ภูตผีปีศาจไทย/เล่ม 5/เรื่องที่ 2

ทํ า ม า ก็ ทํ า ไ ป

ทํ า ม า ก็ ทํ า ไ ป

เรื่องนี้เป็นอีกตอนหนึ่งของนายสมัยผู้ร่วมสมาคมที่กุฏิคุณนพวัดระฆัง นายสมัยได้เกิดรักผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นนักเรียนในโรงเรียนภาษาอังกฤษของนายสมัยและครูพยุง แต่ทางบ้านของหญิงคนรักผู้มีฐานะดีได้เกิดความยุ่งยากน่าหวั่นหวาด คล้ายจะมีภูตผีปีศาจเกิดสิงขึ้นในบ้าน จึงทำให้นายสมัยของเราต้องเข้าไปพัวพันอยู่ด้วย

อีกแล้วซิคุณที่รัก ภูตผีปิศาจมายุ่งกับผมอีก เกิดรักผู้หญิงขึ้นสักคนก็มีเรื่องยุ่ง ๆ เกิดขึ้นทางบ้านของเธอ เธอก็เดือดร้อนนัก ถ้าผมจะไม่เดือดร้อนไปกับเธอบ้างจะเรียกว่าผมเป็นคู่รักของเธอได้อย่างไร

“จริงนะสมัย ฉันก็เกิดเป็นคนในยุคใหม่นี่เอง ไป ๆ มา ๆ จะต้องเชื่อว่าโลกนี้มีผี เหตุการณ์ที่บ้านมันยุ่งยากและมีท่าทางว่าจะเกิดภูตผีปิศาจขึ้น แต่ก่อนมาเมื่อศรียังเด็ก ๆ ไม่เคยมีอะไร ๆ แปลกอย่างเวลานี้ มันทำให้ศรีหวาด ๆ ไปว่ามันจะเป็นภูตผีปิศาจจริง ๆ” ประภาศรีพูดกับผม

“มีอย่างไรบ้างที่ศรีคิดว่าเรื่องทั้งหมดจะเกี่ยวกับผีกับสาง” ผมถาม

เธอเอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วถอนหายใจยาวก่อนจะพูด

“โฮ้ย! มีมากอย่าง” เธอพูดพลางผ่อนลมหายใจ “บ้านศรีน่ะมีพื้นที่กว้างขวาง มีต้นไม้ใหญ่ชนิดตกผลมากต้นแทบจะเป็นสวนหรือป่าไม้ย่อม ๆ เชียวนะ แต่ว่าก่อนเก่าเคยเป็นที่รื่นรมย์และร่มเย็น เดี๋ยวนี้มันน่ากลัว เจ้าหมู่ไม้ใหญ่ ๆ นั้นคล้ายจะเป็นที่สิงสู่ของภูตผีปิศาจไปเสียแล้ว”

“มันเป็นไงล่ะ ?”

“พ่อของศรีมีจดหมายมาบอกว่า เจ้าดงไม้เหล่านั้นเวลากลางคืนจะยวบยาบและเกรียวกราวโครมครามเหมือนมีพายุใหญ่แทบจะหักลงทั้ง ๆ ที่อื่นไม่มีลมเลย เสียงอะไรต่ออะไรหล่นร่วงตุ้บตั้บไปทั่วลานบ้าน พอนานวันเข้าคนงานที่เคยอยู่ในบ้านมากคนด้วยกันเกิดกลัวภูตผีปิศาจเหล่าลูกเล็กเด็กแดงก็ชักจะไม่สบาย เลยขอย้ายออกจากบ้านไปหมด ขอไปอยู่ที่อื่น จะมาทำงานเฉพาะกลางวันเท่านั้น ในบ้านเราจึงเหลือเฉพาะที่อยู่บนเรือนเพียงเจ็ดแปดคนเท่านั้น”

“เอ๊ะ! มันเลยกลายเป็นกลียุค”

“นั่นน่ะซี กลางคืนคล้ายจะมีภูตผีเดินเต็มบ้าน ทุกคนหวาดกลัวนอนไม่หลับ ศรีรู้เรื่องแล้วจึงกลับไปบ้านและนอนค้างสองสามคืนเพื่อดูเหตุการณ์ให้แน่กับตาตนเอง ก็พบว่าที่บ้านเดี๋ยวนี้น่ากลัวจริง ๆ มันเงียบเหงา เมื่อตกเวลาชิงพลบ พอค่ำมากเข้าแผ่นดินกระเทือนเหมือนมีคนมากคนเดินบ้างเต้นบ้างกึกก้อง หมูหมาเห่าและหอนกันเกรียว กิ่งไม้ยวบยาบกร้วมกร้ามเหมือนจะหักโค่น คนบนบ้านทั้งหมดขวัญเสียไม่มีใครกล้าลงไปดู พอเช้าขึ้นก้อนดินและอิฐกลาดเกลื่อนไปทั่วแผ่นดินนี่แหละ! ที่ศรีได้ไปเห็นมากับตาตนเอง และเมื่อก็รู้กันอยู่แก่ใจว่าคนทั้งหมดไม่ได้ไปทำให้เกิด แล้วใครกันเป็นผู้ทำ”“เอ! แปลกอยู่” ผมพูดเหมือนคราง

“ทั้งพ่อและแม่ อีกพวกญาติที่อยู่ด้วยกัน สงสัยว่าญาติอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งทำการค้าอย่างเดียวกับเรา จะหาหมอผีมาทำพิธีแกล้งเราให้มีอันเป็นอย่างนั้น” ประภาศรีพูดแล้วมองตาผมนิ่งอยู่เพื่อฟังความเห็นของผมว่าจะเป็นแง่ใด ผมถอนใจใหญ่อย่างยุ่งยากใจ ยังตัดสินใจไม่ถูกว่าเหตุการณ์นั้นมันมาจากอะไร

“ญาติอีกกลุ่มที่เราสงสัยนั้นเขาอยู่ที่ไหน ?” ผมถาม

“อ๋อ! เขาบ้านอยู่ใกล้ ๆ เรานั่นแหละ กลุ่มเขาไม่ลงรอยกับกลุ่มเรามานานแล้ว สาเหตุจากการค้าขัดกัน เดี๋ยวนี้ถ้าเขาเห็นหน้าพวกเราเขาจะพากันยิ้มเยาะซุบซิบและหัวเราะกัน เราก็ปักใจว่าเขาเยาะเย้ยและสมน้ำหน้าเรา” สีหน้าของเธอชัดแจ้งว่าใจเชื่ออย่างที่พูด

“มันน่าคิดเหมือนกัน” ผมว่า “สมัยจะหารือกับคุณนพดูก่อนว่าความตื้นลึกของเรื่องชนิดนี้มันจะแค่ไหน”

“ดีทีเดียว ให้คุณนพท่านวิเคราะห์ดู เพราะเราทั้งหมดก็เพียงสงสัย ไอ้ความวิบัติน่ะมันวิบัติละ แต่มันจะมาจากอะไร” ประภาศรีเห็นด้วย

โรงเรียนเลิกแล้ว ผมกลับมาวัดก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้คุณนพฟังอย่างถี่ถ้วน และที่ประชุมของเรา มีคุณนพ ครูพยุง นายมั่น ก็เห็นว่าผมควรจะไปค้างคืนที่บ้านประภาศรีสักคืนสองคืน ไปดูด้วยตาตนเองอย่างแจ่มแจ้ง แล้วกลับมาประชุมกันอีกที ถ้ามันเป็นไปด้วยอำนาจผีจริง ๆ พวกเราก็พอจะเล่นงานกับเขาได้

พอถึงวันเสาร์ ผมก็บุกไปนครนายกกับประภาศรี บ้านเธออยู่ห่างเมืองไปหน่อยหนึ่ง ผมเข้ากราบเคารพบิดามารดาเธอและอธิบายความประสงค์ที่จะเข้าไปสังเกตการณ์ความวิบัติต่าง ๆ ที่มีขึ้นในบ้านนั้นก็เป็นที่เข้าใจกัน ถ้าเป็นด้วยอำนาจภูตผีปิศาจตามที่สงสัยว่าจะมีผู้มากลั่นแกล้งให้เกิด ทางผมก็จะขอเข้าแก้ไขแก้ลำไปตามกาล

ผมได้ลงเดินสำรวจในบริเวณบ้านที่กว้างใหญ่ โดยมีญาติประภาศรีนำเดินดูจนทั่วบ้าน เริ่มต้นตั้งแต่รั้วบ้านด้านหน้าตั้งแต่ชิดถนนรถเดิน ด้านซ้ายมือชิดรั้วกั้นเขตบ้าน มีโรงใหญ่เป็นฉางเก็บข้าวเปลือก และมีห้องแถวอีกมากห้องที่เป็นที่พักของคนงาน แต่เวลานั้นก็ปิดเงียบทุกห้อง เพราะคนงานกลัวผีหนีไปอยู่ที่อื่นหมด จึงทำให้เงียบน่ากลัว มีถนนที่เป็นทางรถยนต์สำหรับบรรทุกข้าวเปลือกส่งขายตามโรงสีทั่วไป ด้านหนึ่งตรงไปออกประตูใหญ่ที่ติดถนนหลวง และอีกด้านหนึ่งก็สร้างย้อนถอยหลังไปลงหลังบ้านที่เป็นชายน้ำ สำหรับให้คนงานหาบข้าวขึ้นจากเรือมาส่งเข้ายุ้งฉาง ที่ประตูด้านชายคลองนั้นมีคนชราผัวเมียเฝ้าประตูอยู่โดยมีบ้านหลังเล็ก ๆ ให้อาศัย ครั้นแล้วผมก็เลี้ยวเข้าด้านหมู่ไม้ใหญ่ที่ครึ้มเหมือนป่า มีมะม่วง กระท้อน ลำไย มะไฟ ชมพู่ กลางวันเป็นที่ร่มเย็นน่าสบาย ถ้ากลางคืนก็น่ากลัวแน่ ๆ ต้องมืดครึ้มไปทั่วบริเวณนั้น ข้างล่างไม่มีคนอยู่เลย มีแต่ทางหลังบ้านที่เขาเป็นคนชราสองคนเท่านั้น คนบนบ้านเจ็ดแปดคนค่ำแล้วก็ไม่มีใครลงดินเลย ต่างกลัวความวิบัติทุกคน เรื่องของขโมยนั้นพอพึ่งสุนัขในบ้านได้ มีมากตัวอยู่ใหญ่ ๆ ทั้งนั้น

ผมขอเลือกที่นอนทางเฉลียงบ้าน เป็นที่โล่งพอจะได้ดูการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ได้ถนัด ผมจะนำเหตุการณ์ที่เห็นไปรายงานคุณนพให้ถี่ถ้วน

นับแต่เวลาพระอาทิตย์ตกดินแล้ว ข้างล่างก็เงียบเสียงคน มีแต่เสียงสุนัขวิ่งเล่นหยอกล้อกันอยู่ ในคืนนั้นผมสะดุ้งใจอยู่หลายตอน ตอนแรกมีเสียงอะไรร้องวิเวกเย็นโหยหวนในหมู่ไม้มืด จะเป็นเสียงสัตว์อะไรยังไม่แน่ แต่ผมคิดว่าอาจจะเป็นเสียงสัตว์ประเภทอีเห็นหรือชะมด เพราะพรุ่งนี้ชอบอาศัยคบไม้อยู่ในเวลาค่ำมืด เพราะในบ้านนี้หลายแห่งที่ทางออกไปยังเป็นป่าดงไม้รกอยู่ เป็นธรรมดาของชนบทที่ยังไม่เรียบและเตือนไปยังกรุงเทพฯ ได้ มีบ้านคนบ้างมีป่าไม้บ้างสลับกันอยู่

เสียงต่าง ๆ ย่อมมาจากเสียงสัตว์ นกกลางคืนก็หลายชนิด นกแสกร้องกรีดหัวใจผ่านไปบ้าง นกกู๊กร้องอยู่บนไม้สูงสะท้านใจ แต่อีกตอนหนึ่งของคืนนั้น ผมก็ได้พบความวิบัติของอากาศ คือคล้าย ๆ จะเป็นพายุปั่นป่วน กิ่งไม้ในบ้านที่เป็นป่านั้นเกรียวกราวซ่าซ่าเหมือนจะหักจะโค่น พร้อมกับเสียงดินทรายก้อนเล็กใหญ่ร่วงกราวไปทั่วบ้าน สุนัขก็เห่ากันแซ่อย่างตกอกตกใจแล้วก็เลยหอนเลยเห่าอย่างน่าขนลุกขนพอง บิดาประภาศรีห่วงผมว่าจะตกใจกลัวจึงเดินออกมาพบกับผมความวิบัติได้เป็นไปอีกหน่อยแล้วก็หยุดเงียบไป ผมจึงได้หลับไปได้

แต่พอรุ่งเช้าก็มีเรื่องแปลกเกิดขึ้น คือมีตำรวจมาเชิญเจ้าบ้านไปที่สถานีตำรวจ โดยมีเจ้าทุกข์หลายคนว่าเป็นคนเดินถนนเมื่อคืนนี้ ถูกก้อนดินแข็ง ๆ และก้อนอิฐขว้างออกไปจากบ้านเรา ผูกหัวเขาแตกแล้วปูดโปนไปสองคน และก้อนอิฐก้อนดินก็ร่วงหล่นอยู่ที่ถนนนั้นมากมายอยู่ ซึ่งนับเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในคืนที่ผมไปนอนค้างนั่นเอง พ่อแม่ประภาศรีตกใจมาก พากันไปสถานีตำรวจ ผมก็ไปกับเขาเพื่อให้การเป็นพยานตามที่รู้เห็น

เป็นการสอบสวนที่ยุ่งยากแก่ทางการตำรวจนัก จะว่าเหตุเกิดเพราะพายุ แต่พายุก็ไม่มี แม้จะมีจริง พายุอะไรจะพัดเอาดินทรายและก้อนอิฐไปทำกับคนเดินถนนได้ พยานทั้งหมดก็เป็นคนบ้านเดียวกันทั้งนั้น ยากจะฟังเป็นหลักฐานแน่นอน ตำรวจต้องมาตรวจที่บ้านแล้วก็พบอิฐและก้อนดินแข็ง ๆ ร่วงเกลื่อนลานบ้าน ทั้งกิ่งไม้ใบไม้เหล่านั้นก็แสดงว่าเป็นอาการของพายุจริง ๆ สอบสวนคนในบ้านทั้งหมดก็เป็นเสียงเดียวกันว่าทุกคนอยู่บนบ้าน ไม่มีใครลงไปข้างล่างเลย ตาแก่ยายแก่ท้ายบ้านก็ว่ากลัวพายุ ปิดประตูอยู่ในห้องไม่กล้าออก

ใครเล่าครับจะพูดกับตำรวจว่า ความวิบัตินั้นเกิดจากการกระทำของปิศาจ จึงอึกอักไปตาม ๆ กัน ตำรวจเองก็ประหลาดใจ พยานสิ่งของมันบอกว่ามีพายุ แต่พายุใกล้เคียงก็ไม่มีจะเอามาช่วยเป็นพยานได้ เจ้าบ้านเลยต้องเสียเงินค่ารักษาพยาบาลและค่าทำขวัญแก่เจ้าทุกข์ไป เหตุนี้ก็เป็นที่อื้อฉาวในย่านใกล้เคียงนั้นทั้งหมด มีผู้คนมาดูก้อนอิฐก้อนดินกันหลายกลุ่มและพูดจากันไปต่าง ๆ และก็ไม่ต้องสงสัยว่าญาติประภาศรีกลุ่มหนึ่งจะไม่หัวเราะกันก๊ากไป ถ้าทางเขาเป็นผู้ทำให้เป็นขึ้น

ทางตำรวจเคยจำได้ว่า ไม่กี่คืนมาบ้านนี้ถูกกล่าวหาจากชาวเรือที่จอดอยู่ชายฝั่ง ว่ามีก้อนอีกก้อนดินขว้างไปจากในบ้านมากมาย แต่บังเอิญไม่มีใครเป็นอันตราย บิดาประภาศรีปวดเศียรเวียนเกล้า รับรองกับตำรวจว่าจะระวังที่สุดไม่ให้มีเหตุอย่างนี้เกิดขึ้นอีก แต่ก็แจ้งกับ หน้า:Khrai Yu Nai Akat 2547.djvu/26หน้า:Khrai Yu Nai Akat 2547.djvu/27หน้า:Khrai Yu Nai Akat 2547.djvu/28หน้า:Khrai Yu Nai Akat 2547.djvu/29หน้า:Khrai Yu Nai Akat 2547.djvu/30หน้า:Khrai Yu Nai Akat 2547.djvu/31