แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดูเอกสารกำกับแม่แบบ)

หน้า ๑–๑๒ สารบัญ



พงศาวดารจีนเลียดก๊ก เล่ม ๑
ตั้งแต่แผ่นดินพระเจ้าชวนอ๋องถึงแผ่นดินพระเจ้าจิวเสียงอ๋อง


ศุภมัสดุ จุลศักราชพันร้อยแปดสิบ ปีเถาะ เอกศก อาษาฒมาส ศุกลปักษ์ อัฐมีดิถี คุรุวาระ พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน มีพระราชโองการดำรัสสั่งให้จัดข้าทูลละอองแปลเลียดก๊กพงศาวดารจีนนี้เป็นคำไทยไว้สำหรับแผ่นดิน

ข้าพระพุทธเจ้า กรมหมื่นนเรศร์โยธี หนึ่ง เจ้าพระยายมราช หนึ่ง เจ้าพระยาวงศาสุรศักดิ์ หนึ่ง พระยาโชดึก หนึ่ง ขุนท่องสือ หนึ่ง จมื่นไวยวรนาถ หนึ่ง เล่ห์อาวุธ หนึ่ง จ่าเรศ หนึ่ง หลวงลิขิตปรีชา หนึ่ง หลวงญาณปรีชา หนึ่ง ขุนมหาสิทธิโวหาร หนึ่ง

ห้องสินและในเลียดก๊กนั้นว่าด้วยองค์พระเจ้าบู๊อ๋องครองเมืองทั้งปวงคิดทำศึกกัน ข้าพเจ้า หลวงลิขิตปรีชา เจ้ากรมอาลักษณ์ ชำระขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ในเลียดก๊กหนังสือจีนแปลเป็นคำไทยได้ความว่า

แผ่นดินเมืองจีนนั้น เมืองโกเก๋งเป็นเมืองหลวง พระเจ้าชวนอ๋อง เชื้อวงศ์พระเจ้าบู๊อ๋อง ได้เสวยราชสมบัติบำรุงอาณาประชาราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข หัวเมืองทั้งปวงมาขึ้นเมืองโกเก๋งเหมือนพระเจ้าบู๊อ๋องครั้งแผ่นดินห้องสิน แต่ชาเลเท เจ้าเมืองเกียงหยง หัวเมืองตะวันตกนั้น ตั้งแข็งเมืองอยู่ พระเจ้าชวนอ๋องจึงจัดแจงทหารเอกทหารเลวเป็นกระบวนทัพหลวงยกไปตีเมืองเกียงหยง พระเจ้าชวนอ๋องเสียทีแก่ข้าศึก เสียทแกล้วทหารและเครื่องศัสตราวุธเป็นอันมาก จึงล่าทัพมาตั้งค่ายรวบรวมทแกล้วทหารอยู่ ณ เมืองไซง่วน ให้สำรวจข้าวขึ้นฉาง และจัดเครื่องศัสตราวุธแหลนหลาวลูกเกาทัณฑ์ใส่คลังไว้สำหรับจะได้จ่ายทหารเป็นอันมาก ตั้งเจ้าเมืองไซง่วนเป็นแม่ทัพคุมทหารลาดตระเวนป้องกันกองทัพเมืองเกียงหยง อยู่ ณ ปลายแดนเมืองโกเก๋ง ครั้นแล้ว พระเจ้าชวนอ๋องก็เสด็จกลับมา จะใกล้ถึงประตูเมืองหลวง พอเพลาค่ำ พระเจ้าชวนอ๋องได้ยินเสียงเด็กชาวบ้านตบมือร้องเพลงว่า หยิดเจียงบุตร ฮอยเจียงเสง เอียบห่อกีหก กีบวงจิวก๊ก[1] แปลว่า พระอาทิตย์จะตกต่ำ พระจันทร์จะขึ้น ตัดไม้ซองบก[2] ทำเกาทัณฑ์ เกี่ยวหญ้ามาสานเป็นซองใส่เกาทัณฑ์ เมืองจิวก๊กจะเสื่อมสูญ พระเจ้าชวนอ๋องได้ทรงฟังดังนั้น ก็ให้หยุดรถ แล้วสั่งทหารให้ไปพาพวกเด็กซึ่งร้องเพลงนั้นมาหน้าที่นั่ง จึงตรัสถามว่า ผู้ใดสอนให้พวกเอ็งร้องเพลงนี้ พวกเด็กจึงกราบทูลว่า เมื่อวันก่อน มีเด็กคนหนึ่งนุ่งแดงมาร้องเพลงอันนี้เล่น ข้าพเจ้าชอบใจ จึงจำเพลงไว้ร้องเล่นต่อมา แต่เด็กคนนั้นหารู้แห่งว่าบ้านอยู่แห่งใดไม่ พระเจ้าชวนอ๋องจึงตรัสว่า เพลงนี้เป็นคำหยาบช้าแช่งบ้านเมือง ไม่ควรจะร้องเล่น แต่นี้ไป ถ้าพวกเอ็งร้องเพลงนั้นเล่นอีก จะให้ลงโทษแก่บิดามารดา พระเจ้าชวนอ๋องก็ให้ปล่อยเด็กนั้นเสีย แล้วเสด็จเข้าพระราชวัง ไม่สบายพระทัย ครั้นเพลาเช้า เสด็จออก จึงตรัสเล่าความเด็กทำเพลงนั้นให้ขุนนางทั้งปวงฟัง

เตียวเฮาเป็นที่ไทจงเปก พนักงานดูเหตุดีร้ายในแผ่นดิน จึงทูลว่า ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูเห็นว่า เด็กน้อยซึ่งนุ่งแดงห่มแดงนั้นจะเป็นเทวดาแปลงลงมาร้องเพลงให้เด็กชาวเมืองจำไว้ หวังจะให้รู้เหตุดีและร้าย ซึ่งว่า พระอาทิตย์ตกต่ำ พระจันทร์จะขึ้นนั้น เชื้อพระวงศ์ของพระองค์ซึ่งจะสืบกษัตริย์ไปภายหน้านั้นจะเสื่อมเสียเกียรติยศลงทุกครั้งดังดวงอาทิตย์เมื่อบ่ายเย็น แซ่อื่นจะได้เป็นกษัตริย์สืบพระวงศ์เปรียบเหมือนพระจันทร์ข้างขึ้น ข้อซึ่งเอาไม้ซองบกทำเกาทัณฑ์ เป็นเหตุความห้าม การศึก พระเคราะห์เมืองร้ายนัก อาวุธเกาทัณฑ์จะเป็นปัจจามิตรแก่พระองค์ ขออย่าเพิ่งยกทัพหลวงไปจากพระนครเลย จงมีพระทัยโอบอ้อมอารีแก่ขุนนางอาณาประชาราษฎร และตั้งอยู่ในยุติธรรม แล้วเหตุลางทั้งนี้ก็จะค่อยทุเลาลง

พระเจ้าชวนอ๋องได้ทรงฟังดังนั้น ตกพระทัย จึงสั่งให้ขุนนางเมืองไซง่วนเอาลูกเกาทัณฑ์ซึ่งไว้สำหรับศึกนั้นเผาเสีย แล้วสั่งโจหยีให้มีกำหนดกฎหมายห้ามมิให้อาณาประชาราษฎรทำเกาทัณฑ์ขาย สั่งแล้วเสด็จเข้าสู่ที่ข้างใน นางเกียงฮองฮอ มเหสี มาเฝ้าทูลว่า หญิงคนโทษเก่าต้องเวรจำอยู่ที่ตึกจำสงัด หาผัวมิได้ มีครรภ์แต่อายุสิบสองปีมาจนอายุห้าสิบสองปี แต่อยู่ในครรภ์สี่สิบปี เวลาคืนนี้ คลอดบุตรเป็นหญิง ข้าพเจ้าเห็นจะเป็นอุบาทว์จัญไร จึงให้เอาบุตรหญิงนั้นใส่กระสอบไปทิ้งเสีย

พระเจ้าชวนอ๋องได้ฟังดังนั้น อัศจรรย์ใจนัก จึงให้ขันทีไปถามหญิงคนโทษว่า เมื่อจะมีครรภ์บุตรคนนี้ มีเหตุประการใดบ้าง หญิงคนโทษจึงเล่าความว่า ครั้นแผ่นดินพระเจ้าเลอ๋อง ข้าพเจ้าเป็นข้าอยู่ในวัง อายุได้สิบสองปี อยู่มาวันหนึ่ง มีผู้เห็นรัศมีสว่างขึ้นในคลัง เจ้าพนักงานไขกุญแจหีบดู เห็นตะพาบน้ำอยู่บนถาดทอง จึงยกถาดตะพาบน้ำมาถวายพระเจ้าเลอ๋อง ข้าพเจ้าก็ได้แอบดูอยู่ที่ริมประตูเสด็จออก พระเจ้าเลอ๋องตรัสถามขุนนางทั้งปวงว่า แต่ก่อน ถาดทองนี้ใส่สิ่งใดไว้ จึงบังเกิดเป็นตะพาบน้ำฉะนี้ ขุนนางผู้เฒ่าคนหนึ่งกราบทูลว่า ข้าพเจ้าได้ยินคำผู้ใหญ่เล่าสืบกันมาว่า ถาดทองใบนี้ใส่น้ำลายมังกรแต่ครั้งแผ่นดินพระเจ้าเคียดอ๋อง เมื่อจะได้น้ำลายมังกรนั้น วันหนึ่ง พระเจ้าเคียดอ๋องเสด็จออกขุนนาง มีมังกรคู่หนึ่งมาพันกันตรงหน้าพระที่นั่ง พระเจ้าเคียดอ๋องตกพระทัย คิดว่า จะเป็นเหตุแก่ไพร่บ้านพลเมือง จึงให้ขุนนางพนักงานตั้งพลีกรรมบวงสรวงเสี่ยงทาง มังกรนั้นพูดได้ว่า เป็นปิศาจเสื้อเมือง จะมาให้บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข มังกรนั้นก็คายน้ำลายออก พระเจ้าเคียดอ๋องจึงให้เอาถาดทองรองน้ำลายมังกรไปใส่หีบลั่นกุญแจเก็บไว้ในคลัง มังกรนั้นก็หายไป ตั้งแต่แผ่นดินพระเจ้าเคียดอ๋องได้น้ำลายมังกรสืบกษัตริย์มาถึงยี่สิบแปดชั่วกษัตริย์ นับเป็นปีได้หกร้อยสี่สิบปี ถึงแผ่นดินพระเจ้าบู๊อ๋องสืบกษัตริย์มาอีกสามร้อยปีถึงแผ่นดินพระเจ้าเลอ๋อง ขณะเมื่อพระเจ้าเลอ๋องทอดพระเนตรน้ำลายมังกรซึ่งกลายเป็นตะพาบน้ำนั้น ตะพาบน้ำนั้นก็กระโดดลงจากถาดคลานมาถึงประตูที่ข้าพเจ้าแอบอยู่ แล้วตะพาบน้ำหายไป ข้าพเจ้าตกใจตัวสั่น แต่เวลานั้นมา ให้บังเกิดอาเจียนเหมือนดังจะมีครรภ์ ท้องข้าพเจ้าก็เติบขึ้นกว่าปรกติ คิดว่า จะเป็นโรค หาหมอรักษา กินยาหลายขนาน ครรภ์ข้าพเจ้ายิ่งโตขึ้นทุกวัน พระเจ้าเลอ๋องเห็นก็ทรงพระโกรธว่า ข้าพเจ้าคบชาย มิได้ไต่ถาม ให้เอาตัวข้าพเจ้าคุมไว้ที่ตึกจำสงัดแต่อายุสิบสองปีมา จนอายุข้าพเจ้าทุกวันนี้ได้ห้าสิบสองปี จึงคลอดบุตรเมื่อเพลาคืนนี้ พระมเหสีทราบความ เห็นว่า บุตรข้าพเจ้าเป็นอุบาทว์บ้านเมือง จึงให้เอาไปทิ้งเสีย ขันทีผู้รับสั่งก็จดหมายเอาถ้อยคำหญิงคนโทษขึ้นมากราบทูล พระเจ้าชวนอ๋องแจ้งดังนั้นจึงตรัสว่า เหตุทั้งนี้ด้วยเทวดาอาเพศจะให้เป็นวิปริตในการแผ่นดิน ครั้นจะให้มีโทษแก่หญิงนั้นเล่าก็ไม่ควร พระเจ้าชวนอ๋องจึงโปรดให้หญิงนั้นพ้นโทษ แล้วให้หาเปกเอียงอูเข้ามา ตรัสเล่าเหตุลางซึ่งหญิงมีครรภ์คลอดบุตรนั้นให้เปกเอียงอูฟัง แล้วตรัสว่า เหตุทั้งนี้จะดีหรือร้าย เปกเอียงอูจึงกราบทูลว่า บุตรหญิงคนโทษนั้นเป็นอุบาทว์บ้านเมือง เหตุลางทั้งนี้เห็นประกอบกันกับที่เด็กร้องเพลง นานไปหญิงทารกนั้นใหญ่ขึ้น จะทำให้บ้านเมืองวิบัติต่าง ๆ

พระเจ้าชวนอ๋องทรงฟัง ตกพระทัย จึงใช้ขันทีไปถามนางเกียงฮองฮอว่า บุตรหญิงคนโทษนั้นเอาไปทิ้งไว้แห่งใด ให้เอามา จะฆ่าเสีย ถ้าละไว้ช้า มีผู้ได้ไปเลี้ยงไว้ จะทำให้วิบัติบ้านเมือง ขันทีรับสั่งดังนั้น จึงเข้าไปแจ้งความแก่นางเกียงฮองฮอ นางเกียงฮองฮอแจ้งรับสั่งดังนั้น จึงสั่งหญิงคนใช้ว่า ท่านเอาบุตรคนโทษไปทิ้งเสียที่ใด เร่งไปพามาถวาย หญิงคนใช้นั้นจึงว่า เมื่อเอาทารกไปทิ้งน้ำเสียนั้นเป็นกลางคืน หารู้ว่าทารกจะลอยไปแห่งใดไม่ นางเกียงฮองฮอจึงเข้าไปทูลว่า ทารกนั้นเอาถ่วงน้ำเสียแล้ว พระเจ้าชวนอ๋องได้ฟังยังไม่สิ้นความวิตก จึงสั่งโตเบ๊กให้ไปสืบดูทารกบุตรหญิงคนโทษให้รู้ว่ารอดหรือตายให้เป็นแน่ สั่งแล้วเสด็จขึ้น โตเบ๊กก็ไปเที่ยวหาทารก ไม่รู้ว่า เอาไปทิ้งไว้แห่งใด แต่เฝ้าคอยเมื่อตรัสถามจึงจะทูล

ขณะนั้น มีผัวเมียสองคน ผัวชื่อ ซูตาย เป็นคนเข็ญใจ บ้านอยู่นอกเมือง เคยทำเกาทัณฑ์ขายมิได้ขาด ครั้นเพลารุ่งเช้า ซูตายแบกเกาทัณฑ์ ภรรยาหาบลูกเกาทัณฑ์ เข้ามาในเมืองหลวง พบโจหยีเข้าที่ต้นตลาด โจหยีเห็นดังนั้นจึงคิดว่า เปกเอียงอูกราบทูลว่า บ้านเมืองจะเกิดเหตุเพราะผู้หญิง บัดนี้ ผู้หญิงหาบลูกเกาทัณฑ์เข้ามาในเมืองสมกับคำทำนาย ต้องด้วยรับสั่งห้าม โทษถึงตาย โจหยีก็จับหญิงคนนั้นว่า ขายของต้องห้าม ซูตายผู้ผัวตกใจทิ้งอาวุธเสียวิ่งหนีไป โจหยีก็มัดหญิงผู้นั้นเข้าไปกราบทูลพระเจ้าชวนอ๋อง พระเจ้าชวนอ๋องก็สั่งให้เอาตัวหญิงนั้นไปตัดศีรษะเสีย โจหยีก็พาไปตามรับสั่ง ฝ่ายซูตายคอยฟังข่าวภรรยาอยู่นอกกำแพงเมือง ได้ยินคนเดินไปมาพูดกันว่า คนขายลูกเกาทัณฑ์ โจหยีจับไปกราบทูล มีรับสั่งให้ฆ่าเสียแล้ว ซูตายตกใจกลัวเขาจะตามมาจับ ก็รีบเดินร้องไห้ไปตามริมคลอง ครั้นพ้นบ้านคน จึงเห็นกระสอบขึ้นเกยตลิ่งอยู่ใบหนึ่ง ฝูงนกกาลงล้อมอยู่เป็นอันมาก ซูตายเดินเข้าไปใกล้ นกกาก็บินไปสิ้น จึงแก้กระสอบดู เห็นหญิงทารกยังหายใจอยู่ ก็รู้ว่า ยังไม่ตาย มีความสงสัยนัก จึงคิดว่า ทารกนี้มีวาสนา เขาเอาใส่กระสอบมาทิ้งเสียแล้ว ยังหาตายไม่ บัดนี้ ภรรยาเราก็ตายแล้ว บุตรก็ไม่มี จะพาเด็กนี้ไปเลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรมเถิด นานไปเมื่อหน้า ถ้าบุญของเด็กจะได้ดีบ้าง เราจะได้พึ่ง ซูตายก็อุ้มเด็กขึ้นจากกระสอบ อาบน้ำชำระให้สดใส แล้วก็พาไปบ้านโปเสีย

ขณะเมื่อซูตายได้หญิงทารกไป พระเจ้าชวนอ๋องเสด็จเข้าไปบรรทม ในราตรีวันนั้น เวลาประมาณสามยามเศษ ทรงพระสุบินนิมิตว่า อิสตรีผู้หนึ่งรูปงามเข้ามาถึงหน้าที่นั่ง หัวเราะแล้วร้องไห้ วิ่งขึ้นไปพารูปพระมหากษัตริย์ทั้งเจ็ดองค์ซึ่งทำไว้บูชา ณ หอไทเบี้ยวหนีไปทิศตะวันออก พระเจ้าชวนอ๋องตกพระทัยตื่นจากที่บรรทม พอเวลาย่ำรุ่ง จึงเสด็จไปเปิดประตูหอไทเบี้ยว ทอดพระเนตรรูปพระมหากษัตริย์ทั้งเจ็ดพระองค์ ก็ปรกติอยู่สิ้น จึงให้เจ้าพนักงานสมโภชตามธรรมเนียม แล้วเสด็จออกขุนนาง จึงตรัสเล่าความสุบินให้เปกเอียงอูฟังทุกประการ เปกเอียงอูพิจารณาดูในลักษณะสุบินแล้วทูลว่า พระสุบินนี้พิเคราะห์ดูเนื้อความต้องกันกับหญิงทารกซึ่งเป็นอุบาทว์เมือง เบื้องหน้านานไป เมืองโกเก๋งจะเกิดวิบัติเพราะอิสตรี เมืองหลวงจะต้องยักย้ายไปตั้งอยู่ทิศตะวันออก พระเจ้าชวนอ๋องได้ทรงฟังดังนั้น ยิ่งไม่สบายพระทัยหนัก จึงตรัสว่า โตเบ๊กเราให้ไปสืบดูลูกหญิงที่เป็นอุบาทว์เอาไปลอยน้ำนั้นจะเป็นหรือตาย ได้หรือมิได้ประการใดก็มิได้บอก โทษตัวก็ถึงตาย พระเจ้าชวนอ๋องก็สั่งโปซูให้เอาตัวโตเบ๊กไปฆ่าเสีย โปซูเข้าผูกมัดโตเบ๊กออกไปจากที่เฝ้า โจหยีจึงทูลว่า พระองค์จะให้ฆ่าโตเบ๊กเสียเพราะข้อผิดด้วยรับสั่งให้ไปเที่ยวสืบทารกนั้น โตเบ๊กก็ไปเที่ยวสืบแสวงหามิพบ ได้เข้ามาเฝ้าอยู่ทุกเวลา พระองค์ไม่ตรัสถาม จึงมิได้กราบทูลให้ทราบนั้น โตเบ๊กมีความผิดแต่เพียงนี้ จะให้ลงโทษถึงตายประหารชีวิตนั้น ข้าพเจ้าเห็นกิตติศัพท์จะลือเลื่องไปแก่หัวเมืองทั้งปวง จะมีผู้นินทาว่า แต่ความผิดนิมิตฝันไม่สู้ดีเท่านี้ ก็ให้ฆ่าขุนนางเสีย ข้าพเจ้าขอรับพระราชทานชีวิตโตเบ๊กไว้ ทรงตรึกตรองก่อน แม้นพระองค์มิฟังข้าพเจ้าทัดทาน จะให้ฆ่าโตเบ๊กเสียจงได้ ก็ขอให้ฆ่าข้าพเจ้าเสียด้วยเถิด

พระเจ้าชวนอ๋องได้ฟังดังนั้น ก็ทรงพระโกรธ จึงให้ขับโจหยีไปเสียจากที่เฝ้า ฝ่ายทหารคุมตัวโตเบ๊กออกไปถึงตะแลงแกงที่พิฆาตคน ก็ฆ่าโตเบ๊กเสียตามคำสั่ง โจหยีครั้นมาถึงบ้านมีความน้อยใจพระเจ้าชวนอ๋องไม่ฟังคำ ถอดกระบี่ออกจากฝักเชือดคอตาย ในขณะนั้น มีผู้นำเนื้อความขึ้นกราบทูลแก่พระเจ้าชวนอ๋อง พระเจ้าชวนอ๋องครั้นทราบความว่า โจหยีตาย ก็มีความอาลัยนัก ด้วยโจหยีเป็นคนสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน ฝ่ายโตสิบชก เมื่อพระเจ้าชวนอ๋องให้ฆ่าโตเบ๊กผู้บิดาเสียแล้ว ก็หนีไปทำราชการอยู่ด้วยเจ้าเมืองจิ๋น เจ้าเมืองจิ๋นเห็นว่า โตสิบชกมีสติปัญญา จึงตั้งโตสิบชกเป็นเสียงไต่หู ขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายพลเรือน และเมื่อพระเจ้าชวนอ๋องเสวยราชสมบัติได้สี่สิบหกปี ให้ฆ่าขุนนางสองคนเสีย ไม่สบายนัก ครั้น ณ เดือนเก้า เป็นฤดูเคยเสด็จไปเที่ยวป่า จึงสั่งอืนเกียดอูกับเตียวเอาให้ตรวจเตรียมทหาร พร้อมแล้ว พระเจ้าชวนอ๋องขึ้นรถเทียมม้าเสด็จออกจากเมืองหลวงไปประพาสป่าตำบลตังเก๋า ประทับแรมอยู่ ณ ตำหนักไพร พระเจ้าชวนอ๋องเสด็จเที่ยวชมเนื้อนกกับขุนนางจนเวลาเย็น ตะวันยอแสง ขณะนั้น ทอดพระเนตรเห็นโตเบ๊กกับโจหยีขี่เกวียนตรงมาหน้ารถ แล้วโก่งเกาทัณฑ์จะยิง พระเจ้าชวนอ๋องตกพระทัยกลัวปิศาจ ตรัสร้องให้ขุนนางทั้งปวงดู ขุนนางทั้งปวงต่างแลดูไปมิได้เห็น ก็พากันยืนตะลึงอยู่สิ้น พระเจ้าชวนอ๋องจึงแข็งพระทัยร้องตวาดปิศาจว่า ท่านทั้งสองตายมิดี เหตุใดจึงเข้ามาขวางหน้ารถเราอยู่ฉะนี้ จงไปเสียให้พ้น โตเบ๊กปิศาจจึงว่า เราหามีผิดไม่ ท่านไม่อยู่ในยุติธรรม ให้ฆ่าเราเสีย บัดนี้ ท่านถึงกำหนดจะสิ้นบุญแล้ว เราจะฆ่าท่านเสียบ้าง ว่าแล้วปิศาจทั้งสองก็ยิงเกาทัณฑ์มาถูกพระทรวง พระเจ้าชวนอ๋องล้มลงบนรถสลบลง ขุนนางทั้งปวงเห็นดังนั้น ต่างคนตกใจ บ้างขึ้นไปบนรถอยู่งานนวดเฟ้นแก้ไขอยู่ช้านาน พระเจ้าชวนอ๋องจึงได้สมประดีขึ้นมา ให้เจ็บหน้าทรวงเป็นกำลัง ก็กลับรถที่นั่งเข้าพระนคร ครั้นถึงพระราชวัง ขุนนางพยุงพระองค์เข้าไปถึงที่บรรทม พระเจ้าชวนอ๋องประชวนอยู่ในที่ ให้เห็นแต่รูปปิศาจทั้งสองติดพระเนตรอยู่ ก็ประชวรหนักลงทุกเวลา แพทย์ทั้งปวงถวายยาก็มิได้เสวย จึงให้หาอืนเกียดอู กับเตียวเอา เปกเอียงอู ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสามคน เข้ามาเฝ้า จึงตรัสว่า เราได้ยินเด็กทำเพลงด้วยลูกเกาทัณฑ์ ท่านทำนายว่า ลูกเกาทัณฑ์จะเป็นศัตรูแก่เรา ก็ถูกต้องดังคำท่าน ตั้งแต่นี้ไป เราจะมิได้เห็นหน้าท่านต่อไปแล้ว ซึ่งเราได้เป็นสุขอยู่ในราชสมบัติมาได้สี่สิบหกปีแล้ว เพราะท่านช่วยทะนุบำรุง แม้นเราสิ้นชีวิตไปแล้ว ราชสมบัติทั้งนี้ท่านจงให้ไทจูจงเลียบเถิด ท่านจงเมตตาช่วยสั่งสอนให้ว่าราชการบ้านเมืองให้เป็นยุติธรรม อย่าให้อย่างธรรมเนียมแผ่นดินนั้นผิดไป ขุนนางทั้งสามได้ฟังรับสั่งดังนั้น ก็ชวนกันร้องไห้รำพันไปต่าง ๆ แล้วเปกเอียงอูจึงทูลว่า เวลาคืนนี้ ข้าพเจ้าเห็นดาวสำหรับพระองค์ก็ตกแล้ว ซึ่งไทจูจงเลียบ พระราชบุตร จะได้ครองราชสมบัติแทนพระองค์ไปนั้น ข้าพเจ้าทั้งสามจะช่วยทะนุบำรุง อย่าได้ทรงพระวิตกเลย พระเจ้าชวนอ๋องก็สวรรคต ขุนนางทั้งปวงก็ทำการฝังพระศพอย่างกษัตริย์แต่ก่อน



เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ แก้ไข

  1. ต้นฉบับไทยเขียนติดกันว่า "หยิดเจียงบุตรฮอยเจียงเสงเอียบห่อกีหกกีบวงจิวก๊ก" วิกิซอร์ซแบ่งวรรคตอนเป็น "หยิดเจียงบุตร ฮอยเจียงเสง เอียบห่อกีหก กีบวงจิวก๊ก" โดยเทียบฉบับจีนซึ่งว่า "月將升,日將沒;檿弧箕箙,幾亡週國。" (สำเนียงกลางว่า "เยฺว่เจียงเชิง รี่เจียงเหมย์ หยั่นหูจีฝู จี่หวังโจวกั๋ว") อนึ่ง เมื่อดูฉบับจีน จะเห็นว่า ฉบับแปลไทยวางวรรคแรกกับวรรคสองสลับที่กัน กล่าวคือ ที่จริงแล้ว "ฮอยเจียงเสง" (เยฺว่เจียงเชิง) มาก่อน"หยิดเจียงบุตร" (รี่เจียงเหมย์)
  2. คำว่า "เอียบ" หรือสำเนียงกลางว่า "หยั่น" (檿) ซึ่งฉบับแปลไทยแปลว่า ต้น "ซองบก" หรือสำเนียงกลางว่า "ซังชู่" (桑樹) นั้นคือ ต้นหม่อน (mulberry)


ขึ้น ตอน ๒