องเหตุการณ์ที่บิดาเล่าให้ฟังนี้ได้ไซร้ บิดาจะยกราชสมบัติให้พ่อ พระราชายังดูหมิ่นพระโพธิสัตวอยู่ แต่รับสั่งอย่างนี้ด้วยยำเกรงต่อพระราชเทวีเท่านั้น พระโพธิสัตวกราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระมหาราช ถ้าหากว่าใคร ๆ เขาไม่อาจทำปฏิการแด่พระองค์ได้ไซร้ ข้าพระบาทอาจแก้ปัญหาและเหาะไปตีคลีกับพระอินทร์บนอากาศสนองพระคุณได้ พระองค์อย่าทรงวิตกไปเลย วันนั้นเป็นวันคำรบหกเวลาเย็น พระโพธิสัตวจึ่งถวายบังคมลากลับไปยังที่พักของตนก่อน ฝ่ายหกกษัตริย์กับมหาชนมีอำมาตย์เป็นต้นพากันกล่าวว่า เจ้าเงาะป่ากล้ารับอาสาแก้ปัญหาและตีคลีกับพระอินทร์ได้ หน้าอัศจรรย์นัก แล้วพากันสรรเสริฐพระโพธิสัตวโดยประการต่าง ๆ ด้วยประการฉะนี้
ครั้นรุ่งขึ้นเช้า เป็นวันที่คำรบเจ็ด พระเจ้ากรุงพาราณสีมีหฤทัยหวาดเสียวราวกะว่าจะแตกออกไปได้เจ็ดภาค จึ่งบังคับอำมาตย์ผู้หนึ่งให้ไปเรียกเจ้าเงาะมาเร็ว ๆ อำมาตย์ผู้นั้นรับราชดำรัสแล้วก็ไปบอกพระโพธิสัตวว่ พระราชารับสั่งให้หาตัวท่านไปเดี๋ยวนี้ พระโพธิสัตวคิดว่า เวลานี้ ควรเราจะเข้าไปเฝ้าพระราชา จึ่งบอกกะนางคันธาเทวีว่า เวลานี้ พี่จะไปเฝ้าพระราชบิดา จึ่งพานางคันธาเทวีมาเฝ้าด้วยกัน แล้วนั่งอยู่ณทอันสมควรส่วนหนึ่ง พระเจ้ากรุงพาณาสีทอดพระเนตรพระโพธิสัตวนั่งอยู่พร้อมกับนางคันธาเทวีแล้วตรัสว่า พ่อเงาะจงแก้ปัญหาและตีคลีกับพระอินทร์แทนเรา ถ้าพ่อยังช้าเกินเวลาไปอีกนิดเดียว บิดาก็จักตายเดี๋ยวนี้
พระโพธิสัตวกราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราช ถ้าว่าพระองค์ทรงบังคับให้ข้าพระพุทธเจ้าแก้ปัญหาและตีคลีกับพระอินทร์ไซร้ พระองค์จงบอกให้พวกอำมาตย์และประชาชนให้มาประชุมพร้อมกันณที่นี้ก่อน พระราชาจึ่งให้พนักงานเอาเภรีไปตีประกาศให้พวกอำมาตย์และประชาชนมาประชุมพร้อมกันตามคำพระโพธิสัตว เมื่อพวกอำมาตย์และชาวประชาชนมาประชุมกันแล้ว พระโพธิสัตวจึ่งร้องประกาศแก่พวกอำมาตย์และชาวประชาชนว่า บัดนี้ ไม่มีผู้ใดอาจจะรับธุระแทนพระราชาได้ พระราชาทรงเจาะจงตัวเราให้ช่วยทำธุระแทนพระองค์ ถ้าหากพระอินทร์แพ้เราไซร้ พระราชาจะยกราชสมบัติให้แก่เราสิ้น มหาชนจงรู้เห็นเป็นพยานแก่เราด้วย ประกาศแล้วก็ถอดรูปเงาะป่าออกจากกาย ทรงฉลองพระบาททิพรัตน และทรงจับพระขรรค์แก้วด้วยหัตถ์เบื้องขวา เหาะขึ้นบนอากาศ งามโอภาสดังสุวรรณราชหงส์ ทรงประทับลอยอยู่ท่ามกลางอากาศ พวกอำมาตย์และอาณาประชาราษฎรทั้งปวงเห็นพระโพธิสัตวทำอาการอย่างนั้น พากันประณมมือและให้สาธุการชมเชยพระโพธิสัตวโดยอเนกปริยาย
ท้าวมัฆวานจึ่งเข้าใกล้พระโพธิสัตว ถามปัญหาว่า แน่ะพ่อปราชญ สภาวธรรมสิ่งไรย่อมทำให้มืดในโลกนี้และโลกหน้า พ่อปราชญ์จงวิสัชนาความข้อนี้ให้แจ้งชัดแก่พวกเทวดาและมนุษซึ่งมาประชุมกันณพื้นดินถึงณพื้นอากาศ พระโพธิสัตวเมื่อจะกล่าวแก้ปัญหาจึ่งทูลว่า ข้าแต่ท้าวสักกเทวราช บุทคลผู้ใดทำโทษแก่ผู้อื่นที่ไม่มีความผิด ทำคนอื่นให้วิวาทซึ่งกันและกัน และทำปัญจานันตริยกรรม มีฆ่ามารดาเป็นต้น ไม่ฟังธรรมคำสอนของนักปราชญ์ กอปด้วยปาปจิตต์ บุทคลผู้นั้นชื่อว่า ทำความมืดในโลกนี้และโลกหน้า ข้าแต่เทวราช พระองค์จงทราบเนื้อความอย่างนี้แล ทีนั้น สรรพเทวา มีท้าวสักกะเป็นต้น ทำบูชาพระโพธิสัตวด้วยเข้าตอกและดอกไม้ และให้สาธุการเสียงสนั่นหวั่นไหว
ท้าวสหัสนัยน์จึ่งถามปัญหาที่สองว่า แน่ะพ่อปราชญ์ สภาวธรรมสิ่งไรเป็นแสงสว่างในโลกนี้และโลกหน้า พ่อปราชญ์จงวิสัชนาความข้อนี้ให้แจ้งชัด พระโพธิสัตวจึ่งทูลว่า ข้าแต่ท้าวสักกเทวราช บุทคลผู้ใดตั้งอยู่ในศีลห้าศีลแปด และบริจาคทานแก่ยาจก หมั่นสดับธรรมคำสอนของนักปราชญ์ มีจิตต์เมตตาสาปรานีแก่สัตวทั่วไป ตั้งอยู่ในคุณพระรัตนไตร ตลอดถึงมรรคและผล บุทคลผู้นั้นชื่อว่า สว่างไพโรจในโลกนและโลกหน้า อนึ่ง บุทคลผู้ใดเจริญจตุพรหมวิหารได้เป็นนิตย์ มิได้ปลงชีวิตสัตวให้ตกไป บุทคลผู้นั้นชื่อว่าสว่างไพโรจในโลกทั้งสอง คือ โลกนี้และโลกหน้า เมื่อพระโพธิสัตวแก้ปัญหาที่สองจบลงครั้งนั้น เทพดาและมนุษทำบูชาและให้สาธุการเหมือนนัยหนหลัง
พระโพธิสัตววิสัชนาปัญหาสองข้อเสร็จแล้ว จึ่งตีคลีกับพระอินทร์ณอากาศ รัศมีแห่งท้าวสักกเทวราชและพระโพธิสัตวทั้งสองก็แผ่ซ่านสว่างทั่วไปทั้งอากาศ เหมือนดังหยาดน้ำตาอันไหลจากนัยนาฉะนั้น สรรพเทพดาและมนุษย์เห็นแล้วก็ทำเสียงสาธุการแก่พระโพธิสัตวเป็นโกลาหล โถมนาการเชยชมตลอดถึงพรหมโลกเป็นที่สุด ท้าวสุชัมบดีตีคลีกับพระโพธิสัตวแพ้แล้วก็หนีไปยังเทวโลก พระโพธิสัตวโล่ตามพระอินทร์ไปหน่อยหนึ่ง จึ่งกลับลงมาถวายบังคมพระราชา ประชาราษฎรและอำมาตย์ราชกุมารทั้งหกได้เห็นพระโพธิสัตวกอบด้วยสิริวิลาศ มีอังคาพยพงามโอภาสเหมือนรูปหล่อด้วยทองคำทั้งแท่ง จึ่งซุบซิบพูดกันว่า เงาะป่ารูปร่างน่าเกลียดชังนักกลับมีบุญญานุภาพมากได้ เงาะป่านี้หลอกลวงพวกเราเพื่อจะเอาราชสมบัติของพระราชา
พระโพธิสัตวสดับพจนกถาหกกษัตริย์จึ่งตรัสว่า แน่ะท่านหกกษัตริย์ เมื่อพระราชบิดารับสั่งให้พวกเราไปหาเนื้อถวาย ท่านทั้งหกพบเรานั่งอยู่ณแผ่นสิลา ขอเนื้อกะเรา แล้วตัดใบหูบูชาเราคนละหน่อย เราก็ให้เนื้อแก่พวกท่านคนละตัว วันหนึ่ง ท่านทั้งหกไปหาสุกรในป่า พบเราเข้าอีก ได้ตัดนิ้วมือคนละหน่อยบูชาเรา ๆ ก็ให้สุกรแก่พวกท่านคนละตัว วันหนึ่ง ท่านทั้งหกไปหาปลา พบเราเข้า ได้ตัดปลายจมูกคนละหน่อยบูชาเรา ๆ จึ่งให้ปลาแก่พวกท่าน ข้อเหล่านี้จริงหรือหาไม่ ฯ ข้าพเจ้าทั้งหกได้บูชาแก่ท่านจริง พระโพธิสัตวจึ่งนำใบหูและนิ้วมือจมูกออกให้ดู แสดงให้ปรากฎแก่พระราชาและราชกุมารทั้งเสนาบดี
พระเจ้ากรุงพาราณสีทอดพระเนตร์สิ่งของ มีใบหูเป็นต้น ทรงกริ้วหกกษัตริย์ยกใหญ่ ขู่ว่า เมื่อก่อนเธอทั้งหกบอกแก่เราว่า ไปพบพระอินทร์ พระอินทร์ท่านประทานเนื้อ และสุกร กับปลาให้ จึ่งได้นำมาให้เรา เธอทั้งหกช่างหน้าด้านหาความละอายมิได้ ราชธิดาหกนางสดับคำพระโพธิสัตวแล้วก็อายใจ ขึ้งโกรธภัศดาของตน แล้วต่อว่า เธอทั้งหกเป็นอันธพาล ลวงหม่อมฉันด้วยอ้างเหตุต่าง ๆ พากันทำได้ ช่างไม่อับอายขายหน้าบ้างเลย หกกษัตริย์สดับปราสัยวาจา ก็ยิ่งอายใหญ่ พากับหมอบลงแทบบาท ทูลพระโพธิสัตวขอสมาโทษโดยนัยต่าง ๆ
พระโพธิสัตวมากด้วยความกรุณา ให้โอวาทสั่งสอนแด่มหาชน มีพระราชาและอำมาตย์เป็นต้น ซึ่งประชุมกันอยู่ที่นั้นว่า แน่ะท่านทั้งหลายผู้เจริญ ท่านทั้งหลายจงทำจิตต์ให้เลื่อมใสในกุศลธรรม มีทานและศีลเป็นต้น จงเป็นผู้เคารพนับถือผู้ใหญ่ในตระกูลที่ควรเคารพ มีมารดาบิดาเป็นอาทิ บุญกุศลย่อมให้สำเร็จผลในโลกนี้และโลกเบื้องหน้า อนึ่ง นรชนเหล่าใดสมาทานศีล ๕ มั่น นรชนเหล่านั้นย่อมมีสวรรค์เป็นเบื้องหน้า มหาชนมีพระราชาและเสนาบดีเป็นต้นสดับธรรมของพระโพธิสัตว มีจิตต์โสมนัสเลื่อมใส ยกมือไหว้ให้สาธุการชมเชยโดยอเนกนัย
พระเจ้ากรุงพาราณสีรับสั่งให้มหาเสนาและราชปุโรหิตเป็นต้นมาประชุมพร้อมกันณปราสาท จึ่งเชิญพระโพธิสัตวกับนางคันธาเทวีให้ขึ้นนั่งเหนือรัตนราสีกองแก้ว แล้วสรงน้ำมุรธาภิเษก มอบราชสมบัติ แล้วอวยพรชัยว่า เธอทั้งสองผู้มีบุญมาก จงเป็นอิศรภาพทั่วสากลทวีป และจงขอให้มีชนมายุยืนนานนิราศโรคภัย บิดามารดาจะขออาศัยพึ่งโพธิสมภารอยู่เป็นสุขต่อไป พระโพธิสัตวได้ดำรงราชสมบัติณพาราณสีนคร พระนามปรากฎว่า สุวรรณสังขราชา มีเกียรติยศและเกียรติคุณแผ่ไปในสากลทวีป ตั้งแต่ครั้งนั้นมา เมืองพาราณสีบริบูรณ์ไปด้วยวัตถาภรณ์ อุดมไปด้วยเข้ากล้า ฝนฟ้าก็ตกตามฤดูกาล ทั้งบริบูรณ์ด้วยแก้วเจ็ดประการ ทวยราษฎรก็เบิกบานอยู่เป็นสุข มีการมหรศพครึกครื้นทุกคืนวัน
เมื่อพระมหาสัตวครองราชสมบัติอยู่เป็นสุขสำราญ ทรงระลึกถึงพระมารดาขึ้นมา จึ่งดำริว่า เราพลัดพรากจากมารดามานาน ยังไม่ทราบเหตุว่า มารดายังทรงชนมชีพอยู่หรือสิ้นชนมชีพเสียแล้ว ถ้ากะไร เราจักไปสืบถามตามนิคมและราชธานี เมื่อพบประพระชนนีแล้ว จะได้รับกลับมาเสวยราชเป็นสุขต่อไป ดำริแล้วจึ่งตรัสกะนางคันธาเทวีว่า บัดนี้ พี่กับน้องนางเสวยราชสมบัติอยู่เป็นสุขแล้ว แต่พระมารดาของพี่ท่านจะสิ้นชีพเสียแล้ว หรือยังจะอยู่ที่ไหน พี่ไม่ทราบเลย พระน้องนางจงอยู่เสวยราชสมบัติไปก่อน พี่จะขอลาไปสืบหาพระมารดา พบแล้วจะได้พาท่านกลับมาเสวยราชสมบัติณเมืองนี้ด้วยกัน พระโพธิสัตวลาพระนางคันธาเทวีแล้วเสด็จลงจากปราสาทไปเฝ้าพระเจ้าพาราณสี ทูลเล่าเหตุนั้นให้ทราบ แล้วทูลลาออกจากนคร สัญจรไปตามมรรคา จนบรรลุถึงมัททราชธานี พระองค์เสด็จเข้าไปในนคร สืบถามชาวเมืองก็หาได้ความไม่ จึ่งดำเนินต่อไปถึงบ้านธนญชัยเศรษฐี
ธนญชัยเศรษฐีเห็นพระโพธิสัตวเจ้าผู้กอปด้วยสิริวิลาศ นึกประหลาดใจ จงถามว่า พ่อมานพรูปงาม พ่อมาแต่ไหน จึงได้มาถึงบ้านข้าพเจ้า จะต้องการอะไรหรือ ฯ ท่านมหาเศรษฐี ข้าพเจ้ามาหาท่าน ประสงค์จะพบพระนางจันทาเทวี มารดาข้าพเจ้า ท่านรู้จักตัวพระนางจันทาเทวีบ้างหรือไม่ ฯ ข้าพเจ้าไม่รู้จักพระนางจันทาเทวีเลย ธนญชัยเศรษฐีนึกแต่ในใจว่า มานพผู้นี้รูปร่างดี หาใช่คนเลวไม่ จักเป็นคนมีตระกูล จึ่งบอกกับแม่ครัวว่า ท่านจงจัดแจงหาโภชาหารมาให้มานพนี้บริโภค พวกแม่ครัวมีพระนางจันทาเทวีเป็นหัวหน้าพากันจัดแจงหาอาหาร เสร็จแล้วยกมาให้เศรษฐี ๆ จึ่งเชิญให้พระโพธิสัตวเสวยอาหาร พระโพธิสัตวเสวยอาหารมีโอชารสกลิ่นหอมฟุ้งเหมือนทิพาหาร พระองค์จึ่งสันนิฏฐานว่า พระมารดาของเราจักเป็นแม่ครัวอยู่ในเรือนเศรษฐีนี้แน่แล้ว ถามเศรษฐีนั้นว่า ใครเป็นผู้สำหรับจัดแจงอาหารให้ท่าน อาหารชะนิดนี้น่าจักเป็นของอันคนอิศรภาพบังคับให้ทำ อาหารอย่างนี้จึ่งมีโอชารสยิ่งนักหนา ฯ พ่อมานพรูปงาม หญิงผู้หนึ่งมาแต่อื่นได้อาศัยอยู่กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าให้เขาเป็นแม่ครัวจัดหาอาหารให้ ฯ ท่านมหาเศรษฐี ข้าพเจ้าอยากเห็นตัวแม่ครัวของท่าน ธนญชัยเศรษฐีให้หาตัวแม่ครัวผู้มารดาของพระโพธิสัตวนั้นมาให้พระโพธิสัตวทอดพระเนตร
พระโพธิสัตวเห็นพระมารดานั่งอยู่ก็จำไม่ได้ เพราะพลัดพรากจากกันมานานแต่เมื่อพระองค์ยังเด็กเล็กนัก พระองค์จึ่งถามว่า แม่อยู่เมืองไหน จึ่งได้มาเป็นแม่ครัวของเศรษฐี พระนางจันทาเทวีจึ่งเล่าความหลังให้ฟังว่า พ่อมานพรูปงาม ตัวดีฉันอยู่เมืองพรหมบุรี เป็นอัครมเหษีของพระเจ้าพรหมทัตต์ มีโอรสนามปรากฎว่า สุวรรณสังข์ นางสุวรรณจัมปาก มเหษีฝ่ายซ้าย คบคิดกับปาลกเสนาบดีแกล้งทูลยุงยงแด่พระราชาว่า ราชโอรสเป็นอุบาทว์เมือง ไม่ควรจะให้อยู่ในเมือง ให้เอาโอรสใส่แพกับมารดาลอยน้ำเสีย พระเจ้าพรหมทัตต์หลงเชื่อ จึ่งเอาตัวดีฉันกับโอรสใส่แพลอยน้ำไป ภายหลังแพก็แตก ดีฉันกับโอรสก็พลัดกัน ดีฉันขึ้นฝั่งน้ำได้ แล้วจึ่งเลยมาเป็นแม่ครัวของเศรษฐีอยู่ที่นี้ แต่สุวรรณสังขกุมารโอรสนั้นจะเป็นหรือตายดีฉันไม่ทราบเลย
พระสุวรรณสังขราชาทราบชัดว่า เป็นมารดาของพระองค์แน่แล้ว จึ่งตรัสว่า พระมารดาเจ้าข้า หม่อมฉันนี่แหละเป็นโอรสของมารดา มีนามว่า สุวรรณสังข์ พระนางจันทาเทวีทรงฟังดังนั้น ก็ตรงเข้าสวมกอดพระโอรส ไต่ถามถึงความทุกข์ยากแล้วพิลาปร่ำไร เมื่อสองกษัตริย์บรรเทาความโศกเสียได้แล้ว พระสุวรรณสังขราชาจึ่งรับสั่งกับเศรษฐีว่า ท่านมหาเศรษฐี เราจะขอลาเอามารดาของเราไป ให้ท่านเสวยราชสมบัติในเมืองพาราณสี ฯ ข้าแต่พระสุวรรณสังขราช พระมารดาของพระองค์มาอยู่กับข้าพระบาท ๆ มิได้รู้ว่า เป็นพระมารดาของพระองค์เลย พระองค์จงรับพระมารดาไปตามพระทัยพระสงค์เถิด พระเจ้าข้า พระสุวรรณสังขราชาอำลาเศรษฐีแล้ว พาพระมารดามาจนถึงเมืองพาราณสี ทรงเสวยราชสมบัติกับพระมารดาเป็นบรมสุขด้วยประการฉะนี้
พระเจ้ากรุงพาราณสีทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตวพาพระมารดามาถึงแล้ว ทรงพระโสมนัส ตรัสเรียกอำมาตย์และเสนาบดีมาสั่งว่า บัดนี้ สุวรรณสังขราชกุมาร โอรสของเรา เขาตามหามารดาพบแล้ว พามาถึงราชธานี บัดนี้ เราจักอภิเษกพระนางจันทาเทวีสถาปนาให้เป็นพระราชชนนีพันปีหลวง ดำรัสแล้วจึ่งพร้อมด้วยพระโพธิสัตวให้พระนางจันทาเทวีสรงน้ำมุรธาภิเษกสถาปนาไว้ในอัครสถานที่ราชชนนีพันปีหลวง
พระสุวรรณสังขราชาเสวยราชสมบัติเป็นสุขสถาพร ทรงสั่งสอนมหาชน มีอำมาตย์เป็นต้น ให้ตั้งอยู่ในสุจริตธรรม มหาชนตั้งอยู่ในราโชวาท ทรงไว้ซึ่งจตุพรหมวิหารธรรมและกุเลเชฏฐาปัจจายิกกรรม มิได้ละเลยล่วงราโชวาท พระสุวรรณสังขราชาครองราชย์สมบัติณเมืองพาราณสีประเสริฐเลิดยิ่งกว่าพระราชาอื่น ๆ ในพื้นชมพูทวีป พระนครพาราณสีนั้นเกษมรื่นรมย์ อุดมไปด้วยหิรัญสุวรรณรัตนเสมอด้วยสมบัติในเทวนคร ฝูงอาณาประชาราษฎรทุกถ้วนหน้าพากันสรรเสริญคุณของพระราชา กิตติสัพทกถาก็ปรากฎไปถึงพรหมบุรีของพระเจ้าพรหมทัตต์ซึ่งเป็นพระราชบิดาของพระสุวรรณสังขราชา
ประชาชนชาวเมืองพรหมบุรีทราบเหตุนั้นแล้วคิดปรึกษากันว่า พระสุวรรณสังขราชกุมารยังไม่สิ้นชีพ กลับได้เป็นยอดกษัตริย์ครองราชสมบัติเมืองพาราณสี ถ้าหากว่าพวกเราขืนอยู่เมืองนี้ต่อไปไซร้ ก็จักถึงวินาศไม่ต้องสงสัย พระราชาหาตั้งอยู่ในราชธรรมไม่ ช่างเอาพระปิโยรสของพระองค์ลอยแพเสียได้ พวกเราไม่ควรอยู่ด้วยเลย พวกเราพากันหนีไปเสียจากเมืองนี้เถิด ปรึกษาเห็นพร้อมกันแล้วก็พาบุตรภรรยาไปเมืองพาราณสีอาศัยพึ่งโพธิสมภารของพระโพธิสัตวอยู่เป็นสุขทุกทิวาราตรี
ยังมีอำมาตย์ข้าละอองพระบาทของพระเจ้าพรหมทัตต์ผู้หนึ่งเที่ยวตรวจตราพระนคร เห็นประชาชนราษฎรร่วงโรยน้อยไป จึ่งนึกว่า พระนครพรหมบุรีนี้ปราศจากสิริสุขสมบัติด้วยเหตุไร ด้วยเหตุว่าพระราชาหลงเชื่อถ้อยคำปาลกเสนาบดีและนางจัมปากเทวี มเหษีฝ่ายซ้าย ทูลยุยงปรักปรำว่า พระสังขราชกุมารเป็นกาลกิณณี จึ่งเอาพระโอรสกับมารดาใส่แพลอยน้ำเสีย แต่นั้นมา พระนครพรหมบุรีจึ่งเสื่อมโทรมไป มีมนุษย์อยู่น้อยนัก ไม่เหมือนแต่ก่อน พระนครน่าจักวินาศเสียเป็นแน่ เราจะทูลเรื่องนี้กะพระราชา ให้ไปไปรับพระราชกุมารกลับมาให้เสวยราชสมบัติที่เมืองนี้ ๆ ก็จะเจริญรุ่งเรืองเหมือนดังแต่ก่อน คิดแล้วก็เข้าเฝ้าพระราชา กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราช ข้าพระบาทไปตรวจการทั่วไป ได้เห็นพระนครเกือบจะพินาศเสียแล้ว เพราะเหตุไร เพราะเหตุพระองค์ให้เอาพระโอรสใส่แพลอยน้ำเสีย พระโอรสนั้นก็หาถึงสิ้นพระชมน์ไม่ บัดนี้ ได้เสวยราชสมบัติณเมืองพาราณสี หามีพระราชาองค์อนจะเสมอมิได้ คนชาวเมืองนี้ชักชวนกันไปเมืองพาราณสีเสียมากนักหนา บัดนี้ เมืองพาราณสีคับคั่งไปด้วยหญิงชายมากมายนัก ขอเชิญพระองค์เสด็จไปเมืองพาราณสีรับเอาพระโอรสกลับมาให้เสวยราชสมบัติเมืองนี้เถิด พระนครของพระองค์ก็จะเกิดเกียรติยศเกียรติคุณอยู่เกษมสุขด้วยเดชานุภาพบุญสมภารแห่งพระโอรส
อำมาตย์นั้น เมื่อจะปลอบพระราชาให้ชอบพระหฤทัย จึ่งทูลพรรณนาให้ยิ่งขึ้นไปว่า ข้าแต่พระมหาราช ถ้าหากว่าพระองค์ปราศจากพระโอรสเสียแล้วไซร้ ชื่อเสียงอันดีก็จะไม่ปรากฎทั่วไป อุปมัยเหมือนแม่น้ำอันปราศจากวารี ก็หาเป็นที่พึ่งแก่ชายหญิงได้ไม่ ถ้าพระองค์ปราศจากพระโอรสเสียแล้ว พระราชอาชญาก็หาปรากฎไม่ อุปมัยเหมือนฝูงช้างอันปราศจากพระยามาตังคกญชรแล้ว ก็ไม่อาจจะย่ำยีหม่ปัจจามิตรได้ ฉะนั้น ถ้าหากว่าพระองค์ไม่ทำตามดังกราบทูลนี้แล้ว พระนครของพระองค์ก็จักศูนย์สิ้นไป พระองค์ไม่ได้ดำรงอยู่ในราชสมบัติแล้วหรือเสด็จทิวงคตเสียก็ดี ก็จักหามีใครสืบต่อราชสันตติวงศไม่
อนึ่ง ข้าแต่พระมหาราช พระสุวรรณสังขราชโอรสเกิดแต่อุรของพระนางจันทาเทวีแท้ หาใช่เกิดโดยผู้อื่นไม่ พระองค์จงวินิจฉัยนึกถึงต้นเหตุก่อน เดิมพระองค์หวังจะหาโอรส ตั้งพระทัยไว้ว่า ถ้าพระโอรสเกิดแต่พระเทวีไซร้ เราจักยกราชสมบัติให้แก่พระโอรสองค์นั้น ครั้นพระราชโอรสไม่เกิดดังพระประสงค์ พระองค์กับพระนางจันทาเทวีทรงสมาทานศีลแปด อธิษฐานขอให้ได้พระโอรส พระนางจันทาเทวีบรรทมหลับไปในราตรี ทรงพระสุบินว่า พระสุริยลอยมาตกต้องพระกายาพระนางจันทเทวี ๆ ตื่นบรรทมแล้วจึ่งทูลเล่าพระสุบินให้พระองค์ทรงฟัง พระองค์รับสั่งให้เนมิตกาจารย์พยากรณ์ ๆ ว่า พระนางจันทาเทวีจะได้พระราชโอรสอันประเสริฐเลิดในสากลทวีปดังนี้ พระองค์ยังมาหลงเชื่อว่า พระราชโอรสเป็นกาลกิณณอย่างไรได้
พระเจ้าพรหมทัตต์ทรงสะดับดังนั้น เกิดความเยื่อใยในราชโอรสขึ้นมา ทรงปริเทวนายกใหญ่ ครั้นบรรเทาความโศกเสียได้ จึ่งตรัสตอบขอบใจอำมาตย์นั้นว่า แน่ะพนาย ท่านมาพูดทักท่วงขึ้นนี้ ขอบคุณของท่านนักหนา หาที่เปรียบมิได้ เราจะให้ไปรับโอรสมาให้ครองราชสมบัติในเมืองนี้ตามคำของท่าน ครั้นรุ่งเช้า พระเจ้าพรหมทัตต์รับสั่งให้เรียกอำมาตย์ราชปุโรหิตเข้ามาปรึกษาว่า จะให้เสนาบดีผู้ใหญ่ไปเมืองพาราณสีขอรับเอาราชโอรสกับอัครมเหษีมาให้ครองราชสมบัติณพรหมบุรี อำมาตย์ราชปุโรหิตทั้งปวงยินดีพร้อมกันทุกถ้วนหน้า พระราชาจึ่งให้พนักงานเอาเภรีไปตีประกาศให้ข้าทูลละอองพระบาทและราษฎรให้ทราบทั่วกันว่า เราจักให้ไปรับราชโอรสมาครองราชสมบัติณเมืองนี้ และว่า ให้พนักงานเตรียมจตุรงคเสนาสี่เหล่ากับเครื่องราชาภิเษกไว้ให้เสร็จ กับให้จัดหาเครื่องบรรณาการไปถวายพระเจ้ากรุงพาราณสี มหาชน มีอำมาตย์เป็นต้น มีความโสมนัส พากันจัดจตุรงคเสนาและจัดหาบรรณาการที่จะถวายพระราชาไว้เสร็จทุกสิ่งสรรพ์
ครั้งถึงวันกำหนดที่จะไปรับราชโอรส พระราชาจึ่งรับสั่งให้หาเนมิตกาจารย์มาคำนวณสุภฤกษ์ แล้วจึ่งรับสั่งให้มหาเสนาบดีเป็นประธานกำกับไป มหาเสนาบดีรับราชดำรัสแล้ว ก็ให้พวกพลนิกายถือบรรณาการเคลื่อนจากนครไปจนกะทั่งถึงเมืองพาราณสี จึ่งเข้าเฝ้าถวายราชบรรณาการพระเจ้าพาราณสี แล้วต่างทำปฏิสันฐารรับตอบซึ่งกันและกันตามประเพณี เมื่อเสร็จการต้อนรับกันแล้ว พระเจ้าพาราณสีรับสั่งให้หาพระโพธิสัตวมาพร้อมกับพระราชชนี จึ่งรับสั่งถามเสนาบดีว่า ท่านมาครั้งนี้เพื่อประสงค์อะไร ฯ มหาราช พระเจ้าพรหมทัตต์ ราชบิดาของพระสุวรรณสังขราชกุมาร รับสั่งใช้ให้ข้าพระพุทธเจ้านำราชบรรณาการมาถวายพระองค์ ประสงค์จะให้ข้าพระพุทธเจ้าขอรับราชกุมารกับทั้งราชมารดาไป จะให้ครองราชสมบัติณพรหมบุรี ขอพระองค์ได้ทรงโปรดประทานให้เถิดพระเจ้าข้า ฯ สุวรรณสังขราชกุมารและพระนางจันทาเทวีนี้เป็นกาลกัณณี พระราชาของท่านขับไล่เสียแล้ว เหตุไรจะให้มารับเอาไปอีกเล่า เราให้สองกษัตริย์นี้ไปไม่ได้ เราจักให้ครองราชสมบัติอยู่เมืองเรา
มหาเสนาบดีผู้นั้นฉลาดในการทูลตอบ จึ่งทูลว่า พระมหาราช ถ้าหากพระองค์ไม่ยอมส่งสองกษัตริย์ให้ไปกับข้าพระพุทธเจ้า ๆ จักกลับไปแต่ผู้เดียว ถ้าว่าพระราชบิดามิได้เห็นพระโอรส ก็จักทรงพระกำสรดโศกาลัย พระหฤทัยจักแตกออกเป็นสองภาค ทิวงคตไป เมื่อพระราชาของข้าพระพุทธเจ้าทิวงคตไปด้วยความสิเนหาในพระโอรสอย่างนี้ บาปกรรมอันนั้นก็จักติดตามพระองค์ไปในปรโลกเป็นแน่
พระเจ้ากรุงพาราณสีสดับคำเสนาบดีทูลดังนั้น มีพระกรุณาเป็นกำลังต่อพระเจ้าพรหมทัตต์ จึ่งตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น เราจะยอมให้สองกษัตริย์ไปกับท่าน มหาเสนาบดีมีความโสมนัส จึ่งทูลสองกษัตริย์ว่า สมมติเทวา บัดนี้ พระราชบิดาใช้ให้ข้าพระพุทธเจ้ามาเชิญพระองค์เสด็จไป และจะให้ครองราชสมบัติ ฯ ท่านมหาเสนาบดี พระราชบิดาของเรายังทรงพระสำราญนิราศโรคาพยาธิ และอาณาประชาราษฎรยังบริบูรณ์หรือประการใด ฯ สมมติเทวา พระราชบิดาของพระองค์ทรงพระสำราญ หาโรคาพยาธิมิได้ แต่ทรงพระอาลัยระลึกถึงพระองค์ ทรงปริเทวนาการเป็นนิตย์ทุกวันมิได้ขาด สองกษัตริย์ทรงฟังดังนั้นก็ทรงรับว่า จะเสด็จไปด้วยเสนาบดี
พระเจ้ากรุงพาราณสีทรงโสมนัส จึ่งรับสั่งพนักงานให้จัดพาหนะ มีช้างม้าเป็นต้น แล้วมอบให้สองกษัตริย์เสร็จ คราวนั้น กษัตริย์สามพระองค์ คือ พระนางจันทาเทวี และพระสุวรรณสังข์ กับพระนางคันธาเทวี จึงพร้อมกันกราบทูลถวายบังคมลาพระเจ้าพาราณสี ๆ ทรงพระอาลัยในสองโอรสนัก มิใคร่จักให้จากไป ทรงพิลาปร่ำไรแล้วประทานพรชัยว่า พระโอรสจงเสด็จไปครองราชสมบัติให้เป็นสุขแก่ชาวรัฐวาสี และรักษาขัติยประเพณีโดยสุจริตเถิด สามกษัตริย์รับพระพรชัยแล้วถวายบังคมออกมาบอกลามหาชน มีข้าหลวงชาวอภิรมย์เป็นต้น บรรดาที่มาคอยส่งเสด็จ ครั้นถึงฤกษ์งามตามเนมิตกาจารย์คำนวณถวายแล้ว จึ่งพร้อมกันเสด็จขึ้นประทับณราชอาศน์ เหล่าเสนามาตย์ เหล่าจตุรงคเสนา มีมหาเสนาบดีเป็นต้น พร้อมกันแห่นำตามเสด็จเป็นขะบวนหน้าและหลัง โดยเสด็จแต่เมืองพาราณสีไปกะทั่งถึงพรหมบุรีรัฐ จึ่งได้ให้หยุดพวกพลนิกรจัดทำราชนิเวสนาศน์เสด็จประทับอยู่ในที่นั้น
ครั้นแล้ว มหาเสนาบดีจึ่งเข้าไปเฝ้ากราบทูลพระเจ้าพรหมทัตต์ว่า พระมหาราช บัดนี้ พระราชโอรสของพระองค์เสด็จมาถึงรัฐประเทศนี้แล้ว พระเจ้าข้า พระเจ้าพรหมทัตต์ทรงพระโสมนัส ดำรัสสั่งให้พนักงานเอาเภรีไปตีประกาศว่า บัดนี้ พระสุวรรณสังขกุมาร โอรสของเรา มาถึงนครรัฐแล้ว เราจักออกไปรับโอรสให้เข้ามาครองราชสมบัติณเมืองนี้ ชาวเมืองพาราณสีจึ่งพากันประดับมรรคาซึ่งจะเสด็จมาด้วยพวงดอกไม้เงินทองและพวงสุคนธมาลา สองฟากมรรคาก็ปักธงและแผ่นผ้ากับทั้งต้นกล้วยและอ้อยลำ ผูกขัดจัดประจำตามระวางเป็นจังหวะแลไสว ครั้นแล้ว พระเจ้าพรหมทัตต์พร้อมด้วยราชบริวารเสด็จออกไปต้อนรับสามกษัตริย์ยังที่ประทับณพลับพลา สามกษัตริย์ทอดพระเนตรพระราชาเสด็จมาถึง พร้อมกันต้อนรับแล้วถวายบังคม
สี่กษัตริย์ คือ พระราชาพรหมทัตต์ พระสุวรรณสังขราช พระนางจันทาเทวี และนางคันธาราชบุตรี มาพร้อมกันแล้ว ก็ทรงพระกรรแสงไห้ ครั้นระงับความโศกได้แล้ว ก็ชวนกันเสด็จกลับเข้าพระนคร แล้วประทับณมหาปราสาท พระเจ้าพรหมทัตต์จึ่งดำรัสสั่งอำมาตย์ให้เอานันทเภรีไปตีประกาศให้ชาวประชาราษฎรทราบทั่วกันว่า อำมาตย์และราษฎรทั้งหลายจงมาพร้อมกัน เราจักทำอภิเษกราชกุมารกับนางคันธาเทวีให้ครองราชสมบัติณเมืองนี้ ครั้นมหาชน มีอำมาตย์เป็นต้น มาประชุมพร้อมกันแล้ว เมื่อถึงยามสุภนักษัตร พระเจ้าพรหมทัตต์จึ่งอภิเษกสองกษัตริย์และอวยพรชัยให้ขึ้นครองราชสมบัติแทนพระองค์
เมื่อเสร็จการมังคลาภิเษกแล้ว พระนางจันทาเทวีจึ่งกราบทูลพระราชสามีว่า พระมหาราช หม่อมฉันจักขออนุญาตอยู่ผู้เดียวกับราชโอรส พระองค์อย่าทรงอภิเษกหม่อมฉันเลย หม่อมฉันไม่ขอเป็นมเหษีของพระองค์ต่อไปอีกแล้ว ฯ พระท้าวนางผู้เจริญ พี่ได้ล่วงเกินผิดไปแล้ว หาทันที่จะพิจารณ์ไม่ พระน้องนางอย่าถือโทษโกรษพี่เลย แต่นี้ต่อไป พี่จะไม่ทำโทษสิ่งไรให้เป็นอันขาด ฯ ซึ่งฝ่าพระบาทตรัสประภาษมานี้ พระบารมีเป็นที่ยิ่ง ถึงกะนั้น ถ้าหากว่าหม่อมฉันตายเสียได้วันนี้ นับว่าดีกว่าอยู่สู้ทนให้คนนินทาว่าเป็นกาลกัณณีต่อไป
พระเจ้าพรหมทัตต์ทรงฟังดังนั้น จึงตรัสถามนางจัมปากเทวีซ้ายว่า สุวรรณสังขราชกุมารและนางจันทาเทวี ใครมีโทษและไม่มีโทษ ฯ นางจันทาเทวีนี้แหละมีโทษเป็นกาลกัณณี พระนางจันทาเทวีสะดับคำนางจัมปากเทวีทูลดังนั้น ทรงเสียพระทัยยิ่งนักหนา จึ่งทูลว่า พระมหาราช หม่อมฉันหาเป็นกาลกัณณีไม่ ใครเล่าอยากจะเห็นความสัตย์จริงกับหม่อมฉันบ้าง ถ้าหากพระองค์จะทรงเห็นความชั่วร้ายของผู้ใดไซร้ จงรับสั่งให้ผู้นั้นแสดงโทษของตนด้วยวิธีลุยไฟเป็นทิพพะยานณกาลบัดนี้ พระเจ้าพรหมทัตต์จึ่งตรัสใช้อำมาตย์ให้ก่อกองไฟขึ้นณหน้าพระลาน รับสั่งกะนางจันทาเทวีว่า พระนางน้องจงอธิษฐานสัจจกิริยาแล้วเข้าไปในกองเพลิง ทำให้ปรากฎแก่ตามหาชน
พระนางจันทาเทวีสะดับโองการตรัสดังนั้น จึ่งถวายบังคมบาทพระราชสามีแล้ว เมื่อจะประกาศแก่เทวดา จึ่งทำสัจจาธิษฐานว่า ข้าแต่เทพดารักษาเศวตฉัตร และเทพดาซึ่งสถิตอยู่ณต้นไม้และหย่อมหญ้า ขอเทพดาทั้งหลายจงฟังถ้อยคำของข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าเป็นกาลกัณณีสมจริงของนางจัมปากว่าไซร้ ขอเทวดาทั้งหลายจงอย่ารักษาชีวิตข้าพเจ้าไว้เลย ขอให้ข้าพเจ้าตายเสียในขณะลุยไฟ ถ้าหากว่าข้าพเจ้าไม่ได้เป็นกาลกัณณีไซร้ ขอให้เทวดารักษาข้าพเจ้าไว้ให้ปราศจากชีวิตันตราย นางอธิษฐานแล้วก็เข้าไปนั่งในกองไฟ ทันใดนั้น มีดอกบัวทองผุดขึ้นมารองรับพระนางจันทาเทวีไว้ เปลวอัคคีก็มิได้ไหม้สรีระกายา อุปมาเหมือนนั่งอยู่ณปราสาท นั่งตรัสประภาษอยู่กับหมู่อำมาตย์ ดูก็เป็นที่น่าประหลาดใจ พระเจ้าพรหมทัตต์ทรงพระโสมนัสตรัสเรียกให้พระนางจันทาเทวีออกมาเสียจากกองอัคคี พระราชเทวีก็ออกมานั่งอยู่ณปัญตาสนโดยผาสุกภาพ ทีนั้น อกุศลเข้าดลใจนางจัมปากเทวีให้นางดีใจอยากจะลุยไฟ จึ่งตั้งสัจจาธิษฐานเหมือนพระนางจันทาเทวี แล้วเข้าไปยังกองอัคคี ๆ ก็เผาผลาญทำกาลตายไปเกิดในอเวจีนรก นางกระทำการลามกเห็นประจักษ์แก่ตามนุษย์ทั้งหลาย นางจันทาเทวีก็พ้นความครหาว่าชั่วร้าย
เตน วุตฺตํ เพราะเหตุนั้น พระโบราณาจารย์ท่านจึ่งได้กล่าวสอนไว้ว่า บุทคลผู้ใดกล่าวคำเท็จไม่จริงด้วยตนและยังคนอื่นให้กล่าวคำเท็จเพื่อจะแกล้งให้เขาตาย บุทคลผู้นั้นย่อมจะถึงความพินาศและจะไปเสวยมหาทุกขเวทนาในอเวจีนรกด้วยผลแห่งวจีทุจริตกรรมเหมือนนางจัมปากเทวีฉะนั้น
เมื่อนางจัมปากเทวีทำกาลตายไปแล้ว พระเจ้าพรหมทัตต์จึ่งตั้งนางจันทาเทวีไว้ในที่พระอัครมเหษี พระสุวรรณสังขราชกุมารและพระนางจันทาเทวีได้ครองราชสมบัติณพรหมบุรีนครเป็นบรมสุขสถาพรยิ่งนัก พระสุวรรณสังขราชาจึ่งทูลเล่าความทุกขวิโยคถวายพระราชบิดาว่า พระมหาราช เมื่อพระองค์ได้เอาข้าพระพุทธเจ้ากับพระมารดาใส่แพลอยไปในคงคา แพนั้นครั้นถูกลมพัดกล้าก็แตกกระจายไป ข้าพระพุทธเจ้ากับมารดาก็พลัดกัน พระมารดานั้นเกาะไม้ได้ท่อนหนึ่ง ลอยไปถึงฝั่งน้ำเขตต์มัททราชธานี พระชนนีขึ้นฝั่งได้ เซซังไปรับจ้างทำครัวอยู่กับธนญชัยเศรษฐี พระมหาราช ส่วนข้าพระบาทอาศัยเรือพระยานาคนิรมิตให้ แล้วลอยไปพบพระดาบศองค์หนึ่ง ท่านกรุณาพาส่งข้ามไปฝั่งอื่น ข้าพระพุทธเจ้าลอยเรือเลียบตามฝั่งนั้นมาพบยักขินีตนหนึ่งริมฝั่งนที ยักขินีนั้นพามาเลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรม ข้าพระพุทธเจ้าหนีจากเมืองยักข์มาถึงบ้านคนเลี้ยงโคแห่งหนึ่ง จึ่งอาศัยอยู่กับนายคามโภชก รับจ้างเขาแลี้ยงโคเลี้ยงชีพอยู่ที่นั่นนาน ภายหลังจึ่งได้ราชบุตรีพระเจ้าพาราณสีเป็นชายา ต่อเมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้เป็นลูกเขยพระเจ้าพาราณสีจึ่งมีความสุขมาก ข้าพระพุทธเจ้าระลึกถึงพระมารดาขึ้นมา จึ่งเที่ยวติดตามถามหา ได้พบพระมารดาที่เรือนธนญชัยเศรษฐี จึ่งรับพระมารดามาเสวยรัชชสุขณเมืองพาราณสีอยู่ตราบเท่าพระองค์ส่งมหาเสนาบดีให้ไปรับมา ความวิโยคทุกข์ยากของลูกกับพระมารดาหากเป็นถึงเพียงนี้ นี่หากว่ากุศลหนหลังยังมี จึ่งได้มาประสบพบฝ่าพระบาทราชบิดา
พระเจ้าพรหมทัตต์จึ่งตรัสปลอบว่า บิดาหลงเชื่อคำคนอันธพาล ทำโทษให้พ่อเป็นนักหนา พระโอรสจงอดโทษให้บิดาผู้หาวิจารณปัญญามิได้ พระโพธิสัตว์อดโทษให้พระราชบิดาแล้ว แต่นั้นมา พระองค์ได้เสวยราชสมบัติเป็นอัครราชา ตั้งอยู่ในทสธรรม ชักนำประชาชนให้ตั้งอยู่ในทสกุศลกรรมบถและศีลห้าเป็นต้น
ทีนี้ จะกล่าวถึงปาลกเสนาบดีต่อไป ใจความว่า เมื่อสุวรรณสังขราชกุมารเสด็จเข้ามาถึงพรหมบุรี ปาลกเสนาบดีนึกสะดุ้งจิตต์คิดไปว่า พระสุวรรณสังขราชกุมารมาได้ผ่านราชสมบัติณเมืองนี้ จักทรงพิโรธทำโทษแก่เรา ๆ จักหนีไปเสียณเมืองอื่น จักพาเอาพลโยธามาจับพระสุวรรณสังขราชกุมารกับพระมารดาฆ่าเสียจงได้ ปาลกเสนาบดีคิดเสร็จแล้วก็หนีไปเมืองปัญจาลธานี เข้าไปเฝ้าพระเจ้าปัญจาลราช ทูลด้วยปิสุณาวาทว่า สมมติเทวา บัดนี้ พระสุวรรณสังขราชกุมารผ่านราชสมบัติเป็นเอกราชแล้ว จัดเตรียมโยธาไว้มากมาย จักยกมาตีเมืองพระองค์แย่งสมบัติเมืองนี้อีก ข้าพระพุทธเจ้าทราบเกล้าแล้วจึ่งมาเฝ้ากราบทูลให้ทรงทราบฝ่าพระบาท
พระเจ้าปัญจาลราชทรงฟังดังนั้น สำคัญว่าจริง ทรงพระโกรธาเป็นอันมาก จึ่งรับสั่งอำมาตย์ให้เอาเภรีไปตีประกาศให้พลเมืองมาประชุมพร้อมกัน ชาวพระนครประมาณเจ็ดอโขเภณีได้มาประชุมพร้อมกันณหน้าพระลานหลวง พระราชาทรงเล่าความทั้งปวงให้มหาชนมีมหาอำมาตย์เป็นต้นฟัง แล้วจัดปาลกเสนาบดีผู้รับอาสาให้คุมเสนาพยุหเป็นทัพหน้ายกไปก่อน จึ่งจัดมหาอำมาตย์ของพระองค์เป็นแม่ทัพใหญ่ให้คุมเสนาพยุหยกตามไปภายหลัง แม่ทัพนายกองได้เดินกองทัพไปถึงพรหมบุรีตามลำดับ เสนาเจ็ดอโขเภณีจึ่งพร้อมกันล้อมเมืองเข้าไว้ถึงเจ็ดชั้น เสียงโยธาโห่สนั่นหวั่นไหวปานประหนึ่งว่าปถพีและพระนครจะทรุดหักทำลายไป โยธาบางพวกก็พากันร้องว่า พวกเราจงช่วยกันพังกำแพงเมืองเข้าไป โยธาบางพวกก็พากันร้องว่า พวกเราจงช่วยกันจับพระเจ้าพรหมทัตต์กับสุวรรณสังขราชาฆ่าเสียให้ได้
คราวนั้น ชาวนครพรหมบุรีได้ฟังเสียงมหาโยธามีหัตถานิกเป็นต้น ก็เกิดขนพองสยองเกล้า ปรึกษากันว่า เมื่อปัจจามิตรมาติดเมืองอยู่มากมายนัก บัดนี้ พวกเราจักคิดอย่างไร จึ่งจะพ้นภัยได้ พระสุวรรณสังขราชกุมารก็ตกพระหฤทัยกลัวต่อข้าศึก จึ่งนึกถึงนางยักษินีว่า นางยักษินีมารดาเลี้ยงของเรา เดี๋ยวนี้ไปเกิดที่ไหน ดำริแล้วจึ่งร่ายทิพมนต์ที่มารดาให้ไว้ ก็ทราบชัดว่า นางยักษินีนั้นไปเกิดในชั้นจาตุมหาราชิกเทวโลก พระองค์จึ่งทรงฉลองพระบาททองเหาะไปสู่สำนักเทวธิดา ทำอภิวันทน์ แล้วบอกว่า พระแม่เจ้าข้า เดี๋ยวนี้พวกข้าศึกมาล้อมเมืองไว้แน่นหนา ข้าพเจ้าไม่เห็นใครจะเป็นที่พึ่งได้ เห็นอยู่แต่มารดาผู้เดียวจะเป็นทีพึ่งแก่ข้าพเจ้า พระมารดาเจ้าจงเป็นที่พึ่งแก่ข้าพเจ้ากับทั้งพวกชาวเมืองด้วยเถิด
นางเทวธิดานั้น ครั้นสะดับทราบความแล้ว ก็ให้มีความเมตตาต่อพระสุวรรณสังขราชกุมาร จึ่งประทานพระขรรค์ทิพชื่อ สิริชัย ให้แก่พระสุวรรณสังขราชกุมาร แล้วบอกว่า พ่อจงรับเอาพระขรรค์แก้วแล้วด้วยเทวฤทธิ์ที่มารดาให้นี้ไป ถ้าหากว่าปัจจามิตรมาข่มเหงแย่งราชสมบัติของพ่อไซร้ พ่อจงเหาะขึ้นบนอากาศ แล้วเอาพระขรรค์แก้วแกว่งบนศีร์ษะของพ่อไว้ หมู่ปัจจามิตรจะพ่ายแพ้กลับไปด้วยอำนาจรัตนขรรคาวุธ พ่อราชบุตรจงทำตามมารดาสั่งดังนี้
พระสุวรรณสังราชกุมารรับเอารัตนขรรคาวุธอันให้สำเร็จความปราร์ถนาจากเทวธิดาแล้ว ก็อำลากลับมายังสำนักราชบิดามารดา จึ่งพร้อมด้วยพลเสนาเสด็จออกจากพระนคร เหาะขึ้นบนอากาศ แล้วแกว่งทิพรัตนขรรคาวุธตามที่นางเทวธิดาบอกไว้ รัศมีพระขรรค์แก้วก็ลุกโพลงตกลงมาเสียงดังประเปรี้ยงเหมืองเสียงอสนี ประหนึ่งว่าจะทำมหาโยธาข้าศึกให้ตายไปหมดด้วยกัน พวกเสนานับได้เจ็ดอโขเภณี ประหนึ่งว่าจะมีศีร์ษะแตกออกไป พากันร้องขอชีวิตต่อพระโพธิสัตว์ว่า พระมหาราช ข้าพระบาททั้งหลายจะไม่คิดประทุษฐร้ายต่อพระองค์ ๆ จงประทานชีวิตให้เถิดพระเจ้าข้า
ฝ่ายปาลกเสนาบดีก็ไม่อาจดำรงตนอยู่ได้ ด้วยอิทธานุภาพแห่งพระขรรค์แก้วสิริชัย จึ่งพลัดจากคอช้างตกลงไปณปถพี วิบากแห่งอกุศลความอกตัญญูให้ผล ปถพีดลอันหนาได้สองแสนสี่หมื่นโยชน์ก็เปิดช่องให้ ปาลกเสนาบดีก็จมลงไปไหม้อยู่ในอเวจีนรก
เตน วุตฺตํ เพราะเหตุนั้น พระโบราณาจารย์ท่านได้กล่าวสอนไว้แล้วว่า บุทคลผู้ใดกล่าวมุสาวาทใส่โทษแก่ผู้อื่นก็ดี แก่ญาติเผ่าพันธุ์มิตรสะหายก็ดี หรือใส่โทษแก่ครูอาจารย์และท่านผู้มีคุณแก่ตนก็ดี บุทคลผู้นั้น ครั้นตายแล้ว ก็จักไปเกิดในอเวจีนรก เหมือนปาลกเสนาบดีฉะนั้น
พระโพธิสัตว์ทรงพระกรุณาแก่มหาชนเป็นอันมาก จึ่งตรัสว่า พวกมหาโยธาทั้งหลาย พระเจ้ากรุงปัญจาลราชทรงเชื่อคำปาลกเสนาบดีคนลามก ให้ยกกองทัพมาทำสงครามกับเราผู้หาความผิดมิได้ และละสัปปุริสธรรม แล้วทำซึ่งอธรรมทางอบาย แต่นี้ไป ท่านทั้งหลายจงอย่าทำบาปกรรมเช่นนี้ต่อไปเป็นอันขาด ทรงให้โอวาทต่อไปอีกว่า บุทคลผู้ใดฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ทำปรทารกรรม กล่าวปด เสพสุราเมรัย บุทคลผู้นั้นจักถึงความพินาศเหมือนปาลกเสนาบดี อนึ่ง ฝ่ายกุศลธรรม คือ ศีล ทาน ธรรมสวนะ และเมตตา ภาวนา กุเลเชฏฐาปจายิกธรรม เหล่านี้มีคุณยิ่งใหญ่ ผู้ใดไม่ประมาทในธรรมที่เราสอนแล้วนี้ ผู้นั้นจุติจากโลกนี้แล้ว จักไปเกิดในสวรรค์ ด้วยกุศลธรรมอันนั้น ทรงให้โอวาทแล้ว ก็ส่งพวกโยธาให้กลับไปยังปัญจาลนคร ส่วนพระองค์ก็เสด็จคืนเข้าพระราชฐานของพระองค์
ฝ่ายพวกเสนาโยธากลับมาถึงปัญจาลนครแล้ว จึ่งเข้าเฝ้าพระราชา กราบบังคมทูลว่า พระมหาราช ข้าพระพุทธเจ้าเหล่าโยธามีปาลกเสนาบดีเป็นต้นซึ่งพระองค์ส่งไป ได้พร้อมกันเข้าล้อมเมืองไว้ถึงเจ็ดชั้น พระสุวรรณสังขราชกุมารมีบุญญาธิการมากนัก เหาะขึ้นบนอากาศ ทรงแกว่งพระแสงขรรค์แก้วณท่ามกลางโยธา ด้วยอานุภาพขรรคาวุธ เกิดเป็นแสงสว่างตกลงมาดังประเปรี้ยงเพียงดังสายฟ้า ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายมืดหน้ามัวตาหาสติมิได้ถึงปราชัยพ่ายแพ้ แต่ปาลกเสนาบดีพลัดจากคอช้างตกถึงแผ่นดิน ๆ ได้สูบปาลกเสนาบดีผู้อกตัญญูไม่รู้จักคุณเจ้านายของตนไปทั้งเป็น พระสุวรรณสังขราชกุมารเสด็จลงจากอากาศ ประทานโอวาทแก่ข้าพระพุทธเจ้าเหล่าโยธา แล้วส่งให้กลับมาเมืองนี้ ขอพระองค์จงทราบด้วยประการฉะนี้ พระเจ้ากรุงปัญจาลราชทรงฟังดังนั้น ทรงพระเกษมสันต์ และสรรเสริญพระสุวรรณสังขราชกุมาร รับสั่งให้จัดเครื่องบรรณาการไปถวายเป็นเอนกประการ
พระสุวรรณสังขราชกุมารทรงทรมานพวกปัจจามิตรเสร็จ จึ่งเสด็จเข้าพระนคร ยังราษฎรให้ตั้งอยู่ในราโชวาท ดำรงราชสมบัติโดยชอบธรรม มีพระเดชานุภาพและเกียรติยศปรากฎไปในนานาประเทศ มหาชนมีพระราชาเป็นต้นในนานาประเทศน้อมนำเครื่องบรรณาการมาถวายพระสุวรรณสังข์ ฯ เป็นเนืองนิตย์ มหาชนมีพระราชาเป็นต้น ตั้งอยู่ในราโชวาทแล้ว ก็ปราศจากภยุปัทวันตราย และพากันทำบุญมีทานเป็นต้น เมื่อสิ้นอายุของตน ก็ได้ไปเกิดในเทวโลก ส่วนพระโพธิสัตว์ เมื่อก่อสร้างโพธิสมภารอยู่ ได้บำเพ็ญกุศลมีทานและศีลเป็นต้น สิ้นพระชนม์แล้ว ก็ไปอุบัติในเทวสถาน ด้วยประการฉะนี้
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สมเด็จพระบรมศาสดาทรงนำธรรมเทศนานี้มาแล้ว เมื่อจะให้ภิกษุรู้แจ้งซึ่งกรรมที่พระองค์ทรงทำไว้ในชาติก่อน จึ่งตรัสว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเราตถาคตยังท่องเที่ยวอยู่ในสงสาร เกิดเป็นสุวรรณสังขราชกุมารโอรสพระเจ้าพรหมทัตต์ ได้เสวยทุกขเวทนาสาหัสด้วยอกุศล ๆ ดลบันดาลให้พระเจ้าพรหมทัตตราชบิดาเราหลงเชื่อถ้อยคำปาลกเสนาบดี ให้เอาเราใส่แพลอยคงคาเสีย ก็ด้วยอกุศลกรรมที่เราทำไว้ในชาติก่อน พระภิกษุทั้งหลายยังไม่ทราบเรื่องเบื้องบุพพกรรม จึ่งกราบทูลขอให้พระองค์ทรงตรัสอดีตนิทาน พระบรมศาสดาทรงนำเรื่องราวซึ่งภพในระวางปิดบังไว้ มีความปรากฎต่อไปนี้ว่า
อตีเต ภิกฺขเว ตถาคโต ทุคฺคตกุเล ชาโต ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาลล่วงมานานแล้ว พระตถาคตเกิดเป็นทุคคตบุรุษในตระกูลทุคคต หาญาติพงศ์พันธุ์มิได้ วันหนึ่ง ทุคคตบุรุษนั้นลงไปอาบน้ำที่ท่านที เห็นรูปูเข้า เอามือล้วงไปจับปูขึ้นมาได้ จึ่งแงะเอาดินเหนียวมาก้อนหนึ่ง ทำให้เป็นโพรง แล้วเอาปูนั้นใส่ไว้ในอุโมงค์ วางไว้บนแพ ปล่อยให้ลอยไปในมหาสมุทร เมื่อปูนั้นลอยไป ยังหาทันตายไม่ แพนั้นลอยไปติดอยู่ริมฝั่งสมุทร อุโมงค์ดินนั้นครั้นถูกน้ำเปียกแล้วก็ละลายไป ปูตัวนั้นก็ไต่ขึ้นฝั่งน้ำไปได้ ด้วยผลกรรมอันนั้น ตถาคตจึ่งปรากฏอยู่ในหอยสังข์ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย พระเจ้าพรหมทัตต์เชื่อคำนางจัมปากเทวีและปาลกเสนาบดี จับเราตถาคตใส่แพลอยไปในมหาสมุทรนั้น ด้วยกรรมที่ตถาคตจับปูใส่แพลอยน้ำ ปูตัวนั้นหาถึงความตายไม่ กรรมอันนั้นจึ่งไม่ทำให้เราตถาคตตาย เราตถาคตได้เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัส ดูกร ภิกษุบริษัท ข้อซึ่งเราตถาคตยินดีอยู่ในรูปหอยสังข์และรูปเงาะนี้ เป็นกรรมที่ตถาคตจับปูใส่ไว้ในอุโมงค์ดิน ข้อซึ่งหกกษัตริย์ลูกเขยพระเจ้าพาราณสีเห็นรูปเงาะตถาคตแล้วติเตียนนี้ เป็นเวรกรรมที่ตถาคตทำไว้ในชาติก่อน ดังมีอุทาหรณ์ดังนี้ว่า
อหํ ภิกฺขเว ปุพฺเพ พาราณสิราชา อโหสิ ความว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ในกาลปางก่อน ตถาคตเกิดเป็นพระราชาพาราณสี ๆ นั้นประสงค์จะถวายผ้าแก่ภิกษุสงฆ์ ทรงทราบว่า พวกพ่อค้าเขาเอาผ้าเนื้อดี ๆ มาจำหน่ายที่พระนครของพระองค์ จึ่งทรงตรัสใช้ให้อำมาตย์ไปซื้อผ้ามาจากพ่อค้า ผ้าผืนหนึ่งราคาถึงแสนกหาปณะ พระราชาทอดพระเนตรผ้าผืนนั้นแล้วทรงซื้อไว้ ประทานราคาให้เท่าน้ำหนักทองคำหนักหนึ่ง พวกพ่อค้าผ้าจึ่งปรึกษากันว่า พระราชาประทานให้ราคาเท่าน้ำหนักทองคำหนักหนึ่งนี้ หาคู่ควรแก่ราคาผ้าผืนนี้ไม่ พวกเราจักขอให้พระราชาประทานราคาให้สมควรแก่ผ้าผืนนี้ พระราชาทรงทราบความข้อนั้นแล้วก็ทรงกริ้วพวกพ่อค้ามาก พวกพ่อค้าผ้ารู้ว่าพระราชากริ้ว ก็ไม่อาจขอขึ้นราคาผ้าอีกได้ จึ่งพากันกลับไปยังเมืองที่อยู่ของตน พระเจ้าพาราณสีนั้น ครั้นจุติจากอัตตภาพนั้นแล้ว ได้มาเกิดเป็นสุวรรณสังขกุมาร และได้เป็นลูกเขยแห่งพระเจ้าพาราณสี พวกพ่อค้านั้น ครั้นจุติจากอัตตภาพนั้นแล้ว ได้มาเกิดเป็นหกกษัตริย์ ลูกเขยพระเจ้าพาราณสี หกกษัตริย์นั้นชวนกันประทุษฐร้ายตถาคต ทูลยุยงให้พระราชาฆ่าตถาคต ด้วยบาปกรรมที่ตถาคตข่มเหงเขาซื้อผ้าลดราคา ด้วยประการฉะนี้
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สมเด็จพระบรมศาสดาทรงนำธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึ่งประชุมชาดกว่า พระยานาคเอาเรือมารับสุวรรณสังขกุมารนั้น กลับชาติมาคือ พระองคุลิมาลเถระ พระดาบศช่วยสุวรรณสังขกุมารไว้ ได้กลับชาติมาคือ พระสาริบุตรเถระ นางยักษินีมารดาเลี้ยงสุวรรณสังขกุมารนั้น กลับชาติมาคือ นางอุบลวรรณาเถรี ท้าวสักกเทวราชผู้อุปถัมภ์สุวรรณสังขกุมาร กลับชาติมาคือ พระอนุรุทธเถระ มหาเสนาบดีผู้ไปเชิญเสด็จพระนางจันทาเทวีและสุวรรณสังขกุมารให้มาครองราชสมบัติณพรหมบุรี กลับชาติมาคือ พระโมคคัลลานเถระ ธนญชัยเศรษฐีผู้ให้พระนางจันทาเทวีอยู่ด้วยนั้น กลับชาติมาคือ พระสีวลีเถระ นางสุวรรณจัมปากเทวีแกล้งใส่โทษแก่พระนางจันทาเทวี กลับชาติมาคือ นางจิญจมานวิกา ปาลกเสนาบดีผู้ผูกอาฆาตต่อสุวรรณสังขกุมาร กลับชาติมาคือ ภิกษุเทวทัตต์ พระเจ้าพรหมทัตต์ราชบิดาสุวรรณสังขกุมาร กลับชาติมาคือ สุทโธทนพุทธบิดา พระนางจันทาเทวี กลับชาติมาคือ พระนางสิริมหามายาพุทธมารดา พระนางคันธาเทวีอัครมเหษีของสุวรรณสังขกุมาร กลับชาติมาคือ ยโสธราพิมพาเทวี บริษัทซึ่งสวามิภักดิ์ต่อพระโพธิสัตว์ กลับชาติมาคือ พุทธบริษัท พระสุวรรณสังขราชา กลับชาติมาคือ เราตถาคต มีพุทธพจน์ให้จบลงด้วยประการฉะนี้
- ↑ แต่หน้า ๑๐ บรรทัดที่ ๘ ถึงหน้า ๑๑ บรรทัดที่ ๒ เป็นความในจริยาปิฎก