ภูตผีปีศาจไทย/เล่ม 5/เรื่องที่ 1

น า ง ก ล ม

น า ง ก ล ม

นายอุทิศ ผู้ชอบพบกับนิยายรักชนิดยุ่ง ๆ เศร้าบ้างดุเดือดบ้าง หรือที่ว่ารักอย่างที่เป็นไปไม่ได้ นายอุทิศจะเอามาขัดเกลาด้วยเหตุผลเป็นอย่างดีแล้วจึงจะนำเรื่องนั้น ๆ มาสู่ผู้อ่าน บัดนี้นายอุทิศได้พบเรื่องรักชนิดที่ว่าเข้าแล้วอย่างทุลักทุลี

ผมได้พบกับเรื่องรักของชาวป่าชาวไร่เข้าอีกแล้วอย่างบังเอิญ ก็โดยผมได้รู้จักเข้ากับเสมียนอำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี เข้าอย่างบังเอิญเช่นกัน และนายจอม เสมียนอำเภอผู้นี้ รู้ข่าวว่าผมชอบเรื่องรักที่แปลก ๆ เขาก็เล่าว่ารู้จักกับชาวไร่คนหนึ่งที่ขึ้นอยู่กับอำเภอท่ามะกาชื่อ นายแผ้ว พุ่มเกศเคหสถานอยู่ตำบลบ้านกะทุ่ม คนละฟากน้ำของอำเภอ นายแผ้วมีน้องชายชื่อนายกลั่น ซึ่งไปมีภรรยาอยู่ตำบลดอนเฝ้าถัดออกไปจากตำบลท่าหวายเหนียว นายกลั่น พุ่มเกศ นับเป็นชายที่ทรหดคนหนึ่ง ทำไร่เก่ง หาปลาเก่ง ดื่มสุราเก่งทั้งสุราในกฎหมายและนอกกฎหมาย ทั้งยังเลยไปถึงการพนันทุกชนิดอีก และก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่มีนิยายรักวุ่นๆ อยู่

นายจอม เสมียนอำเภอท่ามะกา ได้นัดนายแผ้วแห่งบ้านกะทุ่มมาพบผมที่ร้านอาหารหน้าอำเภอท่ามะกา เราได้ดื่มและกินอาหารแล้วพูดคุยกันถึงนายกลั่นน้องชายของเขา นายแผ้วผู้นี้เขาจะข้ามลำน้ำกาญจน์มาฝั่งถนนรถนี้ได้สองทาง จะข้ามที่ท่าหวายเหนียวมาท่ามะกาโดยเรือขนานยนต์หรือเรือจ้างธรรมดาได้ทั้งนั้น และจะข้ามอีกท่าหนึ่งตรงข้ามกับท่าเรือพระแท่นดงรังก็ได้เช่นกัน ชาวบ้านทุก ๆ หมู่ในอำเภอนั้นจะใช้จักรยานทั้งหญิงทั้งชาย เป็นการย่นระยะทางไปมาหากัน ฉะนั้นเรือจ้างแถวนั้นจึงต่างจากเรือจ้างข้ามฟากอย่างในแม่น้ำเจ้าพระยาที่กรุงเทพฯ เรือที่นั่นจะเป็นเรือแข็งแรง ไม่มีหลังคา ท้องเรือแบน ๆ เพื่อต้านทานการครูดและไถไปตามทรายในท้องน้ำเมื่อถูกที่ตื้นเขิน และเรือมักจะกว้างใหญ่ เพราะนอกจากจะบรรทุกรถจักรยานและคนแล้ว ยังจะต้องบรรทุกผักทุกชนิดข้ามมาถึงตลาดฝั่งเจริญนี้ด้วย

การไปเที่ยวของผมตามตำบลที่กล่าวนี้ ผมจึงได้พึ่งจักรยานเช่นเดียวกับพวกเขา ผมรู้จักกับเพื่อนที่ตลาดท่าเรือพระแท่นอยู่หลายคนจึงยืมจักรยานเขาใช้ได้สะดวกดี ผมนำจักรยานข้ามเรือไปฝั่งตรงข้ามท่าเรือ แล้วขี่จักรยานตัดตรงตำบลแสนตอแล้วลัดทุ่งบ้านไร่แสนตอไปบ้านกะทุ่มอีกต่อหนึ่ง ไปนอนคุยและกินเหล้าที่บ้านนายแผ้ว

"โฮ้ย ! คุณเอ๋ย แต่ก่อนโน้นจะบ้านผมหรือบ้านใครในย่านนี้น่ะมันก็ป่าทั้งนั้นแหละ" นายแผ้วพูดขณะที่ลอยคออาบน้ำอยู่ในลำน้ำกาญจน์ที่เย็นเยือก ผมชอบลำน้ำสายนี้เหลือเกิน มันเย็นเยือกสมกับเป็นลำน้ำทรายจริง ๆ ลึกบ้างตื้นบ้างตามธรรมชาติ ลำน้ำทราย อาบไปก็นึกเอาว่ากำลังแช่ตัวเองอยู่ที่หน้าน้ำตกไทรโยค เพราะมันเป็นสายน้ำที่มาจากนั่น

"เมื่อสมัยโน้น ชายน้ำที่เรากำลังอาบน้ำกันอยู่นี่มันก็เป็นชายฝั่งของป่านั่นเอง ต้นไผ่เป็นดงเป็นดานไปเลย ขึ้นฝั่งก็ระวังงูเงี้ยวเขี้ยวขอและเสือช้างกันไปทีเดียว เมื่อพ่อผมหนุ่ม ๆ หลังบ้านผมนี่ก็อุดมไปด้วยเก้งกวาง แต่พอผมเกิด สัตว์เหล่านี้ก็หลบเข้าป่าลึกหมด เพราะพวกมนุษย์บุกเบิกทำไร่และทุ่งทั่วไปหมด ผมเด็ก ๆ ยังพอหาไข่ไก่ป่าแถวกอไผ่ชายน้ำนี้ได้ทุกวัน" นายแผ้วคุยถึงสถานย่านนั้นให้ฟัง

พอขึ้นจากน้ำแล้วเป็นเวลาแดดร่มลมตก ก็มาคุยกันที่เรือนนายแผ้ว ดื่มเหล้ากันพอสบาย ๆ นายแผ้วของผม แม้ว่าเขาจะพูดสำเนียงเพี้ยน ๆ ตามพื้นบ้าน แต่ก็ช่างพูดช่างคุยพอรู้เรื่อง พวกลูกเล็ก ๆ หญิงชายวิ่งเล่นกันในลานบ้าน ตะโกนพูดกันเสียงเพี้ยน ผมฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง

"ผมอยากฟังนิยายของน้องชายคุณจริง ๆ" ผมพูดทำนองปรารภเป็นการเตือน

"อ๋อ !" นายแผ้วร้อง "เรื่องเจ้ากลั่น โฮ้ย ! เรื่องมันสับสนครับ ยุ่งพิลึก เดี๋ยวนี้ในย่านนี้ ถ้าใครออกชื่อเจ้ากลั่นก็จะพากันร้องว่า เจ้ากลั่นตายไปนานแล้ว"

"อ้าว! ยังไงกันล่ะ ?" ผมถาม

"เปล่าครับ ! อ้ายกลั่นไม่ได้ตายอย่างเข้าใจกัน มันยังมีชีวิต แต่มันสับสน คราวไหนอ้ายกลั่นแอบมาหาผม ใครเห็นเข้าก็พากันร้องว่าผีอ้ายกลั่นมาหลอก"

"เอ๊ะ ก็สับสนซิยังงั้น" ผมว่า

"ครับ ! สับสน" นายแผ้วตอบแล้วรินเหล้ากิน "เรื่องมันยังงี้ครับ เมียของเจ้ากลั่น ชื่อนางกลม ผมเองนี่เป็นพี่ชายเจ้ากลั่น ก็เท่ากับแทนพ่อแม่ เพราะพ่อแม่ตายหมดแล้วผมก็ดูแลน้องชายมา เมื่อตอนเจ้ากลั่นไปรักนางกลมบ้านดอนเฝ้า ผมก็คัดค้านและขอร้องมันว่าให้เลิกคิดเสียเถิด มันจะไม่เจริญใจไปวันหน้า เพราะนางกลมนี้เป็นหญิงรำวงนี่ครับ อยู่คณะ 'รำวงเริงรมย์' รำวงหากินตามงานวัดน่ะแหละ ใครล่ะครับจะอยากให้น้องชายไปได้คนอย่างนั้นมาเป็นลูกเป็นเมียเกรงมีเรื่องครับ คุณก็รู้นี่ครับ หญิงอย่างนี้ก็ย่อมมีชายชอบกันอยู่มาก ตัวเจ้ากลั่นเองไปรักกันชอบกันเพราะรำวงตามวัดนี่แหละ" นายแผ้วพูดแล้วพยักหน้ารินเหล้าดื่มอีก

"แต่นั่นแหละคุณ คนเราลงมันชอบของมัน เราจะเตือนอย่างไรก็ไม่มีผล ลงท้ายมันก็แอบพากันหนี เพราะว่านางกลมน่ะพ่อมันตายนานแล้ว เหลือแต่แม่ ก็เป็นลาวแท้ ๆ นางกลมก็เป็นลูกพ่อเจ๊ก แม่ลาว ผิวมันก็ขาวผิดลูกบ้านป่า อ้ายกลั่นก็หลงอย่างหลับตา ช่างมัน !"

นายแผ้วพูดแล้วสะบัดเสียงคล้ายจะกลับโกรธขึ้นมาอีก ยกแก้วเหล้าดื่มรวดเดียวหมด

"ชั้นแรก ๆ ผมก็ตัดใจทำเฉย ตามใจมัน ครั้นมันพากันหนีหายไปนาน ๆ ก็เกิดห่วงขึ้นมา อะไรไม่อะไรหรอก ถ้านางกลมไม่เลิกรำวงถือว่าหากินได้เงินมาพอเยียวยากัน แต่มันจะมีเรื่องน่ะซีถ้าชายใดเกิดล่วงเกินเข้า อ้ายกลั่นนะสิจะไม่ยอม แต่คุณครับ พออีกหน่อยเดียวอ้ายกลั่นก็พานางกลมมาหาผม มาซ่อนอยู่นี่นั่นแหละ ขอร้องให้ผมไปพูดจากับแม่ยายมันทำนองขอสมา เพื่อจะได้ทำไร่ทำมาหากินตามสมควร ผมก็ตามใจมัน เรื่องก็เรียบร้อยไป มันก็ไปอยู่กับแม่ยายทำมาหากินดี แต่พอไม่นานนัก เจ้านิสัยเก่า ๆ ของมันก็โผล่ออกมา" นายแผ้วว่า

"นิสัยเก่าอะไรกันล่ะครับ ?" ผมถาม

"เจ้ากลั่นมันมีนิสัยหนักไปทางนักเลงครับ ดื่มเหล้าเอย การพนันเอย ลงท้ายเล่นฝิ่นเข้าไป แม่ยายมันก็ชักรังเกียจทีเดียว" นายแผ้วพูดแล้วสูดปากอย่างสนุก

"เอ๊ะ ! ทำไมไปริฝิ่นเข้าได้" ผมว่า

"แรก ๆ ก็เตาะแตะเจ้าหมูหรือใบพลูนี่แหละ หนักเข้าก็เลยเข้ากล้องนอนสูบเสียตามธรรมเนียม"

"เดี๋ยวครับคุณแผ้ว กรุณาสักนิดเถอะ ผมเคยได้ยินแต่ชื่อเจ้าหมู แต่ใบพลูนี่น่ะมันเป็นอย่างไร ได้ยินแต่ชื่อไม่รู้จักตัว ขอได้กรุณาให้ความรู้สักหน่อยด้วยเถิด" ผมรีบขัดเรื่องและขอความรู้เรื่องหมูใบพลู

"อ๋อ ! หมูมันก็ฝิ่น ใบพลูมันก็ฝิ่น มันอย่างเดียวกันแหละครับ เขาเรียกสองชื่อ คือเขาเอาใบพลูกินกับหมากนี่แหละครับมาหั่นให้เป็นเส้นยาสูบ หั่นแล้วตากแดด พอแห้งก็เอาลงกระทะเล็ก ๆ ผัดกับฝิ่น พอฝิ่นจับใบพลูดีแล้วก็เอาใบพลูมาสูบ ตั้งชื่อว่า 'หมู' แล้วการสูบ สูบด้วยบ้องกัญชา เอาเส้นใบพลูยัดลงในพวยบ้องกัญชาจุดไฟสูบ" นายแผ้วอธิบายพร้อมกับทำมือทำไม้ประกอบ

"เอ๊ะ ! ขอโทษเถอะครับ ชาวบ้านตำบลแถวนี้คงสูบหมูกันทั้งนั้น ?"

"เปล่าครับ ! เป็นบางคนที่สูบเป็น แต่สำหรับกัญชาพอจะมีสูบกันบ้าง"

"แล้วไอ้ใบพลูนี่มันมาจากไหนล่ะครับ ?"

“โน่น ๆ มาจากป่าเหนือเราขึ้นไปนี่ เกิดจากชาวป่าเหนือน้ำโน่นครับ พวกนั้นต้องทำงานแข่งเวลา เขาจะมัวนอนสูบฝิ่นอยู่ไม่ได้ ต้องเข้าป่าตัดไม้ไผ่ให้ทันเวลา จึงคิดการสูบฝิ่นแบบใหม่ขึ้น เรื่องจะสรุปกัญชาแทนฝิ่นมันก็ไม่เหมือนฝิ่น ก็เอาฝิ่นว่าดัดแปลงสูบพอหายอยากระหว่างที่ทำงาน ต่อเมื่อหมดงานแล้วก็สูบฝิ่นธรรมดาได้ เจ้าใบพลูจึงเกิดขึ้นเป็นฝิ่นอีกแบบหนึ่ง”

“แล้วนายกลั่นไปรู้วิธีนี้มาได้อย่างไร ?”

โอ้ย ! วิธีสูบใบพลูน้ำมันรู้กันเต็มไปหมดล่ะครับในน่านน้ำนี้พวกล่องแพไม้ไผ่ไม้รวกเป็นผู้นำมาแพร่ พวกล่องแพไม้ไผ่ไม้รวกไปถึงไหน ที่นั่นก็รู้จักใบพลู พวกล่องแพนี่น่ะงานเขามันมาก เวลาล่องแพได้ก็เป็นฤดู แควนี้น้ำหลากน้ำแรงครับ การล่องแพจะต้องระวังแพ้ของตัวไม่ให้แตก ระวังที่สุด เวลาจะจอดแพพักนอนริมฝั่งน้ำก็ต้องทำการอย่างชำนาญ แม้จอดแล้วก็ตาม ต้องคอยระวังกระแสน้ำอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้นพรุ่งนี้จึงนิยมสูบใบพลูมากกว่าจะนอนสูบฝิ่นเพราะการปลูกมันเร็วทันใจเท่า ๆ กับสูบกัญชาละครับ ลงพวกแพนี้ไปจอดพักที่ไหน วิชานี้ก็แพร่ไปล่ะครับ จอดพักที่ใหญ่ ๆ เช่นที่เมืองกาญจน์ ท่าม่วง ท่าเรือนี้ ลองไปเรื่อย ๆ ผ่านบ้านโป่ง โพธาราม เจ็ดเสมียน ราชบุรี ล่องไปจนถึงแม่กลอง เพราะไม้ไผ่ไม้รวกต้องใช้กันมากที่นั่นเหลือเท่าไหร่ ล่องเข้าคลองลัดที่แม่กลองเข้าไปจนผ่านคลองหมาหอนแล้วมาออกแม่น้ำนครชัยศรี คือปากน้ำท่าจีนมหาชัยนั่นแหละ ถ้าขายไม่หมดก็ล่องต่อเข้าคลองมหาชัย มาออกคลองดาวคะนอง ผ่านมาต่าง ๆ ที่ และเมื่อผ่านที่ใด เจ้าตำราใบพลูก็รู้จักไปทั่วกัน"

"อ้อ !" ผมร้อง "ผมเพิ่งจะรู้จักใบพลูหรือหมูคราวนี้เอง" พูดแล้วดื่มเหล้า "นายกลั่นคว้าเจ้าใบพลูมาจากนี่เอง"

"ไอ้ใบพลูหรือหมูนี่น่ะมันยังไม่ร้ายเท่าไหร่หรอก แต่ทีนี้เจ้ากลั่นของผมมันดันสูบฝิ่นเอาทีเดียวเลย มันก็กรอบกันเท่านั้นเอง ฐานะก็แย่ลง เงินเข้ากล้องหมด แม่ยายด่าเป็นโขลกแป้งทุกเช้าทุกเย็น ดูหมิ่นเกลียดชัง อยู่ไป ๆ เจ้ากลั่นก็ล้มเจ็บ ฝิ่นไม่มีสูบ อาการหนักลง ๆ ถึงกับใคร ๆ ก็ว่าตายแน่ทั้งนั้น แต่ลงท้ายมันกลับฟื้นขึ้นมา เมียก็พยาบาลไป แต่เจ้ากลั่นลำบากใจก็ให้เมียมันประคองร่างมันมาอยู่กับผมที่บ้านนี่แหละ ผมก็รักษาพยาบาลกันไป จนเจ้ากลั่นค่อยยังชั่ว มันก็บอกให้เมียมันไปอยู่กับแม่ ส่วนตัวมันจะบุกขึ้นเหนือไปทำงานเหมืองที่เหมืองปิล็อก จะหาเงินสักพัก แล้วเขาก็ลาผมไปทางเหนือ นางกลมก็กลับบ้านแม่เขา แต่พอไม่กี่เดือนมีคนส่งข่าวว่าเจ้ากลั่นตายในป่าลึกไข้ป่ากินตายเลย เขาฝังกันในป่านั่นเอง ลูกเมียร้องไห้กันระงม แต่แม่ยายรู้สึกจะยินดี ลูกสาวจะได้หาผัวใหม่"

"เอ๊ะ! ตายจริงหรือเปล่า?" ผมถาม

"เปล่า!" นายแผ้วตอบหนักแน่น "เป็นข่าวลือ นานไปพอเขาเงียบเจ้ากลั่นก็แอบมาหาผมตอนกลางคืน มันไม่ยอมให้ใครเห็นตัว มันกลัวแม่ยายกับเมียมันรู้ว่ามันไม่ตายไปจริง ๆ"

"เขามาอยู่กับคุณซิ?"

"ไม่หรอกครับ เขาไปแอบซุ่มตัวอยู่กับเพื่อนทางป่าที่พระแท่นโน้น พอเผลอคนก็แอบมาหาผมบ่อย ๆ เจ้ากลั่นบอกกับผมว่า ที่มันหลุดตัวไปป่าเหนือนั้นน่ะ มันมีเรื่องที่บ้านเมียมันที่ดอนเฝ้า บนบ้านมันนั้นไม่รู้ว่าใครเป็นผีกระสือ แต่มีแน่ ๆ มันไม่รู้ว่าใครเป็นกันแน่ จะเป็นเมียมันเองหรือยายแม่ยายก็ไม่แน่"

"อ้าว!" ผมร้อง มันเป็นยังไงกันผีกระสือ ?"

"ผมก็ไม่เคยเห็นหรอกครับ เจ้ากลั่นมาเล่าให้ฟัง มันว่างเมื่อตอนมันฟื้นจากสลบ แต่ยังคงไม่สบายอยู่ จึงขอนอนใต้ถุนคนเดียว ให้เมียมันกับแม่ยายนอนบนเรือน มันอ้างว่าการเจ็บไข้ที่ยังไม่แข็งแรงควรนอนคนเดียวไปก่อนจนกว่าจะแข็งแรง มันเอาแต่ที่นอนลงมาเท่านั้นเมืองนี้ไม่มียุงนอนสบาย ผ้าห่มผืนเดียวก็พอแล้ว อ้ายกลั่นมันเล่าว่ามันนอนที่แคร่ใต้ถุนคืนนั้นยังไม่หลับ มันเห็นอะไรผิดตาก็นิ่งมองดู เหมือนใครบุญเรือนจะสูบบุหรี่แล้วดับก้นบุหรี่เป็นประกายไฟร่วงลงทางร่อง เจ้ากลั่นก็คงมองดูอยู่ สงสัยว่าทำไมบุหรี่จึงไม่ดับ เจ้าประกายไฟที่ร่วงลงมาคงกองแดงอยู่อย่างนั้น และในครู่นั้นเจ้าแสงไฟที่บุหรี่นั้นก็ค่อยเปลี่ยนจากสีแดงเรื่อ ๆ เป็นสีเรือง ๆ ขึ้น แล้วก่อตัวเป็นก้อนกลม ๆ เป็นดวงไฟ ทั้งทำการลอยตัวพ้นดินขึ้น เจ้ากลั่นถึงกับนอนตัวแข็ง ดวงไฟนั้นค่อย ๆ รอยสูงขึ้นจากพื้นดินในราวศอกหนึ่ง ลอยวนอยู่ใต้ถุน"

"เอ๊ะ มาใกล้นายกลั่นหรือเปล่า?"

"อ๊ะ! มาซิ มันลอยเข้ามาทีเดียว"

"นายกลั่นนอนเฉยเรอะ"

"เฉยได้เรอะ อ้ายกลั่นมันเกิดตัวก็ขยับตัวจะหนี เจ้าดวงไฟนั่นก็หยุดเฉยคล้ายจะรู้ว่าเจ้ากลั่นตื่นแล้วไม่ได้หลับ เจ้ากลั่นเล่าว่าที่ดวงไฟนั้นมีอะไรดำ ๆ คล้ายผ้าขี้ริ้วเปียกน้ำห้อยร่องแร่งมาด้วย ผมก็สงสัยว่าตามที่เคยได้ยินใคร ๆ เล่าให้ฟังว่าผีกระสือลอยไปไหนจะมีไส้ห้อยตามไปด้วย และที่ไส้ห้อยนั้นจะมีแสงไฟคล้ายกับว่าจะหยดเรี่ยไปทีเดียวเป็นสายเรี่ยราดไป แต่นี่เจ้ากลั่นมันว่าไอ้ที่ห้อยมานั้นไม่มีแสงเลย มันดำ ๆ ลักษณะเป็นผ้าเปียกน้ำห้อยมา มันบอกว่ามันจะดูให้ถนัดว่าอะไรกันแน่ แต่ก็ดูไม่ถนัด เพราะแสงจากดวงกลมนั้นมันเข้าตา ความที่เจ้ากลั่นกลัว มันก็ร้องด่าไปหยาบ ๆ คาย ๆ แล้วง้างมือง้างแขนว่าไปวาดมาเจ้าดวงไฟก็กลัวจะถูกเลยลอยหนี เจ้ากลั่นก็เลยเตะลมตามไปหลายวืดแต่ไม่ถูก เพราะลอยหนีไปทัน มันลอยไปทางบ้านอื่นแล้วเลยเข้ารกเข้ากรงหายไป"

"นายกลั่นเห็นจะรีบหนีขึ้นเรือนซิ?"

"ขึ้นอะไรล่ะ ก็อ้ายกลั่นมันเห็นว่ากระสือลงมาจากเรือนมันแท้ ๆ มันจะขึ้นไปทำไมล่ะ ก็เลยหนีไป เคาะกระต๊อบเพื่อน ๆ กัน เล่าให้ฟังแล้วขอนอนด้วย" นายแผ้วผู้เล่าดื่มเหล้าขัดจังหวะ

"โอ้โฮ ! แย่เลย !" ผมว่า

"แย่ซิครับ" นายแผ้วหัวเราะ "เช้าขึ้นมาแม่ยายด่าเจ้ากลั่นว่ามีเรือนไม่นอน ไปนอนใต้ถุนให้คนนินทา มิหนำซ้ำยังไปอาศัยนอนที่กระต๊อบคนอื่น นี่แหละครับเหตุที่อ้ายกลั่นต้องหนีมาหาผมอีก แล้วยังไงเลยหนีเข้าป่าทางเหนือไปอีก จนลือกันว่ามันไปเจ็บตาย"

"เอ! ไอ้ผีกระสือนี่ผมไม่เคยเห็นเลย" ผมว่า

"ผมเคยเห็นแต่มันก็ไกลมาก บางคนเขาบอกว่าผมคงเห็นหนอนกระสือ แต่เขาว่าถ้าเป็นหนอนกระสือจะลอยสูงกว่าพื้นดินได้อย่างมากฝ่ามือเดียว ไม่สูงกว่านั้น ถ้าเป็นกระสือแท้ ๆ จะลอยได้สูงมากกว่าตัวคน และเขาว่ากันว่าถ้าใครเป็นกระสือ แก่จนจะตายก็ตายไม่ลง ถ้าไม่มีใครในบ้านยอมรับว่าจะรับช่วงเป็นกระสือต่อไปแทนตัวก็ตายไม่ลงครวญครางไปเถิด นี่แหละครับ อ้ายกลั่นต้องหนีไปเพราะว่าถ้าไม่ยายเป็นกระสือก็จะต้องถ่ายให้เมียมัน ว่าถ้าเมียมันเป็นกระสือ ก็จะเป็นไปอีกนานเพราะยังสาว มันเลยต้องหนี"

"เวรกรรม ผัวเมียเลยต้องแยกกัน" ผมว่า

"ครับ เวรกรรมจริง ๆ ทีนี้หลังจากมีข่าวว่าอ้ายกลั่นของเราตายไปแล้ว นางกลมเป็นหม้ายผัว ขอสักหน่อยเดียวก็มีชายแปลกถิ่นเกิดมารักนางกลมเพราะได้รำวงด้วยกัน แม่ยายเจ้ากลั่นก็ใจดียกให้ เลยได้อยู่กินกัน"

"อ้าว! แม่กลมเลยมีผัวใหม่" ผมว่า

"ครับ! แต่ก็ไม่ทันเดือนหรอกครับ ไอ้ผัวใหม่ก็หนีไปอีก" นายแผ้วพูดแล้วพยักหน้าประกอบ

"เอ๊ะ! ถ้าจะเจอกระสือเข้าซิ?" ผมถาม

"ถ้าจะยังงั้นกระมัง นางกลมก็เป็นหม้ายผัวร้างอีก"

"นายกลั่นเคยมาหาคุณบ่อย ๆ รู้เรื่องนี้หรือเปล่า?"

"รู้ซิครับ มันมาบ้านผมแล้วก็เลยไปบ้านมันอีก มีคนเห็นเข้าร้องกันว่าผีอ้ายกลั่นหลอก"

"อุบ๊ะ วุ่น!" ผมว่า "ไปทำไมกัน เขามีผัวใหม่ไปแล้ว"

"ถึงว่าสิครับ ผมไม่อยากพูดเลย" นายแผ้วพูดแล้วถอนใจ

"นายกลั่นย้อนไปเยี่ยมหรือว่าอย่างไร"

"มันไม่ได้ย้อนไปเยี่ยมน่ะซี ย้อนไปเป็นผัวอีก" นายแผ้วกระแทกก้นแก้วเหล้าแล้วถุยน้ำลาย

"แล้วกัน! ย้อนไปเป็นผัวเมียกันอีก"

"เลวทราม เลวทราม!" นายแผ้วคำราม "ทำเสียเชิงชาย ไม่รักศักดิ์ศรี"

"พิลึก! ผัวเมียคู่นี้" ผมครางออกมา "ก็แม่กลมเองไปเชื่อว่าผัวตายจึงยอมมีผัวใหม่ แล้วเหตุใดจึงยอมพบกับนายกลั่นอีก ไม่กลัวผีหรือยังไงกัน"

"คนแถวนั้นเห็นมันอยู่ด้วยกันกลางคืน ก็ร้องว่าอีกลมมีผัวผี นังแม่ยายก็เที่ยวพูดทั่ว ๆ ไปว่าลูกสาวมีผัวผี แล้วตัวแม่ยายก็ไปอาศัยคนอื่นอยู่" นายแผ้วว่า

"นายกลั่นแอบมาหาคุณบ้างหรือเปล่า" ผมถาม

"ไม่เลยครับ! หายหน้าไป ผมก็ไม่ไปหามัน มันทำเสียวงศ์เสียแล้ว ตัดขาดไปเลย แต่อีกไม่กี่มากน้อยครับก็ได้ข่าวว่าอ้ายกลั่นหายไปนางกลมอยู่บ้านคนเดียว ผมก็เฉย ไม่ไปถามไถ่อะไรทั้งนั้น จนวันหนึ่งนางกลมผ่านมาทางนี้ ผมก็ถามไปตามฐานะพี่เขย มันตอบว่าหายไปนานแล้ว มันพูดแล้วก็ไป จนเดี๋ยวนี้ก็เลยไม่รู้เรื่องอ้ายกลั่น ดูมันลึกลับสับสนจริง ๆ"

"หรือจะตายจริง ๆ อย่างเขาลือกัน?" ผมออกความเห็น

"ก็พูดไม่ถูก" นายแผ้วว่า "เมื่อเร็ว ๆ นี้ ก็มีคนที่ทำเหมืองปิล็อกพบกับผม เขาว่าอ้ายกลั่นตายจริง ๆ เป็นไข้ตายในป่า เขากับเพื่อนช่วยกันฝังกับมือเขาเองทีเดียว แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง อ้ายกลั่นพบกับผมบ่อย ๆ และยังกลับไปเป็นผัวอีกลมอีก เลยพูดไม่ถูก"

นายแผ้วพูดแล้ววางหน้าอย่างสนเท่ห์ ผมก็เกิดสนเท่ห์ พอวันรุ่งขึ้นผมก็เลยลานายแผ้วกลับกรุงเทพฯ เกรงว่านายกลั่นจะเกิดมาหานายแผ้วเข้า ถ้ามาอย่างคนจริง ๆ ก็ไม่เป็นไร ถ้ามาอย่างที่เขาลือกันผมก็จะแย่ไปเลย