หน้า ๑–๒๓ สารบัญ
เดิมจะมีเรื่องไซอิ๋วนี้ ตั้งแต่ครั้งพงศาวดารเรื่องซุยถังมีความว่า พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ คือ พระนามเดิมชื่อ หลีซิบิ๋น ได้เป็นกระษัตริย์สืบวงศ์ถังเสวยราชสมบัติในเมืองถังเป็นสุขแล้ว
ครั้นอยู่มาในราตรีวันหนึ่ง พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้พระองค์เสด็จเข้าที่พระบรรทมหลับสนิท ทรงพระสุบินนิมิตฝันไปว่า มีพระยานาคราชตนหนึ่งมาอ้อนวอนขอให้พระองค์ช่วยชีวิตไว้โดยเหตุว่า พระยานาคนั้นเป็นพนักงานให้น้ำฝน พระยานาคได้กระทำให้ฝนตกลงมาในมนุษยโลกมากเกินกว่ากำหนดไป เง็กเซียงฮ่องเต้ คือ พระอิศวร ทรงพระพิโรธกริ้วพระยานาค มีรับสั่งให้งุยเต็งซึ่งเป็นขุนนางของพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เป็นเพชฌฆาตผู้ฆ่าพระยานาคซึ่งเป็นผู้มีความผิด พระยานาครู้ว่า งุยเต็งเป็นขุนนางในพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ จึงได้มาเข้าฝันขอให้พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ช่วยว่ากล่าวงุยเต็งขอชีวิตไว้
ครั้นพระองค์ทรงฟื้นจากที่พระบรรทมแล้ว จึงรับสั่งให้หางุยเต็งเข้ามาเฝ้า ทรงชวนงุยเต็งเล่นหมากรุก โดยมีพระราชประสงค์จะมิให้งุยเต็งไปฆ่าพระยานาคได้ตามกำหนด
ครั้นงุยเต็งเล่นหมากรุกอยู่ด้วยพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้มากหลายกระดานเข้า หาวนอนก็เคลิ้มสติหลับไปหน่อยหนึ่ง จึงร้องขึ้นว่า ซัว แปลเป็นภาษาไทยว่า ฆ่า แล้วก็ได้สติสะดุ้งตื่น เลยเล่นหมากรุกแก่พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ต่อไป
ส่วนพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เมื่อพระองค์ได้ทรงฟังงุยเต็งร้องขึ้นว่า ซัว แล้วก็เล่นหมากรุกต่อไปฉะนั้น จึงรับสั่งถามงุยเต็งว่า เมื่อตะกี้ท่านว่ากระไร
งุยเต็งจึงกราบทูลว่า มีรับสั่งเง็กเซียงฮ่องเต้ให้ข้าพระพุทธเจ้าประหารชีวิตเล่งอ๋องคือพระยานาคซึ่งมีความผิดได้ให้น้ำฝนเกินกว่ากำหนดที่เง็กเซียงฮ่องเต้กำหนดไป
พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ทรงทราบดังนั้นก็ทรงเสียพระทัยที่มิได้ทรงทราบว่า งุยเต็งจะไปประหารชีวิตพระยานาคได้ด้วยวิญญาณ ทรงเข้าพระทัยว่า งุยเต็งจะไปฆ่าพระยานาคพร้อมด้วยร่างกายแลวิญญาณ จึงได้ทรงชวนงุยเต็งให้มาเล่นหมากรุกอยู่เสียกับพระองค์
งุยเต็งผู้นี้ถ้าเวลากลางวันก็รับราชการอยู่ในเมืองมนุษย์ ครั้นเวลาราตรีกลางคืนก็ไปรับราชการฆ่าสัตว์อยู่ในเมืองนรกตามหน้าที่ของตนที่เป็นเพชฌฆาตในเมืองนรก
ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้พระองค์ประชวรพระโรคลมสลบแน่นิ่งไปช้านาน ครั้นเจ้าพนักงานแพทย์พยาบาลพระองค์ทรงฟื้นคืนมีพระสติขึ้นได้แล้ว ก็ทรงพระราชดำริแต่ในการพระราชกุศลอันเป็นเหตุที่จะให้เป็นอุปนิสัยปัจจัยแก่พระองค์ไปในปรโลกเบื้องหน้าต่อไป จึงมีรับสั่งให้ราชบุรุษไปอาราธนาพระถังซัมจั๋งเข้ามาเฝ้าในพระราชวัง ทรงพระปรารภรับสั่งแก่พระถังซัมจั๋งเพื่อให้ไปเรียนพระพุทธศาสนาในลังกาทวีปฝ่ายทิศตะวันตก ซึ่งเป็นประเทศต่อเมืองแก่มัชฌิมประเทศอันเป็นประเทศที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาบังเกิด คือ ประเทศฮินดูในทุกวันนี้อันคนโบราณทั้งหลายเรียกว่าชมพูทวีปมาแต่ก่อน
จึงพระถังซัมจั๋งได้รับอาสาไปเรียนพระพุทธศาสนาในชมพูทวีป คือ ทิศตะวันตกที่เกาะลังกาสิงในกาลทุกวันนี้ แลไปได้ศิษย์วิเศษผู้หนึ่งชื่อ เกาซือเทียน คือ หงอคง ภาษาไทยว่า หนุมานจีน
ต่อไปนี้จะได้กล่าวตามเรื่องประวัติของเกาซือเทียนคือหงอคงซึ่งเป็นลิงเผือก ท่านผู้อ่านผู้ฟังจะได้ทราบเรื่องเบื้องต้นอันเป็นประวัติของหงอคงหนุมานจีนดังจะได้กล่าวต่อไปนี้โดยพิสดาร
เดิมฟ้าแลดินชลในอากาศวิถีมีดาว เดือน ตะวัน พระจันทร์ พระอาทิตย์ แลมีธาตุเครื่องคุมต่าง ๆ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ แลภูเขา กรวด ทราย ศิลา แม่น้ำ ลำธาร ห้วย หนอง ต้นไม้ ใบหญ้า ลดาวัลย์ แลมีจักรวาล แลทวีปน้อยใหญ่ คือ ทวีปบูรพาทางทิศตะวันออก แลทวีปประจิมทิศตะวันตก แลทวีปอุดรทิศเหนือ แลทวีปทักษิณทิศใต้
แต่ในเรื่องไซอิ๋วนี้ได้กล่าวแต่ฝ่ายทิศบูรพาข้างตะวันออกก่อนว่า ริมฝั่งชายทะเลตะวันออกมีเมืองอยู่เมืองหนึ่งชื่อว่า เมืองเง่าล่ายก๊ก ในทะเลมีเกาะมีภูเขาสูงชื่อว่า ฮวยก๊วยซัว ภูเขานี้เป็นต้นเหตุของนานาทวีปแลเป็นที่อาศัยของพระยานาคราชทั้งหลาย บนยอดเขามีก้อนศิลาเรียกว่า เจียเซียน แปลเป็นภาษาไทยว่า ศิลาเทวดา สูงประมาณสามวา สองศอก ห้าองคุลี วัดอ้อมรอบโตประมาณสามวา ที่บนยอดศิลามีช่องเล็ก ๆ อยู่เก้าช่อง ได้รับเอาแสงพระอาทิตย์ พระจันทร์ แลอากาศธาตุ ฤดูต่าง ๆ ก็เกิดเป็นกายสิทธิ์ปรากฏขึ้นเป็นวานร คือ ลิงหิน มีมือ แลเท้า ศีรษะอันบริบูรณ์ ก็สำแดงกิริยาไหวกระดิก นั่ง ยืน เดิน กระโดด โลดโผนได้ต่าง ๆ มีนัยน์ตาเป็นแสงสว่างช่วงดังพระทินกร ส่องแสงนัยน์ตาขึ้นไปถึงดาวดึงสพิภพเทวโลก ได้กระทำให้เทพยดาทั้งหลายมีความพิศวงตื่นตกใจ
อาศัยเหตุที่กล่าวมานี้ จึงเง็กเซียงฮ่องเต้ คือ พระสยมภูวญาณ ได้แก่ พระอิศวร มีรับสั่งให้เชยหลีงั้นเทพบุตร แลซุ่งฮองฮี้เทพบุตร สององค์นี้ลงไปตรวจดูที่เขาฮวยก๊วยซัวนั้นว่า จะมีเหตุประการใด
เทพยเจ้าทั้งสองพระองค์จึงได้เหาะลงมายังเขาฮวยก๊วยซัว เที่ยวตรวจดูทั่วทุกสถาน แล้วก็เหาะกลับนำประพฤติเหตุอันนั้นกราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ว่า ที่มีแสงสว่างดังสีทองคำนั้น คือ อยู่ข้างทิศบูรพาฝ่ายตะวันออกเมืองเง่าล่ายก๊ก ที่ภูเขาฮวยก๊วยซัว มีก้อนศิลาเกิดเป็นฟอง คือ ไข่ ถูกแสงพระอาทิตย์ แลอากาศธาตุ ฤดูต่าง ๆ เข้าอบรม ก็บันดาลให้เกิดเป็นลิงเผือกหินขึ้น พึ่งจะมีกิริยาหัดนั่ง ยืน เดิน แลกระโดดโลดเต้น มีจักษุแดงดังแสงพระอาทิตย์เมื่ออุทัย เพราะฉะนั้น จึงมีแสงสว่างส่องขึ้นมายังดาวดึงสพิภพนี้ ขอพระองค์ได้ทรงทราบ
เง็กเซียงฮ่องเต้เมื่อได้ทรงสดับเหตุตามที่เทพยดาทั้งสองมากราบทูลดังนั้น จึงมีเทวบัญชาตรัสแก่เทพยดาทั้งหลายว่า ธรรมดาในใต้หล้าย่อมบังเกิดสัตว์ที่เป็นกายสิทธิ์มีฤทธิ์เดชขึ้นได้ดังนี้ ก็เพราะอาศัยความร้อนแลความเย็นอบรมกัน จึงบังเกิดธาตุต่าง ๆ เพราะลมอากาศได้กระทำให้เป็นขึ้นเป็นเหตุเดิม ย่อมเป็นวิสัยแห่งโลกคือหมู่สัตว์แลสังขารสำหรับฟ้าแลดินอยู่อย่างนั้น ไม่เป็นความประหลาดอัศจรรย์อะไรนัก เง็กเซียงฮ่องเต้ตรัสเท่านั้นแล้วก็เสด็จเข้าทิพยสถานแห่งพระองค์
ครั้นต่อมา ลิงหินเผือกตัวนั้นมีอาการกิริยานั่ง ยืน เดิน โลดเต้น แลเที่ยวหาอาหารผลไม้กินได้ แลมีกำลังพละเรี่ยวแรงเป็นอันมากผิดกว่าปรกติธรรมดาลิงทั้งหลาย จึงฝูงสัตว์ทั้งหลายก็มามั่วสุมประชุมกันอยู่ด้วยพระยาวานรเผือกคล้าย ๆ แก่พวกพลบริวาร พระยาลิงย่อมมีความสุขสำราญตามวิสัยธรรมดาของสัตว์ในถ้ำภูผาแลเนินเขาใหญ่ มีความสุขสบายมาช้านาน
อยู่มาวันหนึ่ง เป็นฤดูคิมหันต์ อากาศร้อนวิปริตมาก พวกวานรแลฝูงค่างชะนีทั้งหลายพากันมาอาศัยอยู่ที่ใต้ร่มไม้ใหญ่ ทั้งพระยาลิงเผือกก็มาสโมสรประชุมพร้อมกันในที่นั้น จึงพวกวานรทั้งหลายก็พากันลงเล่นน้ำในลำธาร จึงได้เห็นกระแสน้ำนั้นไหลเชี่ยว ฝูงลิงแลค่างทั้งหลายจึงได้พูดกันว่า ควรพวกเราจะไปดูให้ถึงต้นทางที่น้ำไหลมานี้ว่า น้ำนี้ได้ไหลออกมาจากสถานที่อันใด จึงพวกวานรทั้งหลายกับพระยาลิงเผือกได้เดินเลียบลำธารมาจนถึงที่ต้นแห่งกระแสน้ำนั้น จึงได้รู้ว่า น้ำนั้นได้ไหลออกมาจากภูผา ลิงทั้งหลายจึงได้พูดว่า น้ำนี้ใสสะอาดบริสุทธิ์นัก แต่ผู้ใดจะสามารถดำเข้าไปดูให้รู้แน่ว่า ในถ้ำนั้นเป็นประการใด ที่น้ำไหลออกมานั้นจะมีสิ่งอันใดอยู่ภายใน เมื่อใครสามารถเข้าไปตรวจดูให้รู้เหตุผลได้แน่นอนแล้ว พวกเราจะยกผู้นั้นให้เป็นใหญ่ คือ เป็นเจ้านายแห่งพวกเราทั้งหลาย
เมื่อพระยาวานรเผือกได้ฟังพวกลิงทั้งหลายพูดดังนั้น ก็กระโดดลงไปยืนอยู่ตรงหน้าวารทั้งหลาย แล้วร้องประกาศว่า เราเองเป็นผู้สามารถจะดำน้ำเข้าไปตรวจดูให้รู้เหตุการณ์ในนั้น ครั้นว่าดังนั้นแล้ว พระยาวานรก็ดำน้ำเข้าไปในถ้ำนั้น ผุดขึ้นข้างในช่องศิลา เห็นสะพานเหล็กตั้งคร่อมทางน้ำไหลอยู่ ในใต้สะพานมีช่องน้ำไหลชอนเข้าไปในช่องศิลา เมื่อเห็นดังนั้นแล้วก็ถอยออกมายืนดูอยู่ข้างบน เห็นที่ริมสองข้างสะพานมีช่องเป็นชั้นเป็นลำดับดุจดังว่าบ้านเรือนที่มีคนอยู่อาศัย พระยาลิงเผือกจึงขึ้นบนสะพานเหล็ก จึงได้แลเห็นป้ายศิลาจารึกอักษรสิบตัว หรือคำว่า ฮวยก๊วยซัวยกตี้จุ๊ยเลียมต๋องต๋อง[1] แปลเป็นภาษาไทยได้ความว่า ภูเขามาลาผลชัยภูมิถ้ำน้ำคั่นปราสาทถ้ำฟ้า
เมื่อพระยาลิงเผือกได้เห็นดังนั้นแล้วก็มีความยินดีเป็นอันมาก กลับโผลงในน้ำดำผุดออกมาจากช่องผา ขึ้นมาตบมือร้องด้วยเสียงอันดังว่า ในช่องภูผานั้นเป็นที่ประหลาดงดงามอย่างยิ่งที่สุดราวกับเทพยดามานฤมิตแลสร้างไว้
พวกวานรทั้งหลายจึงถามว่า ในถ้ำนั้นเป็นประการใด ขอท่านได้ชี้แจงให้พวกข้าพเจ้าทราบด้วยบ้าง
พระยาลิงเผือกจึงเล่าว่า เราได้เข้าไปในถ้ำ เห็นมีสะพานเหล็ก ริมข้างสะพานดูดุจเทพยดานฤมิตไว้ เห็นงดงามแก่ตา หาที่เปรียบมิได้
พวกลิงทั้งหลายพากันถามว่า ท่านเข้าไปอย่างไร ขอให้ช่วยแนะนำในท่าทางที่จะเข้าไป
จึงพระยาวานรได้ตอบว่า กระแสน้ำที่ไหลออกมานี้ได้ไหลออกมาจากใต้สะพานเหล็กใหญ่ ที่ริมสองข้างทางสะพานนั้นมีสิ่งของประหลาดต่าง ๆ คือ ต้นไม้ที่มีผลแลดอกดกไสว แลมีห้องศิลาเป็นลำดับเรียงร้อยเรียงรายกันไป ในห้องทั้งหลายเหล่านั้นมีเครื่องภาชนะใช้สอยต่าง ๆ สำหรับห้อง ควรที่พวกเราทั้งหลายจะเข้าไปอาศัยอยู่ในสถานถ้ำอันนี้ จะมีความสุขสำราญปราศจากภัยอันตรายต่าง ๆ แลพ้นจากอากาศอันร้อนได้
ฝ่ายพวกวานรทั้งหลายเมื่อได้ฟังพระยาลิงเผือกบอกเล่าชี้แจงดังนั้นก็มีความยินดี จึงพูดแก่พระยาลิงเผือกว่า พวกข้าพเจ้าทั้งหลายมีความยินดีในถ้อยคำของท่าน ขอท่านได้นำพวกข้าพเจ้าเข้าไปอยู่เถิด
เมื่อพระยาวานรได้ฟังลิงทั้งหลายกล่าวคำวิงวอนดังนั้น ก็หลับตากระโดดลงในน้ำ ดำเข้าไปผุดขึ้นข้างในถ้ำ พวกลิงทั้งหลายก็กระทำตาม โดดลงในน้ำดำเข้าไปในถ้ำทุกตัว
ครั้นผุดขึ้นข้างในก็ได้เห็นสิ่งของในถ้ำมีอยู่เป็นอันมาก ก็พากันแย่งชิงกันไปมาตามวิสัยแห่งสัตว์เดรัจฉาน แต่พระยาวานรมิได้ประพฤติเช่นแก่ฝูงลิงทั้งหลาย จึงขึ้นบนแท่นศิลาแล้วร้องประกาศว่า ท่านทั้งหลายได้พูดสัญญาไว้ว่า ถ้าใครดำน้ำเข้ามาได้ในถ้ำแลรู้เหตุการณ์แล้วควรออกไปบอกเล่าให้พวกท่านทั้งหลายรู้เหตุการณ์ได้ไม่อันตราย ท่านทั้งหลายจะยอมอยู่ในอำนาจ ยกให้เราเป็นเจ้านายแห่งท่าน บัดนี้ เราก็ได้ทำการตลอดมาแล้วตามท่านพูดสัญญา แลยังได้พาพวกท่านเข้ามาเห็นในถ้ำอันเป็นสถานที่ประเสริฐเป็นบรมสุขสำราญนิราศภัยแล้ว ฉะนี้ ท่านทั้งหลายจะว่าประการใดต่อไป เราจะขอฟัง
ฝ่ายพวกวานรทั้งหลายก็พร้อมกันยกมือขึ้นประนมเหนือเศียรเกล้า แล้วก็กล่าวถ้อยคำปฏิญาณตนว่า ข้าพเจ้าทั้งหลายขอยกท่านให้เป็นเชยส่วยไต้อ๋อง แปลว่า พระยาผู้เป็นใหญ่พันปี
ตั้งแต่นั้นมา พระยาเชยส่วนไต้อ๋องก็เปลี่ยนนามเดิมให้บริวารทั้งหลายเรียกชื่อใหม่ว่า มุ้ยเก้าอ๋อง แปลภาษาไทยว่า พระยาวานรโสภา
อาศัยเหตุนี้ ในตอนนี้จึงมีคำโคลงแปดบทเทียบเป็นพยาน คำที่หนึ่งมีว่า ซัมเอี๋ยมเกาตัยซั้นดุนเซง แปลว่า อากาศเกื้อกูลกระทำให้เกิดสัตว์ต่าง ๆ คำสองมีว่า เซียเจียะเปาฮ้ามยักง้วยเจ๋ง แปลว่า ศิลาเทวดาครอบคลุมรับแสงพระอาทิตย์พระจันทร์จึงกระทำให้พระยาลิงเผือกขาวบริสุทธิ์มีกำลังมาก คำที่สามมีว่า เจียวหมึงห่วยเก๊าฮ่วนใต้เต๋า แปลว่า อาศัยไข่เป็นรูปเกิดลิงหินเป็นต้นเหตุแห่งมรรคผล คำที่สี่มีว่า เก๊ทามีแส่พ่วยตันเซ้ง แปลว่า สมมุติชื่อแซ่นั้นเพื่อสำเร็จแล้ว คำที่ห้ามีว่า หลายกวยปุเซ็กยินโป้เสียง แปลว่า พิจารณาข้างในไม่รู้เพราะไม่มีรูปแลลักษณะ คำที่หกมีว่า งั่วฮะเมงจายจวกฮู้เฮ่ง แปลว่า ประกอบภายนอกรู้แจ้งทำเป็นรูป คำที่เจ็ดมีว่า เละต๋ายนั่งนั้งกายเซอกือ แปลว่า ต่อมาทุก ๆ คนต้องอาศัยลิงตัวนี้ คำที่แปลมีว่า แชอวงแชเซี้ยตั้วตุ๊งฮ้วน แปลว่า เป็นเจ้าพระยาอยู่ที่นั่น สิ้นคำโคลงเทียบแปดบทเท่านี้
ตั้งแต่พระยามุ้ยเก้าอ๋องควบคุมลิงบริวารทั้งหลายอยู่ในถ้ำนั้น ก็ได้จัดสรรกันขึ้นเป็นมูลนายให้บังคับบัญชากันเป็นผู้ใหญ่ผู้น้อยดุจในตำแหน่งแห่งราชการบ้านเมืองฝ่ายมนุษย์ที่ปกครองบ้านเมืองอยู่เหนือราษฎรที่เป็นไพร่พลเมืองฉะนั้น
ครั้นเวลาเช้าก็พากันไปบนเขาเที่ยวแสวงหาผลไม้เป็นอาหาร เวลาค่ำก็กลับมาอยู่ในคูหาซึ่งภาษาจีนเรียกว่า จุ๊ยเลียมต๋อง มิได้ปะปนด้วยสัตว์ทั้งหลายอย่างอื่น เป็นสุขสำราญอยู่ด้วยฝูงลิงค่างบริวารทั้งหลายในพวกของตน พระยามุ้ยเก้าอ๋องเป็นสุขสบายมาได้ประมาณสองร้อยปีเศษ
อยู่มาวันหนึ่ง พระยามุ้ยเก้าอ๋องคำนึงคิดถึงเบื้องหน้าอนาคตกาลต่อไป ให้เกิดความวิตกมากขึ้น มีสีหน้าอันสลดเศร้าหมองไม่ผ่องใสเป็นปรกติเหมือนแต่ก่อนมา
บรรดาลิงบริวารทั้งหลายเมื่อได้เห็นเจ้านายของตนมีอาการวิปริตเศร้าหมองดังนั้นจึงพร้อมกันถามว่า ไต้อ๋องทำไมจึงมีความเศร้าหมองดังนี้เล่า เป็นน่าประหลาดใจนัก ขอท่านได้ชี้แจงให้พวกข้าพเจ้าทราบสุขแลทุกข์ด้วย
พระยามุ้ยเก้าอ๋องจึงตอบว่า พวกเรามาอยู่ในถ้ำนี้ก็มีความผาสุกสบายอยู่แล้วจริง แต่เราหากวิตกถึงการข้างหน้าต่อไป โดยเหตุเรามีความเห็นว่า สรรพสิ่งทั้งปวงในโลกย่อมปราศจากความยั่งยืน ไม่มีความเที่ยงแท้ถาวร เพราะฉะนั้น เราจึงมีความเศร้าหมอง ไม่มีความสบายใจด้วยเหตุนี้
พวกวานรทั้งหลายจึงถามว่า ไต้อ๋องแลข้าพเจ้าทั้งหลายซึ่งอาศัยอยู่ในสถานที่อันเป็นชัยภูมิที่ดีอย่างนี้แล้ว ดุจว่าเทพยดามานฤมิตให้ เปรียบประดุจว่าถ้ำแก้วคูหาอันเป็นลับแลในมหาทวีปใหญ่ ไม่มีศัตรูหมู่ใดจะมาข่มเหงย่ำยีหรือเดือดร้อนด้วย อากาศธาตุฤดูจะวิบัติด้วยประการใด ๆ ย่อมเป็นที่ถาวรวัฒนามาช้านานมาแล้ว ท่ายังเห็นการต่อไปว่าจะเป็นประการใด
พระยามุ้ยเก้าอ๋องจึงตอบว่า ข้อที่ท่านทั้งหลายกล่าวนั้นก็เป็นความจริงอยู่แล้ว แต่เราพิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า อันเหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างอื่นที่จะพึงมีมาถึงเรา เราก็สามารถว่าจะหลีกเลี่ยงรักษาตัวเอาตัวรอดได้ทุกประการ แต่ความแก่ชราโดยอายุสังขารมีวัยอันเจริญมากเข้า ย่อมมีธรรมดาจะทรุดโทรมสิ้นกำลังลงทุกเวลา อีกประการหนึ่ง ธรรมดาสัตว์ที่มีลมหายใจเข้าออกแลเสพอาหารย่อมมีความไข้เจ็บ อีกประการหนึ่ง สัตว์ทั้งหลายที่มีชีวิตความเป็นย่อมมีความตายแตกดับแห่งร่างกายแลชีวิตอินทรีย์ทั่วกัน มิได้มีผู้ใดจะข้ามเว้นไปได้ โดยเหตุแห่งมัจจุราชมีอำนาจ ไม่มีผู้จะต่อต้านได้ มิวันใดก็วันหนึ่งเงี่ยมฬ่ออ๋อง คือ พระยามัจจุราช คงจะมีโอกาสให้เสนาของมัจจุราชมานำเอาชีวิตไปสักวันหนึ่ง เมื่อเป็นดังเราวิตกแล้ว ก็เหมือนเราเกิดมาเสียเปล่า ๆ มิได้คิดหาช่องทางที่จะหลีกหนีความตายให้พ้นได้ เราจึงได้มีความวิตกอยู่ในใจเราฉะนี้ ท่านทั้งหลายจงทราบเถิด
ฝ่ายพวกบริวารทั้งหลายเมื่อได้ฟังพระยามุ้ยเก้าอ๋องชี้แจงดังนั้นก็พากันเห็นจริง เกิดความสังเวชสลดจิตคิดถึงความแก่ ความไข้ ความตายเป็นอารมณ์ด้วยกันแทบทั่วทุกตัวลิง
ในทันใดนั้น มีวานรตัวหนึ่งยืนขึ้นแล้วก็กล่าวตามความเห็นว่า ซึ่งไต้อ๋องมีความวิตกโดยได้ดำริเห็นเหตุการณ์ตามความจริงของโลกนั้น ก็เป็นจริงอย่างที่ไต้อ๋องกล่าว แต่ข้าพเจ้ายังมีความเห็นว่า หนทางที่จะหลีกหนีมัจจุราช คือ เงี่ยมฬ่ออ๋อง นั้นก็คงจะมีเป็นเที่ยงแท้ เปรียบว่ามีของร้อนแล้วคงมีของเย็นแก้ เมื่อมีธรรมอันให้เกิดมาแล้ว คงมีธรรมอันไม่ตายเป็นคู่กัน แต่กุศลธรรมมีอยู่สามภูมิ คือ กามาวจรกุศล หนึ่ง รูปาวาจรกุศลภูมิ หนึ่ง อรูปาวจรกุศลภูมิ หนึ่ง ในสามภูมินี้ไม่พ้นพระยามัจจุราช
แต่มรรคผลซึ่งเป็นพระโลกุตรกุศลเป็นปัญญาแจ้งพระนิพพานมีอยู่ พ้นจากมัจจุราชได้ คือ พระรัตนตรัยแก้วสามประการที่ฝ่ายจีนเรียกว่า ซำโปกง คือ พระพุทธเจ้า หนึ่ง พระธรรมเจ้า หนึ่ง พระสงฆเจ้า หนึ่ง
เมื่อผู้ใดถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สามวัตถุนี้เป็นสรณะแล้ว กระทำให้แจ้งด้วยอริยมรรคปัญญาตาญาณ ก็พ้นจากความเกิดแก่เจ็บตายได้
พระยามุ้ยเก้าอ๋องจึงถามว่า อันจะศึกษากุศลธรรมสูงยิ่งกว่าสามภูมิที่ท่านว่านั้นจะไปศึกษากับผู้ใด ผู้ที่จะแนะนำเป็นครูอาจารย์นั้นจะอยู่ประเทศแลสถานทิศใด
วานรตัวนั้นจึงทูลพระยามุ้ยเก้าอ๋องว่า อันจะศึกษาในกุศลธรรมส่วนพระโลกุตรนั้นต้องไปในชมพูทวีป คือ ทิศตะวันตก ที่เรียกตามบาลีว่า มัชฌิมประเทศ อันป็นประเทศท่ามกลางที่มาแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แลพระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตสาวกพุทธเจ้า แลเป็นที่ต้นเดิมของพระธรรม ที่ให้เกิดพระอรหันต์ อันมีนามปรากฏว่า พระรัตนตรัยแก้วสามประการ ที่ฝ่ายจีนเรียกว่า ซำโปกง ฉะนั้น
เมื่อพระยามุ้ยเก้าอ๋องได้ฟังบริวารชี้แจงให้ฟังดังนั้นก็เกิดความปีติโสมนัสมีสีหน้าอันผ่องใส จึงแจ้งความแก่วานรบริวารทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายจงอยู่ปกป้องครองกันให้จงดี วันพรุ่งนี้เราจะลาท่านทั้งหลายไปเที่ยวสืบเสาะหาผู้วิเศษซึ่งเป็นผู้สำเร็จสามารถจะให้เรารู้แลเรียนธรรมที่ไม่ตายได้ ถ้าเราได้พบปะแล้วก็จะอุตสาหะเล่าเรียนศึกษาแลปฏิบัติให้สำเร็จจงได้ เมื่อสำเร็จเสร็จสมดั่งความมุ่งหมายแล้ว จะได้หลีกหนีพ้นจากมัจจุราชได้ จึงจะได้กลับมาอยู่ด้วยท่านทั้งหลายต่อไปในสถานที่นี้ ท่านทั้งหลายจงอยู่เป็นสุขทุกตนเถิด
ฝ่ายพวกวานรบริวารทั้งหลายก็มีความยินดีชื่นชมโสมนัส ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้า พระยามุ้ยเก้าอ๋องจึงให้ฝูงลิงบริวารทั้งหลายช่วยกันหักไม้มัดทำเป็นแพพอทานตัวอยู่ แล้วก็ค้ำให้แพเลื่อนออกพ้นห่างจากตลิ่ง แพไม้ก็ลอยไปตามกระแสน้ำในมหาสมุทรออกห่างมาถึงที่ลึกในทะเล ก็บังเกิดคลื่นลมระดมพัดส่งแพนั้นไปข้างทิศตะวันตกเฉียงใต้ แล้วพัดส่งไปข้างทิศเหนืออันเป็นเขตแห่งชมพูทวีป โดยอาศัยเหตุที่วาสนาของมุ้ยเก้าอ๋องจะได้พบท่านผู้วิเศษแลจะได้เรียนความรู้เป็นผู้สำเร็จ จึงบังเอิญให้เกิดลมฝ่ายตะวันออกพัดส่งแพไปตะวันตกอันเป็นฝั่งฝ่ายชมพูทวีป เมื่อแพไม้เข้าถึงฝั่งแล้ว มุ้ยเก้าอ๋องก็ขึ้นจากแพ จึงได้เห็นมนุษย์ทั้งหลายชายแลหญิงประกอบการบาปหยาบช้า กระทำการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ตัวเป็นให้จำตาย มุ้ยเก้าอ๋องเดินเข้าไปใกล้ก็ตรงเข้าจับโน่นจับนี่ตามวิสัยธรรมดาของวานร
ฝ่ายมนุษย์ทั้งหลายเมื่อได้เห็นวานรเผือกผิดประหลาดก็พากันวางหนีทิ้งสิ่งของโดยความกลัว จึงพระยามุ้ยเก้าอ๋องตรงโถมเข้าจับตัวไว้ได้คนหนึ่ง ก็เปลื้องถอดเอาเสื้อแลกางเกงของมนุษย์มาสวมใส่ตัว แล้วก็เดินตัดเข้าไปในเมือง เที่ยวเดินดูตามตลาด สังเกตกิริยาธรรมเนียมของมนุษย์ คอยจดจำสำเนียงแลภาษาคำพูด ตั้งใจจะไปเรียนพระพุทธศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แลหายาอายุวัฒนะกินเพื่อไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายให้จงได้ พระยามุ้ยเก้าอ๋องเห็นว่า มนุษย์แลสัตว์ทั้งหลายประกอบไปด้วยราคะ โทสะ โมหะ โลภ โกรธ หลง หาได้คิดถึงชีวิตแลร่างกายของตนที่หาได้ด้วยากไม่
ในเรื่องนี้มีคำโคลงสุภาษิตของท่านผู้รู้กล่าวไว้แปดบท บทที่หนึ่งว่า แจเมี้ยตอกหลีกีซิฮิว แปลว่า ชิงเสื้อแย่งผลไม้มีเวลาหยุด บทที่สองว่า จำกี้ตีมินปุ๊ดจืดอือ แปลว่า เช้าตื่นค่ำนอนจิตไม่ปกติ บทที่สามว่า เชี้ยเตยิกลือล้อซือจุ๊นเบ๊ แปลว่า ตัวขี่ลาอูฐแลมามุ่งม้าแก้ว บทที่สี่ว่า กัวคือจั่ยเสียงบ๋งอ๋องเฮ้า แปลว่า เป็นขุนนางจตุสดมภ์หมายมุ่งเจ้าชีวิต บทที่ห้าว่า จี๋เล่าอีชิดต่ามลาวเล็ก แปลว่า ล้วนกังวลการกินนุ่งห่มมัวให้ลำบาก บทที่หกว่า หอเปกเงียมกุนจิ๋วซิ้วเกา แปลว่า ไม่กลัวมัจจุราชมาจับคลำ บทที่เจ็ดว่า กีจิ๋วมิซุนยิ้มบู๋กุ่ย แปลว่า มั่วสุมมั่งมีให้บุตรหลาน บทที่แปดว่า กันโป๊เจ๊กก๊ายชั่งห้วยเท้า แปลว่า ไม่มีสักคนคิดกลับใจ ครั้นคิดดังนั้นแล้ว มุ้ยเก้าอ๋องก็เที่ยวหาศาสนา ก็ไม่มีผู้ใดจะเล่าบอกได้ เหลือวิสัยที่จะพบเห็นได้
จึ่งคิดว่า ตั้งแต่เราเที่ยวเสาะหาธรรมวิเศษก็นับได้แปดปีแล้ว ยังหาได้พบปะธรรมวิเศษไม่ ครั้นมาถึงฝั่งทะเลตะวันตก มุ้ยเก้าอ๋องคิดว่า กลางทะเลคงจะมีผู้สำเร็จแลเทพารักษ์อันศักดิ์สิทธิ์ จำเราจะทำแพเหมือนเมื่อแรกมา คิดดังนั้นแล้วก็หาไม้ทำแพเหมือนเมื่อแรกมาลงในแพแล้วก็ค้ำแพให้ห่างจากตลิ่งลอยลิ่วไปในพระมหาสมุทรไปทางทิศตะวันตก ครั้นมาใกล้ฝั่งเข้าก็นึกว่า เห็นจะเป็นเขตทวีปที่ผู้วิเศษอยู่เป็นแน่ คิดดังนั้นแล้วจึงค้ำแพให้เทียบเข้ากับตลิ่ง ขึ้นบนบกเดินเที่ยวสืบเสาะมาหลายเวลา
วันหนึ่ง เดินเที่ยวมาเห็นภูเขาหนึ่งสูงตระหง่านงาม มีต้นพฤกษาลัดดาวัลย์ผลิดอกออกช่อดกไสว มุ้ยเก้าอ๋องเห็นแล้วก็มีความยินเป็นอันมาก จึงเดินตรงขึ้นไปบนเขาพิจารณาดูรอบ แล้วได้ยินสำเนียงมนุษย์พูดกัน จึงรีบเดินเข้าไปใกล้ ค่อยเงี่ยหูฟัง จึงรู้แน่ว่า เสียงคนร้องเพลง มุ้ยเก้าอ๋องได้ยินถนัดแน่ใจดังนั้นแล้วก็มีความยินดี จึงนึกว่า ชะรอยจะเป็นผู้วิเศษสำเร็จอยู่ในที่นี้หรือเทพยดาสิงสถิตอยู่ในที่นี้เป็นมั่นคง
คิดแล้วก็รีบเดินเข้าไปในที่นั้น มองดูเห็นแต่คนตัดฟืนคนเดียวเงื้อขวานจะฟันฟืนแต่ปากร้องเพลง มุ้ยเก้าอ๋องจึงเดินเข้าใกล้คนผู้นั้นแล้วจึงถามว่า ท่านเป็นเทวดาหรือเป็นผู้วิเศษ ข้าพเจ้าขอคำนับถามท่าน
ฝ่ายคนตัดฟืนได้ฟังดังนั้นก็เหลียวหน้ามาดู เห็นแล้วก็โยนขวานทิ้งไว้แล้วตอบว่า ท่านเรียกข้าพเจ้าว่าผู้วิเศษนั้นไม่ควร ข้าพเจ้าเป็นคนโง่เง่านุ่งห่มไม่บริบูรณ์ ทำไมท่านมายกย่องข้าพเจ้าว่าเป็นเทวดาหรือผู้วิเศษเล่า เกินไป
มุ้ยเก้าอ๋องจึงตอบว่า ท่านไม่ใช่เทวดาแลผู้วิเศษแล้ว เหตุใดจึงกล่าวถ้อยคำอันสูงแลลึกลับผิดกว่าเสียงมนุษย์เช่นนั้นเล่า
ผู้ตัดฟืนจึงย้อนถามว่า ข้าพเจ้าพูดคำใดเป็นคำสูงแลเสียงเทวดา ขอให้ท่านชี้แจง
มุ้ยเก้าอ๋องตอบว่า ท่านร้องเพลงคำที่ว่า ปะกันมีความเจริญ นั้น แม้มิใช่เทวดาก็คงเป็นผู้วิเศษอันมีจิตระงับ จึงได้กล่าวเป็นปัญหาอันสำคัญ เทวดาหรือผู้วิเศษย่อมกล่าวถ้อยคำอย่างที่ท่านกล่าว
คนตัดฟืนจึงตอบมุ้ยเก้าอ๋องว่า ข้าพเจ้าไม่กล่าวเท็จให้ท่านเชื่อ คำที่ข้าพเจ้ากล่าวนั้นเป็นถ้อยคำของผู้วิเศษ ท่านสอนให้ข้าพเจ้าว่า เมื่อเวลาจิตใจเศร้าหมองไม่สบายก็ให้ร้องแก้รำคาญ ด้วยท่านผู้วิเศษนั้นอยู่ใกล้แก่ที่บ้านข้าพเจ้าอยู่ เมื่อตะกี้ข้าพเจ้ามีความมัวหมองในดวงจิต จึงได้ร้องเพลงพอให้แก้รำคาญเท่านั้น บังเอิญท่านแอบมาฟัง
มุ้ยเก้าอ๋องถามต่อไปว่า ผู้วิเศษอยู่ใกล้บ้านท่าน เหตุใดท่านไม่เรียนความรู้แลปฏิบัติให้เป็นผู้สำเร็จไม่แก่ไม่ตายเล่า
คนตัดฟืนตอบว่า วาสนาข้าพเจ้าเป็นคนอาภัพ เกิดมาแต่ยังเล็กบิดาถึงแก่กรรม มารดาก็เป็นหม้าย มีแต่ข้าพเจ้าผู้เดียวเที่ยวตัดฟืนขายได้เงินพอซื้ออาหารเลี้ยงมารดา เพราะฉะนั้น จึงไม่มีเวลาที่จะเล่าเรียนทางปฏิบัติอะไรได้
มุ้ยเก้าอ๋องจึงตอบว่า ถึงคำที่ท่านพูดข้อนั้นก็ไม่จัดว่าเป็นผู้กตัญญูต่อบิดามารดา ควรเรียกว่าเป็นกุนจื้อ แม้ในประจุบันนี้จะมิได้ปฏิบัติก็คงมีนิสัยไปภายหน้า ขอท่านได้อนุเคราะห์ชี้ที่อยู่ของท่านผู้วิเศษให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะได้ไปนมัสการท่าน เพื่อจะได้ถามข้อวัตรปฏิบัติบ้าง
คนตัดฟืนจึงพูดว่า ท่านผู้สำเร็จนั้นอยู่ไม่สู้ไกลนัก เรียกตามภาษาจีนว่า กุดเล่งท้ายซิด คือ เขาฮองซุนซัว ข้างในนั้นมีถ้ำเรียกว่า ถ้ำซำแซต๋อง ในถ้ำนั้นมีพระอาจารย์ใหญ่มีนามว่า โผเถโจ๊ซือ อาจารย์มีศิษย์ประมาณสามสี่สิบคน ท่านจงเดินไปทางทิศพายัพไกลประมาณแปดโยชน์ ที่ตรงนั้นเป็นที่อยู่ของโผเถโจ๊ซือ
มุ้ยเก้าอ๋องจับมือตนตัดฟืนแล้วอ้อนวอนว่า ท่านสงเคราะห์ช่วยพาข้าพเจ้าไปสักหน่อยเถิด ถ้าข้าพเจ้าได้พบท่านอาจารย์แล้ว จะมิได้ลืมพระคุณของท่านเลย
คนตัดฟืนจึงพูดแก่มุ้ยเก้าอ๋องว่า ทำไมท่านจึงไม่เข้าใจเลย ข้าพเจ้าได้บอกแก่ท่านแล้วมิใช่หรือว่า ข้าพเจ้าต้องเป็นห่วงหาเลี้ยงมารดาด้วยการตัดฟืนขาย ถ้าข้าพเจ้าไปกับท่านแล้วก็จะป่วยการเสียเวลาตัดฟืนของข้าพเจ้าไป จะได้ใครหาเลี้ยงมารดาข้าพเจ้าเล่า
มุ้ยเก้าอ๋องจึงตอบว่า ซึ่งท่านพูดดังนี้ ข้าพเจ้าไม่อาจจะข่มขืนน้ำใจท่านได้แล้ว มุ้ยเก้าอ๋องก็ลาคนตัดฟืนออกจากป่าแล้วเดินขึ้นบนเนินเขาข้ามโขดศิลาไปประมาณได้แปดโยชน์ก็เห็นชัยภูมิเขาถ้ำหนึ่งเหมือนถ้อยคำของคนตัดฟืนบอก จึงหยุดพิจารณาดู เห็นประตูถ้ำปิดอยู่เงียบสงัดไม่ได้ยินเสียงผู้คน แล้วแลขึ้นไปดู เห็นบนแง่ศิลามีป้ายหินตั้งอยู่ มีอักษรจารึกไว้สิบคำ คือ เล่งท้ายฮองซุนซัวจ้อง้วยซำแซต๋อง แปลภาษาไทยว่า กายสิทธิ์มณฑปเขาองคุลีวงจันทรตรีดาราถ้ำ มุ้ยเก้าอ๋องดูอักษรนั้นแล้วก็มีความยินเป็นอันมาก แลดูบานประตูก็ยังปิดอยู่ ไม่กล้าจะเข้าเคาะประตูได้ แต่รีรอเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ช้านานจึงแลเห็นต้นไม้ที่ปากถ้ำมีผลดกออกระย้า มุ้ยเก้าอ๋องจึงกระโดดขึ้นบนต้นไม้เก็บผลไม้กิน
สักประเดี๋ยวได้ยินเหมือนประตูเปิด มุ้ยเก้าอ๋องแลเห็นคนหนุ่มน้อยออกมาจากถ้ำร้องถามด้วยเสียงอันดังว่า ใครมาอึกทึกข้างนอกนี้
มุ้ยเก้าอ๋องก็กระโดดลงมาจากต้นไม้ แล้วเดินเข้าไปใกล้ คำนับ แล้วจึงบอกแก่ชายหนุ่มน้อยว่า ข้าพเจ้าจะมาเป็นสานุศิษย์เล่าเรียนวิชา ไม่ใช่มารบกวนอะไร ขอท่านได้นำข้าพเจ้าไปนมัสการท่านอาจารย์สักหน่อยเถิด
หนุ่มน้อยได้ยินมุ้ยเก้าอ๋องพูดวิงวอนดังนั้นจึงหัวเราะแล้วทำเป็นพูดว่า ท่านเป็นผู้มาหาเพื่อจะเรียนธรรมของพระศาสนาจริงแลหรือ
มุ้ยเก้าอ๋องตอบว่า ข้าพเจ้าอุตสาหะมาทั้งนี้โดยความตั้งใจจะมาเล่าเรียนศึกษาให้รู้จริง ๆ มิได้คิดแก่ความเหนื่อยยากเลย
หนุ่มน้อยจึงตอบว่า เมื่อตะกี้ท่านอาจารย์พึ่งลงจากธรรมาสน์ เมื่อขึ้นบนธรรมาสน์ก็ยังหาได้แสดงธรรมไม่ ท่านอาจารย์ให้เราออกมาเปิดประตู ท่านได้พูดว่า ข้างนอกมีคนจะมาเรียนศาสนา ให้เราออกมารับ เรามาคิดดู ชะรอยจะเป็นตัวท่านนี้เอง
มุ้ยเก้าอ๋องจึงตอบว่า ข้าพเจ้ามาแต่ผู้เดียว หาได้มีผู้ใดมาด้วยไม่ นักสิทธิ์หนุ่มน้อยจึงให้มุ้ยเก้าอ๋องเดินตามเข้าไปในประตูถ้ำ แล้วหนุ่มน้อยหันหน้ามาบอกว่า ท่านต้องสำรวมระวังกิริยาให้เรียบร้อยเถิด ว่าแล้วก็เดินนำหน้าไป
มุ้ยเก้าอ๋องก็สำรวมกิริยาเรียบร้อยแล้วก็เดินตามนักสิทธิ์หนุ่มน้อยเข้าไปในถ้ำ แลได้พิจารณาดูไปตามทางเดินด้วย เห็นเป็นช่องชั้นมีดังเครื่องประดับเป็นระย้าห้อยย้อยสง่างามดุจดังว่าปราสาทราชมนเทียรงดงามสุดที่จะพรรณนาได้ แลเป็นที่สงัดเงียบ สมควรจะเป็นที่อยู่ของผู้ระงับอารมณ์ได้ มุ้ยเก้าอ๋องเดินพลางชมพลางก็เกิดปีติโสมนัสมีความยินดีบันเทิงจิต พอมาถึงข้างแท่นเอียวท้ายก็แลดูบนแท่นเห็นโผเถโจ๊ซือ อาจารย์ใหญ่ นั่งอยู่กลางแท่น มีกิริยาอันสงบระงับสมควรจะเป็นผู้วิเศษ สองข้างนักสิทธิ์ทั้งหลายก็ยืนอยู่เป็นลำดับประมาณสามสิบคน มุ้ยเก้าอ๋องเห็นแล้วก็เข้าไปคุกเข่าลงคำนับกราบลงตรงหน้าพระอาจารย์ แล้วกล่าววาจาว่า ข้าแต่พระอาจารย์เจ้าขา สานุศิษย์ตั้งใจมานมัสการ
ขณะนั้น พระอาจารย์จึงถามว่า เจ้าเป็นเดรัจฉานหรือเป็นมนุษย์ เดิมอาศัยอยู่แห่งหนตำบลใด ชื่อแลแซ่อย่างไร จงบอกให้เรารู้ก่อน
มุ้ยเก้าอ๋องจึงยกมือขึ้นประนมแล้วตอบว่า ข้าพเจ้าอยู่ข้างทิศบูรพาทวีปตะวันออกเขตเมืองเง่าล่ายก๊ก เขาฮวยก๊วยซัว จุ๊ยเลียมต๋อง เป็นที่รกรากเดิมของข้าพเจ้า
พระอาจารย์จึงทำเป็นขู่ตวาดแลใช้ให้ศิษย์ขับไล่ออกไปเสียโดยเหตุว่า เป็นผู้กลับกลอกกล่าวมุสา จะบวชเรียนอะไรได้
มุ้ยเก้าอ๋องได้ฟังดังนั้นมีความเสียใจเป็นอันมาก จึงวิงวอนว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ซื่อตรงสุจริต หาได้กล่าวเท็จต่อท่านไม่ ขอพระอาจารย์ได้โปรดเมตตาแก่ข้าพเจ้าเถิด
พระอาจารย์โผเถโจ๊ซือจึงว่า ตัวเป็นคนซื่อตรงจริงแล้ว เหตุใดจึงว่า ตัวอยู่ทิศบูรพา ทางทิศบูรพาวิถีที่จะไปมามีมหาสมุทรกว้างใหญ่ลึกเหลือประมาณ เหตุใดตัวเจ้าจึงมาถึงชมพูทวีปได้
มุ้ยเก้าอ๋องกราบลงแล้วก็ชี้แจงว่า ข้าพเจ้าได้เอาไม้ไผ่มัดทำแพลอยมาตามน้ำในมหาสมุทรใหญ่ ลมได้พัดพาข้ามทะเลมาถึงฝั่งขึ้นเขาลงห้วยเที่ยวสืบเสาะหาศาสนามาช้านานประมาณได้สิบปีแล้ว จึงได้บรรลุถึงสำนักแห่งพระอาจารย์ ขอท่านได้ทราบถึงความยากของข้าพเจ้าแลมีความกรุณาแก่ข้าพเจ้าเถิด
พระอาจารย์โผเถโจ๊ซือถามว่า ตัวชื่อใดแซ่ใด จงบอกเราไปแต่ตามจริง
มุ้ยเก้าอ๋องจึงตอบว่า ข้าพเจ้าหามีแซ่แลชื่อเหมือนคนทั้งหลายไม่ ถ้าจะมีผู้ด่าว่าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ไม่ร้อนใจ หรือใครจะทุบตี ข้าพเจ้าก็ไม่มีความโกรธ โดยมีความอดกลั้นได้ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าเกิดมาจึงไม่มีแซ่
พระอาจารย์จึงถามอีกว่า บิดามารดาของเจ้ามีแซ่แลชื่ออย่างไร เจ้ารู้หรือไม่
มุ้ยเก้าอ๋องจึงตอบว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้เกิดมาโดยมิได้มีบิดาแลมารดา
พระอาจารย์โผเถโจ๊ซือจึงถามว่า ถ้าเกิดมาไม่มีบิดามารดาแล้ว เช่นนั้น ชะรอยตัวเจ้าจะมิเกิดจากต้นไม้ใบหญ้าหรือ
มุ้ยเก้าอ๋องตอบว่า ข้าพเจ้ามิได้เกิดจากต้นพฤกษา ข้าพเจ้าเกิดจากก้อนศิลา ครั้นข้าพเจ้าเติบใหญ่ จำได้ว่า เดิมบนยอดเขาฮวยก๊วยซัวมีศิลาก้อนหนึ่ง ครั้นศิลานั้นต้องแสงอาทิตย์แลน้ำฝนก็แตกออก ข้าพเจ้าคิดว่า ข้าพเจ้าก็เกิดมาจากก้อนศิลานั้นเป็นต้นเดิมของข้าพเจ้า
เมื่อพระอาจารย์โผเถโจ๊ซือได้ฟังมุ้ยเก้าอ๋องชี้แจงดังนั้นจึงพูดว่า ถ้าดังนั้น ตัวเจ้าก็เกิดเพราะดินฟ้าอากาศประกอบกันเป็นแน่ แล้วจึงพูดแก่มุ้ยเก้าอ๋องว่า เจ้าจงลุกขึ้นเดินไปมาให้เราดูลักษณะกิริยาว่าจะเป็นประการใด
มุ้ยเก้าอ๋องคำนับแล้วก็ลุกขึ้นเดินสองรอบให้พระอาจารย์ดูลักษณะ พระอาจารย์ก็พิเคราะห์ดูแล้วจึงพูดว่า ลักษณะเจ้าหยาบช้านัก ไม่งาม ดูดุจกิริยาแห่งวานรที่กินผลพฤกษาเป็นอาหารฉะนั้น เราจะตั้งแซ่ให้เรียกว่า ซึง มุ้ยเก้าอ๋องมีความยินดีกราบลงสามครั้งว่า ควรแล้ว ตั้งแต่นั้นมา มุ้ยเก้าอ๋องจึงถือเอา ซึง ว่าเป็นแซ่ของตนต่อมาตามคำพระอาจารย์ประทานให้
จึงคำนับพระอาจารย์แล้ววิงวอนว่า ได้โปรดเมตตาให้แซ่แล้ว แต่ชื่อยังหามีไม่ ขอพระอาจารย์ได้โปรดให้ชื่อด้วย จะได้ใช้เรียกหาเพื่อสำเหนียกรู้ชื่อแห่งตน
โผเถโจ๊ซืออาจารย์จึงพูดว่า มีหนังสือของเราสิบสองตัว เป็นกำหนดฉายาในทางปฏิบัติ คือ ตัว ก๊อง ต๋าย ตี๋ ฮุย จิน ยู้ เซ้ง ฮั่ย ติน หงอ อี กั๋ว สิบสองอักขระนี้ อักขระหงอคงนั้นสมแก่ตัวเจ้า เราจะตั้งชื่อเจ้าว่า หงอคง ตั้งแต่นั้นมา พระอาจารย์แลเพื่อนสานุศิษย์เหล่านั้นก็พากันเรียกว่า หงอคง ทั้งสิ้น
มุ้ยเก้าอ๋องได้ชื่อที่พระอาจารย์ตั้งให้แล้วก็ชื่นชมยินดีเป็นที่สุด พระอาจารย์จึงสั่งศิษย์ทั้งหลายให้นำหงอคงออกไปที่ลานวัด กวาดล้างสิ่งโสโครกให้หมดสะอาด เพื่อรู้จักขนบธรรมเนียมที่ทางซึ่งจะไปมาให้รอบคอบ หงอคงกราบลาพระอาจารย์ สานุศิษย์ทั้งหลายก็พาหงอคงออกมาจัดที่หลับที่นอนข้างระเบียงนั้น ครั้นเวลาเช้า ๆ ทุกวัน หงอคงก็เล่าเรียนหนังสือแลหัดเขียนหัดอ่าน แลทำกิจวัตรต่าง ๆ บ้าง บางเวลาว่างการเล่าเรียนแล้วก็ปลูกต้นไม้ตักน้ำรดต้นไม้ในสวน แลขุดดินดายหญ้าในสวนตามเวลาการ
เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ
แก้ไข- ↑ ต้นฉบับไทยว่า มีสิบคำ แต่ปรากฏเพียงเก้าคำ คือ "ฮวยก๊วยซัวยกตี้จุ๊ยเลียมต๋องต๋อง" วิกิซอร์ซตรวจดูแล้วพบว่า ตกคำท้ายไปหนึ่งคำ วลีเต็มตามสำเนียงกลาง คือ "ฮัวกั่วชันฝูตี้ฉุ่ยเหลียนต้งต้งเทียน" (花果山福地、水帘洞洞天 Huā Guǒ Shān Fú Dì, Shuǐ Lián Dòng Dòng Tiān)