ราชาธิราช/เล่ม ๑๐
ปก ลง
ร้านหนังสือหน้าวัดเกาะเพราะนักหนา
ราษฎร์เจริญโรงพิมพ์ริมมรรคา
เชิญท่านมาซื้อดูคงรู้ดี
ได้ลงพิมพ์คราวแรกแปลกแปลกเรื่อง
อ่านแล้วเปลื้องความทุกข์เป็นสุขี
ท่านซื้อไปอ่านฟังให้มั่งมี
เจริญศรีสิริสวัสดิ์พิพัฒน์เอย
อำมาตย์ทินมณีกรอดรับอาสาใช้กลอุบายมีหนังสือไปถึงเจ้าอายพระยาจะเป็นไส้ศึก
จนถึงเจ้าอายพระยาหลงเชื่อ
ขณะเมื่อพระยาน้อยตั้งมั่นอยู่นั้น พระมหาเทวีได้ทราบแล้วก็ตกพระทัย แต่ขุนนางทั้งปวงเอาใจออกหากลอบแต่งเครื่องบรรณาการแลมีหนังสือออกไปถวายพระยาน้อยนั้น พระมหาเทวีมิได้ทราบ จึงหาสมิงมะราหูมาปรึกษาว่า บัดนี้ พระยาน้อยมีใจกำเริบ ยกทัพมาตั้งมั่นอยู่ตำบลวัดสิงห์คุตแล้ว เราจะจัดกองทัพยกออกไปรบต้านทานไว้ อย่าให้ยกเข้ามาตั้งประชิดเชิงกำแพงเมืองได้ ดีหรือ หรือจะคิดป้องกันรักษาเมืองไว้ประการใด สมิงมะราหูนั้นเข็ดขยาดฝีพระหัตถ์พระยาน้อยอยู่แต่ก่อนนั้นแล้วจึงทูลทัดทานว่า ซึ่งจะจัดกองทัพยกออกไปรบพระยาน้อยในบัดนี้ยังมิได้ก่อน ด้วยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระประชวรหนักเพียบอยู่แล้ว ขุนนางทั้งปวงก็กระเดื่องอยู่มาก เห็นผู้คนระส่ำระสาย ถ้าพลาดพลั้งลงประการใด เกิดศึกขึ้นในเมืองแล้วก็จะแก้ไขยาก เหมือนรบศึกสองหน้า จะได้ความขัดสน เราป้องกันรักษาเมืองไว้ดีแล้ว จะกลัวอะไรกับทัพพระยาน้อยที่นี้ ด้วยเสบียงอาหารในเมืองเราก็บริบูรณ์ ทแกล้วทหารก็พรักพร้อมมือกัน ซึ่งพระยาน้อยไปตั้งมั่นอยู่ ณ เมืองตะเกิงเป็นเมืองน้อยนั้น จะซ่องสุมเสบียงอาหารไว้ได้สักเท่าใด ถึงยกทัพขึ้นมาครั้งนี้ก็เพราะมีจิตกำเริบว่า ได้ชัยชนะแก่ข้าพเจ้าครั้งเดียวนั้น อันเสบียงอาหารแลพวกพลก็มีน้อย เราตั้งมั่นอยู่ในเมืองอย่าเพ่อยกออกสู้รบแล้วแต่งทหารให้คอยสอดแนม เห็นว่า กองทัพพระยาน้อยขัดสนเสบียงอาหารลง ทหารทั้งปวงอิดโรยถอยกำลังแล้ว เราจึงยกทัพใหญ่ออกโจมตี ก็เห็นจะได้ชัยชนะในพริบตาเดียว อุปมาดังคนผอมแรงน้อยหรือจะมาขันสู้กับคนอ้วนแรงมาก แม้นจะปล้ำชกกัน คนผอมก็ย่อมแพ้แก่คนอ้วน เปรียบเหมือนไก่แจ้สู้กับไก่อู หนูสู้กับแมว ครั้งนี้เห็นจะจับพระยาน้อยได้เป็นมั่นคง
พระมหาเทวีได้ทรงฟังดังนั้นก็ค่อยคลายพระวิตกลง แต่ยังไม่วางพระทัย จึงตรัสสั่งสมิงมะราหูให้จัดการป้องกันรักษาเมือง สมิงมะราหูจึงออกมาสั่งขุนนางนายทัพนายกองทั้งปวงให้เร่งพลทหารเตรียมเครื่องศัสตราวุธให้พร้อมขึ้นประจำรักษาหน้าที่เชิงเทินประตูหอรบไว้เป็นสามารถมั่นคง แล้วแต่งทหารให้ออกเที่ยวลาดตระเวนสอดแนม
ฝ่ายพระยาน้อยครั้นเวลาค่ำเสด็จเข้าที่พระประทมบนพลับพลาชัย ณ ค่ายประทับ พอล่วงเข้าปัจฉิมยามเวลาใกล้สว่างก็ทรงพระสุบินนิมิตว่า ดวงพระจันทร์ที่ส่องโลกอยู่นั้นตกลงมาแล้วสูญหายไป มีพระจันทร์ดวงหนึ่งผุดขึ้นมาส่องโลกแทน แสงสว่างอยู่ดั่งเก่า แล้วทอดพระเนตรเห็นดาวสองดวงหนีพระจันทร์ไปข้างทิศอุดร แลรัศมีดาวนั้นน้อยลง ๆ จนสูญหายไป ฝ่ายดวงพระจันทร์นั้นมีแสงสว่างรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไปกว่าเก่า พอสิ้นลักษณะพระสุบินเท่านี้ พระยาน้อยก็ฟื้นตื่นจากที่พระบรรทม เสด็จออกยังที่ประชุมพร้อมด้วยขุนนางที่ปรึกษาแลนายทัพนายกองทั้งปวงเข้าเฝ้าพร้อมกัน มังกันจีเป็นคนโปรดสนิทเฝ้าอยู่ใกล้ชิดพระองค์ พระยาน้อยจึงตรัสเล่าพระสุบินให้มังกันจีฟังถี่ถ้วน แล้วตรัสถามว่า ลักษณะสุบินนิมิตนี้จะร้ายดีเป็นประการใด มังกันจีพิจารณาด้วยปัญญาแล้วก็ทูลทำนายถวายว่า พระสุบินนิมิตของพระองค์นี้เป็นสวัสดิมงคลใหญ่หลวงนัก ซึ่งว่าดวงพระจันทร์อันส่องโลกอยู่เป็นนิจตกลงมาแล้วสูญหายไปนั้น คือ ได้แก่สมเด็จพระเจ้าอยู่พระราชบิดาของพระองค์อันจะเสด็จสวรรคตในคืนวันนี้ ซึ่งว่ามีพระจันทร์ดวงหนึ่งผุดขึ้นมาส่องโลกแทนแสงสว่างดังเก่านั้น คือ ได้แก่พระองค์ผู้มีกฤษดาธิการจะได้ผ่านมไหศุริยสมบัติเป็นอิสรภาพในเมืองพะโค มีพระเดชานุภาพแผ่ทั่วไปในรามัญประเทศทั้งปวง อันดาวสองดวงซึ่งหนีพระจันทร์ไปฝ่ายข้างทิศอุดรแลมีรัศมีน้อยลง ๆ สูญหายไปนั้น คือ ได้แก่พระมหาเทวีกับสมิงมะราหูจะสู้รบพระองค์มิได้ จะกลัวอำนาจพระเดชแล้ว แลพ่ายแพ้หนีไปโดยทางทิศอุดร ก็เป็นคนซบเซาสิ้นตบเดชะเปรียบประดุจดวงดาวอันสิ้นรัศมี แลซึ่งพระจันทร์มีแสงสว่างรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไปกว่าเก่านั้น คือ พระองค์จะได้เถลิงถวัลยราชสมบัติ แล้วจะทรงพระเดชานุภาพมากยิ่งขึ้นไปกว่าสมเด็จพระราชบิดา จะปราบปรามข้าศึกศัตรูให้พ่ายแพ้พระฤทธิเดชของพระองค์ได้ทั้งสิ้น อันลักษณะพระสุบินนิมิตของพระองค์ทั้งสามประการนี้ ข้าพเจ้าพยากรณ์ทำนายเป็นความสัตย์จริง จะเห็นผลประจักษ์เป็นศุภมงคลมั่นคง ขอพระองค์อย่าได้แคลงพระทัยเลย
พระยาน้อยได้ทรงฟังมังกันจีทูลทำนายดังนั้นก็ระลึกถึงพระเดชพระคุณสมเด็จพระราชบิดา แล้วทรงพระกันแสง มังกันจีเห็นพระยาน้อยทรงพระโศกดังนั้นจึงกราบทูลประโลมปลอบหวังจะให้คลายพระอาดูรว่า พระองค์จะทรงพระโศกไปไย อันความมรณภัยนี้ถึงกาลแล้วก็ย่อมจำนาน ธรรมดาสัตว์อันเกิดมาเป็นรูปกายในโลกนี้ย่อมประกอบด้วยทุกข์ทั้งสี่ คือ ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ ความตายย่อมมีเที่ยงแท้ทุกตัวสัตว์ บางทีบิดามารดาถึงอนิจกรรมล่วงไปก่อนบุตร บางทีบุตรถึงอสัญกรรมก่อนบิดามารดา อันจะกำหนดกาลมรณะนั้นมิได้ ย่อมวิปริตแปรปรวนไปตามวิสัยสภาวธรรม เพราะสังขารเป็นของมิเที่ยง ทุกข์ทั้งสี่ประการนี้มิได้เว้นสัตว์ผู้ใด อย่าว่าแต่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชบิดาของพระองค์ผู้ทรงพระคุณนั้นเลย ถึงสมเด็จพระพุทธเจ้าอันเป็นเอกอัครบรมครูของสัตว์ในไตรภพ เป็นที่นอบนบนมัสการแก่ฝูงอมรนิกรเทพยดาอินทร์พรหมแล้ว ก็ยังมิได้พ้นอำนาจมัจจุราช ย่อมเสด็จประเวศสู่พระปรินิพพานไปทุก ๆ พระองค์ซึ่งมีมาเบื้องหลังนั้นจะประมาณมิได้ มากกว่าเมล็ดทรายในท้องมหาสมุทร
พระยาน้อยได้ฟังดังนั้นจึงตรัสตอบว่า ซึ่งท่านแสดงความให้เราฟังโดยกระแสพระพุทธภาษิตบรรยาย หวังจะให้คลายความโศก ก็ควรอยู่ แต่เราจะได้ร้องไห้เพราะย่อท้อแก่ความตายนั้นหามิได้ อันน้ำใจเราเป็นชายชาติทหาร มิได้คิดครั่นคร้ามแก่ความตาย ถ้าสะดุ้งกลัวตายอยู่แล้ว ที่ไหนจะคิดการใหญ่ทำศึกได้ ซึ่งเราร้องไห้ทั้งนี้เพราะระลึกถึงพระคุณของสมเด็จพระบิดาที่ทรงพระกรุณาปลูกเลี้ยงเรามา หาที่จะอุปมามิได้ ถึงพระคุณของพระราชมารดาซึ่งได้อุปถัมภ์บำรุงมีมากกว่าพระราชบิดาก็จริง แต่เรานี้ สมเด็จพระราชชนนีสวรรคตเสียแต่เรายังเยาว์อยู่ พระราชบิดาก็โปรดให้พระมหาเทวีเอาไปเลี้ยงดูไว้ ครั้นเราเจริญใหญ่ สมเด็จพระราชบิดาก็มิได้โปรดปรานรักใคร่ ตรัสประภาษติเตียนอยู่เนือง ๆ ครั้นอยู่มา เรากระทำความผิด ลอบร่วมรักกับตละแม่ท้าวอันเป็นกนิษฐาต่างมารดาร่วมพระบิดาเดียวกัน แล้วพากันหนีไป สมเด็จพระราชบิดาได้ทราบแล้วก็ทรงพระพิโรธ จึงตรัสสั่งขุนนางผู้หนึ่งให้คุมพลทหารตามไปจับเราทั้งสองมาได้ ตรัสสั่งให้จำไว้ ครั้นภายหลังโปรดให้พ้นโทษ มอบให้อยู่กินเลี้ยงดูกัน พระราชทานวังตำหนักผู้คนชายหญิงแลส่วยสาอากรแต่พอสมควร หวังจะมิให้มีกำลังคิดการใหญ่ได้ เราคิดถึงพระคุณของสมเด็จพระราชบิดาว่า อันธรรมดาบิดามารดา ถึงจะมีความชิงชังบุตรเป็นประการใด เมื่อทุกข์ภัยมีมาถึงบุตรแล้ว ก็ย่อมการุญตัดรอนมิขาด อนึ่ง เรามีความน้อยใจ ด้วยสมเด็จพระราชบิดาทรงพระประชวรหนัก มิได้อยู่งานพยาบาลสนองพระเดชพระคุณ มิได้เห็นพระทัยเมื่อจะสวรรคต เพราะสมิงมะราหูกับพระมหาเทวีเป็นข้าศึกศัตรูคิดร้ายจึงได้หนีมา ทำให้ขาดประโยชน์หลายประการ เราจึงร้องไห้เพราะดังนี้ มังกันจีจึงกราบทูลว่า ซึ่งพระองค์ทรงพระดำริจะสนองพระเดชพระคุณสมเด็จพระราชบิดานั้นก็เพราะความกตัญญูกตเวทีเป็นมงคลสิริสวัสดิ์ปรากฏแก่พระองค์อยู่แล้ว ถึงมิได้อยู่ปฏิบัติพยาบาลเมื่อทรงพระประชวรหนักดังนี้ การที่จะสนองพระเดชพระคุณอย่างอื่นก็ยังมีอยู่ ขอพระองค์อย่าเพ่อโทมนัสน้อยพระทัยก่อน อันความปฏิบัติบิดามารดานี้ ถ้าจะว่าโดยคำสอนของมนุษย์ผู้อื่นแลเทพยดาอินทร์พรหมแล้ว ก็หาสิ้นสำนวนคนถามไม่ ข้าพเจ้าจะนำความในพระพุทธฎีกามาถวายวิสัชนาให้สิ้นเชิง สมเด็จพระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้แจ้งในธรรมทั้งปวงมีพระปัญญาหาที่สุดมิได้นั้น ทรงบัณฑูรเทศนาไว้ว่า ให้บุตรผู้มีความกตัญญูทดแทนสนองคุณบิดามารดาด้วยเหตุห้าประการ คือ ให้ปฏิบัติบำรุงเลี้ยงโดยชอบธรรมสุจริต หนึ่ง ช่วยรับธุรการงานให้สำเร็จ หนึ่ง รักษาตั้งไว้ซึ่งวงศ์ตระกูลมิให้เสื่อมสูญ หนึ่ง ปฏิบัติให้สมควรที่จะได้ทรัพย์มรดก หนึ่ง เมื่อบิดามารดาถึงความมรณะแล้ว ให้บำเพ็ญกุศลอุทิศแผ่ผลส่งไปให้ เรียกว่า กระทำเปตพลี หนึ่ง รวมเป็นเหตุห้าประการ บุตรผู้ใดได้ปฏิบัติบิดามารดาพร้อมด้วยเหตุทั้งห้าหรือสามประการสี่ประการแล้วก็จะประกอบด้วยมงคลสิริสถาพรทั้งโลกนี้แลโลกอื่น ครั้งนี้ พระองค์ขาดความปฏิบัติแต่สองอย่าง คือ มิได้อยู่บำรุงรักษา กับมิได้ช่วยรับธุระการงานให้สำเร็จเท่านั้น แต่ความปฏิบัติทั้งสามคงจะได้กระทำสนองพระเดชพระคุณเป็นแท้ ซึ่งพระมหาเทวีกับสมิงมะราหูเป็นข้าศึกศัตรูนั้น ทุกวันนี้ ก็ชื่อว่าแพ้พระองค์อยู่สี่ส่วน พระองค์มีชัยแก่สมิงมะราหูแลพระมหาเทวีอยู่สี่ส่วนแล้ว ถ้ายกเข้าประชิดถึงเชิงกำแพงเมืองหรือเข้าในเมืองได้แล้วเมื่อใด พระองค์ก็จะได้ชัยชนะครบห้าส่วนได้เมืองเมื่อนั้น
พระยาน้อยได้ทรงฟังมังกันจีทูลชักนำดังนั้นก็เห็นชอบ คลายวิตกในพระทัยลง จึงตรัสยกย่องสรรเสริญว่า ท่านนี้ประกอบด้วยสติปัญญามาก รู้ทั้งพุทธศาสตร์ไสยศาสตร์ เรามีทุกข์เดือดร้อนขึ้นในจิตครั้งใด ท่านว่ากล่าวให้ฟังแล้วก็หายทุกข์เดือดร้อนทุกครั้ง แต่เราเสียดายหน่อยหนึ่ง เพราะเลี่ยมปากท่านมิได้ ถ้าเลี่ยมปากได้แล้ว เราจะยกทองนพคุณเลี่ยมปากท่านเป็นบำเหน็จความชอบปาก พระยาน้อยจึงถอดฉลองพระองค์ซึ่งทรงอยู่นั้นพระราชทานให้มังกันจีเป็นรางวัน ในราตรีคืนวันนั้น พระเจ้าช้างเผือกทรงพระประชวรหนัก แพทย์หลวงประกอบโอสถถวาย พระโรคก็มิคลาย กลับทรุดหนักลงไปจวนจะสวรรคต
ฝ่ายพระมหาเทวีกับสมิงมะราหูกก็ให้จัดเตรียมการเป็นกวดขัน ให้ขุนนางทั้งปวงคุมทหารเครื่องศัสตราวุธครบมือพร้อมตั้งกองล้อมวงนั่งยามตามไฟพิทักษ์รักษาอยู่ทุกประตูพระราชวังนอกพระราชวังในแน่นหนาหนัก แล้วพระมหาเทวีกับตละแม่ศรีก็เข้าไปเฝ้าอยู่ที่พระเจ้าช้างเผือก เวลานั้น มีแต่นักสนมคนโปรดแลขุนนางอันเป็นพระญาติพระวงศ์ที่สนิท ผู้อื่นนอกนั้นมิอาจจะแปลกปลอมเข้าไปได้ ด้วยพระมหาเทวีห้ามปรามกวดขันนัก สมิงมะราหูนั้นก็ออกมากำชับตรวจตรานายด่านนายกองอยู่ภายนอก สมเด็จพระเจ้าช้างเผือกนั้น ครั้นพระโรคกำเริบหนักขึ้นมา รู้พระองค์ว่าจะไม่รอดแล้ว จึงตรัสเรียกพระมหาเทวี พระเจ้าพี่นางเธอ เข้ามาสั่งว่า ครั้งนี้ ข้าจะถึงกาลเป็นแท้ ด้วยความเจ็บทั่วสรรพางค์กาย ข้าจะลาพี่ไปก่อนแล้ว แต่วิตกอยู่ด้วยราชสมบัตินี้ ข้าได้ปลงใจไว้แก่พ่อขวัญเมือง พ่อขวัญเมืองก็มาดับสูญไปเสียก่อน ถ้าข้าหาบุญไม่แล้ว พี่เห็นผู้ใดสมควร ก็จงยกตั้งแต่งขึ้นตามชอบใจ ถ้าไม่เห็นผู้ใดสมควรแล้ว พี่จงครอบครองเถิด จะได้บำรุงญาติวงศ์ไพร่ฟ้าประชาราษฎรสมณชีพราหมณ์ให้อยู่เป็นสุขทั่วกัน แต่อ้ายพระยาน้อยนั้นใจมันห้าวหาญหยาบช้านัก จะให้มันครองราชย์สมบัติมิได้ คนทั้งปวงจะเดือดร้อน ถ้าพี่จะเลี้ยงมัน ก็เอามาเลี้ยงไว้ใกล้ ๆ อย่าให้มันอยู่ไกล ถ้าไม่เลี้ยงก็ตัดรอนกำลังมันเสีย อย่าให้มันคิดการใหญ่ได้ แต่อย่าฆ่ามันเสียเลย ด้วยมันเกิดมาเป็นลูกหลานแล้ว คนทั้งปวงจะนินทาได้ สมเด็จพระเจ้าช้างเผือกตรัสสั่งความพระเจ้าพี่นางเธอได้เท่านั้น พอพระโรคกำเริบหนักขึ้นมา ก็เสด็จสวรรคต ณ เวลาใกล้รุ่ง พระเจ้าอู่ซึ่งเรียกว่า สมเด็จพระเจ้าช้างเผือก สืบขัตติยวงศ์มาแต่สมเด็จพระเจ้าฟ้ารั่วเป็นพระองค์คำรบแปดนี้ เสวยราชสมบัติได้สี่สิบเจ็ดปี พระชนมายุได้เจ็ดสิบเจ็ดปี เสด็จทิวงคตในศักราช ๗๔๙ ปี
ครั้นพระเจ้าช้างเผือกสวรรคตลงแล้ว พระมหาเทวีแลตละแม่ศรีอันเป็นพระราชธิดาก็ทรงพระกันแสงร่ำรัก นักสนมคนโปรดแลขุนนางพระญาติวงศ์ที่สนิทนั้นก็ร้องไห้อื้ออึงขึ้น พระมหาเทวีกลั้นพระโศกได้แล้วจึงตรัสห้ามคนเหล่านั้นมิให้ร้องไห้อื้ออึงไป หวังจะปิดความไว้มิให้คนข้างนอกล่วงรู้ว่า พระเจ้าแผ่นดินสวรรคต กลัวจะรู้ไปถึงพระยาน้อย จึงสั่งให้หาสมิงมะราหูเข้ามา แล้วตรัสบอกว่า บัดนี้ พระเจ้าช้างเผือกสวรรคตแล้ว ราชสมบัตินี้ก็อยู่ในเงื้อมมือท่าน ท่านเร่งจัดกองทัพออกไปรบกับพระยาน้อยเถิด พระยาน้อยยกมาตั้งอยู่หลายวัน เห็นเสบียงอาหารจะขัดสนเบาบาง ทหารทั้งปวงจะย่อท้อถอยกำลังลงแล้ว เร่งรีบไปกระทำการอย่าให้ทันพระยาน้อยรู้ตัว จะได้ชัยชนะเป็นแท้
สมิงมะราหูได้ฟังดังนั้นก็ย่อท้อใจอยู่ จึงทูลบ่ายเบี่ยงว่า พระองค์จะทรงพระวิตกไปไย ด้วยทัพพระยาน้อยเท่านี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพึ่งสวรรคตลงใหม่ ๆ ขุนนางทั้งปวงยังไม่ทันรู้ทั่วกัน เราคิดอ่านหาขุนนางน้อยใหญ่เข้ามาว่ากล่าวให้ยอมพร้อมใจกัน แล้วจะได้โสรจสรงสักการะพระศพเสียให้สิ้นธุระ ถึงพระยาน้อยรู้จะยกเข้ามาประชิดเมือง เราแต่งทแกล้วทหารออกสู้รบไปพลาง พระยาน้อยก็จะย่อท้อถอยทัพไปเอง พระมหาเทวีได้ทรงฟังดังนั้นก็โกรธแก่สมิงมะราหู จึงตรัสตัดพ้อหวังจะให้สมิงมะราหูมีน้ำใจว่า ตัวท่านเป็นชาย ใจเหมือนอิสตรี ซึ่งท่านพูดบิดพลิ้วดังนี้ เราก็รู้ว่าท่านครั่นคร้ามฝีมือพระยาน้อยอยู่ อันจะให้พระยาน้อยยกเข้ามาประชิดเชิงกำแพงเมืองแล้วจึงจะแต่งทัพออกสู้รบนั้น เราไม่เห็นด้วย ชอบแต่ศึกมากศึกใหญ่เหลือกำลังจะต้านทาน จึงตั้งมั่นรักษาเมือง อันศึกพอประมาณจะสู้รบ ก็ชอบตัดกำลังศึกเสียแต่กลางทาง อย่าให้ล่วงเลยเข้ามาได้ ถ้าปล่อยให้เข้ามาตั้งประชิดใกล้เมืองแล้ว ราษฎรทั้งปวงรู้ก็จะสะดุ้งสะเทือนแตกตื่นกันวุ่นวาย ซึ่งจะทำการในเมืองก็ขัดสน เปรียบเหมือนนั่งบริโภคอาหารอยู่ในเรือน มีคนเอาเพลิงมาจุดเผาบ้านขึ้นแล้ว จะนั่งกินอาหารลงคอเป็นสุขหรือ แลท่านอย่าเพ่อประมาทพระยาน้อยว่าทแกล้วทหารแลเสบียงอาหารก็เบาบางขัดสน อันมันกันจีเด็กน้อยเป็นที่ปรึกษานั้นมีสติปัญญาหลักแหลมเพื่อจะคิดกลอุบายจะต่าง ๆ ท่านอย่าดูหมิ่น เราจึงคิดให้ตัดกำลังศึกเสียก่อน ซึ่งการงานในเมืองสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นเป็นธุระเราสิ้น ท่านอย่าวิตกเลย รีบจัดกองทัพยกไปเถิด ถ้าท่านมิไปย่อท้อความตายอยู่แล้ว จงจัดเครื่องบูชาคำนับเปิดประตูรับพระยาน้อยให้เข้ามาครองราชสมบัติเถิด เราจะได้ยอมเป็นข้าเขา
สมิงมะราหูได้ฟังพระมหาเทวีตรัสพ้อดังนั้นก็มีใจมานะอาจหาญขึ้น จึงรับออกมาสั่งให้จัดกองทัพพร้อมด้วยช้างม้ารี้พลทแกล้วทหารสรรพไปด้วยเครื่องสรรพาวุธเสร็จเตรียมไว้ พอได้ฤกษ์จะยกออกไป ส่วนพระมหาเทวีนั้นก็เข้าไปสั่งชาวพนักงานให้จัดการรักษาพระศพอยู่ ฝ่ายสมิงชีพรายตั้งกองล้อมวงอยู่ ณ พระราชวังภายนอก ครั้นรู้ว่าพระเจ้าแผ่นดินสวรรคาลัยแล้ว จึงให้สมิงดิศกุมารลอบเอาข่าวออกไปทูลพระยาน้อย สมิงดิศกุมารก็รีบลอบออกไปกราบทูลพระยาน้อยว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชบิดาของพระองค์ เสด็จสวรรคตแล้ว บัดนี้ พระเจ้าป้า พระมหาเทวี ให้สมิงมะราหูจัดกองทัพจะยกออกมารบด้วยพระองค์ ขอให้เร่งทรงพระดำริเตรียมการ
พระยาน้อยได้ทราบว่าสมเด็จพระบิดาทิวงคตแล้วก็สลดพระทัยลง แต่เอาความโกรธพระมหาเทวีกับสมิงมะราหูมาข่มความโศกไว้ จึงตรัสว่า ซึ่งลุงท่านช่วยเอาความมาบอกข้านี้ก็ขอบใจนัก ลุงท่านอยู่กับข้าก่อนค่อยไปด้วยกันเถิด แล้วตรัสปรึกษาด้วยมังกันจีแลที่ปรึกษาทั้งปวงว่า บัดนี้ สมเด็จพระราชบิดาเราสวรรคตแล้ว ถึงจะยกเข้าตีเอาเมืองก็หามีความครหานินทาไม่ แลซึ่งสมิงมะราหูจะยกออกมาตีเรานั้น เราจะรีบยกเข้าตีเอาเมืองเสียก่อน ถ้าละไว้ให้สมิงมะราหูมาถึงค่ายให้เห็นค่ายเราแล้วก็ดูไม่ดี หาเป็นเกียรติยศไม่ บัดนี้ ใครจะเห็นเป็นประการใด ที่ปรึกษาทั้งปวงก็เห็นชอบด้วย พระยาน้อยจึงตรัสสั่งให้เร่งจัดกองทัพตั้งเป็นขบวนพยุหะตามตำราพิชัยสงคาม เสร็จแล้วก็เสด็จขึ้นประทับยังเกยคอยพระฤกษ์
ในขณะนั้น ให้บังเกิดอัศจรรย์ ได้ยินเสียงประโคมดุริยางค์ดนตรีอื้ออึงขึ้นบนอากาศ ทั้งดวงภาณุมาศก็ทรงกลดหมดเมฆควรจะพิศวง บรรดานายทัพนายกองแลไพร่พลในกองทัพก็ได้ยินได้เห็นปรากฏพร้อมกันสิ้น ต่างคนก็ดีใจสรรเสริญบุญญาภิสมภารเดชานุภาพพระยาน้อยเป็นอันมาก มังกันจีจึงกราบทูลว่า ครั้งนี้ เทพยดาเจ้าให้ฤกษ์มีมหัศจรรย์เป็นมงคลใหญ่หลวงแล้ว ขอเชิญพระองค์เสด็จยาตราทัพเถิด จะมีชัยชนะในเวลานี้เป็นมั่นคง พระยาน้อยได้ทรงฟังมังกันจีทูลดังนั้นก็ดีพระทัย เสด็จขึ้นทรงพลายประกายมาศเป็นพระคชาธาร พร้อมด้วยทหารนายทัพนายกองตั้งเป็นขบวนซ้ายขวาหน้าหลังเป็นขนัด จึงให้ทหารโห่ร้องเอาชัย ลั่นฆ้อง โบกธง เร่งยกพลทหารออกจากค่ายประทับ ดำเนินกองทัพเข้ามาจะหักเอาเมืองพะโค
ฝ่ายสมิงมะราหูก็ยกกองทัพออกมาจากเมือง พอกองทัพพระยาน้อยรีบยกเข้ามาถึงใกล้ชายป่าริมเมือง พอเห็นกองทัพสมิงมะราหูยกออกมา กองทัพพระยาน้อยกับกองทัพสมิงมะราหูปะทะกันเข้า ฝ่ายนายทัพนายกองรี้พลทหารข้างสมิงมะราหูนั้นครั้นเห็นพระยาน้อยเสด็จทรงช้างพระที่นั่งอยู่ท่ามกลางพล ดูงามราวกับสมเด็จอมรินทร์ ต่างคนก็กลัวพระเดชานุภาพ มิได้คิดรบพุ่ง ชวนกันทิ้งเครื่องศัสตราวุธเสีย หนีไปเข้าด้วยกองทัพพระยาน้อยสิ้น สมิงมะราหูเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงเกี่ยวช้างพลายเทพหัสดีกลับวิ่งหนีเข้าเมืองพะโค สั่งให้ปิดประตูเมืองไว้ แล้วไปทูลแก่พระมหาเทวีว่า ข้าพเจ้ายกกองทัพออกไป พอกองทัพพระยาน้อยยกมาปะทะกันเข้า ยังมิทันได้รบพุ่ง นายทัพนายกองรี้พลทั้งปวงไม่สู้รบ หนีไปหาพระยาน้อยสิ้น บัดนี้ พระยาน้อยก็ยกกองทัพติดตามเข้ามา เห็นจะเสียเมืองบัดนี้แล้ว เชิญพระองค์ กับข้า แลตละแม่ศรี รีบหนีเสียเถิด จึงจะรอดจากความตาย พระมหาเทวีได้ทรงฟังดังนั้นก็สะดุ้งขึ้นทั้งพระองค์ ตกพระทัยกลัวยิ่งนัก ด้วยวิสัยสตรีก็ย่อมขลาด กล้าอยู่แต่เมื่อรี้พลพรักพร้อม ครั้นอับจนแล้วก็หายกล้า จึงตรัสว่า เป็นบุญของเขา เป็นกรรมของเราแล้ว เราจะรอดตายแลหรือ ว่าแล้วก็ทรงพระกันแสง จึงตรัสว่า พ่อเป็นที่พึ่งด้วยเถิด ครั้งนี้ แม่สิ้นฤทธิ์สิ้นบุญแล้ว สมิงมะราหูจึงทูลเตือนว่า อย่าทรงพระกันแสงเลย ให้เร่งจัดเตรียมพระองค์เร็วเถิด จะได้พากันรีบหนีไป พระมหาเทวีก็ละล้าละลัง รีบจัดแก้วแหวนเงินทองสิ่งของมีค่าได้แล้ว ก็เสด็จขึ้นช้างพลายตัวเดียวกับสมิงมะราหู แต่ตละแม่ศรีนั้นรีบจัดเพชรนิลเงินทองของมีค่าได้แล้วก็ขึ้นช้างพังตัวหนึ่ง มีบ่าวไพร่คนสนิทติดตามไปหมดด้วยกันประมาณสินเก้าคนยี่สิบคน ก็พากันรีบหนีออกจากประตูเมืองข้างเหนือไปฝ่ายทิศอุดรสมดังสุบินนิมิตของพระยาน้อยแลคำทำนายของมังกันจี
ฝ่ายพระยาน้อย ครั้นเสด็จดำเนินพลเข้ามาใกล้ถึงประตูพระนคร พอคนใช้สมิงชีพรายเข้าไปกราบบังคมทูลว่า สมิงชีพรายใช้ข้าพเจ้าออกมากราบทูลพระกรุณาให้ทราบว่า บัดนี้ พระมหาเทวี กับสมิงมะราหู แลตละแม่ศรี ทั้งสามนั้นหนีออกจากพระนครแล้ว ไปทางทิศเหนือ พระยาน้อยได้ทรงฟังทั้งดีพระทัยทั้งทรงพระโกรธ จึงยกพระแสงขึ้นกวัดแกว่งเคี้ยวพระทนต์แล้วตรัสแก่นายทัพนายกองทั้งปวงว่า อ้ายสมิงมะราหูนี้น้ำใจมิใช่ชายชาติทหาร ดีแต่พวกมาก เราหมายว่าจะสู้รบกันให้เต็มกำลัง จะฟาดฟันเสียให้ย่อยยับสับเป็นร้อยท่อนพันท่อน บัดนี้ มันกลัวเรา พาพระมหาเทวีหนีไปแล้ว ก็เป็นบุญของเรา ไม่ต้องสู้รบยากแก่ทแกล้วทหารทั้งปวง ถึงมาตรว่ามันหนีไปทางทิศไหนก็คงจะจับตัวได้ ครั้งนี้ ถ้ามันมีปีกบินไปในอากาศ หรือแทรกปฐพีไปเหมือนขอมดำดิน หรือระเบิดน้ำเป็นช่องหนีไปในมหาสมุทร นั้นแหละมันจึงจะพ้นมือเรา ถ้าเดินเหมือนคนทั้งปวงแล้ว อย่าหมายเลยว่ามันจะหนีพ้นไปได้
ขณะเมื่อพระยาน้อยยกเข้ามาถึงทวารพระนคร เสด็จยืนช้างพระที่นั่ง ตรัสแก่นายทัพนายกองทั้งปวงยังมิทันขาดคำ ฝ่ายอำมาตย์ทินก็พาบ่าวไพร่ออกมาเปิดพระทวารรับแต่บานหนึ่ง จะได้เปิดรับทั้งสองบานหามิได้ พระยาน้อยทอดพระเนตรเห็นดังนั้นก็แคลงพระทัยอำมาตย์อยู่ แต่มิได้ตรัสประการใด ก็ยกเข้าไปในเมือง ครั้นถึงพระทวารชั้นในที่ประทับ ก็เสด็จลงจากพระคชาธาร สอดฉลองพระบาท เสด็จพระราชดำเนินเข้าไป หมู่พลทหารทั้งปวงก็แห่แหนแวดล้อมตามเสด็จดูสะพรั่งพร้อมซ้ายขวาหน้าหลังเป็นขนัด ขุนนางน้อยใหญ่ทั้งปวงก็ออกมาหมอบเฝ้าคอยรับนำเสด็จพระราชดำเนินอยู่เดียรดาษ พระยาน้อยก็เสด็จเข้าประทับ ณ ท้องพระโรงราชพินิศจัย
ฝ่ายสมิงชีพราย อำมาตย์ทิน แลเสนาบดีผู้ใหญ่ผู้น้อยข้าราชการทั้งปวงก็มาเฝ้าถวายบังคมพร้อมกันสิ้น พระยาน้อยจึงตรัสปราศรัยถามถึงราชการบ้านเมืองทุกถ้วนหน้ากันโดยสมควรแล้ว จึงตรัสสั่งทแกล้วทหารให้ยกไปตามจับสมิงมะราหู กับพระมหาเทวี แลตละแม่ศรี ตรัสกำชับว่า ถ้าตามไปทัน มันจวนตัวเข้าจะสู้รบประการใด จงช่วยกันจับเป็นมาให้จงได้ เราจะดูหน้ามัน อย่าเพ่อให้บอบช้ำ ถ้ามันกินยาพิษตายหรือเชือดคอตาย ก็จงนำผีมาให้เราจงได้ ทแกล้วทหารทั้งปวงก็ถวายบังคมลาออกมาขึ้นม้าเร็วรีบตามไป ฝ่ายพระยาน้อยก็เสด็จเข้าข้างในกับด้วยมังกันจี ขึ้นสู่พระราชมนเทียรมหาปราสาทที่ไว้พระบรมศพสมเด็จพระราชบิดา หมู่พระสนมชาวแม่เถ้าแก่ท้าวนางข้างในทั้งปวงก็ออกมาคอยเฝ้ารับเสด็จอยู่พร้อมหน้า พระยาน้อยก็ตรัสปราศรัยทักถามถ้วนทั่วกันแล้ว พอนางพนักงานเชิญพานธูปเทียนข้าวตอกดอกไม้เครื่องคำนับพระศพเข้ามาถวาย พระยาน้อยรับพานเครื่องแล้วก็เข้าไปกราบถวายบังคมบูชาคำนับพระบรมศพสมเด็จพระราชบิดา ตรัสรำพันขอษมาโทษ เสร็จแล้วจึงเสด็จออกมาประทับ ณ พระที่นั่งภายนอก แล้วตรัสถามเถ้าแก่ชาวแม่ทั้งปวงว่า เมื่อสมเด็จพระราชบิดาเราทรงพระประชวรหนักใกล้สวรรคตนั้น ตละแม่ท้าวกับพ่อลาวแก่นท้าวมิได้ขึ้นมาเฝ้าอยู่งานถวายหรือประการใด ชาวแม่เถ้าแก่ทั้งปวงก็ทูลว่า พระมหาเทวีห้ามปรามกวดขันนัก มิให้ตละแม่ท้าวแลพ่อลาวแก่นท้าวขึ้นมาเฝ้าได้ กลัวจะเอาความหนักเบาลอบให้คนไปทูลพระองค์ พระยาน้อยได้ฟังก็ยิ่งทรงพระโกรธ จึงตรัสว่า พระเจ้าป้าทำความยากให้เรามากนัก เราจะให้พระเจ้าป้าได้ความทุกข์ความยากบ้าง ในครั้งนี้
ฝ่ายทแกล้วทหารซึ่งไปจับสมิงมะราหูนั้นตามไปทัน ณ ตำบลบ้านกะยางดิน จึงขับม้ารายล้อมเข้าไว้แน่นหนา ฝ่ายสมิงมะราหูครั้นทหารมาล้อมจับเห็นจะหนีไปไม่พ้นก็ตกใจ จึงทูลพระมหาเทวีว่า ครั้งนี้ ความตายจวนตัว ข้าพเจ้าจะลาพระองค์ตายด้วยคมอาวุธของตัวแล้ว ซึ่งจะยอมตายด้วยอาญาพระยาน้อยนั้น ข้าพเจ้ามีความอัปยศนัก ว่าแล้วก็ชักพระแสงดาบออกจะเชือดคอตาย พระมหาเทวีเห็นดังนั้นก็ตกพระทัยพระองค์สั่น เข้าแย่งชิงดาบไว้ จึงตรัสปลอบว่า พ่ออย่าเพ่อฆ่าตัวเสียก่อนเลย ยอมไปด้วยเขาเถิด แม่จะช่วยแก้ไข
ฝ่ายตละแม่ศรีนั้นตกพระทัยพระองค์สั่นดังปลาดิ้น จึงร้องห้ามว่า ท่านอย่าเพ่อฆ่าตัวเสียก่อน ถ้าท่านตายแล้ว ข้าพเจ้าจะตายตาม ฝ่ายทหารทั้งปวงจึงทูลพระมหาเทวีว่า ข้าพเจ้าเหล่านี้ถือรับสั่งพระยาน้อยมาติดตามเชิญพระองค์กับพระเจ้าพี่ทั้งสองเสด็จกลับเสียโดยดีเถิด อย่าให้ยากใจแก่ข้าพเจ้าทั้งปวงเลย ซึ่งความผิดนั้นเห็นไม่เป็นไรนัก ด้วยพระยาน้อยเข้าเมืองได้แล้ว แลมีรับสั่งโปรดมามิให้ข้าพเจ้าทั้งปวงจับกุมให้ได้รับความอัปยศ ให้เชิญเสด็จกลับไปโดยดี ข้าพเจ้าทั้งปวงเห็นว่า พระทัยของพระยาน้อยยังรักใคร่พระญาติวงศ์อยู่มาก ฝ่ายสมิงมะราหูปัญญาเขลา ครั้นได้ฟังดังนั้นก็สำคัญว่าตัวจะไม่ตาย แลเป็นห่วงอาลัยด้วยตละแม่ศรีกับพระมหาเทวีนัก จึงมิได้ฆ่าตัวเสีย ทหารทั้งปวงก็เข้ากลุ้มรุมจับสมิงมะราหูกับผู้คนบ่าวไพร่จำเครื่องพันธนาการมั่นคง เสร็จแล้วจึงเชิญเสด็จพระมหาเทวีกับตละแม่ศรีขึ้นช้างตัวเดียวกัน ก็คุมเอาตัวเข้ามาถวายพระยาน้อยได้สิ้น พอเวลานั้น พระยาน้อยเสด็จออกท้องพระโรงราชพินิศจัย พร้อมด้วยขุนนางข้าราชการใหญ่น้อยทั้งปวงเฝ้าอยู่เดียรดาษ ทแกล้วทหารเหล่านั้นก็พาตัวพระมหาเทวี กับสมิงมะราหู แลตละแม่ศรีเข้าไปถวาย พระยาน้อยพอเหลือบพระเนตรเห็นสมิงมะราหูแลนางกษัตริย์ทั้งสองแล้วก็ยิ่งทรงพระโกรธเป็นกำลัง เปรียบประดุงดังนาคราชมีผู้เอาไม้ค้อนมาประหารลงที่ขนดก็ยิ่งโกรธนัก พระยาน้อยจึงชักพระแสงออกกวัดแกว่ง เคี้ยวพระทนต์อยู่เกรี้ยวกรอด แทบประหนึ่งจะเสด็จโลดลงจากราชบัลลังก์ไปฟาดฟันให้สิ้นชีพด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ แต่สู้อดพระทัยไว้
ฝ่ายสมิงมะราหู พระมหาเทวี ตละแม่ศรีนั้น พอเหลือบเห็นพระยาน้อยก็ให้สะดุ้งเสียวสั่นไปทั้งกาย เกรงกลัวเดชานุภาพพระยาน้อยยิ่งนัก พระยาน้อยจึงตรัสสั่งให้เชิญพระมหาเทวีเข้ามาก่อน ตรัสซักถามด้วยพระองค์ว่า พระเจ้าป้าเป็นผู้ใหญ่ เหตุไฉนจึงกระทำการทุจริตคิดจะฆ่าข้าพเจ้าผู้หลาน มิได้คิดว่าเป็นเชื่อสาย แต่ก่อนพระเจ้าป้าก็ปลูกเลี้ยงข้าพเจ้ามา เปรียบประดุจคนเขียนรูป วาด้วยมือ ลบด้วยบาทา เห็นชอบอยู่หรือประการใด แล้วจึงตรัสให้เอาตัวสมิงมะราหูเข้ามา กระทืบบาทตวาดถามว่า มึงเป็นผู้ใหญ่ เหตุไฉนจึงคิดประทุษร้ายต่อกู กระทำทุจริตคิดมิชอบให้ความอายเปรอะเปื้อนมาถึงกู กูตกทุกข์ได้ยากก็เพราะมึง ทำให้กูขาดประโยชน์หลายอย่าง ความกูแค้นมึงแทรกอยู่ทุกเส้นขน กูหมายมาว่าจะสู้รบกันมึงให้สิ้นฝีมือ ก็เป็นบุญของกูมึงสู้กูไม่ได้ ต้องหนีไปให้ทหารจับได้ มึงจะคิดอย่างไรให้ว่ามา สมิงมะราหูก็กลัวอาญาพระยาน้อยยิ่งนัก เสโทไหลออกโซมกาย จึงกราบทูลว่า ข้าพเจ้าเป็นทันธธาตุปัญญาโฉดเขลา เพราะกรรมนิยมจึงให้มีประทุษจริตคิดร้ายต่อพระองค์ผู้ทรงพระกฤษดาธิการเป็นอันมาก อุปมาดังคนจักษุบอด อยู่ในที่มืด มิได้เห็นดวงประทีปอันส่องแสงสว่าง จึงได้กระทำวิรุธกรรมล่วงเกินแก่พระองค์มาแต่หลัง อันโทษข้าพเจ้าก็ถึงสิ้นชีวิตแล้ว ขอพระองค์ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานโทษให้ข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่ง จะได้ทำราชการสนองพระเดชพระคุณสืบไปอยู่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจนตลอดกาลสิ้นชีวิต
พระยาน้อยได้ฟังก็ทรงพระพิโรธ ตรัสตวาดว่า ซึ่งมึงจะขอชีวิตอยู่นั้น มึงจะคอยเอาชีวิตกูหรือ กูได้เห็นใจมึงแล้วมาแต่หลัง ครั้งเมื่อกระทำสัตย์กินเลือดในอกกัน มึงก็แต่งกลอุบายล่อลวงมิได้ซื่อสัตย์กลับคิดร้าย มึงสำคัญว่ากูไม่รู้เท่าถึง อนึ่ง คัร้งสมเด็จพระเจ้าฟ้ารั่วอันเป็นพระบรมมหาอัยกาธิราชของกูเป็นประถมกษัตริย์ในเมืองเมาะตะหมะนั้น เอาพระเจ้าตราพระยาผู้เป็นขบถมาเลี้ยงไว้ พระเจ้าตาพระยาก็คิดประทุษร้าย เรื่องความก็ยังมีเป็นแบบอย่างอยู่ดังนี้ ซึ่งมึงจะให้กูไว้ชีวิตมึง มึงจะคอยคิดประทุษร้ายกูดุจดังพระเจ้าตราพระยานั้นหรือ ครั้งนี้ อุปมาดังกูจับเสือร้ายได้แล้ว แลจะปล่อยให้เสือกลับเข้าป่าไปอีกนั้น อย่าได้พึงคิด มึงอย่าอ้อนวอนขอชีวิตเสียให้ยากป่วยการเล่า ถึงสมเด็จอมรินทร์ในเทวโลกจะลงมาช่วยขอ กูก็ไม่ให้ มึงก็เป็นชาย ไม่ใช่อิสตรี อย่าย่อท้อใจ จงก้มหน้าตายไปชาติหนึ่ง เอาความสุขในเบื้องหน้าเถิด ถ้ามึงจะอาฆาตผูกเวรกับกู กูก็จะพยาบาทผูกเวรกับมึง ถ้าท่องเที่ยวไปในวัฏสงสาร กูจะคิดฆ่าฟันล้างผลาญมึงไปทุกชาติ ๆ จนบรรลุพระอมตมหานิพพาน จึงสิ้นเวรกันเมื่อนั้น
พระยาน้อยจึงตรัสสั่งให้กระทำพิธีปฐมกรรมเหยียบดินชนะตามโบราณราชประเพณีซึ่งมีชัยชนะศึก ฝ่ายขุนนางผู้รับสั่งก็ถวายบังคมลาออกมา ให้จัดการพระราชพิธีตามตำรับ ปลูกเกยที่ประทับ เอาตัวสมิงมะรูเข้าไว้ใต้เกย เสร็จแล้วก็กลับเข้าไปกราบทูลว่า การพร้อมสำเร็จ พอได้มุหุตฤกษ์ พระยาน้อยก็แต่งพระองค์เสร็จ เสด็จมาขึ้นสู่เกย ฝ่ายพราหมณ์พฤฒามาตย์ราชปุโรหิตก็ถวายน้ำชำระพระบาทเหนือหน้าฆ้องชัยมหาฤกษ์รดลงไปให้น้ำตกถูกศีรษะสมิงมะราหู เสร็จแล้ว พระยาน้อยจึงตรัสสั่งทหารให้เอาสมิงมะราหูไปฆ่า สับให้เนื้อละเอียดมิให้กากลืนแค้น แต่พระเจ้าป้าพระมหาเทวีนั้นเป็นกษัตรีแลเป็นพระญาติราชสัมพันธวงศ์ที่สนิท ทรงพระดำริถึงอุปการคุณซึ่งมีมาแต่เบื้องหลังเป็นอันมาก แต่ได้กระทำโทษประทุษร้ายต่อพระองค์นั้นก็มาก คุณกับโทษเท่าเสมอกัน จะให้สำเร็จโทษเสียก็มิควร จึงพระราชทานชีวิตไว้ให้เป็นการทดแทนสนองคุณ แต่ฝ่ายโทษนั้นก็ต้องทดแทนกระทำโทษให้เข็ดหลาบ จะได้เป็นเยี่ยงอย่างสืบไปภายหน้า ตละแม่ศรีนั้นเป็นพระพี่นางต่างพระมารดา เป็นผู้พลอยแพ้พลอยชนะ ซึ่งสมรู้ร่วมคิดกระทำความชั่วนั้นเพราะอยู่ในอำนาจสมิงมะราหูแลพระมหาเทวี จึงไม่ทรงพระพิโรธนัก พระมหาเทวีกับตละแม่ศรีนั้นทรงพระกรุณาโปรดให้ปลูกตำหนักน้อยสองหลังขังไว้ ตำหนักนั้นมีชานแล่นถึงกัน ให้มีคนคุมคอยพิทักษ์รักษา ให้เสวยอาหารแต่วันละน้อย มิให้อิ่ม
ปกหลัง ขึ้น
โรงพิมพ์ราษฎร์เจริญ ตำบลถนนสำเพ็ง ตอน
วัดเกาะ จำหน่ายหนังสือประโลมโลก, ธรรมะ,
สุภาษิตต่าง ๆ และรับพิมพ์หนังสือ เช่น การ์ด,
ตั๋ว, ฎีกา, ใบเสร็จ, แบบฟอร์ม ฯลฯ ทำเล่มสมุด
เดินทองอย่างงาม ๆ หรือจะว่าให้ทำเป็นพิเศษก็ได้
สิ่งของที่กล่าวมาแล้วนี้ รับรองว่าจะทำให้อย่างประ-
ณีตและเร็วทันกับความประสงค์ ทั้งหล่อตัวอักษร
พิมพ์จำหน่ายด้วย จะคิดราคาอย่างย่อมเยา
เพราะฉะนั้น ถ้าท่านมีความประสงค์อย่างใด
อย่างหนึ่งซึ่งได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น เชิญ
ท่านไปลองซื้อหรือจ้างพิมพ์ ท่านจึงจะทราบได้ว่า
ที่โรงพิมพ์ราษฎร์เจริญคิดราคาพอสมควร