หน้า ๔๔–๗๓ สารบัญ
ฝ่ายชาเลเท เจ้าเมืองเกียงหยง ครั้นแจ้งว่า เจ้าเมืองสินให้ทูตคุมเครื่องบรรณาการมาโดยสุจริต จึงให้ทหารไปรับทูตเข้ามา แล้วถามว่า เจ้าเมืองสินใช้ท่านมาหาเราด้วยประการใด ขุนนางเมืองสินคำนับแล้วแจ้งความว่า เดิมพระเจ้าอิวอ๋องตั้งนางสินฮองฮอ บุตรเจ้าเมืองสิน เป็นมเหสี เกิดพระราชบุตรองค์หนึ่งชื่อ งีเป๊ก ครั้นอยู่มา พระเจ้าอิวอ๋องหลงรักนางโปซู จึงให้ขับงีเป๊ก พระราชบุตร เสีย บัดนี้ พระเจ้าอิวอ๋องเชื่อฟังเซ็กอู ขุนนางผู้ใหญ่ ให้จัดแจงกองทัพจะยกมาตีเมืองสิน เจ้าเมืองสินมีทแกล้วทหารน้อย เห็นจะสู้รบกองทัพเมืองหลวงมิได้ จึงมีหนังสือฉบับหนึ่งมาถึงท่าน ขุนนางเมืองสินก็ส่งหนังสือให้เจ้าเมืองเกียงหยง เจ้าเมืองเกียงหยงฉีกผนึกออกอ่าน ใจความในหนังสือนั้นว่า ข้าพเจ้า สินเฮา ขอคำนับมาถึงเจ้าเมืองเกียงหยง ด้วยแต่ก่อนเจ้าเมืองโกเก๋งตั้งอยู่ในสุจริตธรรมเพราะเชื่อฟังขุนนางผู้สัตย์ซื่อ บัดนี้ เจ้าเมืองโกเก๋งฟังแต่เซ็กอูคนพาล และหลงรักนางโปซู จนขับพระราชบุตรเสียจากเมือง ขุนนางผู้สัตย์ซื่อต่อแผ่นดินจะว่ากล่าวสิ่งใดไม่เชื่อฟัง หัวเมืองทั้งปวงต่างก็เอาใจออกหาก ข้าพเจ้าคิดเห็นว่า พระเจ้าอิวอ๋องจะสิ้นบุญแล้ว ครั้นข้าพเจ้าจะยกไปกระทำแก่เมืองโกเก๋งเล่า ทหารข้าพเจ้าน้อยนัก เห็นว่า จะทำมิตลอด ขอท่านจงกรุณายกกองทัพมาช่วยข้าพเจ้าไปกำจัดพระเจ้าอิวอ๋องเสีย ถ้าได้สำเร็จ ทรัพย์สิ่งของในท้องพระคลังมีมากน้อยเท่าใด จงเป็นของท่านเถิด แต่เปลือกเมืองนั้น ข้าพเจ้าขอให้แก่งีเป๊ก บุตรพระเจ้าอิวอ๋อง ครอบครองสมบัติสืบไป
เจ้าเมืองเกียงหยงแจ้งความดังนั้นก็ยินดี รับเอาเครื่องบรรณาการไว้ แล้วว่า ท่านจงกลับไปบอกแก่เจ้าเมืองสินเถิดว่า เราจะยกไปสมทบทัพนายท่านไปตีเมืองโกเก๋งกำจัดพระเจ้าอิวอ๋องเสียให้จงได้ อย่าให้นายท่านวิตกเลย ขุนนางเมืองสินก็รับคำ แล้วลากลับไปแจ้งความแก่สินเฮาทุกประการ สินเฮาก็จัดแจงทหารหมื่นหนึ่งยกออกไปคอยกองทัพเมืองเกียงหยงอยู่ทางร่วม
ฝ่ายเจ้าเมืองเกียงหยงก็จัดทหารเอกทหารเลวที่มีกำลังและฝีมือกล้าแข็งได้หมื่นห้าพัน ให้พุดเตเตงเป็นทัพหน้า บ้วนน้าเป็นทัพหลัง เจ้าเมืองเกียงหยงเป็นทัพหลวง ยกมาถึงทางร่วม ณ กองทัพเจ้าเมืองสิน ถ้อยทีคำนับกับสินเฮาแล้ว สินเฮาจึงบอกอุบายซึ่งจะนำทัพเข้าไปให้ถึงเมืองหลวงมิให้ต้องตีด่านทาง แล้วสินเฮาก็ยกทหารนำกองทัพเมืองเกียงหยงรีบไปทั้งกลางวันกลางคืน ถึงด่านตำบลใด สินเฮาก็ให้ทหารไปบอกนายด่านว่า จะพาชาเลเท เจ้าเมืองเกียงหยง เข้ามาสวามิภักดิ์เป็นข้าพระเจ้าอิวอ๋อง นายด่านสำคัญว่าจริง ก็เปิดประตูด่านให้กองทัพเจ้าไปจนถึงกำแพงเมืองหลวง เจ้าเมืองเกียงหยงเกณฑ์ทหารทำกระสอบสูงศอกเศษ บรรจุดินและทราย ตั้งเคียงเรียงกันเป็นสนามเพลาะ ฝังหลักมั่น ขันชะเนาะกระหนาบคร่าวให้มั่นคง แล้วตัดกิ่งไม้ขัดตาตะแลงแกงรั้วไก่ ขึงผ้าขาววงรอบสูงห้าศอกเศษเป็นค่าย ทำเพดานดาดพอร่มน้ำค้าง ชาเลเทตั้งค่ายประชิดล้อมเมืองเป็นสำคัญ ให้ทหารพูนทำนบปิดคลองน้ำที่ไหลเข้าในเมืองไว้ และตั้งระหัดไขน้ำออกมา หมายจะให้ชาวเมืองอดน้ำ
ฝ่ายเซ็กอู ขณะเมื่อมีรับสั่งให้จัดแจงกองทัพจะไปตีเมืองสิน ยังมิทันจะยกไป พอกองทัพเมืองเกียงหยงมาล้อมเมืองไว้ ก็ตกใจ จึงให้ทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้ แล้วเข้าไปกราบทูลให้ทราบทุกประการ พระเจ้าอิวอ๋องได้ฟังดังนั้นก็ตกพระทัยนัก จึงตรัสปรึกษาเซ็กอูว่า ทัพเมืองเกียงหยงมาตีเมืองเราครั้งนี้ประหลาดนัก ด่านตามทางหลายตำบลเหตุไรไม่ต้านทานไว้ ให้ทัพล่วงเข้ามาถึงเชิงกำแพงเมืองไม่ทันรู้ตัวฉะนี้ ท่านจะคิดอ่านสู้รบประการใด เซ็กอูจึงทูลว่า อันทัพเมืองเกียงหยงล่วงด่านเข้ามาได้ครัง้นี้ เจ้าเมืองสินนำเข้ามา ชาวด่านจึงมิได้สงสัย ด้วยว่า ทัพเมืองสินเคยไปมาแต่ก่อน บัดนี้ ข้าพเจ้าให้ทหารขึ้นรักษาหน้าที่ไว้มั่นคง แต่ข้าศึกคิดปิดคลองน้ำมิให้ไหลเข้ามาในเมือง ถ้าละไว้หลายวัน เห็นผู้คนในเมืองเราจะอดน้ำ ขอให้จุดเอียนตุนขึ้นให้หัวเมืองทั้งปวงเห็น จะได้ยกมาช่วยตีเป็นศึกกระหนาบ กองทัพเมืองเกียงหยงก็จะเสียทีแก่เราเป็นมั่นคง พระเจ้าอิวอ๋องได้ทรงฟังก็เห็นชอบด้วย จึงสั่งทหารให้ขึ้นไปจุดเพลิงบนเอียนตุน
ฝ่ายหัวเมืองบรรดาซึ่งอยู่ใกล้เมืองหลวงแลเห็นแสงเพลิง ก็สำคัญว่า พระเจ้าอิวอ๋องให้จุดเอียนตุนเล่นเหมือนครั้งก่อน ต่างเมืองก็มิได้ยกมา
ฝ่ายชาเลเท เจ้าเมืองเกียงหยง ให้ทหารตั้งค่ายประชิดเมืองโกเก๋งอยู่หลายวัน จึงให้ทหารเข้าไปทำลายประตูเมือง ทหารเมืองโกเก๋งก็คั่วกรวดทรายและเคี่ยวน้ำมันซัดเทลงไปไม่ให้ทหารหัวเมืองเกียงหยงเข้ามาทำลายประตูเมืองได้ ทหารเมืองเกียงหยงเอาบันไดหกมาพาดกำแพงเมืองได้หลายแห่ง ทหารเมืองโกเก๋งก็พุ่งศัสตราวุธยิงเกาทัณฑ์ต้านทานไว้ ทหารทั้งสองฝ่ายรบพุ่งกันเป็นสามารถ นายทหารเมืองโกเก๋งเหลือกำลังจะต้านทานมิได้ จึงเข้าไปกราบทูลพระเจ้าอิวอ๋อง พระเจ้าอิวอ๋องจึงตรัสสั่งเซ็กอูว่า ท่านจงคุมทหารม้าสองร้อยทหาร เกวียนสองร้อย ออกไปรบกับทหารเมืองเกียงหยงดูฝีมือสักครั้งหนึ่ง เซ็กอูได้ฟังดังนั้น เป็นทุกข์ใจนัก จึงทูลบิดพลิ้วแก้ตัวว่า ข้าพเจ้าเป็นขุนนางพลเรือน วิชาทหารไม่ชำนิชำนาญ เกลือกจะเสียทีแก่ข้าศึก พระเจ้าอิวอ๋องจึงตรัสว่า ในเมืองโกเก๋งนี้ ราชการทหารพลเรือนก็สิทธิ์ขาดอยู่แก่ท่าน ซึ่งท่านบิดพลิ้วอยู่ฉะนี้ ผู้ใดจะออกไปรบเล่า เมืองเราจะไม่เสียแก่ข้าศึกหรือ เซ็กอูขัดรับสั่งไม่ได้ ก็บังคมลาออกมาแต่งตัว ใส่เกราะ ขึ้นม้า ถือกระบี่ พาทหารม้า ทหารเกวียน เปิดประตูเมืองออกไปรบกับทหารเมืองเกียงหยงซึ่งเข้ามาประชิดประตูนั้นถอยห่างออกไป
ขณะนั้น ชาเลเท เจ้าเมืองเกียงหยง กับสินเฮา เจ้าเมืองสิน ยืนม้าอยู่หน้าค่าย แลเห็นเซ็กอูออกมา สินเฮาจึงบอกทหารทั้งปวงว่า เซ็กอูคนนี้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองหลวง เร่งจับตัวมาฆ่าเสียให้จงได้ พุดเตเตง แม่ทัพหน้า ได้ยินดังนั้น ก็จับม้ารำทวนเข้ารบกับเซ็กอู เซ็กอูไม่ชำนาญในการทหาร กลัวจะเสียที ก็ขับม้าหนี พุดเตเตงขับม้าตามทัน เอาทวนแทงถูกเซ็กอูตกจากหลังม้าตาย ทหารเมืองโกเก๋งก็แตกหนีเข้าเมือง ชาเลเทกับสินเฮาเห็นได้ที ก็ขับทหารไล่ติดตามเข้าไป ทหารเมืองโกเก๋งปิดประตูเมืองไม่ทัน ทหารเมืองเกียงหยงเข้าเมืองได้ ก็จุดเพลิงเข้าเป็นหลายแห่ง ไล่ฆ่าทหาร ชาวเมือง เป็นอลวน ขุนนางในเมืองหลวงต่างแตกหนีกระจัดกระจายไม่สู้รบ สินเฮาร้องห้ามไม่ให้ทำอันตรายแก่ชาวเมืองทั้งปวง ทหารเมืองเกียงหยงก็ไม่ฟัง ไล่ฆ่าฟันชาวเมืองเข้าไปถึงประตูวัง
ฝ่ายพระเจ้าอิวอ๋องได้ยินเสียงอื้ออึง แจ้งว่า ข้าศึกเข้าเมืองได้ ก็ตกพระทัยนัก จึงให้นางโปซูกับเป๊กฮกขึ้นขี่รถรถหนึ่ง พระเจ้าอิวอ๋องทรงรถรถหนึ่ง ให้เปิดประตูหลังวัง ขับรถออกมา พบเตงเป๊กอิวที่ประตูวัง เตงเป๊กอิวก็เชิญเสด็จขึ้นไปบนเขาลิสาน เขาลิสานอยู่ในกำแพงเมืองชั้นนอก พระเจ้าอิวอ๋องสิ้นสติ ไม่รู้ที่จะคิดประการใด จึงให้จุดเอียนตุนขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ก็ไม่ได้เห็นกองทัพหัวเมืองมา
พออินกี๋วมาทันเสด็จ ทูลพระเจ้าอิวอ๋องว่า ข้าศึกจุดเพลิงคิดฉางข้าวขึ้นไหม้ลุกลามไปเป็นอันมาก เค็ดก๋งกับเจก๋งนั้นทหารเมืองเกียงหยงฆ่าเสียแล้ว พระเจ้าอิวอ๋องฟังอินกี๋วทูลความมิทันขาดคำ พอได้ยินเสียงเท้าม้าและทหารเมืองเกียงหยงอื้ออึงขึ้นมาบนเขาแล้วร้องว่า อิวอ๋องอยู่แห่งใด เร่งออกมาโดยดี
พระเจ้าอิวอ๋องยิ่งตกพระทัยนัก ยุดมืองเตงเป๊กอิวเข้าไว้ ทรงพระกันแสง ตรัสแก่เตกเป๊กอิวว่า เมื่อเซ็กอูจุดเอียนตุนจะให้นางโปซูหัวเราะนั้น ท่านได้ห้ามปราม เราไม่ฟังคำท่าน ครั้นบ้านเมืองเกิดศึกขึ้น เราให้จุดเอียนตุนจะให้หัวเมืองยกทัพมาช่วย ก็ไม่เห็นมา เห็นหัวเมืองทั้งปวงจะสำคัญว่า จุดเอียนตุนเล่นเหมือนครั้งก่อน จึงมิได้มาช่วย ครั้งนี้ เราถึงแก่อับจนแล้ว เห็นแต่ท่าน จงช่วยคิดอ่านให้เรารอดชีวิต เตงเป๊กอิวจึงทูลว่า ข้าพเจ้าจะคิดอุบายล่อลวงทหารเมืองเกียงหยงให้ไปหาที่พลับพลาสูง แล้วข้าพเจ้าจะเชิญเสด็จพระองค์หนีไปทางหลังเขาลิสาน เตงเป๊กอิวจึงสั่งอินกี๋วว่า เราจะไปจุดเพลิงที่พลับพลาสูง ท่านจงเชิญเสด็จไปทางหลังเขาลิสาน เตงเป๊กอิวสั่งอินกี๋วแล้ว ก็ไปจุกเพลิงไหม้พลับพลาสูงขึ้น แล้วรีบขับม้าตามเสด็จพระเจ้าอิวอ๋องไป
ขณะนั้น โกลิเซ็ก นายทหารเมืองเกียงหยง เห็นเพลิงไหม้พลับพลาสูงขึ้น จึงขับม้าพาทหารมาดู มิได้เห็นผู้ใด ก็กลับไปทางหลังเขา แลเห็นรถสองรถ มีแต่ทหารสองคนขี่ม้าตามหลังรถไป โกลิเซ็กก็ขับม้ารำทวนไล่กระชั้นเข้าไป เตงเป๊กอิวก็กลับม้ามารบกับโกลิเซ็กได้ห้าเพลง โกลิเซ็กเสียที เตงเป๊กอิวเอาทวนแทงถูกโกลิเซ็กตกม้าลงตาย แล้วเตงเป๊กอิวก็เชิญเสด็จพระเจ้าอิวอ๋องรีบหนีไป
ฝ่ายขุนนางเมืองหลวงรู้ว่า พระเจ้าอิวอ๋องหนีข้าศึกไปถึงเขาลิสาน ต่างคนไปตามเสด็จ ทหารเมืองเกียงหยงเอาเกาทัณฑ์ระดมยิงไปเป็นอันมาก ถูกขุนนางทั้งปวงล้มตายแตกหนีกระจายไปสิ้น
ขณะนั้น เจ้าเมืองเกียงหยงขับม้าพาทหารมาทางหลังเขาลิสาน พบพระเจ้าอิวอ๋อง เจ้าเมืองเกียงหยงมิได้รู้จัก จึงขับม้าพาทหารเข้าล้อมไว้ เตงเป๊กอิวกับอินกี๋วสู้รบเป็นสามารถ เห็นเหลือกำลังจะต้านทานมิได้ เตงเป๊กอิวก็ขับม้าฝ่าทหารเมืองเกียงหยงออกจากที่ล้อม ชาเลเทก็ขับม้าพาทหารเข้าจับพระเจ้าอิวอ๋องกับอินกี๋วไว้ได้ ชาเลเทเห็นเข็มขัดประดับแก้วเป็นของกษัตริย์ ก็รู้ว่า พระเจ้าอิวอ๋อง เจ้าเมืองเกียงหยงก็ให้ทหารพาพระเจ้าอิวอ๋อง กับเป๊กฮก อินกี๋ว ไปฆ่าเสีย
ขณะเมื่อเจ้าเมืองเกียงหยงฆ่าพระเจ้าอิวอ๋องเสียนั้น ศักราชพระเจ้าอิวอ๋องเสวยราชสมบัติได้สิบเอ็ดปี เสียเมืองแก่เจ้าเมืองเกียงหยง เจ้าเมืองเกียงหยงก็พานางโปซูลงจากเขาลิสานมาหาสินเฮา
ฝ่ายสินเฮาเห็นไฟไหม้เมืองหลวงขึ้น เกรงทหารเมืองเกียงหยงจะทำอันตรายแก่พระเจ้าอิวอ๋อง ก็ให้ทหารขึ้นดับไฟ แต่ตัวสินเฮานั้นรีบไปถอดนางสินฮองฮอซึ่งต้องจำออกจากตึกที่ขัง แล้วเข้าไปค้นหาพระเจ้าอิวอ๋องในวัง ก็มิได้พบ พอขันทีบอกว่า พระเจ้าอิวอ๋องพานางโปซูหนีไปเขาลิสาน สินเฮาแจ้งความนั้นแล้ว ออกจากประตูเมืองไปถึงเขาลิสาน พบเจ้าเมืองเกียงหยงพานางโปซูกลับมา จึงถามว่า พบพระเจ้าอิวอ๋องหรือไม่ เจ้าเมืองเกียงหยงบอกสินเฮาว่า พระเจ้าอิวอ๋องกับเป๊กฮกเราฆ่าเสียแล้ว สินเฮาได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงว่า เดิมข้าพเจ้าขอกองทัพท่านมาช่วยกำจัดพระเจ้าอิวอ๋องพอพ้นจากเมือง จะให้งีเป๊กขึ้นว่าราชการแทนบิดา ครั้นท่านเข้าเมืองได้ ให้จุดไฟเผาเมือง แล้วฆ่าพระเจ้าอิวอ๋องเสียฉะนี้ ขุนนางและราษฎรทั้งปวงจะนินทาว่า ข้าพเจ้าทำร้ายพระมหากษัตริย์ ไม่ควรนัก เจ้าเมืองเกียงหยงได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะว่า ท่านใจอ่อนเหมือนใจผู้หญิง เราเห็นว่า อิวอ๋องไม่อยู่ในสัจธรรม เราจึงฆ่าเสีย หามีความนินทาไม่ ว่าแล้วเจ้าเมืองเกียงหยงก็กลับไปค่าย
สินเฮาก็ไปทำการฝังศพพระเจ้าอิวอ๋อง ณ เขาลิสานตามอย่างกษัตริย์ แล้วกลับมาเมืองหลวง จัดแจงที่เสด็จออกให้เจ้าเมืองเกียงหยงอยู่อาศัย แล้วให้แต่งโต๊ะเลี้ยงเจ้าเมืองเกียงหยงและทหารทั้งปวง เจ้าเมืองเกียงหยงกับนางโปซูกินโต๊ะเสพสุราด้วยกันเป็นสุขสบายอยู่ มิได้คิดที่จะกลับไปบ้านเมือง สินเฮาเข้าไปว่ากล่าวตักเตือนเจ้าเมืองเกียงหยงเป็นหลายครั้งจะให้เจ้าเมืองเกียงหยงกลับไปเมือง เจ้าเมืองเกียงหยงก็มิได้ไป ด้วยนางโปซูชวนเจ้าเมืองเกียงหยงไว้จะให้อยู่เมืองโกเก๋ง
สินเฮามิรู้ที่จะทำประการใด จึงพานางสินฮองฮอมาอาศัยตึกริมประตูเมือง แล้วแต่งหนังสือสามฉบับให้ม้าเร็วถือไปถึงเมืองจิ้น หัวเมืองทิศเหนือ ฉบับหนึ่ง ไปถึงกีโห เจ้าเมืองโอย หัวเมืองตะวันออก ฉบับหนึ่ง ไปถึงเองไข เจ้าเมืองจี๋น หัวเมืองตะวันออก ฉบับหนึ่ง ใจความในหนังสือต้องกันทั้งสามฉบับ ม้าใช้ทั้งสามต่างคนรับหนังสือคำนับลาขึ้นม้าแยกกันไปตามสินเฮาสั่ง
ขณะนั้น พอมีผู้มาบอกสินเฮาว่า ทหารเมืองเกียงหยงฆ่าเตงเป๊กอิวตาย สินเฮาจึงแต่งหนังสืออีกฉบับหนึ่งไปให้เตงกุด เจ้าเมืองเตง ซึ่งเป็นบุตรเตงเป๊กอิว ว่า ชาเลเท เจ้าเมืองเกียงหยง ยกมาตีเมืองหลวงได้ เตงเป๊กอิวเชิญเสด็จพระเจ้าอิวอ๋องหนีไป ทหารเมืองเกียงหยงตามจับพระเจ้าอิวอ๋องฆ่าเสีย เตงเป๊กอิวถูกลูกเกาทัณฑ์ตายอยู่กลางทาง ไม่มีผู้ใดฝังศพ บัดนี้ เจ้าเมืองเกียงหยงเข้าอยู่ในเมืองหลวง ไม่ได้กลับไปเมือง เราก็ได้มีหนังสือไปถึงเจ้าเมืองโอย เจ้าเมืองจิ้น เจ้าเมืองจี๋น ให้ยกกองทัพมาช่วยกำจัดเมืองเกียงหยงด้วย ให้เจ้าเมืองเตงรีบยกทหารมาโดยเร็ว จะได้ทำการฝังศพเตงเป๊กอิวผู้บิดา ถ้าช้าอยู่ เมืองหลวงจะเป็นเมืองของชาเลเท เจ้าเมืองเกียงหยง แต่งหนังสือแล้วเข้าผนึก ส่งให้ม้าเร็วไปเมืองเตง
ฝ่ายเตงกุด เจ้าเมืองเตง ออกนั่งข้างหน้าปรึกษาราชการกับขุนนางทั้งปวง พอนายประตูเข้ามาบอกว่า มีผู้ถือหนังสือมา จึงคำนับส่งหนังสือให้เตงกุด เตงกุดรับหนังสือมาอ่านแจ้งความว่า ชาเลเท เจ้าเมืองเกียงหยง ยกทัพมาตีเมืองหลวงได้ ฆ่าพระเจ้าอิวอ๋องและบิดาตาย เตงกุดแจ้งดังนั้น ก็ร้องไห้รักบิดาจนสิ้นสมปฤดี ครั้นหายความโศกแล้ว จึงนุ่งห่มขาวตามธรรมเนียม เตงกุดคิดแค้นเจ้าเมืองเกียงหยงนัก จึงจัดแจงทหารเอกสามร้อยขี่เกวียนคนละเล่ม มีทหารเลวตามเกวียนเล่มละสิบคน ทหารม้าสามร้อย ทหารเลวตามม้าละสิบคน เข้ากันเป็นทหารเอกหกร้อย ทหารเลวหกพัน ตั้งเป็นกระบวนทัพสรรพด้วยเครื่องศัสตราวุธพร้อมแล้ว เตงกุดแต่งตัวใส่เกราะถืออาวุธ ขึ้นขี่เกวียนเทียมด้วยม้า ยกทัพออกจากเมืองเตง ให้กองทัพหน้าตัดทางตรงไปเมืองหลวง เดินทางทั้งกลางวันกลางคืน ครั้นถึงด่านเมืองโกเก๋ง จึงให้ตั้งค่ายมั่นลงไว้
ฝ่ายชาเลเท เจ้าเมืองเกียงหยง ใช้ให้คนไปสืบราชการอยู่ ณ ด่าน ครั้นรู้ว่า เจ้าเมืองเตงยกทัพมา ก็ขึ้นม้ารีบเข้าไปแจ้งความแก่เจ้าเมืองเกียงหยงทุกประการ ชาเลเทได้แจ้งดังนั้น จึงสั่งพุดเตเตงกับบ้วนน้าให้คุมทหารไปซุ่มอยู่ที่ริมประตูชั้นนอก ถ้าทัพเมืองเตงทำลายประตูเมืองชั้นนอกเข้ามา จึงให้ตีม้าล่อกลองรบขึ้น ขับทหารตีตัดหลัง เราจะเปิดประตูชั้นกลางออกไปรบต้านหน้าไว้ จับตัวเตงกุดให้จงได้ ทหารทั้งสองรับคำไปทำตามสั่ง ชาเลเทจัดทหารพร้อมกันแล้ว ขึ้นไปแอบคอยฟังม้าล่ออยู่บนเชิงเทินชั้นกลาง
ฝ่ายเตงกุด ครั้นเวลาค่ำ จัดแจงทหารจะยกเข้าตีเมืองโกเก๋ง ก๋งจูเสงจึงห้ามเตงกุดว่า กองทัพเรายกมาทั้งกลางวันกลางคืนพึ่งมาถึง ทหารยังอิดโรยกำลังอยู่ จะรีบยกเข้าตีเมืองโกเก๋งนั้น เห็นจะเสียที ของดไว้ท่ากองทัพสามเมืองมาพร้อมกันก่อน จึงยกเข้าตีเมืองโกเก๋ง เห็นจะได้ชัยชนะโดยง่าย เตงกุดจึงว่า ซึ่งท่านว่าก็ชอบอยู่ แต่เราเห็นว่า ถ้างดกองทัพไว้หลายวัน เจ้าเมืองเกียงหยงรู้ ก็จะรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้มั่นคง เห็นเราจะทำยาก จำจะรีบยกเข้าตีเสียโดยเร็ว อย่าให้ทันรู้ตัว ก็คงจะได้ชัยชนะโดยง่ายเหมือนกัน ว่าแล้วเตงกุดแต่งตัวใส่เกราะขึ้นม้าถือทวน ยกทหารออกจากค่ายไปถึงเชิงกำแพงเมืองโกเก๋ง เห็นประตูเมืองปิดอยู่ ไม่ได้เห็นทหารรักษาหน้าที่เชิงเทิน จึงสั่งทหารให้ทำลายประตูเข้าไป
ฝ่ายพุดเตงกับบ้วนน้าซึ่งซุ่มอยู่นั้นเห็นทัพเตงกุดถลำเข้าไป ได้ทีก็ให้ตีม้าล่อและกลองซึกขับทหารออกสกัดทางไว้ ฝ่ายชาเลเทขึ้นแอบอยู่บนเชิงเทิน เห็นทหารสองนายออกสกัดทางไว้แล้ว ก็ลงจากเชิงเทิน ขึ้นม้าถือทวนพาทหารเปิดประตูเมืองชั้นกลางออกรบต้านทานทัพเตงกุดไว้ ทหารทั้งสองฝ่ายพุ่งศัสตราวุธยิงเกาทัณฑ์รบกันเป็นสามารถ พุดเตเตงกับบ้วนน้าก็ขับทหารตีกระหนาบหลัง เตงกุดตกอยู่ในกลางศึกกระหนาบ ทหารถูกอาวุธล้มตายเป็นอันมาก เห็นจะต้านทานไม่ได้ ก็ขับม้าฝ่าทหารพุดเตเตงออกมานอกเมือง เกียงหยงก็ไล่ติดตามฆ่าฟันทหารเตงกุดไปทางประมาณสามร้อยเจ็ดสิบเส้น ชาเลเทให้ตีม้าล่อเรียกทหาร เก็บได้เครื่องศัสตราวุธเป็นอันมาก แล้วคืนเข้าเมือง
ฝ่ายเตงกุดแตกหนีทหารเมืองเกียงหยงมาถึงตำบลเป๊กเอี๋ยง จึงหยุดตรวจทหารที่เหลือมาได้สองส่วน ตายในที่รบประมาณส่วนหนึ่ง เตงกุดเสียใจนัก จึงว่าแก่ก๋งจูเสงว่า เราเสียทีแก่ทหารเมืองเกียงหยงครั้งนี้ เพราะเราไม่เชื่อท่านห้ามปราม จึงได้อัปยศแก่ชาเลเท ท่านจะคิดอ่านประการใดเล่า ก๋งจูเสงจึงว่า บัดนี้ เราก็มาถึงตำบลเป๊กเอี๋ยงหนทางจะไปเมืองโอย จำเราจะไปพากองทัพเมืองโอยกลับมาช่วยกันเป็นสองทัพ ตีทัพเมืองเกียงหยง เห็นจะได้ชัยชนะ เตงกุดได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงขับม้าพาทหารเดินไปได้สองวัน พอได้ยินเสียงอื้ออึงมาข้างหน้า แลไปเห็นธงหน้าทัพจารึกอักษรว่า โอยฮาบุนก๋ง แปลว่า กองทัพเจ้าเมืองโอย เตงกุดก็ยินดี จึงหลีกเข้าข้างทาง พอเจ้าเมืองโอยมาถึง เตงกุดลงจากหลังม้าเข้าไปคำนับกีโห เจ้าเมืองโอย เจ้าเมืองโอยไม่รู้จักเตงกุด รับคำนับแล้วจึงถามว่า ท่านชื่อไร พาทหารมาตั้งอยู่ที่นี่จะไปไหน เตงกุดจึงบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อ เตงกุด เป็นเจ้าเมืองเตง บิดาข้าพเจ้าชื่อ เตงเป๊กอิว บัดนี้ เจ้าเมืองสินมีหนังสือบอกไปถึงข้าพเจ้าว่า ชาเลเท เจ้าเมืองเกียงหยง ยกทัพมาตีเมืองโกเก๋งได้ ฆ่าพระเจ้าอิวอ๋องเสีย ทั้งบิดาข้าพเจ้าก็ถูกเกาทัณฑ์ตาย ข้าพเจ้ายกมารบแก้แค้น ก็เสียทีแก่ทหารเมืองเกียงหยง ข้าพเจ้าจะไปเชิญท่านมาช่วยจับเจ้าเมืองเกียงหยงฆ่าเสีย พอพบกองทัพท่านยกมา ข้าพเจ้านี้ยินดีหาที่สุดมิได้ ดูท่านแก่ชราลงกว่าแต่ก่อน แต่รูปทรงยังสมบูรณ์งามดังเทวดา อายุท่านทุกวันนี้ประมาณสักเท่าใด กีโห เจ้าเมืองโอย จึงบอกว่า อายุเราได้แปดสิบห้าปีแล้ว แต่กำลังวังชายังปรกติอยู่ ซึ่งเมืองโกเก๋งเสียแก่ชาเลเทนั้น เจ้าเมืองสินก็มีหนังสือบอกไปถึงเรา กับเจ้าเมืองจิ้น เจ้าเมืองจี๋น เจ้าเมืองจิ้น เจ้าเมืองจี๋น แจ้งความแล้ว กองทัพเมืองจิ้นเมืองจี๋นก็จะยกตามมาข้างหลัง แล้วกีโหกับเตงกุดก็ยกทัพมาตั้งค่ายลงสองค่ายใกล้เมืองโกเก๋งทางสามร้อยเจ็ดสิบเส้น กีโหจึงให้ม้าเร็วไปสืบกองทัพเมืองจี๋น เมืองจิ้น ม้าเร็วก็ไปสืบได้ความแล้วกลับมาบอกกีโหว่า ทัพเมืองจิ้นยกมาตั้งค่ายอยู่ทิศเหนือ ทัพเมืองจี๋นนั้นตั้งค่ายอยู่ทิศตะวันตก ทั้งสองทัพตั้งค่ายห่างเมืองทางประมาณสองร้อยห้าสิบเส้น กีโหได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ จึงว่า เองไข เจ้าเมืองจี๋น ยกทัพมาช่วยเมืองหลวงครั้งนี้ เพราะบุญงีเป๊ก ไทจู๊ จะได้สืบเชื้อพระวงศ์ต่อไป
เตงกุดได้ฟังกีโหชมแต่เจ้าเมืองจี๋นก็น้อยใจ จึงถามกีโหว่า ท่านชมเจ้าเมืองจี๋นเมืองเดียว หัวเมืองทั้งปวงซึ่งยกมาครั้งนี้มิได้ยกความชอบนั้น ด้วยเหตุประการใด กีโหหัวเราะแล้วว่า ซึ่งเราชมเจ้าเมืองจี๋น เพราะเจ้าเมืองจี๋นกับเจ้าเมืองเกียงหยงเป็นข้าศึกกัน ทหารชาเลเทสู้ทหารเมืองจี๋นมิได้ อันเมืองจี๋นกับเมืองเกียงหยงอยู่ใกล้แดนกัน ทหารเมืองจี๋นก็รู้จักภาษาชาวเมืองเกียงหยง ซึ่งเจ้าเมืองจี๋นยกมาช่วยกำจัดเจ้าเมืองเกียงหยงครั้งนี้ เราเห็นว่า จะได้ชัยชำนะ
ขณะนั้น นายประตูเข้ามาบอกว่า เจ้าเมืองจิ้นกับเจ้าเมืองจี๋นจะมาคำนับ กีโหก็ให้ออกไปรับเข้ามาในค่าย เชิญให้นั่งที่สมควร ต่างคำนับกันตามธรรมเนียม เองไข เจ้าเมืองจี๋น กีสือ เจ้าเมืองจิ้น เห็นเตงกุดนุ่งขาวห่มขาว จึงถามกีโหว่า ผู้นี้ชื่ออะไร กีโหจึงบอกว่า ชื่อ เตงกุด บุตรเตงเป๊กอิว เองไข เจ้าเมืองจี๋น กับกีสือ เจ้าเมืองจิ้น ได้ฟังดังนั้น ต่างทักทายเตงกุด กีโหจึงว่า ทุกวันนี้ เราก็แก่ชรา สติปัญญาก็เคลิ้มเขลา ไม่ว่องไวเหมือนแต่ก่อน เราอุตส่าห์ยกทัพมาด้วยความกตัญญูต่อแผ่นดิน บัดนี้ กองทัพก็พร้อมแล้ว ท่านทั้งสองยังกำลังหนุ่ม ทั้งสติปัญญาก็เฉลียวฉลาด ช่วยกันยกเข้าตีทัพเมืองเกียงหยงเสียให้ได้โดยเร็ว ถ้าช้าถึงสองวัน เราเห็นว่า เจ้าเมืองเกียงหยงรู้ตัว ก็จะคิดจัดแจงรักษาเมืองไว้มั่นคง ภายหลังเราจะทำยาก ท่านจะเห็นประการใด เองไขจึงว่า ซึ่งท่านว่านี้ชอบนัก แต่ข้าพเจ้าแจ้งความอยู่ว่า น้ำใจชาเลเทเป็นคนโลภทรัพย์และเมามัวไปด้วยการอิสตรี เจ้าเมืองเกียงหยงได้นางโปซูเป็นภรรยา เห็นจะเพลิดเพลินไป หาคิดที่จะป้องกันรักษาชีวิตของตัวไม่ ข้าพเจ้าจะเขียนหนังสือผูกลูกเกาทัณฑ์ยิงเข้าไปในเมืองหลวงให้สินเฮาเปิดประตูเมืองรับ เวลาค่ำวันนี้ จะเข้าปล้นเมืองจับชาเลเทประหารชีวิตเสีย ท่านจะเห็นประการใด กีโหเห็นชอบด้วย จึงเกณฑ์ให้กีสือไปคอยประตูด้านเหนือ ให้เองไขไปคอยประตูด้านตะวันออก เราจะเข้าประตูด้านใต้ ให้เตงกุดไปคอยที่ช่องแคบข้างทิศตะวันตก เวลาสามยาม เราจะจุดประทัดสัญญา ให้เข้าเมืองพร้อมกันทั้งสามด้าน ถ้าชาเลเทเสียทีหนีไปทิศตะวันตกถึงที่ช่องแคบแล้ว ให้เตงกุดขับทหารออกจับฆ่าเสียให้สิ้น ครั้นเวลาเย็นลง ต่างคนก็ไปตามกีโหสั่ง
ฝ่ายสินเฮาตั้งอยู่ในเมืองหลวงข้างทิศตะวันออก แจ้งว่า เจ้าเมืองเตงยกมาเสียทีแก่ทหารเมืองเกียงหยง ก็เสียใจนัก จึงให้ทหารขึ้นหอคอยคอยดูกองทัพหัวเมืองมิได้ขาด พอตะวันยอแสง มีผู้ได้หนังสือเองไขผูกลูกเกาทัณฑ์ยิงเข้ามาในเมืองไปส่งให้สินเฮา สินเฮาอ่านแจ้งความแล้วก็ดีใจ จึงบอกจิวก๋งว่า กองทัพหัวเมืองยกมาจะปล้นเมืองจับเจ้าเมืองเกียงหยงในค่ำวันนี้ ท่านจงพาพวกทหารเราไปปลอมทหารเกียงหยงอยู่ที่ประตูเมืองทั้งสี่ด้าน เราจะเข้าไปพูดล่อลวงให้เจ้าเมืองเกียงหยงขนทรัพย์สิ่งของเปิดประตูเมืองหนี ถ้าเจ้าเมืองเกียงหยงจะคิดอ่านต่อสู้ ไม่หนีจากเมืองหลวง เวลาค่ำลง ท่านจงคอยฟังเสียงประทัดนอกเมือง ถ้าได้ยินประทัดสัญญาแล้ว จงเปิดประตูทั้งสี่ด้านรับกองทัพหัวเมืองเข้ามา จะได้ช่วยกันจับเจ้าเมืองเกียงหยงฆ่าเสีย จิวก๋งก็รับคำ แล้วไปจัดทหารให้ไปปลอมทหารเมืองเกียงหยงอยู่ทุกประตูเมืองตามสินเฮาสั่ง
สินเฮาจึงเข้าไปหาเจ้าเมืองเกียงหยงแล้วบอกว่า บัดนี้ กองทัพเมืองจิ้นและหัวเมืองทั้งปวงยกมาเป็นสามารถหลายเมืองแล้ว ท่านจะต้องการทรัพย์ข้าวของสิ่งใด ก็เร่งขนไปเสียในเวลากลางคืนวันนี้ ถ้าช้าอยู่จนรุ่งเช้า หัวเมืองทั้งปวงจะยกเข้าล้อมเมืองโกเก๋งไว้ เห็นจะออกยาก จะต้องรบพุ่งกันจนสิ้นฝีมือ ถ้าเสียทีแก่หัวเมืองทั้งปวง ท่านจะเสียประโยชน์หลายประการ
เจ้าเมืองเกียงหยงได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงว่า เราอยู่ทั้งนี้จะปรารถนาครองเมืองก็หามิได้ เราจะต้องการแต่ผู้หญิงรูปงามกับทรัพย์เงินทองสิ่งของทั้งปวง ท่านจงอยู่รับกองทัพหัวเมืองเถิด เราจะไปในเวลาวันนี้แล้ว เจ้าเมืองเกียงหยงจึงสั่งพุดเตเตงกับบ้วนน้าว่า ท่านจงขนทรัพย์สิ่งของทองเงินกับนางสนมซึ่งนางโปซูเลือกสรรไว้นั้นบรรทุกเกวียนไว้ให้พร้อม เราจะหนีกองทัพหัวเมืองไปในเวลาค่ำวันนี้
นายทหารทั้งสองรับคำแล้วลาออกมาขนของบรรทุกเกวียนไว้ตามเจ้าเมืองเกียงหยงสั่ง ครั้งนั้น พวกทหารชาเลเทได้ผู้หญิงชาวเมืองหลวงเป็นภรรยาคนละคนบ้างสองคนบ้าง ครั้นรู้ว่า นายจะล่าทัพ ก็จัดแจงเกวียนบรรทุกข้าวของอยู่วุ่นวาย ครั้นเวลาค่ำ พุดเตเตงกับบ้วนน้าก็ให้เปิดประตูเมืองทั้งสี่ทิศ ขับเกวียนอพยพครอบครัวออกจากเมือง
ฝ่ายเองไข กีโห กีสือ ซึ่งซุ่มทัพอยู่ประตูเมือง ครั้นเห็นทหารเกียงหยงเปิดประตูขับเกวียนออกมาดังนั้น กีโหได้ที ก็ให้จุดประทัดสัญญา ทหารหัวเมืองทั้งสามเมืองก็ตีกลองศึกอื้ออึงขึ้น แล้วไล่ฆ่าฟันทหารเกียงหยงเข้ามาในประตูเมืองทั้งสามด้าน พุดเตเตงกับบ้วนน้าจะต้านทานมิได้ ก็ขับม้าฝ่าทหารหนีเอาชีวิตรอด กองทัพหัวเมืองก็ไล่ฆ่าฟันทหารเกียงหยงเข้ามาถึงประตูวัง
ขณะนั้น เจ้าเมืองเกียงหยงได้ยินทหารอื้ออึง รู้ว่า ทัพหัวเมืองเข้าเมืองได้ ก็ตกใจ มิทันใส่เกราะ ฉวยได้ทวนขึ้นหลังม้าพาทหารประมาณร้อยเศษออกจากวังหนีไปทางประตูตะวันตก ขณะนั้น นางโปซูตกใจวิ่งเสือกสนอยู่ในวัง ครั้นจะตามเกียงหยงไป ก็กลัวทัพหัวเมืองจะจับตัวได้ จึงคิดแต่ในใจว่า พระเจ้าอิวอ๋องก็ตายแล้ว เกียงหยงก็ทิ้งเสียฉะนี้ เราจะครองชีวิตไว้ ถ้างีเป๊กได้เป็นเจ้า มารดางีเป๊กกับงีเป๊กพยาบาท จะทำโทษเราถึงสาหัส จะฆ่าตัวให้ตายเสียดีกว่า คิดแล้วนางโปซูก็ผูกคอตายในเวลากลางคืนวันนั้น
ฝ่ายเจ้าเมืองเกียงหยงขับม้าพาทหารหนีมา จะไปทางเหนือทางใต้ก็มิได้ เห็นแต่ทหารหัวเมืองอยู่แน่นไปทุกทิศ ก็ขับม้าเข้ารบรอหาที่ช่องจะออก พอเห็นทหารเมืองจิ้นจุดคบเพลิงสว่างขึ้น เจ้าเมืองเกียงหยงตกใจนัก ก็ขับม้าฝ่าทหารหนีไปทางตะวันตก พบเตงกุดยืนม้าอยู่กลางทาง เตงกุดขับม้ารำทวนเข้ารบ เจ้าเมืองเกียงหยงรบกับเตงกุดอยู่กลางแปลง เห็นกองทัพเมืองจิ้นใกล้เข้ามา ก็ขับม้าฝ่าทหารเมืองเตงหนีไป เตงกุด เองไข ก็ขับม้าพาทหารไล่ติดตามไปทางประมาณหกร้อยยี่สิบห้าเส้น เป็นเวลาดึก มืดนัก จะตามต่อไปมิได้ ก็พากันกลับมาเก็บทรัพย์สิ่งของซึ่งทหารเกียงหยงทิ้งไว้ตกเรี่ยรายอยู่เป็นอันมาก จนเวลารุ่งสว่าง
เจ้าเมืองโอย เจ้าเมืองเตง เจ้าเมืองจิ้น เจ้าเมืองจี๋น ก็ให้ทหารขนทรัพย์สิ่งของทองเงินซึ่งเป็นของหลวงและนางสนมกำนัลเข้าไปส่งสินเฮา สินเฮาก็มอบให้ชาวพระคลังรักษาไว้ตามที่แล้ว ส่งนางสนมทั้งปวงเข้าไปในวัง สินเฮาจึงเชิญเจ้าเมืองทั้งสี่เข้ามาที่อยู่ ต่างคนคำนับกันแล้ว สินเฮาจึงสั่งเจ้าพนักงานให้แต่งโต๊ะเลี้ยง กีโหจึงว่า เมืองหลวงยังหาเจ้ามิได้ จะพากันมานั่งกินโต๊ะอยู่ ไม่คิดอ่านที่จะไปเชิญไทจู๊มาเป็นเจ้านั้นไม่ควร บัดนี้ เรากำจัดชาเลเทได้แล้ว ชอบให้ไปเชิญงีเป๊กมาครองราชสมบัติสืบเชื้อพระวงศ์บำรุงราษฎรให้เป็นสุข แล้วเราจึงนั่งกินโต๊ะเสพสุราลงคอ เจ้าเมืองเตงได้ฟังก็เห็นชอบด้วย จึงว่า ข้าพเจ้ายังหามีความชอบในไทจู๊ไม่ จะขอไปเชิญเสด็จไทจู๊มาครองสมบัติเป็นความชอบของข้าพเจ้าไว้ ขอท่านทั้งสี่จงกรุณาช่วยทำนุบำรุงให้ข้าพเจ้าเป็นขุนนางแทนบิดาสืบไป เจ้าเมืองทั้งสี่จึงว่า ท่านอย่าวิตกเลย เราจะช่วยทูลเสนอให้ท่านได้เป็นขุนนางแทนบิดา ซึ่งท่านจะไปเชิญเสด็จไทจู๊มาครั้งนี้ เราทั้งสี่เมืองจะเกณฑ์ทหารให้ไปด้วย เจ้าเมืองเตงจึงตอบว่า แต่พวกทหารของข้าพเจ้าก็พอจะไปเชิญเสด็จไทจู๊ได้มิให้เป็นอันตราย ท่านอย่าวิตกเลย เจ้าเมืองเตงก็คำนับลาออกมาจัดแจงทหารเกวียนทหารม้ายกออกจากเมืองไปเมืองสิน
ฝ่ายงีเป๊กอยู่เมืองสิน ตั้งแต่สินเฮาผู้ตากับเจ้าเมืองเกียงหยงยกทัพไปตีเมืองหลวง มิได้รู้ว่าดีและร้ายประการใด งีเป๊กเป็นทุกข์ใจนัก คอยฟังข่าวอยู่ทุกวันมิได้ขาด ครั้นเตงกุดไปถึงเมืองสิน นายประตูเข้ามาบอกงีเป๊กว่า เจ้าเมืองเตงมาแต่เมืองหลวง จะเข้ามาคำนับท่าน งีเป๊กจึงสั่งให้ขุนนางออกไปรับเจ้าเมืองเข้ามา เตงกุดคำนับงีเป๊กแล้วบอกว่า ชาเลเท เจ้าเมืองเกียงหยง ยกทัพมาตีเมืองหลวงได้ จับพระเจ้าอิวอ๋องฆ่าเสีย เจ้าเมืองสินมีหนังสือไปถึงเมืองโอยซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์กับหัวเมืองทั้งสามยกมากำจัดเจ้าเมืองเกียงหยงเสียได้แล้ว กีโหให้ข้าพเจ้ามาเชิญพระองค์เสด็จไปครองเมืองหลวง งีเป๊กแจ้งว่า เจ้าเมืองเกียงหยงฆ่าพระบิดาเสียดังนั้น ก็ร้องไห้แค้นใจว่า มิได้ไปช่วยบิดาทำการศึก จึงลุกขึ้นจะเอาศีรษะโดนเสาเสียให้ตาย เตงกุดก็เข้ากอดงีเป๊กไว้ แล้วว่า จักได้เป็นกษัตริย์อยู่แล้ว จะมาทำดังนี้หาควรไม่ ราษฎรและหัวเมืองทั้งปวงจะพึ่งบุญผู้ใด งีเป๊กได้ฟังดังนั้นก็ได้สติทรุดนั่งลง ขุนนางทั้งปวงต่างคนว่ากล่าวเอาใจงีเป๊กให้บรรเทาที่ความโศกแล้ว เจ้าเมืองเตงก็จัดทหารคู่แห่ เตรียมรถและเครื่องสูงสำหรับกษัตริย์เสร็จแล้ว ครั้นถึงวันฤกษ์ดี ก็เชิญงีเป๊กขึ้นทรงรถ ตีม้าล่อฆ้องกลอง ทหารแห่ออกจากเมืองสิน เดินตามระยะทางไปเมืองหลวง
ฝ่ายกีโห กับเองไข กีสือ และขุนนางทั้งปวง ก็รู้ว่า งีเป๊กมาจะใกล้ถึงเมืองหลวง ก็ชวนกันไปคอยรับเสด็จทางไกลประมาณสามร้อยเจ็ดสิบห้าเส้น พอรถงีเป๊กมาถึง ต่างคนต่างคำนับ แล้วเชิญงีเป๊กเข้าในเมืองหลวง งีเป๊กเห็นตึกกว้านบ้านขุนนางเพลิงไหม้ ถิ่นฐานที่เคยสนุกสบายก็ร่วงโรยไปสิ้นทุกแห่ง งีเป๊กกลั้นความโศกมิได้ ก็ร้องไห้รักพระบิดา จนมาถึงเกย จึงลงจากรถเข้าไปคำนับสินเฮา ณ ที่ออกขุนนาง ขุนนางทั้งปวงก็คำนับงีเป๊กพร้อมกัน แล้วงีเป๊กเข้าไปในวัง คำนับนางสินฮองฮอผู้มารดา ต่างร้องไห้เล่าซึ่งความทุกข์ยากแต่หลังทุกประการ
ขณะนั้น สินเฮาจึงให้จิวก๋งไปจัดแจงตำหนักและที่บรรทมซึ่งชำรุดให้งามบริบูรณ์ขึ้นดังเก่า ครั้นถึงวันฤกษ์ดี กีโหกับสินเฮาก็ตั้งเครื่องบวงสรวงเทวดาซึ่งตั้งแผ่นดินและแผ่นฟ้า จุดธูปเทียนบูชาพระมหากษัตริย์ ณ หอไทเบี้ยว แล้วยกงีเป๊กขึ้นเสวยราชสมบัติ ทรงพระนาม พระเจ้าเป๊งอ๋อง ครองเมืองโกเก๋ง
วันหนึ่ง พระเจ้าเป๊งอ๋องเสด็จออกว่าราชการ ขุนนางเฝ้าพร้อมกัน ตรัสยกความชอบสินเฮาว่า ได้ช่วยคิดอ่านกำจัดชาเลเทเสียได้ จะให้เป็นที่สินก๋ง คำไทยว่า เจ้าพระยา สินเฮาจึงทูลว่า เดิมข้าพเจ้าเห็นว่า เมืองหลวงไม่เป็นยุติธรรม ราษฎรได้ความเดือดร้อน จึงพากองทัพชาเลเทมาตีเมืองหลวง เจ้าเมืองเกียงหยงจึงได้ทำประทาร้ายแก่พระเจ้าจิวอ๋องจนบ้านเมืองเกิดจลาจล โทษข้าพเจ้าครั้งนี้ถึงตาย ซึ่งหัวเมืองทั้งสี่ยกมาช่วยกำจัดเจ้าเมืองเกียงหยงเสียได้ครั้งนี้ เพราะบุญของพระองค์ที่จะได้ครองราชสมบัติบำรุงแผ่นดินต่อไป และจะยกข้าพเจ้าว่า มีความชอบ ให้เป็นที่สินก๋งนั้น ข้าพเจ้าเห็นไม่ชอบ พระเจ้าเป๊งอ๋องจึงตรัสว่า ซึ่งเจ้าเมืองเกียงหยงฆ่าพระบิดาหลานเสียครั้งนี้ ก็เพราะบุญบิดาสิ้นแล้ว จึงบันดาลให้เป็นเหตุต่าง ๆ จนถึงสวรรคต และท่านคิดอ่านมีหนังสือไปถึงหัวเมืองทั้งสามให้มากำจัดเจ้าเมืองเกียงหยงเสียได้นั้น ท่านมีความชอบเป็นอันมาก สมควรเป็นที่สินก๋ง แล้วพระเจ้าเป๊งอ๋องตั้งกีโหเป็นที่โอยก๋ง ให้เองไข เจ้าเมืองจี๋น เป็นที่จี๋นก๋ง ให้กีสือ เจ้าเมืองจิ้น เป็นที่จิ้นก๋ง แล้วแบ่งหัวเมืองน้อยให้เป็นส่วยขึ้นแก่เจ้าเมืองทั้งสามมากกว่าแต่ก่อน แล้วให้จิ้นก๋งเป็นที่ไทจู๊ ขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายพลเรือน แต่กีโหซึ่งเป็นโอยก๋ง เจ้าเมืองโอยนั้น ให้ว่าที่ไตสุมาเตา ขุนนางผู้ใหญ่ได้บังคับฝ่ายทหารด้วย สินเฮาจึงทูลว่า เตงกุด เจ้าเมืองเตง บุตรเตงเป๊กอิวคนนี้ มีความชอบมากอยู่ ขอให้เป็นที่แทนเตงเป๊กอิวผู้บิดา จะยกนางเกียงฮูหยินผู้น้องสินฮองฮอให้อยู่กินกับเตงกุด พระเจ้าเป๊งอ๋องก็เห็นด้วย จึงตรัสว่า ตามแต่ท่านจะจัดแจงเถิด สินก๋งกับจี๋นก๋งครั้นพระเจ้าเบ๋งอ๋องจัดแจงตั้งขุนนางตามตำแหน่งเสร็จแล้วจึงทูลว่า เจ้าเมืองเกียงหยงเสียทหารเป็นแนมาก ตัวหนีไปได้ ครั้งนี้เห็นจะคิดพยาบาท เกลือกจะยกกองทัพมาย่ำยีหัวเมืองปลายแดนเมืองสินกับเมืองจี๋น ด้วยอยู่ใกลกันกับเมืองเกียงหยง จะไว้มิได้ ข้าพเจ้าทั้งสองจะทูลลาไปจัดแจงบ้านเมืองคอยรับทัพเกียงหยงมิให้ล่วงแดนเข้ามาได้ พระเจ้าเบ๊กอ๋องก็เห็นชอบด้วย จึงพระราชทานเครื่องยศสำหรับที่ตามตำแหน่ง แล้วโปรดให้กลับไปเมือง สินก๋งกับจี๋นก๋งก็คำนับลาออกมาจัดแจงทแกล้วทหาร พร้อมแล้วต่างยกแยกกันกลับไปเมือง
ฝ่ายเจ้าเมืองเกียงหยง ขณะเมื่อหนีกองทัพหัวเมืองมาถึงเมืองเกียงหยง เสียทหารเป็นอันมาก มีความพยาบาทนัก พักทหารอยู่ประมาณสามเดือน จึงจัดกองทัพใหญ่ยกมาตีเมืองเล็กน้อยซึ่งขึ้นแก่เมืองโกเก๋งแตกหนี เก็บเอาเครื่องศัสตราวุธเสบียงอาหาร มาตั้งค่ายอยู่ตำบลกีหงปลายแดนเมืองโกเก๋ง หัวเมืองด่านก็บอกหนังสือให้ม้าใช้มาแจ้งข้อราชการแก่ขุนนางผู้ใหญ่ ณ เมืองหลวงให้กราบทูลพระเจ้าเป๊งอ๋อง พระเจ้าเป๊งอ๋องแจ้งดังนั้นจึงตรัสว่า เราพึ่งได้ว่าราชการบ้านเมืองสักปีเศษ ฉางข้าวและคลังทรัพย์สิ่งของก็ฉิบหายด้วยเพลิงเป็นอันมาก หาบริบูรณ์ไม่ ครั้นจะได้ปลูกสร้างขึ้นใหม่ให้เหมือนแต่ก่อนอีกเล่า ก็จะลำบากแก่ไพร่บ้านพลเมืองทั้งปวง บัดนี้ ชาเลเท เจ้าเมืองเกียงหยง ก็ยกทัพเหยียบแดนเข้ามา ครั้นจะจัดแจงทหารไปสู้รบเล่า ก็ขัดขวางด้วยเสบียงอาหาร เพราะบ้านเมืองยังไม่บริบูรณ์ ครั้งพระเจ้าเซงอ๋อง ผู้เป็นพระเจ้าปู่ทวดของเรา สร้างเมืองโกเก๋งนี้ไว้เป็นเมืองหลวง แล้วไปสร้างเมืองลกอีบ ฝ่ายตะวันออกไว้เหมือนเมืองหลวงอีกเมืองหนึ่งนั้น ด้วยเหตุประการใด
ฝ่ายขุนนางผู้เฒ่าซึ่งได้รู้เรื่องจดหมายเหตุมาแต่ก่อนจึงทูลว่า ตำบลที่ลกอีบนั้นเป็นที่กลางแผ่นดิน ครั้งแผ่นดินพระเจ้าเซงอ๋อง อัยกาของพระองค์ ได้ครองราชสมบัตินั้น ให้จิวก๋งซึ่งเป็นปู่ทวดของท่านจิวก๋งไปสร้างเมืงลกอีบ มีตำหนักและพระที่นั่งใหญ่น้อยสำหรับพระมหากษัตริย์ ทั้งตึกกว้านบ้านขุนนางที่สนุกสบายเหมือนเมืองหลวง สำหรับเป็นที่เสด็จออกรับคำนับขุนนางและหัวเมืองมาเฝ้าทำขวัญวันประสูติ พระเจ้าเป๊งอ๋องได้ฟังจึงตรัสว่า เมืองโกเก๋งก็เกิดอันตราย เพราะเจ้าเมืองเกียงหยงมาจุดเผาเสียยับเยิน หาบริบูรณ์ไม่ เราคิดว่า จะยกไปอยู่ลกอีบ ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด จิวก๋งกับขุนนางทั้งปวงจึงทูลว่า ซึ่งพระองค์จะยกไปอยู่เมืองลกอีบนั้น ข้าพเจ้าเห็นด้วย พระเจ้าเป๊งอ๋องได้ฟังขุนนางทูลดังนั้น มิได้ตรัสประการใด ทอดพระเนตรเห็นกีโห เจ้าเมืองโอย ซึ่งเป็นไตสุมาเตานั้น ถอนใจใหญ่แล้วคำนับนิ่งอยู่ จึงตรัสถามกีโหว่า เราจะยกไปอยู่ลกอีบ ขุนนางทั้งปวงก็เห็นพร้อมกันแล้ว ท่านไม่ว่าประการใด นั่งถอนใจใหญ่อยู่ฉะนี้ ท่านเห็นเหตุขัดขวางประการใดหรือ กีโหจึงทูลว่า ขุนนางทั้งปวงยอมให้พระองค์ไปอยู่ลกอีบสิ้นด้วยกัน ข้าพเจ้าจะว่ากล่าวทัดทานขึ้น ก็จะเป็นที่เคืองใจ จะนินทาว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ ไม่มีอัธยาศัย มิรู้ที่จะไว้ตัว จึงถอนใจใหญ่ ไม่ทัดทาน ครั้นพระองค์ตรัสถาม จะมิทูลโดยความจริงเล่า ก็เป็นคนไม่ซื่อตรงต่อแผ่นดิน ข้าพเจ้าเห็นว่า เมืองโกเก๋งนี้ พระมหากษัตริย์ผู้มีบุญญาธิการแต่ก่อนตั้งเป็นเมืองหลวง ด้วยถิ่นฐานที่ทำมาหากินมาก อาณาประชาราษฎรไม่ขัดสน ด้วยไร่นาอุดม ทั้งข้าวปลาอาหารบริบูรณ์ มีภูเขาเป็นด่านทางช่องแคบ จะสู้รบกับข้าศึกศัตรูก็มั่นคงทั้งสี่ทิศ อันเมืองลกอีบนั้นเป็นที่ซุ่มทัพวางทหารสำหรับข้าศึก หามั่นคงไม่ พระเจ้าเซงอ๋องให้สร้างเมืองลกอีบไว้เป็นเมืองสำหรับเสด็จออกให้หัวเมืองเฝ้าวันประสูตินั้น หวังมิให้หัวเมืองทั้งปวงเข้ามาเห็นด่านทางเมืองหลวง ซึ่งพระองค์วิตกด้วยจะปลูกสร้างพระนครใหม่ขัด ด้วยเงินทองในท้องพระคลังยังไม่บริบูรณ์ เพราะอาณาประชาราษรก็ร่วงโรย ส่วยสาอากรก็น้อยไปนั้น ก็ชอบอยู่ แต่ข้าพเจ้าเห็นว่า ถ้าพระองค์ตั้งอยู่ในยุติธรรม มีพระทัยโอบอ้อมอารีแก่ขุนนางและไพร่ให้อยู่เย็นเป็นสุข และราษฎรซึ่งแตกตื่นไปบ้านเมืองป่าเมืองไกลนั้น ก็จะชักชวนกันมาตั้งทำมาหากินตามภูมิลำเนา ส่วยสาอากรก็ทวีมากขึ้นทุกปี จึงค่อยปลูกสร้างรั้ววังให้บริบูรณ์ขึ้นเหมือนแต่ก่อน ก็จะได้
พระเจ้าเป๊งอ๋องจึงตรัสว่า ท่านว่านี้ก็ชอบอยู่ แต่บัดนี้ กองทัพชาเลเทเหยียบแดนเข้ามา ชาวเมืองทุกวันนี้กลัวเจ้าเมืองเกียงหยงเหมือนดังฝูงเนื้ออันกลัวเสือ คิดแต่จะหนี ไม่คิดต่อสู้ ถ้ากองทัพเมืองเกียงหยงยกมาตีเมืองสินได้ ก็คงจะกระทำแก่เมืองหลวงเป็นมั่นคง จำจะอพยพยักย้ายไปเสียจากเมือง จึงจะพ้น พระเจ้าเป๊งอ๋องจึงสั่งให้ป่าวร้องราษฎณให้รู้ทั่วกันว่า จะอพยพหนีกองทัพเมืองเกียงหยงไปอยู่เมืองลกอีบ ครั้นถึงวันฤกษ์ดี พระเจ้าเป๊งอ๋องก็เชิญรูปพระมหากษัตริย์ทั้งเจ็ดพระองค์ซึ่งทำไว้บูชา ณ หอไทเบี้ยวขึ้นทรงรถรถหนึ่ง นางสินไทฮอผู้มารดาขึ้นทรงรถรถหนึ่ง พระเจ้าเป๊งอ๋องขึ้นทรงรถรถหนึ่ง นางสนมฝ่ายในขี่เกวียนเป็นอันมาก ให้ขนทรัพย์สิ่งของในคลังบรรทุกเกวียนยกออกจากเมืองโกเก๋ง ขุนนางและราษฎรทั้งปวงก็อพยพตามเสด็จพระเจ้าเป๊งอ๋องไปเมืองลกอีบ พระเจ้าเป๊งอ๋องตั้งเมืองหลวงอยู่ลกอีบเป็นเมืองข้างฝ่ายทิศตะวันออก
ฝ่ายขุนนางผู้เฒ่าพูดกันว่า ครั้นพระเจ้าชวนอ๋องยังมีพระชนม์อยู่นั้น ทรงพระสุบินว่า มีอิสตรีผู้หนึ่งเข้ามาหน้าที่นั่ง หัวเราะก่อนแล้วจึงร้องไห้ แล้วพารูปพระมหากษัตริย์ทั้งเจ็ดพระองค์ไปข้างทิศตะวันออก ครั้นพิเคราะห์ความแต่ครั้งพระเจ้าอิวอ๋องกับนางโปซู พระเจ้าอิวอ๋องให้จุดเอียนตุนจะให้นางโปซูหัวเราะ ทีหลังเจ้าเมืองเกียงหยงยกเข้ามาตีเมืองหลวงได้ จุดเผาบ้านเมืองเสีย หญิงชายชาวเมืองได้ความทุกข์ร้อนเป็นอันมาก ข้อซึ่งทรงพระสุบินว่า หญิงนั้นพารูปพระมหากษัตริย์ทั้งเจ็ดพระองค์มาข้างตะวันออก ก็ได้แก่พระเจ้าเป๊งอ๋องย้ายมาอยู่ลกอีบนี้ อันพระเจ้าชวนอ๋องทรงพระสุบินนั้นเป็นการแผ่นดิน เปกเอียงอูทำนายไว้สมสิ้นทุกประการ
ฝ่ายพระเจ้าเป๊งอ๋องเสด็จอยู่ลกอีบแล้ว ให้ประชุมขุนนาง แปลงชื่อเมืองลกอีบให้ชื่อ เมืองตังจัว เมืองตังจิวบริบูรณ์ด้วยทแกล้วทหาร อาณาประชาราษฎรก็มั่นคง พระเจ้าเป๊งอ๋องก็ค่อยสบายพระทัย ไม่คิดวิตกที่จะสร้างบ้านเมืองต่อไปอีก