แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดูเอกสารกำกับแม่แบบ)

สารบัญ ลง



สารบัญ


หน้า
เรื่อง
ลิฉุย กุยกี แก้แค้นแทนตั๋งโต๊ะ
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
๑๑๗
พวกลิฉุย กุยกี ได้มีอำนาจในเมืองหลวง
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
๑๒๐
ม้าเท้งกับหันซุนอาสาปราบลิฉุย กุยกี
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
๑๒๒
โจโฉได้เป็นเจ้าเมืองกุนจิ๋ว
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
๑๒๘
รูป
รูปที่ ๔๐ อ่องหองรบกับม้าเฉียว ม้าเฉียวฆ่าอ่องหองตาย
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
๑๒๕
รูปที่ ๔๑ โจโฉยกทัพไปตีเมืองชีจิ๋วแก้แค้นที่ฆ่าบิดา
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
๑๒๕
 



หน้า ๑๑๗–๑๒๙ ขึ้นลงสารบัญ



ตอนที่ ๘



ฝ่ายลิฉุย กุยกี เตียวเจ หวนเตียว ทหารตั๋งโต๊ะที่หนีไปอยู่เมืองเซียงไส จึงปรึกษากันแต่งหนังสือให้คนถือไปถึงอ้องอุ้นว่า ซึ่งได้เป็นพวกตั๋งโต๊ะนั้นด้วยความจำเป็น โทษข้าพเจ้าทั้งสี่ซึ่งได้ทำผิดนั้นขออภัยเถิด บัดนี้ ข้าพเจ้าจะขอทำราชการด้วยท่านสืบไป

ฝ่ายอ้องอุ้นเห็นหนังสือดังนั้นจึงว่า ซึ่งตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าก็เพราะลิฉุย กุยกี เตียวเจ หวนเตียว ถ้ารับสั่งให้ยกโทษคนทั้งปวงเสียเราก็จะยอม แต่ลิฉุย กุยกี เตียวเจ หวนเตียวนั้น จะขอเอาตัวมาฆ่าเสียให้ได้ แลผู้ถือหนังสือจึงเอาเนื้อความไปบอกลิฉุย กุยกี เตียวเจ หวนเตียว ตามคำอ้องอุ้นว่า ลิฉุย กุยกี เตียวเจ หวนเตียว จึงปรึกษากันว่า ซึ่งจะเข้าเกลี้ยกล่อมอ้องอุ้นก็มิยอม แลเราทั้งปวงต่างคนต่างเอาตัวรอดเถิด

ฝ่ายกาเซี่ยงที่ปรึกษาจึงว่า ซึ่งจะคิดหนีนั้นเห็นไม่พ้น ขอให้เกลี้ยกล่อมชาวเมืองเซียงไสได้ แล้วประจบกับกองทัพเรายกไปทำการตีเอาเมืองเตียงฮัน ถ้าได้เมืองแล้วจึงจะให้ฆ่าอ้องอุ้นเสีย แลท่านทั้งสี่คนนี้จึงจะได้ทำราชการในเมืองหลวงสืบไป แม้ไม่สมคิดจึงพากันหนี ลิฉุย กุยกี เตียวเจ หวนเตียว เห็นชอบด้วย จึงแต่งทหารซึ่งมีสติปัญญาไปเจรจากับชาวเมืองเซียงไสว่า บัดนี้ อ้องอุ้นได้เป็นใหญ่แล้ว จะยกทหารมาฆ่าชาวเมืองเซียงไสซึ่งหาความผิดมิได้เสียให้สิ้น แล้วลิฉุยให้ตั้งเกลี้ยกล่อมอยู่นอกเมือง จึงให้ทหารเที่ยวร้องป่าวชาวเมืองเซียงไสว่า ถ้าผู้ใดรักชีวิต กลัวอ้องอุ้นจะฆ่าเสีย ก็ให้มาเข้าด้วยเรา จึงจะรอดจากความตาย

ฝ่ายชาวเมืองเซียงไสครั้นแจ้งดังนั้นก็ตกใจกลัวความตาย จึงชวนกันมาเข้าเกลี้ยกล่อมด้วยลิฉุย กุยกี เตียวเจ หวนเตียว ประมาณสิบห้าหมื่น ลิฉุยจึงแบ่งทหารให้กุยกี เตียวเจ หวนเตียว ยกไปสี่กอง ครั้นไปถึงกลางทางพบงิวฮู บุตรเขยตั๋งโต๊ะ คุมทหารห้าพันจะไปแก้แค้นอ้องอุ้น นายทัพทั้งสี่กองจึงให้งิวฮูเป็นทัพหน้า แล้วยกใกล้จะถึงเมืองเตียงฮัน

ฝ่ายอ้องอุ้นครั้นรู้ข่าวดังนั้นจึงปรึกษากับลิโป้ว่า ซึ่งลิฉุย กุยกี ยกมาดังนี้ เราจะคิดประการใด ลิโป้จึงตอบว่า ลิฉุย กุยกี ยกมานี้ท่านอย่าวิตกเลย ไว้เป็นธุระข้าพเจ้า แล้วให้ลิซกคุมทหารออกไปรบ ลิซกนั้นยกออกมาพบทัพงิวฮู ได้รบพุ่งกันเป็นสามารถ งิวฮูเห็นจะต้านทานมิได้ก็พาทหารถอยมา แลลิซกนั้นมีใจกำเริบ จึงให้ทหารตั้งเป็นชุมนุมอยู่ มิได้ตรวจตราป้องกันโดยกระบวนทัพ แลงิวฮูเห็นลิซกประมาท ครั้นเวลากลางคืนประมาณสองยาม งิวฮูก็ยกทหารเข้าโจมตีปล้นเอาทัพลิซก ฆ่าทหารเสียเป็นอันมาก ลิซกนั้นหนีได้จึงเอาเนื้อความซึ่งได้รบพุ่งนั้นเข้าไปบอกแก่ลิโป้ ลิโป้รู้ดังนั้นก็มีใจโกรธ จึงให้เอาตัวลิซกไปตัดศีรษะเสีย แล้วเสียไว้ ณ ประตูเมือง

ครั้นเวลารุ่งเช้า ลิโป้จึงยกทหารออกไปต่อรบงิวฮู งิวฮูแตกหนีไป แล้วงิวฮูจึงปรึกษากับเอาซกยีว่า ลิโป้นั้นมีกำลังนัก เห็นเราจะสู้ลิโป้มิได้ จำจะคิดอ่านหนีไป เอาซกยีเห็นชอบด้วย ครั้นเวลากลางคืน งิวฮูจึงจัดเอาทรัพย์สิ่งสินที่ดีของตัวแล้วพาเอาซกยีกับพรรคพวกซึ่งสนิทสี่คนห้าคนหนีไปถึงแม่น้ำแห่งหนึ่ง แลเอาซกยีคิดเอาใจออกหาก ฆ่างิวฮูเสีย แล้วเอาทรัพย์สิ่งของของงิวฮู พาเอาคนสี่ห้าคนกับศีรษะงิวฮูไปให้ลิโป้ ณ เมืองเตียงฮัน ลิโป้ครั้นแจ้งดังนั้นคิดสงสัยเอาซกยี จึงลอบถามคนสี่คนห้าคนซึ่งมาด้วยว่า เกิดเหตุขัดเคืองกันเป็นประการใด เอาซกยีจึงฆ่างิวฮูเสียแล้วตัดเอาศีรษะมาให้เรา คนทั้งนั้นจึงบอกเนื้อความแต่หลังให้ฟัง

ลิโป้ได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่า เอาซกยีนั้นเป็นคนโลภหาความสัตย์มิได้ จะเลี้ยงไว้นั้นไม่ควร จึงสั่งให้ทหารเอาเอาซกยีไปฆ่าเสีย แล้วลิโป้จัดแจงทหารยกกองทัพไปพบลิฉุย กุยกี เตียวเจ หวนเตียว ก็ขับม้าแลพาทหารเข้าไล่โจมตี ทหารลิฉุย กุยกี ไม่ทันเตรียมตัวก็แตกพ่ายไปทางประมาณห้าร้อยเส้น ถึงเขาแห่งหนึ่งจึงให้ตั้งค่ายมั่นลงไว้ ลิฉุยจึงปรึกษากุยกี เตียวเจ หวนเตียว ว่า ลิโป้นั้นมีฝีมือรบพุ่งกล้าหาญ แต่หาปัญญาความคิดมิได้ เราจะคิดอุบายให้กุยกีคุมทหารไปคอยสกัดทางซึ่งจะเข้าไปในเมือง ตัวเราจะคุมทหารรบล่อ ถ้าได้ยินเสียงม้าล่อก็ให้ขับทหารเข้ารบ ถ้าได้ยินเสียงกลองก็ให้ทำเป็นถอยทหารมา แลเตียวเจ หวนเตียวนั้นให้คุมทหารแยกกันเข้ารบเมืองเตียงฮันเป็นสองด้าน เห็นลิโป้จะรบป้องกันหน้าหลังมิทัน จะเสียทีแก่เราเป็นมั่นคง กุยกี เตียวเจ หวนเตียว เห็นชอบด้วย ก็คุมทหารไปทำตามคำลิฉุยว่า

ฝ่ายลิโป้ก็ยกตามมาถึงท้ายเขา พบกองทัพลิฉุย ได้รบกันเป็นสามารถ ลิฉุยจึงให้ตีกลองแล้วถอยทหารขึ้นบนเนินเขา ลิโป้ก็ตามรบขึ้นไป ครั้นเห็นทหารลิฉุยยิงเกาทัณฑ์ทิ้งก้อนศิลาลงมาดังห่าฝน ลิโป้ก็ให้ถอยทหารลงมา

ฝ่ายกุยกีแลเห็นดังนั้นก็ให้ตีม้าล่อยกทหารเข้าไป ลิโป้ก็ให้กลับหน้ามารบ ฝ่ายกุยกีก็ให้ตีกลองแล้วถอยทหารมา ลิฉุยก็ยกทหารลงมาจากเนินเขาเข้ารบด้วยลิโป้แล้วถอยมา กุยกีรบกระหนาบเข้ามา แต่ลิฉุย กุยกี รบยั่วลิโป้อยู่ถึงสามวันสามคืน แลลิโป้นั้นอยู่ในระหว่างทัพกระหนาบ มิรู้ที่จะป้องกันรบพุ่งข้างไหน จะถอยไปก็มิได้ พอม้าใช้เล็ดลอดมาบอกแก่ลิโป้ว่า บัดนี้ กองทัพเตียว หวนเตียว ยกเข้ารบเมืองเตียงฮันอยู่เป็นสามารถ เห็นข้าศึกได้ทีจวนจะได้เมืองอยู่แล้ว ลิโป้ครั้นแจ้งดังนั้นคิดจะเข้าไปช่วยเมืองเตียงฮัน จึงคุมทหารรบฝ่าหักออกไป แล้วลิฉุย กุยกีนั้นตามรบลิโป้มา ลิโป้มิได้เป็นกังวลรบทัพข้างหลัง ตั้งหน้ารีบจะไปช่วยเมืองเตียงฮันไว้ให้รอด ลิโป้นั้นเสียทหารเป็นอันมาก ครั้นมาใกล้เมือง เห็นทหารเตียวเจ หวนเตียว ล้อมเมืองไว้ แลทหารลิโป้นั้นกลัวความตายก็ไปเข้าด้วยเตียวเจ หวนเตียว เป็นอันมาก ลิโป้เห็นดังนั้นก็เสียใจ จึงพาทหารซึ่งเหลืออยู่นั้นรวนเรไปมาอยู่ถึงสองวันสามวัน

ฝ่ายลิบ้อง อ่องหอง สองคนนี้เป็นขุนนางอยู่ในเมืองเตียงฮัน เป็นพรรคพวกตั๋งโต๊ะ จึงคิดกันเป็นไส้ศึกคุมทหารของตัวลอบเปิดประตูทั้งสี่ด้านออกรับกองทัพลิฉุย กุยกี เตียวเจ หวนเตียว เข้าไปได้ในเมือง แลลิโป้นั้นก็หักเข้าไปในเมือง รบพุ่งฆ่าฟันทหารลิฉุย กุยกี เสียเป็นอันมาก แลลิโป้นั้นเหลือกำลังจึงพาทหารประมาณร้อยเศษรบหักออกไปจากประตูวัง พอพบอ้องอุ้นเข้า ลิโป้จึงว่า ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ซึ่งจะอยู่ต้านทานนั้นเห็นเหลือกำลัง ขอท่านเร่งขึ้นม้าหนีเอาตัวรอดไว้ก่อน จึงจะได้คิดการต่อไป

อ้องอุ้นจึงตอบว่า เดิมเรากับท่านคิดกันจะทำนุบำรุงแผ่นดินให้อยู่เย็นเป็นสุข ก็สมคิดแล้ว บัดนี้ เกิดเหตุขึ้นเพราะพวกตั๋งโต๊ะ แลเราจะหนีเอาตัวรอดนั้นไม่ควร ถึงจะตายก็จะเอาความชอบไว้ภายหน้า ท่านจะไปก็ไปเถิด แต่ช่วยเอาเนื้อความทั้งนี้ไปแจ้งแก่หัวเมืองทั้งปวงว่า เราคำนับไป ด้วยบัดนี้เกิดเหตุขึ้นในเมืองหลวง ให้หัวเมืองทั้งปวงตั้งใจทำนุบำรุงแผ่นดินยกกองทัพเข้ามาช่วยกำจัดศัตรูราชสมบัติเสีย ลิโป้ได้ฟังดังนั้นก็พูดจาชักชวนเป็นหลายครั้ง อ้องอุ้นก็มิไป พอเห็นแสงเพลิงซึ่งข้าศึกจุดเผาขึ้นนั้นเป็นหลายตำบล ลิโป้ก็ทิ้งครอบครัวเสีย ขึ้นม้าพาทหารร้อยเศษหนีออกจากเมืองไปหาอ้วนสุด ณ เมืองลำหยง อ้องอุ้นนั้นเข้าไปในวัง

ฝ่ายลิฉุย กุยกี เตียวเจ หวนเตียว ซึ่งหักเข้าไปในเมืองนั้นก็ฆ่าฟันขุนนางแลทหารเสียเป็นอันมาก แล้วยกเข้าถึงในพระราชวัง ขันทีทั้งปวงเห็นดังนั้นจึงเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้กับอ้องอุ้นขึ้นไปบนพระตำหนักหอสูง ลิฉุย กุยกี กับทหารทั้งปวงก็ถวายบังคมพระเจ้าเหี้ยนเต้ พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงตรัสถามลิฉุย กุยกี ว่า ซึ่งตัวบังอาจทำการเข้ามาในพระราชวังจะประสงค์สิ่งใด ลิฉุย กุยกี จึงทูลว่า ข้าพเจ้าทำการครั้งนี้จะได้คิดขบถต่อพระองค์หามิได้ เดิมตั๋งโต๊ะเป็นมหาอุปราชได้ทำนุบำรุงแผ่นดิน แลอ้องอุ้นคบคิดกับลิโป้ฆ่าอุปราชเสีย ข้าพเจ้าจึงเข้ามาหวังจะฆ่าอ้องอุ้นเสียให้หายแค้น ถ้าพระองค์ทรงพระเมตตาส่งตัวอ้องอุ้นให้ข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจึงจะพาทหารออกไป อ้องอุ้นได้ยินลิฉุย กุยกี ว่าดังนั้นก็ทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า ข้าพเจ้ามีสัตย์สุจริตต่อแผ่นดิน จึงฆ่าตั๋งโต๊ะเสีย บัดนี้ ลิฉุย กุยกี จะเอาตัวข้าพเจ้า ครั้นข้าพเจ้าจะรักชีวิตบิดพลิ้วอยู่ ก็จะเกิดอันตรายในพระราชฐานมากไป ข้าพเจ้าจะเอาชีวิตไปให้ลิฉุย กุยกี ฆ่าเสีย สนองพระคุณพระองค์ ว่าแล้วอ้องอุ้นก็โจนลงไปในทางช่องพระแกลพระตำหนักร้องว่า ตัวกูอยู่นี่ มึงจะทำประการใดก็มาเถิด ลิฉุย กุยกี ได้ยินดังนั้นจึงถามอ้องอุ้นว่า มหาอุปราชมีความผิดสิ่งใด ตัวจึงคบคิดกับลิโป้ฆ่าเสีย อ้องอุ้นจึงตอบว่า อ้ายตั๋งโต๊ะนั้นเป็นศัตรูราชสมบัติ ทำการหยาบช้าต่อแผ่นดินเป็นอันมาก กูจึงฆ่าเสีย ขุนนางแลราษฎรทั้งปวงก็มีความยินดีด้วย เหตุไฉนตัวมึงจึงมีความเจ็บแค้นด้วยอ้ายขบถ ลิฉุย กุย จึงตอบว่า มหาอุปราชทำความผิดตัวจึงฆ่าเสีย แลเราทั้งสี่นี้ได้มีหนังสือมาอ่อนน้อมจะขอทำราชการด้วย ตัวมิยอม ว่าจะฆ่าเราเสียนั้น เรามีความผิดประการใด อ้องอุ้นจึงร้องตวาดแล้วตอบว่า ซึ่งกูมิเอามึงทั้งสี่ไว้ทำราชการด้วยนั้น เพราะมึงเป็นพวกขบถ กลัวแผ่นดินจะเป็นอันตราย ซึ่งมึงคิดการทั้งนี้จะปรารถนาสิ่งใดก็เร่งทำเถิด กูมิได้กลัวความตาย ลิฉุย กุยกี ได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงเอากระบี่ฟันอ้องอุ้นถึงแก่ความตาย แล้วให้ทหารไปจับบุตรภรรยาญาติพี่น้องอ้องอุ้นมาฆ่าเสียสิ้น แลอาณาประชาราษฎรในเมืองหลวงครั้นรู้ว่าอ้องอุ้นตายก็ชวนกันร้องไห้รัก

ลิฉุย กุยกี จึงคิดกันว่า เราทำการเข้ามาถึงเพียงนี้แล้ว จะละไว้นั้นมิได้ จำจะคิดเอาราชสมบัติฆ่าพระเจ้าเหี้ยนเต้เสียจึงจะควร เตียวเจ หวนเตียว จึงห้ามว่า ซึ่งจะทำจลาจลถึงพระเจ้าเหี้ยนเต้นั้นเราไม่เห็นด้วย หัวเมืองทั้งปวงแลอาณาประชาราษฎรเห็นจะไม่ยอมด้วยเรา ก็จะยกทหารเข้ามาทำการรบพุ่งเป็นการใหญ่ เราจะได้ความขัดสน ขอให้ไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ทูลขอทำราชการในเมืองหลวง แล้วจึงค่อยคิดอ่านแอบรับสั่งให้หาหัวเมืองเข้ามาจับฆ่าเสียให้สิ้น ราชสมบัตินั้นจะได้แก่เราโดยง่าย ลิฉุย กุยกี เห็นชอบด้วย จึงพาเตียวเจ หวนเตียว เข้าไปถวายบังคม

พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงตรัสถามลิฉุย กุยกี ว่า เดิมตัวบอกว่าจะขอเอาตัวอ้องอุ้นแล้วจะยกทหารกลับออกไป บัดนี้ ตัวฆ่าอ้องอุ้ยเสียแล้ว แลยังมิยกกลับไป เอ็งยังอยู่ จะประสงค์สิ่งใด ลิฉุย กุยกี จึงทูลว่า แต่ก่อนนั้น ข้าพเจ้าได้ทำราชการมีความชอบต่อแผ่นดินมากอยู่ หาผู้ใดพิดทูลพระองค์มิได้ พระองค์จึงมิได้ปูนบำเหน็จข้าพเจ้าให้เป็นขุนนาง บัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งสี่คนจะขอทำราชการเป็นที่ขุนนางในเมืองหลวง ถ้าพระองค์โปรดให้ตามปรารถนา ข้าพเจ้าจึงจะยกทหารออกไปจากพระราชวัง พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงตรัสว่า แลตัวทั้งสี่จะพอใจเป็นที่ขุนนางตำแหน่งใดก็ให้ว่ามา

ลิฉุย กุยกี เตียวเจ หวนเตียว ปรึกษากันแล้วจึงเขียนหนังสือถวายพระเจ้าเหี้ยนเต้ พระเจ้าเหี้ยนเต้ทอดพระเนตรเห็นหนังสือนั้นว่า ลิฉุยเป็นที่กีจงกุ๋น ภาษาไทยว่า เป็นนายทหารใหญ่กองใน แล้วเป็นผู้ราชการด้วย กุยกีนั้นเป็นที่ฮอจงกุ๋น ภาษาไทยว่า เป็นนายทหารกองหลัง แล้วว่าที่จางวางขุนนางทั้งปวงด้วย เตียวเจแลหวนเตียวนั้นเป็นนายทหารซ้ายขวา พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ประทานให้ แลลิฉุย กุยกี ครั้นได้รับสั่งแล้วจึงออกมาตั้งอยู่นอกวัง จึงปรึกษากันว่า เมืองฮองหลงนั้นเป็นเมืองหน้าด่าน จะไว้ใจแก่ข้าศึกมิได้ จึงให้เตียวเจ หวนเตียว คุมทหารไปรักษาอยู่ แลลิบ้อง อ่องหอง ซึ่งเปิดประตูรับนั้นเลื่อนที่ขึ้นเป็นขุนนาง แลทหารซึ่งมีสติปัญญาก็ตั้งขึ้นเป็นขุนนางด้วย แล้วให้ทหารไปสืบเสาะเก็บเอากระดูกตั๋งโต๊ะมาให้แต่งการศพอย่างที่มหาอุปราช แล้วให้แห่ออกไปจะฝังศพไว้ตามธรรมเนียม ในขณะทำการเมื่อจะฝังศพนั้น พอเกิดลมพายุพัดหนัก ฝนตกห่าใหญ่ น้ำท่วมแผ่นดินลึกประมาณสองศอก อัสนีผ่าถูกศพ กระดูกนั้นกระจายไป ครั้นฝนสงบลง ลิฉุยจึงให้เก็บเอากระดูกมาผสมกันเข้า แล้วจะให้ฝังลงไว้ในเวลากลางคืนนั้น ซ้ำเกิดพายุฝนตกฟ้าผ่าถูกกระดูกนั้นกระจายไป ลิฉุยจึงให้เก็บกระดูกนั้นมาผสมกันเข้าอีกเป็นหลายครั้ง ฝนก็ตกฟ้าคะนองผ่าลงทุกครั้ง จนกระดูกนั้นสาบสูญไปสิ้นมิได้ฝัง ซึ่งเกิดเหตุทั้งนี้เพราะตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าต่อแผ่นดิน แลลิฉุย กุยกี ก็กลับเข้าเมืองหลวง ทำการกำเริบหยาบช้าต่าง ๆ อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อน แลลิฉุย กุยกี เอาเงินทองไปถึงใจแก่ขันทีซึ่งรักษาพระเจ้าเหี้ยนเต้แล้วสั่งว่า ถ้าได้ยินพระเจ้าเหี้ยนเต้ตรัสดีแลร้ายประการใดก็ให้เอาเนื้อความมาบอก

ขณะนั้น พระเจ้าเหี้ยนเต้ยังทรงพระเยาว์อยู่ จะตรัสตราสินราชการเมืองก็ผันแปรฟั่นเฟือนไป ราชการแลขุนนางในเมืองหลวงนั้นก็เป็นสิทธิ์อยู่ในบังคับบัญชาลิฉุย กุยกีสิ้น ลิฉุย กุยกี จึงให้หาจูฮีซึ่งเป็นขุนนางนอกราชการนั้นมาตั้งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ที่ปรึกษาราชการ

ฝ่ายม้าเท้ง เจ้าเมืองเสเหลียง กับหันซุย เจ้าเมืองเป๊งจิ๋ว ปรึกษากันว่า บัดนี้ ลิฉุย กุยกี ได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ทำการหยาบช้าเหมือนครั้งตั๋งโต๊ะ จำเราจะคิดอ่านกำจัดเสีย บ้านเมืองทั้งปวงจึงจะเป็นสุข จึงแต่งหนังสือเข้าไปถึงม้าฮู หนึ่ง ตงเซียว หนึ่ง เลาเฉีย หนึ่ง สามคนนี้เป็นขุนนางข้าหลวงเดิมของพระเหี้ยนเต้ ว่า ลิฉุย กุยกี ทำการหยาบช้าทุกวันนี้ แผ่นดินได้ความเดือดร้อนเหมือนครั้งตั๋งโต๊ะ แลเนื้อความทั้งนี้จงกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้ทราบ เราจะยกกองทัพเข้าไปล้างลิฉุย กุยกีเสีย ท่านทั้งสามจงคิดกระทำข้างในเมือง

ม้าฮู ตงเซียว เลาเฉีย ครั้นรู้ในหนังสือนั้นแล้วจึงกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็มีพระทัยยินดี จึงทรงพระอักษรเป็นใจความว่า ซึ่งม้าเท้งกับหันซุยคิดทั้งนี้ เราขอบใจนัก ถ้าสำเร็จราชการแล้ว เราจะตั้งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ แล้วส่งให้ทหารม้าเท้ง หันซุย ถือกลับมา

ม้าเท้ง หันซุย เห็นลายพระหัตถ์ก็มีความยินดีนัก จึงจัดแจงทหารสองหัวเมืองได้ประมาณสิบเอ็ดสิบสองหมื่นยกไปถึงกลางทาง แล้วให้ทหารร้องประกาศแก่ชาวเมืองว่า ซึ่งยกมานี้จะทำการกำจัดศัตรูราชสมบัติเสีย

ฝ่ายม้าใช้แจ้งดังนั้นก็เอาเนื้อความเข้าไปแจ้งแก่ลิฉุย กุยกี ลิฉุย กุยกี จึงให้หาเตียวเจ หวนเตียว มาปรึกษาว่า ม้าเท้ง หันซุย ยกมานี้ ใครยังจะคิดประการใด กาเซี่ยงที่ปรึกษาจึงว่า ม้าเท้ง หันซุย ยกมานั้นเป็นทางไกลกันดาร เราจะรักษาหน้าที่ไว้ ให้ยกเข้าล้อมถึงเชิงกำแพง ถ้าเห็นว่าขาดเสบียงลงแล้ว จึงให้ยกทหารออกโจมตี ก็จะจับม้าเท้งกับหันซุยได้โดยง่าย

ลิงบ้อง อ่องหอง จึงว่า ซึ่งกาเซี่ยงว่านั้นข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย ข้าพเจ้าจะขอทหารหมื่นหนึ่ง จะยกออกไปตัดเอาศีรษะม้าเท้ง หันซุย มาให้ท่าน กาเซี่ยงจึงตอบว่า ลิบ้อง อ่องหอง จะยกไปนั้น เห็นจะเสียทีเป็นมั่นคง ลิบ้อง อ่องหอง จึงตอบว่า ถ้าเราสองคนออกไปไม่ได้ศีรษะม้าเท้งกับหันซุยเข้ามา ท่านจงตัดศีรษะเรานี้แทนเถิด ถ้าได้ศีรษะนายทัพทั้งสองนั้นเข้ามา ท่านจงตัดศีรษะท่านให้แก่เราด้วย กาเซี่ยงจึงว่าแก่ลิฉุย กุยกี ว่า ลิบ้อง อ่องหอง จะอาสาออกไปรบก็ตามเถิด แต่เขาเจียวจิดนั้นทางไกลเมืองหลวงประมาณสองพันเส้น อยู่ฝ่ายตะวันตก มีทางจำเพาะเดินตามซอกเขา ขอให้เตียวเจ หวนเตียว คุมทหารไปซุ่มอยู่ตำบลนั้นให้จงมาก ภายหลังถ้าลิบอง อ่องหอง เสียทีมาประการใดก็จะได้ช่วย

ลิฉุย กุยกี จึงตอบว่า ซึ่งจะให้เตียวเจ หวนเตียว ยกออกไปตั้งอยู่ ณ ซอกเขานั้น เราไม่เห็นด้วย แล้วลิฉุย กุยกี จึงเกณฑ์ทหารหมื่นห้าพันให้ลิบ้อง อ่องหอง ยกออกไปทางประมาณสองพันเส้น พอกองทัพม้าเท้ง หันซุย ก็ตั้งประชิดกันอยู่ ครั้นเวลารุ่งเช้า นายทัพทั้งสองฝ่ายยกทหารออกตั้งอยู่นอกค่าย ม้าเท้ง หันซุย จึงร้อยว่า อ้ายลิบอง อ่องหอง เป็นศัตรูราชสมบัติ ผู้ใดจะอาสาไปจับมาให้เราได้

ม้าเฉียว ผู้บุตรม้าเท้ง อายุสิบแปดปี หน้าดังสีหยก กิริยาว่องไว รับอาสา แล้วถือทวนขับม้าฝ่าทหารขึ้นไป อ่องหองเห็นม้าเฉียวยังเด็กอยู่ก็คิดประมาท ขับม้ารำง้าวออกมารบด้วยม้าเฉียวได้ห้าเพลง ม้าเฉียวเอาทวนแทงอ่องหองตกม้าตาย แล้วม้าเฉียวชักม้าจะกลับมา ลิบ้องเห็นดังนั้นก็โกรธ จึงขับม้ารำง้าวไล่ตามม้าเฉียวมาข้างหลัง ม้าเฉียงชำเลืองดูแต่ทำเป็นไม่เห็น ม้าเท้งเห็นลิบ้องตามมาจึงร้องบอกแก่ม้าเฉียวว่า ศัตรูตามมาจะทำร้ายข้างหลัง ให้เร่งระวังตัว ลิบ้องเห็นจวนจะทันเข้า จึงเอาง้าวฟันเอาม้าเฉียว ม้าเฉียวหลบได้ จึงชักม้ากลับหลังโถมเข้าจับลิบ้องได้เอามาให้บิดา แลทหารม้าเท้ง หันซุย ได้ทีดังนั้นก็ไล่ฆ่าฟันทหารลิบ้องล้มตายเป็นอันมาก ม้าเท้งกับหันซุยจึงยกทหารเข้าไปตั้งค่ายอยู่ใกล้เมืองเตียงฮัน แล้วให้เอาลิบ้องไปฆ่าเสีย ตัดเอาศีรษะเสียบไว้หน้าค่าย

ฝ่ายม้าใช้จึงเอาเนื้อความมาบอกแก่ลิฉุย กุยกี ลิฉุย กุยกี ครั้นแจ้งดังนั้นก็คิดว่า กาเซี่ยงว่านั้นชอบ เรามิได้ทำตามคำ จึงเสียทหารไปทั้งนี้ แต่นั้นมา ลิฉุย กุยกี ก็นับถือเชื่อฟังกาเซี่ยง แล้วก็ให้จัดแจงค่ายประตูหอรบเกณฑ์ทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินพร้อมมั่นคงทุกด้าน

ฝ่ายม้าเท้งกับหันซุยก็ยกทหารถึงเชิงกำแพงเมืองได้ประมาณสองเดือน ทหารในกองทัพนั้นขาดเสบียงอดข้าวปลาอาหารอิดโรย ม้าเท้ง หันซุย เห็นทหารขาดเสบียง จึงปรึกษากันจะให้ยกกองทัพถอยไป ยังมิตกลงกัน

ขณะนั้น คนใช้สนิทของม้าฮูลอบเอาเนื้อความไปบอกแก่ลิฉุย กุยกี ว่า ม้าฮูนายข้าพเจ้าคบคิดกับตงเซียว เลาเฉีย รับเป็นไส้ศึก ม้าเท้งจึงยกมาทำการสงคราม ลิฉุย กุยกี ครั้นแจ้งดังนั้นก็โกรธ จึงให้ทหารไปจับตัวม้าฮู หนึ่ง ตงเซียว หนึ่ง เลาเฉีย หนึ่ง กับบุตรภรรยาญาติพี่น้องมาฆ่าเสียสิ้น แล้วก็ตัดศีรษะตัวนายทั้งสามคนเสียบประจานไว้บนหน้าที่เชิงเทินให้ข้าศึกเห็น ม้าเท้ง หันซุย เห็นดังนั้นจึงปรึกษากันว่า ไส้ศึกในเมืองก็เป็นเหตุแล้ว ฝ่ายทหารในกองทัพเราก็ขาดเสบียงลง ถ้าจะตั้งล้อมไว้ดังนี้ก็จะเสียทหารมาก ครั้นปรึกษาเห็นพร้อมกันก็เลิกทัพถอยไป ลิฉุย กุยกี เห็นดังนั้นจึงให้เตียวเจคุมทหารยกไปตามม้าเท้งกองหนึ่ง แล้วให้หวนเตียวยกทหารไปตามหันซุยกองหนึ่ง ครั้นมาถึงเขาตันฉอง หันซุยเหลียวมาเห็นหวนเตียว หันซุยจึงร้องว่า ตัวท่านกับเราเป็นชาวบ้านเดียวกันมาแต่น้อย เป็นไฉนท่านหามีความเมตาไม่ จะมาทำอันตรายแก่เรา หวนเตียวจึงตอบว่า ทุกวันนี้ ราชการในเมืองหลวงเป็นสิทธิ์อยู่กับลิฉุย กุยกี ลิฉุย กุยกี ให้เราออกมาตามท่านทั้งนี้ก็เป็นการใหญ่ แลเราจะเห็นแก่หน้าท่านอยู่นั้นมิได้ หันซุยจึงตอบว่า เรายกมาทำการทั้งนี้ก็เพราะหวังจะทำนุบำรุงแผ่นดินให้อยู่เย็นเป็นสุข ถึงท่าจะมิคิดถึงเรา ก็จงคิดถึงพระเจ้าเหี้ยนเต้ซึ่งครองราชสมบัตินั้นเถิด หวนเตียวได้ยินหันซุยว่าดังนั้นเป็นข้อกตัญญูต่อแผ่นดินอยู่ หวนเตียวก็ให้ทหารทั้งปวงหยุดตั้งมั่นอยู่ แลหันซุยนั้นก็เร่งขับทหารทั้งปวงรีบไปถึงเมืองเป๊งจิ๋ว

ฝ่ายเตียวเจซึ่งไปตามม้าเท้งนั้น ครั้นไม่ทันแล้วก็ยกทหารกลับมาตั้งอยู่กับหวนเตียว แลลิเบียดซึ่งเป็นหลานลิฉุยนั้นมาในกองทัพหวนเตียว ครั้นเห็นหวนเตียวมิได้จับหันซุยก็เอาเนื้อความทั้งนั้นเข้าไปบอกแก่ลิฉุยผู้อา ลิฉุยได้ยินดังนั้นก็โกรธ จะให้ทหารออกไปจับตัวหวนเตียวมา กาเซี่ยงจึงห้ามว่า บัดนี้ บ้านเมืองยังมิสงบ ซึ่งจะให้ทหารออกไปจับหวนเตียว เห็นว่า หวนเตียวจะไม่ยอมให้จับโดยง่าย ก็จะเกิดรบพุ่งกันขึ้นอีก ขอให้แต่งคนออกไปบอกแก่เตียวเจ หวนเตียว โดยดีว่า ซึ่งยกไปตามม้าเท้ง หันซุย ไม่ทันนั้นก็แล้วไปเถิด บัดนี้ เราแต่งโต๊ะเชิญขุนนางทั้งปวงมาเสพสุรา จึงให้หาเตียวเจ หวนเตียว เข้ามากินโต๊ะด้วย ถ้าเตียวเจ หวนเตียว เข้ากินโต๊ะแล้วจึงค่อยจับเอา การจึงจะไม่วุ่นวาย ลิฉุยเห็นชอบด้วย จึงให้คนออกไปหาเตียวเจ หวนเตียว เข้ามากินโต๊ะ เตียวเจ หวนเตียว มิได้รู้เหตุก็ยกทหารกลับเข้ามาเมืองเตียงฮันแล้วเข้าไปกินโต๊ะด้วยลิฉุย กุยกี เมื่อเสพสุราอยู่นั้น ลิฉุยจึงว่าแก่หวนเตียวว่า เราให้ยกทหารไปตามจับหันซุย แลตัวมิได้ทำตามคำเรา เอาน้ำใจไปแผ่เผื่อกับหันซุยนั้น ตัวจะคิดร้ายแก่เราหรือ หวนเตียวได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ยังมิทันตอบประการใด บู๋ซูก็ลากเอาตัวหันเตียวไปฆ่าเสีย แล้วตัดเอาศีรษะหวนเตียวมาให้ลิฉุยดู เตียวเจเห็นดังนั้นยังมิได้รู้เหตุประการใดก็ตกใจหมอบลงกับริมโต๊ะ ลิฉุยเข้าประคองเตียวเจขึ้นแล้วจึงว่า หวนเตียวนั้นเอาใจออกหากเรา คิดกับหันซุยจะทำร้ายเรา ท่านหาความผิดมิได้ อย่าตกใจกลัว แล้วยกเอาทหารซึ่งหวนเตียวคุมนั้นให้แก่เตียวเจ ให้เตียวเจยกออกไปรักษาเมืองฮองหลงอยู่ดังแต่ก่อน

ขณะนั้น ขุนนางทั้งปวงในเมืองหลวงก็ยิ่งคิดเกรงกลัวลิฉุย กุยกี ขึ้นเป็นอันมาก แลกาเซี่ยนนั้นว่ากล่าวให้ลิฉุย กุยกี เกลี้ยกล่อมเอาใจขุนนางแลราษฎรทั้งปวงให้มีน้ำใจรัก แลขุนนางทั้งนั้นก็อยู่ในอำนาจลิฉุย กุยกีสิ้น

ขณะนั้น มีหนังสือบอกเมืองเซียงจิ๋วมาว่า มีโจรโพกผ้าเหลืองประมาณสามสิบสี่สิบหมื่นเที่ยวทำร้ายอาณาประชาราษฎร ลิฉุย กุยกี เห็นหนังสือบอกดังนั้นจึงปรึกษาแก่ขุนนางทั้งปวงว่า ซึ่งเกิดโจรทำอันตรายหัวเมืองดังนี้ เราจะคิดประการใดจึงจะบำราบโจรได้ จูฮีจึงว่า ซึ่งเกิดโจรขึ้น ณ แดนเมืองเซียงจิ๋วนั้น ข้าพเจ้าเห็นแต่โจโฉผู้เดียวมีฝีมือจะไปปราบโจรฝ่ายตะวันออกได้ ลิฉุย กุยกี จึงถามว่า โจโฉนั้นอยู่แห่งใด จูฮีจึงบอกว่า โจโฉนั้นได้มาทำการกับอ้วนเสี้ยวเมื่อครั้งรบตั๋งโต๊ะ บัดนี้ กลับไปอยู่เมืองตงกุ๋น มีทหารอยู่เป็นอันมาก ขอให้มีหนังสือรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ออกไปให้โจโฉยกออกไปปราบโจร ณ แดนเมืองเซียงจิ๋ว เห็นจะได้โดยง่าย ลิฉุย กุยกี เห็นด้วย จึงแต่งหนังสือรับสั่งสองฉบับ ฉบับหนึ่งให้เปาสิ้น เจ้าเมืองปักเป๋ง ยกทหารไปเข้าด้วยโจโฉปราบโจร ฉบับหนึ่งให้โจโฉกับเปาสิ้นยกไปปราบโจร ณ แดนเมืองเซียงจิ๋ว

ฝ่ายเปาสิ้นครั้นแจ้งในหนังสือรับสั่งแล้วก็จัดแจงยกทหารไปหาโจโฉ แลโจโฉนั้นครั้นทราบในหนังสือรับสั่งก็มีความยินดี จึงจัดแจงทหารเป็นอันมาก แล้วพาเปาสิ้นยกไปถึงตำบลซิวสุนแดนเมืองเซียงจิ๋ว พบโจรโพกผ้าเหลืองพวกหนึ่งตั้งอยู่เป็นอันมาก เปาสิ้นจึงอาสายกเข้าโจมตีพวกโจร พวกโจรต่อรบเป็นสามารถ แล้วแต่งทหารโจรวกหลังฆ่าเปาสิ้นตายในที่นั้น ฝ่ายโจโฉเห็นเปาสิ้นตายก็โกรธ จึงยกทหารเข้ารบฆ่าพวกโจรล้มตายเป็นอันมาก แลโจโฉคุมทหารไล่พวกโจรไปถึงแกนเมืองเจปัก ทหารทั้งปวงจับโจรได้บ้าง โจรมาเข้าเกลี้ยกล่อมบ้าง ได้คนประมาณสี่หมื่นห้าหมื่น แล้วโจโฉให้พวกโจรเชลยนั้นเป็นกองหน้ายกไปเที่ยวปราบโจรทุกตำบล แต่โจโฉยกทหารเที่ยวปราบโจรนั้นได้ประมาณสองเดือน โจรทั้งปวงนั้นเข้ามาเกลี้ยกล่อมทั้งเก่าทั้งใหม่ได้ประมาณสามสิบหมื่น บรรดาหญิงชายชาวเมืองซึ่งโจรจับไว้ได้นั้นประมาณร้อยหมื่น โจโฉเลือกจัดเอาที่ฉกรรจ์นั้นไว้เป็นทหารประมาณยี่สิบหมื่นเศษ ชายชรากับหญิงนั้นให้กลับไปทำมาหากินอยู่ตามภูมิลำเนา โจโฉจึงบอกหนังสือขึ้นไปให้กราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า ข้าพเจ้าปราบโจรสงบแล้ว ลิฉุย กุยกี แจ้งในหนังสือโจโฉดังนั้นจึงเอาขึ้นกราบบังคมทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ พระเจ้าเหี้ยนเต้ตรัสว่า โจโฉครั้งนี้มีความชอบเป็นอันมาก ให้มีหนังสือไปตั้งให้โจโฉเป็นใหญ่กว่าหัวเมืองตะวันออกทั้งปวง ลิฉุย กุยกี นั้นหาทันคิดไม่ ก็ให้มีหนังสือตั้งโจโฉตามรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้

โจโฉครั้นได้หนังสือรับสั่งก็มีความยินดีนัก จึงยกไปตั้งอยู่ ณ เมืองกุนจิ๋ว แล้วให้ตั้งเกลี้ยกล่อมผู้คน แลจัดหาผู้มีสติปัญญาไว้จะได้เป็นที่ปรึกษาไปภายหน้า แลผู้คนทั้งปวงมาเข้าเกลี้ยกล่อมด้วยเป็นอันมาก

ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง ซุนฮกผู้อากับซุนสิวผู้หลานซึ่งอยู่กับอ้วนเสี้ยวจึงปรึกษากันว่า อ้วนเสี้ยวเป็นคนหยาบช้า เห็นเราจะอยู่ด้วยสืบไปนั้นมิได้ บัดนี้ หัวเมืองฝ่ายตะวันออกนั้นโจโฉได้เป็นใหญ่ มีใจโอบอ้อมอารีแก่คนทั้งปวง เราพากันไปอยู่ด้วยจึงจะควร ซุนสิวผู้หลายเห็นด้วยจึงพากันหนีอ้วนเสี้ยวไปเข้าเกลี้ยกล่อมโจโฉ ณ เมืองกุนจิ๋ว โจโฉเห็นซุนฮกซุนสิวนั้นคมสันเห็นจะมีสติปัญญา จึงหาเข้ามาพูดจาแล้วตั้งไว้เป็นที่ปรึกษา ซุนฮกจึงว่าแก่โจโฉว่า ข้าพเจ้าได้ยินคนทั้งปวงเล่าลือว่า เทียหยก ชาวเมืองตงกุ๋นนั้น มีสติปัญญา บัดนี้ อยู่ในเมืองกุนจิ๋ว เป็นไฉนท่านมิเกลี้ยกล่อมเอามาไว้ โจโฉจึงว่า เราได้ยินเขาลืออยู่ช้านานแล้ว แต่เรายังมิรู้จักตัว แล้วโจโฉจึงให้คนไปสืบเสาะเกลี้ยกล่อมได้เทียหยกมา โจโฉเห็นก็มีความยินดี จึงเอาเทียหยกไว้ทำราชการด้วย

ฝ่ายเทียหยกรู้ว่า ซุนฮกเสนอความดีแก่โจโฉทั้งนั้น เทียหยกจึงว่าแก่ซุนฮกว่า ซึ่งท่านสรรเสริญข้าพเจ้า ข้าพเจ้านี้มีสติปัญญาน้อย แลกุยแกชาวเมืองเดียวกันกับท่าน มีสติปัญญาเป็นอันมาก เป็นไฉนท่านมิว่าให้เอาตัวกุยแกมาไว้ทำราชการด้วย ซุนฮกจึงตอบว่า เราลืมไป ต่อท่านมาว่าบัดนี้จึงระลึกขึ้นได้ ซุนฮกจึงเอาเนื้อความไปบอกแก่โจโฉ โจโฉก็ให้ไปเกลี้ยกล่อมเอามาไว้ กุยแกจึงบอกแก่โจโฉว่า เล่าหัวเป็นเชื้อพระเจ้าฮั่งกองบู๊ หนึ่ง บวนทง ชาวเมืองซันหยง หนึ่ง ลิเกียน ชาวเมืองบู๊เสง หนึ่ง มอกาย ชาวเมืองตันหลิว หนึ่ง สี่คนนี้มีสติปัญญาเป็นอันมาก โจโฉจึงให้เกลี้ยกล่อมทั้งสี่คนนั้นมาไว้เป็นที่ปรึกษา

ฝ่ายอิกิ๋ม ชาวเมืองกิเป๋ง ซึ่งเป็นโจรมีพรรคพวกเป็นอันมาก ก็คุมพวกเพื่อนมาเข้าเกลี้ยกล่อมขอเป็นทหารอยู่ด้วยโจโฉ ครั้นอยู่มา แฮหัวตุ้นพาเตียนอุยมาหาโจโฉแล้วบอกว่า เตียนอุยคนนี้เป็นชาวเมืองตันลิว แลเตียนอุยนั้นมีกำลังกล้าแข็ง ฆ่าบ่าวเตียวเมาเสียเป็นอันมากแล้วหนีไปอยู่ป่า พอข้าพเจ้าออกไปเที่ยวเล่น เห็นเตียนอุยตีเสือตายแล้วข้ามแม่น้ำมาพบข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นสมควรเป็นทหาร ข้าพเจ้าจึงเกลี้ยกล่อมมาอยู่เป็นทหารท่าน โจโฉได้ยินดังนั้นก็พิศดูเตียนอุย เห็นรูปร่างนั้นโตใหญ่เข้มแข็งสมควรเป็นทหาร จึงถามเตียนอุยว่า ตัวจะเป็นทหารนั้นถืออาวุธสิ่งใด เตียนอุยจึงบอกว่า ข้าพเจ้าเคยชำนาญถือทวนสองเล่ม หนักเล่มละแปดสิบชั่งจีน มีสำหรับตัวข้าพเจ้าอยู่แล้ว โจโฉได้ยินดังนั้นจึงให้จัดม้ามีฝีเท้าให้แก่เตียนอุยขึ้นขี่ม้ารำทวนดู โจโฉเห็นเตียวอุยขี่ม้ารำทวนนั้นเข้มแข็งว่องไว ขณะนั้น โจโฉเห็นธงใหญ่สำคัญสำหรับทัพซึ่งปักอยู่หน้าเมืองนั้นต้องพายุเอนจะล้มลง ทหารประมาณยี่สิบห้าคนเข้าประคองยกขึ้นก็ไม่ไหว เตียนอุยเห็นดังนั้นจึงโจนลงจากม้าวิ่งไปขับทหารทั้งปวงเสีย เตียนอุนจึงเข้ายกธงนั้นตรงขึ้นดังเก่า โจโฉเห็นดังนั้นจึงสรรเสริญเตียนอุยว่า มีกำลังดุจหนึ่งคนโบราณ แล้วให้จัดเกราะให้แก่เตียนอุย ตั้งให้เตียนอุยเป็นนายทหารสำหรับรักษาตัวโจโฉ




ตอนที่ ๗ ขึ้น ตอนที่ ๙