วรรณกรรมต่างเรื่อง/เรื่องที่ 4
หนังสือนิราศเดือนนี้เป็นนิราศซึ่งนับถือกันว่า สำนวนแต่งดีเป็นอย่างยิ่งเรื่อง ๑ บางคนเข้าใจว่า สุนทรภู่แต่ง แต่ที่กล่าวกันมาเป็นหลักฐานนั้นว่า นายมี ศิษย์ของสุนทรภู่ แต่งเมื่อตอนบวชเป็นพระอยู่วัดพระเชตุพน นายมีคนนี้ ว่า ได้แต่งกลอนนิราศเมืองถลางไว้อีกเรื่อง ๑ ปรากฏสำนวนในหนังสือ ๒ เรื่องด้วยกัน ความที่กล่าวมานี้ เห็นว่า พอจะเชื่อฟังได้ ด้วยกลอนนิราศเดือนแลนิราศเมืองถลางทั้ง ๒ เรื่องนี้แต่งตามแบบของสุนทรภู่ แต่พิเคราะห์ดูในทางความที่แต่ง ผิดกับสุนทรภู่ จึงเข้าใจว่า จะเป็นสำนวนผู้อื่นซึ่งเป็นศิษย์ของสุนทรภู่
ศิษย์ของสุนทรภู่ที่สามารถแต่งกลอนได้ดีแทบจะถึงครูปรากฏแต่ ๒ คน คือ นายมีนี้คน ๑ กับหม่อมราโชทัย กระต่าย อิศรางกูร ณ กรุงเทพ ซึ่งแต่งนิราศลอนดอน อีกคน ๑ นิราศลอนดอนนั้น ว่า ที่แท้จะว่าดีกว่าของสุนทรภู่ในบางอย่างก็ว่าได้ เช่น ตรงใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษ ใช้แห่งใด คงหาสัมผัสที่เหมาะเข้าความได้ ไม่มีเคอะเลยสักแห่งเดียว กระบวนเล่นศัพท์ภาษาต่างประเทศเช่นนั้น สุนทรภู่ไม่รู้ภาษาต่างประเทศ หาสามารถจะเล่นได้ไม่ จึงว่า หม่อมราโชทัยได้เปรียบสุนทรภู่อยู่ตรงนั้น ผู้ที่แต่งกลอนเอาอย่างสุนทรภู่มีมากกว่ามาก แต่ไม่มีใครที่จะแต่งได้ดีทัดทันครูเท่ากับนายมีกับหม่อมราโชทัยที่กล่าวมา.
โอ้ฤดูเดือนห้าหน้าคิมหันต์ | ||
พวกมนุษย์สุดสุขสนุกครัน | ได้ดูกันพิศวงเมื่อสงกรานต์ | |
ทั้งผู้ดีเข็ญใจใส่อังคาส | อภิวาทพุทธรูปในวิหาร | |
ล้วนแต่งตัวทั่วกันวันสงกรานต์ | ดูสราญเพริดพริ้งทั้งหญิงชาย | |
ที่เฒ่าแก่แม่ม่ายมิใคร่เที่ยว | สู้อดเปรี้ยวกินหวานลูกหลานหลาย | |
ที่กำดัดซัดสีสวยทั้งกาย | เที่ยวถวายน้ำหอมพร้อมศรัทธา | |
บ้างก็มีที่สวาทมาดพระสงฆ์ | ต่างจำนงนึกกำดัดขัดสิกขา | |
ได้แต่เพียงพูดกันจำนรรจา | นานนานมากลับไปแล้วใจตรอม | |
ล้วนแต่งตัวเต็มงามทรามสวาท | ใส่สีฉาดฟุ้งเฟื่องด้วยเครื่องหอม | |
สงกรานต์ทีตรุษทีไม่มีมอม | ประดับพร้อมแหวนเพชรเม็ดมุกดา | |
มีเท่าไรใส่เท่านั้นฉันผู้หญิง | ดูเพริดพริ้งเพราเอกเหมือนเมขลา | |
รามสูรเดินดินสิ้นศักดา | เที่ยวไล่คว้าลางทีก็มีเชิง | |
บ้างเล่นเบี้ยเสียถั่วจนมัวมืด | ใครขี้ตืดถากถางวางกันเหลิง | |
บ้างฉุดมือยื้อผ้าด่ากันเปิง | ที่รู้เชิงทำแปดเก้าเป็นเจ้ามือ | |
เขาตัดไพ่ตายแพ้เหลือแต่ผ้า | สิ้นปัญญาบ่นพลางครางหือ ๆ | |
นั่งเสียใจเต็มทีต้องหนีมือ | ไม่สัตย์ซื่อทำไพ่ตายเขาเอง | |
ดูเขาเล่นเป็นฤดูไม่รู้ขาด | นุชนาฏพึ่งกะเตาะขึ้นเหมาะเหม็ง | |
บ้างก็หลงเลยเล่นเป็นนักเลง | ฉันนี้เกรงกลัวนักไม่รักเลย | |
ทั้งหนุ่มสาวฉาวฉานด้วยการเล่น | บ้างซุ่มเป็นผัวเมียกันเสียเฉย | |
แต่ตัวเราเปล่าไปมิได้เชย | โอ้อกเอ๋ยคิดไปแล้วใจตรม | |
ให้เจ็บจุกทุกข์เท่าคีรีศรี | ด้วยไม่มีคู่ชิดสนิทสนม | |
ทุกวันนี้ใครมีซึ่งคู่ชม | สำราญรมย์เริงจิตเป็นนิจกาล | |
เมื่อไรเล่าเรานี้จะมีบ้าง | จะได้ว่างเว้นทุกข์สนุกสนาน | |
แต่นึกตรองปองหามาช้านาน | ทอดสะพานเข้าที่ไหนไม่ได้เลย | |
ร่ำคะนึงถึงนุชสุดวิตก | ถึงเดือนหกเข้าแล้วหนาเจ้าข้าเอ๋ย | |
เขาแต่งงานปลูกหอขอกันเชย | เราจะเฉยอยู่ก็เห็นไม่เป็นการ | |
เขาแรกนาแล้วมานักขัตฤกษ์ | เอิกเกริกโกนจุกทุกสถาน | |
ที่กำดัดจัดแจงกันแต่งงาน | มงคลการตามเล่ห์ประเพณี | |
โอ้โอ๋อกอาตมานี้อาภัพ | ทั้งไร้ทรัพย์สาระพัดน่าบัดสี | |
ดูเพื่อนบ้านเขาทั้งหลายสบายดี | เขาคิดมีลูกเมียเสียทุกคน | |
สำราญรมย์ชมน้องในห้องหอ | เฝ้าเคลียคลอเจรจาว่ากุศล | |
ที่ยังไม่ส่งตัวนึกกลัวตน | ก็ต่างคนต่างนึกคะนึงตรอง | |
โอ้อกเอ๋ยยังไม่เคยจะมีผัว | สงสารตัวตั้งแต่นี้มีแต่หมอง | |
มิได้ทาแป้งขมิ้นดินสอพอง | จะมีท้องแท้แล้วไม่แคล้วเลย | |
เสียดายแก้มผุดผ่องจะต้องจูบ | จะซีดซูบพักตรานิจจาเอ๋ย | |
เสียดายนมจะระบมเพราะมือเชย | ยังไม่เคยมีคู่ดูน่าอาย | |
ไหนจะปัดฟูกหมอนนอนด้วยผัว | ไม่เหมือนตัวเปล่าเปลือยเหนื่อยใจหาย | |
จะไม่มีก็ไม่ได้ไม่สบาย | พวกผู้ชายเจ้าชู้มักดูแคลน | |
จะพูดเกี้ยวเลี้ยวลดให้อดสู | ถ้ามีคู่คุ้มตัวเหมือนหัวแหวน | |
ที่ลางคนบ่นบ้าว่าน่าแค้น | พ่อแม่แค่นขืนให้ไม่ชอบใจ | |
เที่ยวหลบลี้หนีสถานทิ้งบ้านช่อง | มีพวกพ้องน้าป้าไปอาศัย | |
บ้างชอบชายรูปงามตามเขาไป | ไม่อาลัยพ่อแม่ไปแต่ตัว | |
ที่โกนจุกได้ปีครึ่งพึ่งจะผลิ | อุตริหนักหนาจะหาผัว | |
ที่ลงคนละห้อยน้อยใจตัว | ว่ารูปชั่วชายชังไม่หวังเชย | |
ที่ตกพุ่มกลุ้มกลัดขัดในอก | ถึงมุ่นหมกอยู่ในก็ใช้เฉย | |
แสนสงสารหญิงชายไม่วายเลย | โอ้อกเอ๋ยเราก็เป็นเหมือนเช่นกัน | |
ไม่พ้นตัวชั่วช้าว่าแต่เขา | ตัวของเราเหมือนยักษ์มักกระสัน | |
เห็นกะเตาะไม่ได้ใจเป็นควัน | เหลือจะกลั้นใจคอเที่ยวกรอกราย | |
ถ้ามีงานใหญ่โตมะโหรสพ | ขี้มักพบเห็นมากดูหลากหลาย | |
เห็นนารีรูปงามตามแทบตาย | เพราะเมามายแรกรักนี่หนักจริง | |
มีอิเหนาคราวนั้นขันหนักหนา | ทำทีท่าถูกในน้ำใจหญิง | |
นอนละเมอเพ้อจิตคิดประวิง | ฉันหนาวจริงพ่อขุนทองประคองที | |
อันความรักมักละเมอจนเพ้อพก | เหมือนกับอกเรียมแล้วนะแก้วพี่ | |
ให้โหยหวนครวญหาทุกราตรี | สักกี่ปีจะได้น้องประคองนอน | |
กระทั่งถึงเดือนเจ็ดไม่เสร็จโศก | บังเกิดโรคแรงนักด้วยรักสมร | |
สลากภัตรจัดแจงแต่งหาบคอน | อย่างแต่ก่อนหาบกระทายมีลายทอง | |
ใส่คานรูปนาคาวายุภักษ์ | ครั้นเดินหนักดูเต้นเผ่นผยอง | |
แสรกร้อยห้อยพวงมาลัยกรอง | ใส่เข้าของหาบหามตามกันมา | |
ทุกวันนี้มีแต่จะทำแปลก | ใส่โต๊ะแบกเดินด่วนมาถ้วนหน้า | |
สาระพัดเอมโอชโภชนา | ตามศรัทธาสัปปุรุษนุชอนงค์ | |
ทั้งผู้ดีเข็ญใจก็ไปมาก | จับสลากหนังสือชื่อพระสงฆ์ | |
รู้จักนามตามพบประสบองค์ | ต่างจำนงน้อมถวายรายกันไป | |
พระลางองค์งงงกตกประหม่า | ให้ยะถาเสียงสั่นอยู่หวั่นไหว | |
สัปปุรุษกรวดน้ำร่ำในใจ | ที่ผู้ใหญ่หมายประโยชน์โพธิญาณ | |
ที่หนุ่มหนุ่มสาวสาวราวกับฉัน | นึกรำพันในจิตอธิษฐาน | |
ให้มีเมียรูปงามทรามสคราญ | มีเรือนบ้านคับคั่งเขามั่งมี | |
อนงค์นาฏปรารถนาจะหาผัว | ไม่เล่นถั่วกินเหล้าเมาอาหนี | |
ให้รูปงามทรามชมอุดมดี | ลางสตรีปรารถนาหาขุนนาง | |
มีเงินทองบ่าวไพร่เครื่องใช้สอย | จะนั่งลอยนวลสบายนุ่งลายย่าง | |
ขี่แต่เรือเก๋งพั้งลงนั่งกลาง | ไปตามทางแถวชลที่คนพาย | |
ที่ติดพันกันอยู่ก็ชูชื่น | ไม่นึกอื่นนึกมีแต่ที่หมาย | |
ที่มีแล้วฉ่ำเฉื่อยเรื่อยสบาย | ค่อยเว้นวายโศกเศร้าเบาหัวใจ | |
กระทำมาหากินภิญโญยิ่ง | มีลูกหญิงลูกชายหมายอาศัย | |
ที่ไม่มีฝั่งฝาให้อาลัย | เหมือนกับใจของฉันที่พรรณนา | |
คิดถึงนุชสุดที่รักให้หนักอก | น้ำตาตกพรั่งพรายทั้งซ้ายขวา | |
สักเมื่อไรจะได้แนบแอบอุรา | ละห้อยหาโศกศัลย์รำพันคราง | |
ถึงเดือนแปดแดดอับพยับฝน | ฤดูดลพระวสาเข้ามาขวาง | |
จวนจะบวชเป็นพระสละนาง | อยู่เหินห่างเห็นกันเมื่อวันบุญ | |
ประดับพุ่มบุปผาพฤกษากระถาง | รูปแรดช้างโคควายขายกันวุ่น | |
ตุ๊กตาหน้าพราหมณ์งามละมุน | ต้นพิกุลลิ้นจี่ดูดีจริง | |
ต้นไม้ทองเสาธงหงส์ขี้ผึ้ง | คู่ละสลึงเขาขายพวกชายหญิง | |
อุณรุทยุดกินนรชะอ้อนพริ้ง | มีทุกสิ่งซื้อมาบูชาพระ | |
ขึ้นกุฎีที่รักรู้จักสนิท | ดัดจริตพูดจาวิสาสะ | |
พระหนุ่มหนุ่มกลุ้มใจทำไมละ | เสียงจ๋าจ๊ะเจรจาพาสบาย | |
ถ้าญาติโยมจริงจริงแล้วนิ่งเฉย | มิใคร่เงยดูหน้าปัญญาหาย | |
ไม่พูดมากพาดพิงให้พริ้งพราย | ดูเราะรายเรียบร้อยกระช้อยชด | |
พรรษาหนึ่งสองพรรษาไม่ผาสุก | เข้าบ้านกรุกเลยลาสิกขาบท | |
เหมือนน้ำอ้อยย้อยถูกจมูกมด | ใครจะอดได้เล่าพวกชาวเรา | |
นึกคะนึงถึงนางกลางพรรษา | แต่คอยหาเช้าเย็นไม่เห็นเขา | |
เที่ยวฟังเทศน์มิได้ขาดดูลาดเลา | เห็นแต่เขาคนอื่นไม่ชื่นตา | |
นั่งพับเพียบเรียบร้อยน้อยไปฤๅ | ประนมมือฟังธรรมเทศนา | |
ที่ฟังจริงนิ่งตรับจนหลับตา | บ้างก้มหน้าฟังไปมิได้เงย | |
ที่ฟังเล่นเห็นกันเป็นขวัญเนตร | ไม่ฟังเทศน์เอาบุญแม่คุณเอ๋ย | |
มานั่งเล่นตากันฉันไม่เคย | ไม่สิ้นเลยเหล่าตะกลามกามคุณ | |
ที่ท่านแก่แก่ตัวยังชั่วดอก | หมายจะออกห่างเหจากเมถุน | |
ท่านอยากบวชสวดมนต์ขนเอาบุญ | ที่แรกรุ่นนี้แลร่านรำคาญใจ | |
ด้วยความรักหนักเหลือเหมือนเรือเพียบ | จนน้ำเลียบแคมแล้วแจวไม่ไหว | |
ถ้าผ่อนของขึ้นเสียบ้างยังชั่วใจ | แจวไปไหนไปได้ไม่หนักแรง | |
โอ้โอ๋อกชาวเราเหล่าหนุ่มหนุ่ม | อยากใคร่สุ่มปลาหนองเที่ยวส่องแสวง | |
ตัวฉันเล่าเฝ้าคลั่งด้วยคลางแคลง | จะพลิกแพลงไปอย่างไรก็ไม่รู้ | |
โอ้ไฉนจะสมอารมณ์รัก | ใครช่วยชักฉันจะไหว้ให้หัวหมู | |
ยิ่งร้อนในใจคอให้หมอดู | ว่าขัดคู่นักหนาให้อาดูร | |
ถึงเดือนเก้าเศร้าสร้อยละห้อยหา | พระจันทราวันดับก็ลับสูญ | |
แต่โศกเศร้าเราเสริมขึ้นเพิ่มพูน | ไม่ลับสูญไปบ้างเหมือนอย่างเดือน | |
ไม่ได้ชมโฉมศรีไม่มีสุข | จะเปรียบทุกข์อะไรก็ไม่เหมือน | |
ถึงจะมีเข้าของสักห้องเรือน | ไม่ชื่นเหมือนคนรักสักราตรี | |
ถ้ามีคู่สู่สมภิรมย์รื่น | ทุกวันคืนปรีดิ์เปรมเกษมศรี | |
ถ้าไม่ได้เหมือนหมายตายเสียดี | ไปเกิดมีชาติหน้าคอยท่าน้อง | |
โอ้ว่ากรรมจำเพาะพระเคราะห์รุด | หมายได้นุชเดือนเก้ายิ่งเศร้าหมอง | |
เห็นเมฆมืดเวหาฟ้าคะนอง | พยับฟองฝนสาดอยู่ปราดปราย | |
พยุเยือกโยกมาฟ้าก็แลบ | ดูวับแวบแวววับแล้วดับหาย | |
เหมือนขวัญเนตรแลวับแล้วกลับกลาย | ราวกับสายฟ้าแลบแปลบโพยม | |
พิรุณโรยโปรยมาเวลาดึก | คะนึงนึกถึงนางสำอางโฉม | |
ถ้าเหาะได้จะไปพาเอามาโลม | ประคองโฉมโลมเล่นไม่เว้นวาง | |
นี่จนจิตฤทธีหามีไม่ | ยิ่งคิดไปสารพัดจะขัดขวาง | |
ระทวยทอดกอดหมอนลงนอนคราง | กลัวจะค้างมรสุมกลุ้มหัวใจ | |
ยิ่งคิดคิดจิตคล้อยละห้อยหา | ชลนาเอิบอาบพิลาปไหล | |
กลางคืนหนาวกลางวันร้อนอ่อนฤทัย | เมื่อครั้งไรจะพ้นข้อทรมาน | |
ถึงเดือนสิบเห็นกันเมื่อวันสารท | ใส่อังคาสโภชนากระยาหาร | |
กระยาสารทกล้วยไข่ใส่โตกพาน | พวกชาวบ้านถ้วนหน้ามาธารณะ | |
เจ้างามคมห่มสีชุลีนบ | แล้วจับจบทัพพีน้อมศีรษะ | |
หยิบเข้าของกระยาสารทใส่บาตรพระ | ธารณะเสร็จสรรพกลับมาเรือน | |
พอลับเนตรเชษฐาอุราร้อน | แสนอาวรณ์โหยให้ใครจะเหมือน | |
ไม่รู้ที่จะวานใครไปตักเตือน | ให้มาเยือนเยี่ยมพี่ถึงที่นอน | |
ถ้าเข้าชิดอิดออดจะกอดรัด | สอดสัมผัสเคล้นทรวงดวงสมร | |
แม้นข่วนหยิกพลิกหันจะกันกร | ทำแง่งอนพี่จะง้อให้ท้อใจ | |
จะเป่าด้วยคาถามหาเสน่ห์ | อิธะเจทำผงให้หลงใหล | |
โอ้ยามนี้โฉมตรูก็อยู่ไกล | ทำไฉนจะได้มิตรมาชิดเชย | |
ขอเชิญเทพทุกสถานพิมานสถิต | ช่วยเตือนมิตรให้มาเยือนอย่าเชือนเฉย | |
อย่าให้เรียมคอยท่าอยู่ช้าเลย | ไม่ได้เชยนุชนงค์ฉันคงตาย | |
อันหญิงอื่นดื่นไปทั้งไตรจักร | ไม่มีรักเหมือนนุชที่สุดหมาย | |
ขอให้ได้แนบน้องประคองกาย | อย่าคลาดคลายตราบเท่าเข้านิพพาน | |
ยิ่งรำคาญแค้นใจให้สะอื้น | ถ้างามชื่นเห็นคงจะสงสาร | |
แม้แลกเปลี่ยนน้ำใจอาลัยลาญ | คงรำคาญเหมือนเรียมที่เตรียมตรอม | |
ถ้ายอดรักรักรวบประจวบจิต | คงได้ชิดเชยแนบแอบถนอม | |
จะประโลมโฉมเฉลิมเป็นเจิมจอม | ให้เพริศพร้อมพริ้งพรายสบายบาน | |
จะตั้งตึกปึกแผ่นให้แน่นหนา | มีเงินตรากินกรุ่มเป็นภูมิฐาน | |
ช่วยข้าคนบ่าวไพร่ไว้ใช้การ | ให้เยาวมาลย์ชื่นชมภิรมย์ใจ | |
พี่นอนตรึกนึกนิยมสมบัติบ้า | ก็เพราะว่าความรักมักหลงใหล | |
สิ้นเดือนสิบลิบลับนับแต่ไกล | ยังไม่ได้กัลยาน้ำตาริน | |
เดือนสิบเอ็ดเสร็จธุระพระวสา | ชาวพาราเซ็งแซ่แห่กฐิน | |
ลงเรือเพียบพายยกเหมือนนกบิน | กระแสสินธุ์สาดปรายกระจายฟอง | |
สนุกสนานขานยาวฉาวสนั่น | บ้างแข่งกันขันสู้เป็นคู่สอง | |
แพ้ชนะปะตาพูดจาลอง | ตามทำนองเล่นกฐินสิ้นทุกปี | |
ไปช่วยแห่แลกันกระสันสวาท | นุชนาฏพายเรือใส่เสื้อสี | |
จนเปียกชุ่มตูมตั้งอลั่งดี | เส้นเกษีโศกสร้อยก็พลอยยับ | |
เหมือนตกแสกแบกโศกไว้สักพ้อม | ดูมัวมอมหน้าตาเมื่อขากลับ | |
ถึงบ้านหอบบอบอ่อนลงนอนพับ | ตานั้นหลับใจตรึกนึกถึงพาย | |
บ้างว่ากันวันนี้พี่คนนั้น | ช่างดูฉันนี่กระไรน่าใจหาย | |
บ้างแกล้งพูดดังดังว่าชังชาย | เบื่อจะตายไปกฐินเขานินทา | |
ได้ยินพูดเช่นนี้ก็มีมาก | พูดแต่ปากใจรนเที่ยวซนหา | |
การโลกีย์มีทั่วทั้งโลกา | ใครบ่นบ้าว่าเบื่อไม่เชื่อเลย | |
ถึงตัวเรานี้เล่าก็เร่าร้อน | แสนอาวรณ์วิญญาณ์นิจจาเอ๋ย | |
ไม่ว่าเล่นเป็นบ้าหลังด้วยหวังเชย | ยิ่งเคยเคยก็ยิ่งคิดเป็นนิจกาล | |
ทุกค่ำรุ่งมุ่งมาดปรารถนา | จะพรรณนาสุดคิดให้วิตถาร | |
ในเล่ห์กลโลกาห้าประการ | ฉันรำคาญสุดที่จะชี้แจง | |
เดือนสิบสองล่องลอยกระทงหลวง | ชนทั้งปวงเลยตามอร่ามแสดง | |
ดอกไม้ไฟโชติช่วงเป็นดวงแดง | ทั้งพลุแรงตึงตังดังสะท้าน | |
เสียงนกบินพราดพรวดกรวดอ้ายตื้อ | เสียงหวอหวือเฮฮาอยู่หน้าฉาน | |
ล้วนผู้คนล้นหลามตามสะพาน | อลหม่านนาวาในสาคร | |
บ้างก็แห่ผ้าป่าพฤกษาปัก | มีเรือชักเซ็งแซ่แลสลอน | |
ขับประโคมดนตรีมีละคร | อรชรรำร่าอยู่หน้าเรือ | |
บ้างก็ร้องสักรวาใส่หน้าทับ | ลูกคู่รับพร้อมเพราะเสนาะเหลือ | |
ฟังสำเนียงสตรีไม่มีเครือ | เป็นใยเยื่อจับในน้ำใจชาย | |
ฟังสำเนียงเสียงนางที่กลางน้ำ | แล้วหวนรำลึกถึงนุชที่สุดหมาย | |
กลับมานอนอ่อนทอดระทวยกาย | เฝ้าฟูมฟายชลนาทุกราตรี | |
นอนไม่หลับกลับลุกเปิดหน้าต่าง | จันทร์กระจ่างแจ่มฟ้าในราศี | |
เห็นดวงเดือนเหมือนลักษณ์ภัคินี | ยุพินพี่อยู่ไกลนัยนา | |
พี่นั่งคอยนอนคอยละห้อยหวน | แสนรัญจวนมิได้สิ้นถวิลหา | |
เห็นราหูจู่จับพระจันทรา | ชาวพาราอื้ออึงคะนึงดัง | |
พิลึกลั่นครั่นครึกเสียงกึกก้อง | ระฆังฆ้องกลองแซ่ทั้งแตรสังข์ | |
ประดังเสียงเพียงพื้นพิภพพัง | มีทุกครั้งดังทุกคราวฉาวทุกที | |
โอ้ว่าดวงจันทร์เจ้าดูเศร้าหมอง | ไม่ผุดผ่องเผือดอับพยับสี | |
อยู่ในปากราหูอสุรี | มีนาทีปล่อยปละสละกัน | |
แต่ตัวพี่มิได้มีนาทีชื่น | ทุกวันคืนเฝ้าวิโยคด้วยโศกศัลย์ | |
ครวญคะนึงถึงมิตรที่ติดพัน | พี่ชมจันทร์ต่างเจ้าเยาวมาลย์ | |
เมื่อวันที่เทศนามหาชาติ | ได้เห็นนาฏนุชนงค์ยอดสงสาร | |
สัปปุรุษคับคั่งฟังกุมาร | ชัชวาลย์แจ่มแจ้งด้วยแสงเทียน | |
พี่ฟังธรรมเทศน์จบไม่พบน้อง | เที่ยวเมียงมองเลี้ยวลัดฉวัดเฉวียน | |
ไม่พบพักตร์เยาวมาลย์ในการเปรียญ | ก็วนเวียนมาบ้านรำคาญใจ | |
ถึงฤดูเดือนอ้ายไม่ได้สมร | ยิ่งหนาวนอนกอดประทับไม่หลับไหล | |
ถึงกอดหมอนนอนนิ่งแล้วผิงไฟ | ไม่อุ่นใจเหมือนกอดแม่ยอดรัก | |
พี่เป็นทุกข์ทุกเดือนเหมือนจะม้วย | ใครจะช่วยทุกข์ได้ไม่ประจักษ์ | |
ให้คับแค้นวิญญาณ์หนักหนานัก | จนสุดรักสุดฤทธิ์จะคิดการ | |
ให้สุดแค้นแสนวิตกในอกพี่ | เหมือนพระสี่เสาร์กษัตริย์พลัดสถาน | |
พระเสาร์ทับชันษาอยู่ช้านาน | พระภูบาลเป็นบ้าเข้าป่าไป | |
ถึงกระนั้นพระองค์ก็คงหาย | กลับสบายคืนมาพาราได้ | |
แต่ทุกข์พี่นี้ยิ่งกว่านั้นไป | ทำกระไรจะได้ชื่นทุกคืนวัน | |
เป็นเคราะห์กรรมซ้ำแทรกเข้าแรกรุ่น | มาหมกมุ่นด้วยผู้หญิงจริงจริงฉัน | |
แม่โลกีย์เจ้ากรรมแกทำครัน | จะบากบั่นไม่ขาดประหลาดใจ | |
ยิ่งเห็นหน้ามิ่งมิตรให้คิดรัก | อกจะหักเสียแล้วกรรมทำไฉน | |
ชะรอยเป็นคู่สร้างฤๅอย่างไร | จึงอาลัยนางงามถึงสามฤดู | |
ยกเอาเรื่องในใจใส่สมุด | ถ้านงนุชทราบเรื่องคงเคืองหู | |
อันความรักมักคลั่งตั้งกระทู้ | มีทุกผู้ทุกคนไม่พ้นเลย | |
ครั้นล่วงเข้าเดือนยี่ทวีหนาว | นางสาวสาวอาบน้ำทำหน้าเฉย | |
อุตส่าห์บำรุงกายให้ชายเชย | ไม่ขาดเลยแป้งขมิ้นดินสอพอง | |
ไม่ใคร่ผิงอัคคีกลัวศรีเสีย | อลิ้มอะเหลี่ยเหลือดีไม่มีหมอง | |
คัดปีกเปิดเลิศล้วนนวลละออง | อนงค์น้องน่ารักลักขณา | |
บ้างก็กางคันฉ่องส่องกระจก | เห็นผมดกคิ้วดำขำหนักหนา | |
อุตส่าห์ถอนอุตส่าห์ตัดหัดเล่นตา | เป็นวิชาชวนชายให้ตายใจ | |
บ้างก็ยิ้มพริ้มพรายขยายแก้ม | เอาหมึกแต้มให้ดำทำเป็นไฝ | |
ล้วนแต่งตัวทั่วกันทุกวันไป | นี่ฤๅใครจะไม่รักภัคินี | |
ทั้งขาวขำสำอางเหมือนอย่างปั้น | ย่อมหวานมันเหมือนกันหมดรสอิตถี | |
ผูกสายสร้อยกบข้อมือลือว่ามี | ทุกวันนี้นับถือข้อมือทอง | |
บ้างก็ไปวัดวาหาหลวงพี่ | ขึ้นกุฎีน้อมกายถวายของ | |
ใครไม่รู้ดูทีเหมือนพี่น้อง | เขาแอบมองลอบดูรู้อุบาย | |
ธรรมดาว่ารักเขามักรู้ | เพราะตาหูบอกเหตุสังเกตุง่าย | |
จะเจรจาพาทีมีแยบคาย | ใครอย่าหมายว่าจะปิดไม่มิดเลย | |
เช่นทำนองของฉันทุกวันเล่า | เขารู้เท่าทัง้นั้นฉันก็เฉย | |
โอ้โอ๋อกชายที่หมายเชย | ยังไม่เคยแล้วยิ่งคิดจิตระบม | |
สิบเดือนถ้วนครวญหามารศรี | มิได้มีความสบายเท่าปลายผม | |
เฝ้าคิดถึงสาลิกาป่าชะอม | น้ำค้างพรมพรั่งพราวหนาวหัวใจ | |
ไม่เห็นมาเยี่ยมเยือนจนเดือนยี่ | เจ้าปักษีโบกบินไปกินไหน | |
สุริยาอัสดงลงไรไร | โอ้อาลัยสาลิกาน้ำตานอง | |
โฉมยุพินกินรีเจ้าพี่เอ๋ย | เมื่อไรเลยจะได้ชมประสมสอง | |
ดูผิวเหลืองเรืองดีดังสีทอง | ได้ประคองแล้วจะชื่นทุกคืนวัน | |
ดอกโกมุทบุษบามณฑาทิพ | วิไลลิบลอยล่องของสวรรค์ | |
ถ้าหล่นลงตรงพี่จะดีครัน | คงลือลั่นโลกาสุธาสะเทือน | |
แม่ดวงแก้วนพเก้าเสาวภาค | พี่ฝังฝากรักใคร่ใครจะเหมือน | |
ให้หมกมุ่นวุ่นวายมาหลายเดือน | สติเฟือนคลั่งไคล้ในใจตรม | |
ถึงเดือนสามความโศกไม่เสื่อมสูญ | จันทร์จำรูญแสงงามยามปฐม | |
ดารารายพรายพร่างน้ำค้างพรม | พี่นั่งชมจันทร์เพ็งเปล่งโพยม | |
ดูแวววับเวหาล้วนดาเรศ | เหมือนดวงเนตรนุชนางสำอางโสม | |
ดูกระพริ้มริมแดงดังแสงโคม | ลอยโพยมล้อมจันทร์พรรณราย | |
พี่นั่งชมตรมตรึกดึกสงัด | น้ำค้างหยัดเยือกเย็นกระเซ็นสาย | |
บุปผาเผยกลิ่นก้านบานกระจาย | ต้องพระพายหอมประทิ่นเหมือนกลิ่นนาง | |
พี่เคลิ้มคลั่งนั่งอยู่ดูมะลิ | ลืมสติหลงพลอดกอดกระถาง | |
ฟังเป็นเสียงสายสมรวอนให้วาง | จึงปลอบนางทางว่าด้วยอาลัย | |
พี่นั่งคอยนอนคอยน้อยไปฤๅ | ขอถูกมือยอดรักอย่าผลักไส | |
พอรู้สึกนึกเขินเดินออกไป | ถ้าแม้นใครเห็นฉันแล้วขันจริง | |
ราวกับถูกยาแฝดสักแปดโถ | จนซูบโซเสียศรีดังผีสิง | |
พระอภัยหลงรูปวาดหวาดประวิง | เรากลับยิ่งกว่าพระอภัยไป | |
ถ้ามิได้นวลหงฉันคงม้วย | ใครจะช่วยดับเข็ญเห็นไม่ไหว | |
ฤๅจะเหมือนมดแดงน่าแคลงใจ | ให้สงสัยวิญญาณ์เป็นอาจิณ | |
ดูตำราว่าพฤหัสบดิ์เป็นปัตตนิ | ตามลัทธิว่าคู่อยู่ทักษิณ | |
ช่างพูดจาตาดำดังน้ำนิล | ก็สมสิ้นเหมือนตำราสารพัน | |
เออก็ขัดด้วยอะไรไฉนหนอ | แต่รีรอรักนุชสุดกระสัน | |
เห็นที่อื่นดื่นดาษไม่ขาดวัน | จะรักกันก็ประเดี๋ยวเมื่อเกี้ยวพาน | |
เหมือนแสบท้องต้องฝืนกลืนข้าวตาก | ระคายปากไม่ละมุนเหมือนวุ้นหวาน | |
เหมือนอดข้าวกินมันยามกันดาร | กว่าจะพานพบของที่ต้องใจ | |
กระแจะจันทน์คันธาบุปผาสด | ไม่เหมือนรสมิ่งมิตรพิสมัย | |
ประเวณีมีจบภพไตร | ไม่ว่าใครทุกตัวทั่วโลกา | |
ถึงเดือนสี่ปีสุดถึงตรุษใหม่ | ยังไม่ได้นุชนาฏที่ปรารถนา | |
ฟังเสียงปืนยิงยัดอัตนา | รอบมหานัคเรศนิเวศวัง | |
ถ้าความทุกข์เราดังเหมือนยังปืน | พิภพพื้นก็จะไหวเหมือนใจหวัง | |
นวลหงคงจะรู้ถึงหูดัง | จะนอนฟังทุกข์พี่ไม่มีเว้น | |
ทุกวันคืนเดือนปีไม่มีหยุด | พี่แสนสุดทุกข์ใจใครจะเห็น | |
ในทรวงช้ำเหมือนเขาเชือดเอาเลือดกระเด็น | ใครจะเป็นเช่นข้าทั้งธานี | |
ความรักนุชสุดหลงพะวงจิต | จนลืมคิดญาติกาน่าบัดสี | |
ลืมบิดามารดาทั้งตาปี | เหมือนไม่มีกตัญญูดูเถิดเรา | |
พอใจรักแม่เลี้ยงว่าเสียงเพราะ | เฝ้าฉอเลาะก็ไม่ได้อะไรเขา | |
รักคนอื่นลืมตัวจนมัวเมา | อุตส่าห์เฝ้าอยู่ไม่ไปข้างไหนเลย | |
จะได้ฤๅมิได้ไม่รู้แน่ | เห็นจะแก่เสียเปล่าแล้วเราเอ๋ย | |
สงสารใจใจคิดจะชิดเชย | สงสารตัวตัวเอ๋ยจะเอกา | |
สงสารมือมือหมายจะก่ายกอด | สงสารปากปากพลอดไม่นักหนา | |
สงสารอกอกโอ้อนิจจา | ใครจะมาแอบอกให้อุ่นใจ | |
สงสารหลังหลังหมายจะได้จุด | สงสารสุดเวทนาน้ำตาไหล | |
สงสารตาตาพี่แต่นี้ไป | จะดูใครต่างเจ้าจะเปล่าตา | |
โอ้อกเรามีกรรมทำไฉน | จึงจะได้แนบชิดขนิษฐา | |
ได้แต่ชื่อไว้ชมตรมอุรา | ถึงได้ผ้าไว้ห่มก็ตรมใจ | |
ถึงได้แหวนได้ชมก็ตรมจิต | ไม่เหมือนได้มิ่งมิตรพิสมัย | |
ได้ของอื่นหมื่นแสนทั้งแดนไตร | ไม่เหมือนได้นิ่มน้องประคองนอน | |
จะว่าโศกโศกอะไรที่ในโลก | ไม่เท่าโศกใจหนักเหมือนรักสมร | |
จะว่าหนักหนักอะไรในดินดอน | ถึงสิงขรก็ไม่หนักเหมือนรักกัน | |
จะว่าเจ็บเจ็บแผลพอแก้หาย | พอเจ็บกายชีวาจะอาสัญ | |
แต่เจ็บแค้นนี้แลแสนจะเจ็บครัน | สุดจะกลั้นสุดจะกลืนขืนอารมณ์ | |
จะว่าขมขมอะไรในพิภพ | ไม่อาจลบบอระเพ็ดที่เข็ดขม | |
ถึงดาบคมก็ไม่สู้คารมคม | จะว่าลมลมปากนี้มากแรง | |
จะว่าเมาเมาอะไรก็ไม่หนัก | อันเมารักเช่นนี้มีทุกแห่ง | |
เกิดยุ่งยิ่งชิงกันถึงฟันแทง | ใครพลาดแพลงล้มตายวายชีวา | |
บ้างชกต่อยกันบอบลอบตีหัว | เอาจับตัวใส่คุกทุกข์หนักหนา | |
อันโกรธขึ้งหึงกันทุกวันมา | เพราะตัณหาตัวเดียวมันเหนี่ยวแรง | |
จนพระเณรเถรตู้อยู่ไม่ได้ | สึกออกไปซัดเพลาะเที่ยวเสาะแสวง | |
บ้างร้อนตัวกลัวอดเหมือนมดแดง | นอนตะแคงคว่ำหงายสบายใจ | |
บ้างก็แต่งเพลงยาวไปน้าวโน้ม | ว่ารักโฉมมิ่งมิตรพิสมัย | |
พอลงเอยให้แม่สื่อถือเอาไป | แต่ละใบราคาถึงตำลึงทอง | |
บ้างก็ถูกแม่สื่อหลอกปอกเอาหมด | เจ็บอกอดอับอายเสียดายของ | |
ถ้าแม่สื่อซื่อตรงคงได้ครอง | เป็นหอห้องเรือนเรือเป็นเชื้อวงศ์ | |
บ้างก็รักเขาข้างเดียวลงเคี่ยวเข็ญ | บ้างก็เป็นสังฆ์การีสึกชีสงฆ์ | |
วิสัยพระทุกวัดขัดทุกองค์ | ถ้าลาภตรงมาหาเปลื้องผ้าไตร | |
บ้างก็ถูกลมหลอกออกมาเก้อ | ชักสะพานแหงนเถ่อน้ำตาไหล | |
ไม่ได้เมียเสียของร้องเอาใคร | กลับบวชใหม่สวดมนต์ไปจนตาย | |
เขาว่าพระคราวนั้นก็ขันอยู่ | บวชเณรรู้ไว้เป็นศิษย์ดังจิตหมาย | |
ท่านจับสึกสักหน้าพากันอาย | พวกหญิงชายลือดังทั้งพิภพ | |
เพราะโลกีย์ฟั่นเฝือเหลือสละ | แต่เป็นพระแล้วยังคิดผิดขนบ | |
นี่ฤๅคฤหัสถ์จะไม่โลภละโมบมบ | ให้ปรารภเรื่องผู้หญิงประวิงวน | |
จะพรรณนาว่าไปไหนจะหมด | เหลือกำหนดนับไม่เสร็จเหมือนเม็ดฝน | |
มิใช่ฉันหยาบช้าแกล้งว่าคน | อย่าร้อนรอนร้าวรานรำคาญเคือง | |
ฉันคนชั่วตัวโศกเป็นโรครัก | อกจะหักเสียเพราะตรอมจนผอมเหลือง | |
สวาทหวังตั้งจิตเป็นนิจเนือง | จึงแต่งเรื่องรักไว้ให้คนฟัง | |
พออ่านเล่นเป็นที่ประทังทุกข์ | ให้ผาสุกตามประสาเป็นบ้าหลัง | |
ท่านทั้งหลายชายหญิงอย่าชิงชัง | ฉันต่อตั้งแต่งความตามทำนอง | |
อันเรื่องราวตัณหานี้สาหัส | ถ้าใครตัดเสียได้ฉันให้ถอง | |
อุตส่าห์หัดวิชาหาเงินทอง | ก็เพราะของสิ่งเดียวมันเกี่ยวกวน | |
ถึงยากจนซนหาประสายาก | ที่มีมากตั้งกองครองสงวน | |
บ้างก็ชอบชาววังรังกระบวน | เนื้อก็นวลเสียงก็หวานขานก็เพราะ | |
ที่เต็มอัดกลัดมันกลั้นไม่หยุด | ก็รีบรุดเร็วรัดไปวัดเกาะ | |
เป็นเงินแดงแย่งยุดฉุดเอาเพลาะ | เถียงทะเลาะวุ่นวายไม่อายกัน | |
เพราะโลกีย์เจ้ากรรมแกทำเข็ญ | เผอิญเป็นทั่วโลกให้โศกศัลย์ | |
ถึงเทวบุตรภุชงค์พงศ์สุบรรณ | ก็เหมือนกันกับเราที่เศร้าใจ | |
ถ้ารักกันลั่นเปรี้ยงดังเสียงฟ้า | หูจะชาเสียด้วยดังฟังไม่ไหว | |
แต่เงียบเสียงสิยังอึงคะนึงไป | ราวกับไฟไหม้ฟางสว่างโพลง | |
ถ้าคนอื่นตรึกตรองก็ต้องที | แต่เรานี้ขวนขวายแทบตายโหง | |
ก็มิได้สายสมรนอนคลุมโปง | ยังดังโด่งพลอยเขาน่าเศร้าใจ | |
แต่นั่งตรึกนอนตรึกนึกถึงน้อง | แม้นจะรองชลนาสักห้าไห | |
ถ้าใครแย่งแกล้งพาขวัญตาไป | คงจะใส่เสียให้ยับไม่นับชิ้น | |
จะถากเชือดเลือดเนื้อเอาเกลือทา | สับศีรษะเสียให้สาอารมณ์ถวิล | |
จะทิ้งให้กาแร้งมันแย่งกิน | จึงจะสิ้นความแค้นแน่นอุรา | |
เอะอะไรใจจิตคิดฉะนี้ | ไม่ควรที่จะโกรธขึ้งด้วยหึงสา | |
จะเป็นเวรเปล่าเปล่าไม่เข้ายา | จิตนะอย่าอำมหิตให้ผิดคน | |
เมื่อรักเขาเราก็รักไว้นิ่งนิ่ง | ถึงใครชิงนางงามตามกุศล | |
ถ้าคู่แท้แลจะไปข้างไหนพ้น | อย่าร้อนรนรุกรานรำคาญใจ | |
ครั้นคิดได้หายหึงไม่ขึ้งโกรธ | ค่อยปราโมทย์ยิ้มย่องสนองไข | |
ที่จริงจิตฉันไม่กล้าจะฆ่าใคร | ตั้งหม้อใหญ่กระนั้นดีฉันเอง | |
แต่ความรักรักจริงไม่ทิ้งรัก | ยังไม่หักได้ก่อนลงนอนเขลง | |
น่าหัวร่อหนอเราไม่เข้าเพลง | พูดเอาเองแก้เองออกวุ่นวาย | |
ด้วยความรักหนักแน่นแสนจะคลั่ง | เหลือกำลังที่จะหักให้รักหาย | |
ถ้าสมรักนั่นแลฉันพลันสบาย | ไม่เหมือนหมายแล้วเห็นไม่เป็นคน | |
ทำกระไรโฉมเฉลาจะเข้าใกล้ | ฉันจะได้ฝากรักเสียสักหน | |
ขอเป็นข้านางงามไปตามจน | จะสู้ทนทุบถองให้น้องใช้ | |
ยิ่งรำพันปั่นป่วนรัญจวนจิต | ถ้าแม้นผิดที่นี่แล้วที่ไหน | |
เหมือนหมายไม้กลางป่าพนาลัย | สุดวิสัยที่จะมุ่งผดุงปอง | |
จะเอาจริงดังใจไม่ได้แท้ | มีก็แต่ทรัพย์นึกไม่ตรึกถอง | |
ถ้านึกได้เหมือนนึกที่ตรึกตรอง | จะนอนร้องละคอนเล่นให้เย็นใจ | |
นึกนึกแล้วก็เปล่าเรายิ่งวุ่น | เจ้าประคุณน้ำตาพากันไหล | |
ท่านเจ้าจอมหม่อมจิตนี้คิดไป | แสนอาลัยเพียงกายจะวายชนม์ | |
เต็มกระเดือกเสือกกระแด่วอยู่แล้วหนอ | จะสู่ขอสารพัดก็ขัดสน | |
จะกระโจมโถมเอาเราก็จน | ครั้นจะทนอยู่เล่าเราก็ทุกข์ | |
ไม่ได้ตามความรักเลยสักท่า | ทุกทิวาราตรีไม่มีสุข | |
อุราเราร้อนเริงดังเพลิงลุก | จะบากบุกเข้าไปอย่างไรดี | |
นึกจะแต่งศุภสารเป็นการลับ | ก็คิดกลับกลัวน้องจะหมองศรี | |
ไม่เหมือนพบพักตราได้พาที | ต้องอารีรักไว้แต่ในใจ | |
จะริเรื่องร่ำว่าก็น่าเกลียด | ฉันขี้เกียจอธิบายน้ำลายไหล | |
สำหรับโลกโศกศัลย์ทุกวันไป | กว่าจะได้พบพานก็นานครัน | |
จะขอลาน้องน้อยกลอยสวาท | แรมนิราศราวป่าพนาสัณฑ์ | |
เป็นดาบสทรงพรตพรหมจรรย์ | ไปสวรรค์นิพพานสำราญกาย | |
ในชาตินี้บุญพี่นี้น้อยแล้ว | เห็นคลาดแคล้วคลาเคลื่อนไม่เหมือนหมาย | |
มีแต่ทุกข์ระทมทับให้อับอาย | เป็นผู้ชายสิ้นคิดอนิจจัง | |
เรื่องก็จบครบปีเดือนสี่สิ้น | ใครอย่านินทาว่าลับหลัง | |
เอาเรื่องรักชักเหตุเทศน์ให้ฟัง | พอเอวังก็มีเท่านี้เอง ฯ |