หน้า ๑๔๐–๑๕๙ สารบัญ
อยู่มาวันหนึ่ง สมเด็จพระเซ็กเกียมองนิฮุดโจ๊จึงรับสั่งแก่ศิษย์ทั้งหลายว่า ตั้งแต่เราปราบปรามวานร วิมานสวรรค์ก็ได้เป็นสุขมาประมาณถึงพันปีแล้ว ในเวลานี้ เรามีบาตรวิเศษ จะประชุมทำสลากภัตเลี้ยงศิษย์ทั้งปวง จะควรหรือไม่ ศิษย์ทั้งหลายยกมือขึ้นนมัสการแล้วทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐหาผู้เสมอมิได้ ข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นควรแล้ว สมเด็จพระเซ็กเกียมองนิฮุดโจ๊ทรงฟังศิษย์ทั้งหลายทูลว่าชอบพร้อมกันแล้ว จึงรับสั่งให้พระออนันกับพระเกียเอี๋ยมจัดแจง
พระออนันกับพระเกียเอี๋ยมรับคำสั่งแล้วจึงออกมายังที่ศาลาธรรม บอกบุญแก่พวกทายกทั้งหลาย พวกทายกทั้งหลายก็บอกกันต่อ ๆ ไป ครั้นได้เวลาก็เอาเครื่องแจมาใส่ในบาตรพระตามศรัทธา พระออนันกับพระเกียเอี๋ยมครั้นจัดแจงเสร็จแล้วจึงนิมนต์หมู่ศิษย์ใหญ่น้อยทั้งหลายมาประชุมพร้อมกัน แล้วนั่งเรียงรายเป็นลำดับ รับซึ่งไทยทานเป็นที่ระงับกายวาจาใจ ครั้นเสร็จแล้ว ต่างก็ถวายยถาสัพพี แล้วก็ลุกมากระทำนมัสการพระโดยความเคารพ
สมเด็จพระเซ็กเกียมองนิฮุดโจ๊พระองค์ก็เสด็จขึ้นประทับบนธรรมาสน์นั่งสำรวมกิริยา หมู่ศิษย์ทั้งหลายต่างนมัสการประนมมือตั้งโสตคอยสดับรับรสพระสัทธรรม พระองค์จึงทรงแสดงมูลรากไตรสิกขา แลธรรมอันยิ่ง คือ อภิธรรม ซึ่งจะให้ผู้ปฏิบัติบรรลุถึงมรรคแลผลตามลำดับ ในเวลานั้น ศิษย์สาวกทั้งหลายได้สดับธรรมแล้วต่างก็บังเกิดปีติสุขโสมนัสรื่นเริงยินดีในรสพระสัทธรรม ครั้นพระองค์ทรงแสดงธรรมาภิมัยแล้วจึงตรัสต่อไปว่า เราได้พิจารณาดูทั้งแปดทวีปในชมพูทวีปนี้ซึ่งหมู่สัตว์ทั้งหลายมักจะมากไปด้วยความโลภเจตนา แลความโกรธประทุษร้าย แลโมหะความหลง มีความมัวเมา ประมาท แลเห็นผิดวิปลาสไปต่าง ๆ เรามีพระไตรปิฎกธรรมควรจะให้ปุถุชนรักษาปฏิบัติ จะได้ละพ้นหลุดจากความชั่วใจบาปหยาบช้ากว่าจะได้ลุถึงซึ่งมรรคแลนฤพาน พระไตรปิฎกรวมมีสิบห้าผูก คิดเป็นหมื่นห้าพันร้อยยี่สิบสี่เล่ม ล้วนเป็นธรรมอันวิเศษ สัมมาปฏิปทา หนทางวิสุทธิมรรค อันจะนำสัตว์เข้าสู่ห้องพระนฤพาน อาศัยเหตุนี้ เราปรารถนาจะให้ใครที่มีบุญญาอภินิหารบารมีเชี่ยวชาญข้ามไปข้างทิศบูรพาในประเทศจีน ชักนำผู้มีศรัทธาอุตสาหะข้ามมาประเทศนี้ อาราธนาพระไตรปิฎกไปรักษาปฏิบัติให้แพร่หลายทั่วไป แลแสดงธรรมสั่งสอนสาธุชนให้มีจิตตั้งอยู่ในกุศลธรรมทางสัมมาทิฐิ คนผู้นั้นก็จะได้บุญกุศลมีนิสัยอันใหญ่ยิ่งหาที่เปรียบมิได้ เรายังไม่เห็นว่าผู้ใดจะสามารถข้ามไปได้
ในขณะเมื่อพระทรงปรารภอยู่นั้น มีพระกวนอิมองค์หนึ่งคลานเข้าไปใกล้ธรรมาสน์ แล้วประนมมือขึ้นนมัสการ แล้วทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าจะขอรับอาสาไปยังทิศบูรพาในประเทศจีน เกลี้ยกล่อมชักชวนให้ผู้มีศรัทธาในประเทศนั้นมาอาราธนาพระไตรปิฎกไปประดิษฐานในประเทศทิศบูรพาให้จงได้
เมื่อสมเด็จพระเซ็กเกียมองนิฮุดโจ๊ได้ทรงฟังพระกวนอิมกราบทูลดังนั้น พระองค์มีพระทัยยินดีเป็นอันมาก จึงตรัสแก่พระกวนอิมว่า โดยผู้อื่นจะรับอาสาไป เรายังไม่เชื่อว่าจะตลอดสำเร็จได้ ถ้าตัวท่านอาสาไปแล้ว เรามีความเชื่อว่าอาจสำเร็จได้ดังประสงค์จริง
พระกวนอิมจึงกราบทูลว่า ซึ่งโปรดจะให้ข้าพเจ้าไปนั้น จะทำประการใดจึงจะควร ขอพระองค์ได้โปรดทรงแนะนำให้ข้าพเจ้าทราบด้วย
สมเด็จพระเซ็กเกียมองนิฮุดโจ๊จึงตรัสว่า เมื่อไปนั้น ควรจะทำปาฏิหาริย์ ก็ให้กระทำปาฏิหาริย์ ถ้าเห็นว่าไม่ควรจะกระทำ ก็ให้เดินไป จะได้พิจารณาระยะทางว่าใกล้หรือไกล ร้ายหรือดี ก็จะได้รู้แม่นยำ สำหรับจะได้เล่าบอกแก่ผู้ที่มีศรัทธาจะได้ข้ามมานำพระไตรปิฎกไปจะได้รู้ซึ่งหนทางเดิน เราจะให้ของวิเศษแก่ท่านไปห้าอย่าง ตรัสดังนั้นแล้วก็ทรงเรียกพระออนันกับพระเกียเอี๋ยมให้นำของวิเศษทั้งห้านั้นออกมา คือ ผ้ากาสาวพัสตร์ หนึ่ง ไม้เท้า หนึ่ง มงคลดอกไม้สามวง รวมห้าอย่าง มาถวายต่อพระหัตถ์
สมเด็จพระเซ็กเกียมองนิฮุดโจ๊ทรงรับของห้าอย่างแล้ว จึงตรัสสั่งแก่พระกวนอิมว่า จีวรแลไม้เท้าสองสิ่งนี้ ให้ผู้ที่ตั้งใจมาเชิญพระไตรปิฎกไว้สำหรับตัว จีวรนั้นถ้าห่มแล้วก็สามารถจะพ้นจากวัฏสงสาร ไม้เท้านั้นถ้าถือแล้วก็พ้นจากวิบากขันธ์แลภัยอันตรายต่าง ๆ ได้ดังความปรารถนา
พระกวนอิมรับจีวรแลไม้เท้าแล้ว พระองค์จึงหยิบมงคลสามวง แลตรัสสั่งพระกวนอิมว่า มงคลสามวงนี้เอาไว้แก่ตัวท่านก่อน เมื่อเวลาผู้ที่จะมาเชิญพระไตรปิฎกนั้น ถ้าเดินมาตางทาง บางทีจะพบปะผู้ที่มีฤทธาอานุภาพอันเชี่ยวชาญ จะได้เอามงคลนี้บังคับให้อยู่ในอำนาจของผู้ที่จะมาเชิญพระไตรปิฎกนั้น จะได้เอาไปเป็นสานุศิษย์ใช้สอย บางทีจะดื้อดึงไม่อยู่ในโอวาท จึงให้เอามงคลนี้ครอบใส่บนศีรษะ แล้วเอาคาถาภาวนา มงคลนั้นก็จะรัดศีรษะจนนัยน์ตาปลิ้นออกมา ให้มีความเจ็บปวดยิ่งนัก คนผู้นั้นจึงจะมีความเกรงกลัวแลอยู่ในอำนาจไม่ขัดขืนคำสั่งแลบังคับได้
พระกวนอิมได้ฟังพระตรัสดังนั้นแล้วก็รับสิ่งของทั้งห้าอย่างนั้นจากพระหัตถ์ แล้วถวายบังคมลาคลานออกมาจากโรงพระธรรมศาลา จึงเรียกฮุยไง้ สานุศิษย์ ให้จัดแจงสิ่งของที่ควรจะเอาไปใช้ได้ตามทาง ฮุยไง้จัดแจงเสร็จแล้วถือกระบองเหล็กสำหรับมือ พระกวนอิมจึงเอาของวิเศษห้าอย่างมอบให้ฮุยไง้ใส่ถุงย่ามสะพายไป พระกวนอิมกับฮุยไง้ก็ลงจากเขาเดินมา ครั้นถึงเชิงเขา กิมเต๊งไต้เซียนทั้งห้าก็ออกมารับนิมนต์พระกวนอิมเข้านั่งพักแล้วยกน้ำชามาถวาย พระกวนอิมจึงเล่าความที่จะไปยังประเทศทิศบูรพาในเขตแขวงเมืองจีนให้พวกเซียนทั้งหลายฟังทุกประการ
กิมเต๊งไต้เซียนจึงถามว่า สักเมื่อไรผู้ที่จะมาเชิญพระไตรปิฎกจึงจะมาถึงที่นี่
พระกวนอิมจึงบอกว่า ประมาณอีกสักสองสามปีจึงจะมาถึง พระกวนอิมสนทนาแก่กิมเต๊งไต้เซียนแล้วก็จะลามา กิมเต๊งไต้เซียนจึงตามออกมาส่ง แล้วก็นมัสการลากลับไปยังที่อยู่ของตน
พระกวนอิมกับศิษย์ออกจากนั้นไป สังเกตหมายระยะทางตรงไปยังทิศบูรพา เมื่อพระกวนอิมไปนั้น บางทีเดิน บางทีเหาะตามกำลังที่จะไปได้ เมื่อเวลานั้นได้แลเห็นแม่น้ำหนึ่งกว้างใหญ่เรียกว่า แม่น้ำลิ้วซัวฮ้อ พระกวนอิมแลเห็นดังนั้นจึงเหาะรอบนอากาศแล้วพูดแก่ฮุยไง้ว่า แม่น้ำนี้จะทำการลำบาแก่ผู้ที่จะมาเชิญพระไตรปิฎกโดยเหตุที่กว้างใหญ่แลไม่มีเรือนแพพาหนะที่จะข้ามได้
ในขณะนั้น ได้ยินเสียงดังอยู่ใต้น้ำ สักประเดี๋ยวก็เกิดเป็นคลื่นลมพัดกล้าขึ้น แลไปเห็นสัตว์โผล่ขึ้นมาจากน้ำ หน้าตาน่ากลัว รูปร่างน่าเกลียด พิจารณาดูเหมือนจะเป็นปิศาจยักษ์ มีมือถือกระบอง ตรงเข้าจะจับพระกวนอิมเป็นอาหาร ฮุยไง้เห็นดังนั้นก็เข้าขวางหน้า ร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายปิศาจ มึงจะไปข้างไหน
ฝ่ายยักษ์ที่ถือกระบองก็มิได้พูดจา ตรงเข้ามาเอากระบองตีฮุยไง้ ฮุยไง้แกว่งกระบองเหล็กเข้ารบรับกันอยู่ ต่างคนต่างมีแรงมีฤทธิ์เข้มแข็ง ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันไปมา รบกันประมาณได้สักยี่สิบเพลงก็หาแพ้ชนะกันไม่ ปิศาจยักษ์ค่อยถอยห่างออกมา แล้วจึงร้องถามว่า ตัวเป็นพวกไหน พาพระที่ไหนมา สามารถล่วงเข้ามาในแดนของเรา
บกเฉียจึงตอบว่า เราคือบุตรที่สองของถักทะลีทีอ๋อง ชื่อ บกเฉีย ครูให้ชื่อว่า ฮุยไง้ ทำไมเจ้าไม่รู้จักเราหรือ ตัวเจ้าเป็นชาติปิศาจอะไร จึงอาจสามารถมากั้นกางขวางหน้าแห่งเราฉะนี้
ปิศาจได้ฟังฮุยไง้บอกดังนั้นจึงตอบว่า ถ้ากระนั้น เราจำได้ คือท่านเป็นสานุศิษย์ของพระน่ำไฮ้กวนอิมหรือมิใช่
ฮุยไง้จึงชี้บอกว่า ที่ยืนอยู่ข้างฝั่งน้ำนั้นแลคือพระกวนอิมแล้ว เจ้าไม่มีนัยน์ตาหรือ
ปิศาจยักษ์เมื่อได้ทราบดังนั้นจึงย่อตัวลงคำนับ แล้วก็เดินตรงขึ้นมาบนฝั่ง วางอาวุธลง แล้วจึงกระทำการเคารพนมัสการกราบไหว้ แล้วจึงพูดว่า ขอพระองค์จงได้โปรดงดโทษข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าจะเล่าซึ่งเหตุผลให้ท่านทราบทุกประการ คือ ตัวข้าพเจ้านี้มิใช่ปิศาจยักษ์มารอะไร คือเป็นเซียนสำหรับแหวกพระวิสูตรของเง็กเซียงฮ่องเต้ เมื่อเวลาที่พระองค์เสด็จมาประทับยังตำหนักห่งท้อที่ประชุมคราวเลี้ยงโต๊ะเทพยดานั้น เวลานั้น ข้าพเจ้าเปิดพระวิสูตรหาทันพิจารณาไม่ ชายพระวิสูตรสะบัดไปถูกคนโทแก้ววิเศษตกแตก เง็กเซียงฮ่องจับข้าพเจ้าทำโทษลงอาญาสาปข้าพเจ้าให้รูปกายพิกลอย่างรูปปิศาจลงมาประจำอยู่ในที่นี้ ถึงเจ็ดวันแล้วก็มีอาวุธเกียม คือ กระบี่วิเศษ ลอยลงมาแทงชายโครงข้าพเจ้าเจ็ดวันครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ความเดือดร้อนเหลือกำลัง ทรมานความอดอยากเป็นที่สุด เมื่อสองสามวันก่อน ข้าพเจ้าขึ้นมาจากแม่น้ำเที่ยวหาเนื้อมนุษย์กิน บังเอิญมีคนเดินมาคนหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงจีบมาฉีกเนื้อกินเสียแล้ว มาวันนี้ ก็มาพบพระองค์เจ้า ก็หมายใจจะเอาเป็นอาหาร ขอพระองค์ได้โปรดงดโทษข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่งเถิด
พระกวนอิมได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า ตัวเจ้ามีโทษบนสวรรค์ต้องสาปลงมาแล้ว มิหนำซ้ำกระทำปาณาติบาตฆ่าสัตว์ตัดชีวิตดังนี้ จะมิเป็นโทษหนักลงไปอีกหรือ บัดนี้ เรารับคำสั่งของพระเซ็กเกียมองนิฮุดโจ๊ให้หันไปทิศบูรพาประเทศจีน แสวงหาผู้ซึ่งมีศรัทธาเลื่อมใสในคุณแห่งพระรัตนตรัยไปเชิญพระไตรปิฎกมาประดิษฐานในบุรพประเทศทิศตะวันออก เจ้าคอยอยู่ที่นี่ แลจงกลับใจปฏิบัติตามพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นสัมมาปฏิปทาเถิด ถ้าคนนั้นมาที่นี่ เจ้าจงตามไปเป็นสานุศิษย์ เราจะทำอภินิหารมิให้อาวุธเกี้ยมแทงเจ้าได้ เมื่อเจ้าไปติดตามท่านผู้นั้นไปได้พระไตรปิฎกแล้วกลับมา ยกคุณความชอบอันลบล้างโทษ จะได้คืนขึ้นไปยังสวรรค์ตามเดิม เราว่าดังนี้ ใจของเจ้าจะเห็นเป็นประการใด
ปิศาจยักษ์ประนมมือแล้วตอบว่า ข้าพเจ้าเห็นชอบด้วยแล้ว จะขอรับประทานปฏิบัติตามที่พระองค์สั่งสอนทุกประการ แล้วพูดต่อไปว่า ข้าพเจ้าอยู่ที่นี้ กินเนื้อคนเสียมากแล้ว เมื่อก่อนมีคนเดินทางนี้ ข้าพเจ้าจับตัวมาถาม คนผู้นั้นบอกว่า จะไปเชิญพระไตรปิฎก ข้าพเจ้าก็หักคอกินเนื้อเสีย แต่ศีรษะขว้างลงไปในแม่น้ำลิ้วซัวฮ้อจมลงไปทั้งสิ้น เพราะแม่น้ำนั้นละเอียด ไม่ว่าสิ่งใดตกลงไปแล้วก็จม ยังมีประหลาดอีกเก้าศีรษะที่คนจะไปอาราธนาพระไตรปิฎก ข้าพเจ้าได้จับกินแล้ว ยังเหลือศีรษะ โยนลงไปในน้ำ ศีรษะคนทั้งเก้าก็มิได้จม ลอยอยู่บนหลังน้ำ ข้าพเจ้าเห็นประหลาด ได้เขี่ยกลับเอาขึ้นมา แล้วเอาเชือกเล็กร้อยแขวนไว้ เวลาสบายว่างธุระก็เอาออกมาดูเล่น ข้าพเจ้าวิตกคิดเห็นว่า คนที่จะมาเชิญพระคัมภีร์ไตรปิฎกนั้นจะไม่อาจเดินทางนี้ ถ้ามิได้มาทางนี้แล้ว จะมิคลาดไปเสียหรือ
พระกวนอิมพูดว่า ทำไมจะไม่ไปทางนี้ ท่านอย่าวิตกเลย จงเอาศีรษะคนทั้งเก้ามาทำเป็นลูกประคำร้อยแขวนคอไว้ เผื่อว่าผู้ที่จะมาอาราธนาพระคัมภีร์ไตรปิฎกนั้นจะมีประโยชน์ใช้ได้บ้างดอกกระมัง
ปิศาจยักษ์จึงบอกว่า ถ้าดังนั้น ข้าพเจ้าจะทำตามถ้อยคำที่ท่านสั่งสอน พระกวนอิมจึงยกหัตถ์ลูบศีรษะยักษ์นั้น แล้วก็ให้ศีลห้าแก่ปิศาจยักษ์ แล้วจึงชี้ทรายนั้นให้ยักษ์ดูว่า จะตั้งแซ่ให้ คือ ในแม่น้ำลิ้วซัวฮ้อนั้น ซัวนั้นคือทราย ทรายนั้นเกิดมาแต่หิน หินนั้นเกิดมาแต่เขา จึงตั้งแซ่ให้เป็นแซ่ซัว นามคือชื่อเรียก หงอเจ๋ง ที่คนทั้งหลายเรียกว่า ซัวเจ๋ง นั้นเอง ในเวลานั้น ซัวหงอเจ๋งได้อยู่ในคำสั่งสอนของพระแล้วก็มีความชื่นชมยินดีหาที่เปรียบมิได้
พระกวนอิมบอกแก่หงอเจ๋งว่า เราจะต้องลาท่านไปก่อน ท่านจงอุตสาหะตั้งใจ ถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง แลรักษาศีลหาไว้ให้มั่นคง จะได้พ้นทุกข์กลับไปเมืองสวรรค์ ซัวหงอเจ๋งก็ตามส่งพระกวนอิมไปจนพ้นเขต แล้วก็คำนับลากลับมายังที่อยู่ของตนตามเดิม
ฝ่ายพระกวนอิมกับฮุยไง้เดินตรงมาทางทิศบูรพา ครั้นมาถึงภูเขาสูงขวางหน้า เห็นอากาศเป็นลมร้ายหมอกมืดมัวฟุ้งขึ้นมา จะเดินต่อไปก็ไม่เห็นหนทาง จึงเหาะขึ้นไปสูง หมายใจจะข้ามเขา ก็ยังหาทันจะข้ามพ้นไปได้ไม่ บังเกิดเป็นลมพายุใหญ่ แลไปข้างหน้าเห็นปิศาจยักษ์หน้าตาดูร้ายคล้ายดังสุกร มีขนแลผมรุงรัง แยกเขี้ยวออกดุจคมมีด ในมือถือสามง่าม ไม่พูดจาว่าอะไร ตรงขึ้นมาจะแทงพระกวนอิม ฮุยไง้แลเห็นดังนั้นก็แกว่งกระบองแซงเข้ามาสกัดหน้า ร้องตวาดว่า อ้ายสัตว์เดรัจฉาน มึงอย่าทำล่วงเกิน จงดูกระบองเหล็กนี้ก่อน
ฝ่ายปิศาจสุกรจึงร้องว่า อ้ายพวกเหล่านี้ไม่รู้จักความตาย เอ็งจงดูสามง่ามนี้บ้างเป็นไร ต่างคนโต้ตอบกันแล้วก็เกิดโทโสขึ้นมาด้วยกัน ไม่รอรั้งตรงเข้าประจัญบานรบกันเป็นสามารถ
พระกวนอิมนั้นลอยดูอยู่บนอากาศ เห็นทั้งสองรบเคี่ยวขับกันไปมาหาเพลี่ยงพลั้งต่อกันไม่ จึงเสกคาถาเป็นดอกบัวขว้างลงมาสกัดกลางแยกคนทั้งสองนั้นให้ออกห่างกัน
ฝ่ายปิศาจเห็นประหลาดดังนั้น ใจก็สะดุ้งหวาดเสียว จึงร้องถามว่า คนที่เหาะลอยอยู่บนอากาศนั้นมาแต่ข้างไหน จึงทำดอกไม้มาล้อเราเล่นดังนี้
ฮุยไง้ได้ยินยักษ์หมูถามดังนั้นจึงบอกว่า นัยน์ตาเจ้าเห็นจะไม่มีแก้วตา เพราะเป็นสัตว์เดรัจฉาน จึงมิได้รู้ว่าท่านผู้ใด เราคือสานุศิษย์ใหญ่ของพระน่ำไฮ้ ที่ขว้างดอกบัวนั้นคือพระกวนอิม เจ้าจำไม่ได้หรือ
ฝ่ายปิศาจสุกรจึงพูดว่า ถ้าเป็นน่ำไฮ้กวนอิมจริงดังเจ้าว่า ก็เป็นผู้โปรดสัตว์ทั้งหลายจริงหรือ
ฮุยไง้ตอบว่า ไม่ใช่ก็ใครเล่า ปิศาจสุกรได้ฟังดังนั้นก็ทิ้งสามง่ามลงกับพื้นดิน แล้วจึงคำนับฮุยไง้ว่า ท่านจงช่วยพาข้าพเจ้าไปคำนับนมัสการพระกวนอิมด้วย ขอท่านจงอภัยแก่ข้าพเจ้าครั้งหนึ่งเถิด
ฮุยไง้จึงชี้ขึ้นไปบนอากาศว่า องค์ที่ลอยอยู่นั้นมิใช่พระกวนอิมหรือ
ปิศาจสุกรจึงแหงนหน้าขึ้นไป เห็นพระกวนอิมยืนลอยอยู่บนเมฆ จึงประนมมือนมัสการ แล้วร้องด้วยเสียงอันดังว่า ขอพระได้โปรดยกโทษให้แก่ข้าพเจ้าเถิด
พระกวนอิมได้ฟังดังนั้นจึงลอยลงมายังพื้นปฐพีดล เดินตรงเข้ามาถามว่า เจ้าเป็นปิศาจมาจากไหน จึงเป็นรูปลักษณ์สุกร ทำไมจึงอาจสามารถมากั้นทางเราดังนี้
ปิศาจสุกรจึงตอบว่า ข้าพเจ้ามิใช่ชาติสุกร เดิมข้าพเจ้าเป็นนายทหารใหญ่ที่ตั้งเรียกว่า เทียนฮองง่วนโซ่ย ได้เป็นผู้รักษาอยู่ในลำน้ำทีฮ้อ เหตุด้วยข้าพเจ้าเมาสุราหยอกนางจันทรเทพธิดา ครั้นทราบถึงเง็กเซียงฮ่องเต้ ท่านก็จับเอาข้าพเจ้าไปทำโทษ เฆี่ยนข้าพเจ้าสองพันที แล้วสาปข้าพเจ้าให้ลงมาในมนุษยโลก ครั้นเมื่อกายข้าพเจ้าจุติลงมา บังเอิญให้หลงทางไป จึงเข้าสู่ท้องแม่สุกร กายข้าพเจ้าจึงแปรเป็นรูปลักษณ์อย่างนี้ ข้าพเจ้ามีความอาย จึงกินแม่สุกรแลฝูงหมูทั้งหลายเสียจนสิ้น จึงได้อาศัยภูเขานี้เป็นที่อยู่ แลคอยจับมนุษย์กินเป็นภักษาหารพอแก้หิว ครั้นมาวันนี้ หมายใจจะเอาท่านเป็นภักษาหารโดยเหตุที่มิได้รู้จักพระองค์ ขอพระองค์ได้โปรดยกโทษข้าพเจ้าพ้นทุกข์ด้วยเถิด
พระกวนอิมจึงถามว่า ภูเขานี้ชื่อว่าภูเขาอะไร ปิศาจสุกรจึงบอกว่า นามเรียกว่า ภูเขาฮกลิ่นซัว ในเขามีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่งเรียกว่า หุ้นจางต๋อง ในถ้ำนั้นเดิมมีปิศาจหญิงอยู่คนหนึ่งเรียกว่า นางหุ้นจางต๋อง เห็นข้าพเจ้ามีฤทธิ์มาก จึงยอมเป็นภรรยา ให้ข้าพเจ้าเป็นสามี ครั้นอยู่มายังไม่ทันถึงปี ภรรยาข้าพเจ้าตาย มรดกในถ้ำนั้นก็ตกอยู่แก่ข้าพเจ้าได้รักษาดูแลทั้งสิ้น ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ก็นานปีนานเดือนมาแล้ว ไม่ทราบว่าสักเมื่อไรจะได้กลับคืนขึ้นไปสวรรค์อย่างเดิม เป็นความจนใจก็ต้องอาศัยอยู่ที่นี้คอยจับมนุษย์กินพอประทังชีวิตไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้น ขอท่านผู้มีบุญญาอภินิหารโปรดช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด
พระกวนอิมจึงพูดว่า มีคำโบราณท่านกล่าวไว้ว่า แม้อยากใคร่หาหนทางข้างหน้าให้ตลอด อย่าทำให้หนทางข้างหน้านั้นเสียไป ตัวทำผิดบนสวรรค์แล้ว ก็ยังไม่กลับใจที่โหดร้ายเสีย ซ้ำกระทำซึ่งการบาปมีฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นต้นอันเป็นอกุศลโทษอยู่อย่างนี้ จะมิเป็นสองโทษขึ้นหรือ
ปิศาจสุกรจึงตอบว่า หนทางข้างหน้านั้น แม้ข้าพเจ้าจะทำตามคำสอนของท่าน ก็ยังขัดอยู่ เพราะโลกย่อมถือว่า ถ้าขัดขวางข้อบังคับ คือ กฎ ประกาศ พระราชบัญญัติ ก็ถูกเฆี่ยน ถูกจำ ปรับ ประหารชีวิต ทำตามพระพุทธบัญญัติคำสอนในพระพุทธศาสนา จะต้องอดอยากทนทรมาน จึงจะทำไปได้ ข้าพเจ้าคิดดู จะสู้จับมนุษย์ที่อ้วน ๆ มากินไม่ได้ ด้วยเนื้อหนังก็อร่อย พวกพี่น้องวงศ์ญาติของเขาก็ไม่เอาโทษ จะมีโทษอะไร สองโทษสามโทษร้อยโทษหมื่นโทษจะมีด้วยอย่างไร
พระกวนอิมจึงพูดว่า แม้ผู้ใดจะประพฤติในทางชอบหรือทางชั่วนั้น เทวดาแลมนุษย์ก็จะไม่เห็น ด้วยผลของความดีแลความชั่วนั้นแลจะบันดาลให้เป็นสุขแลทุกข์เกิดขึ้นให้ปรากฏ อันผู้ที่ประพฤติชอบทางสัมมาวายามะตามองค์มรรค คงจะบันดาลให้ผลเกิดเป็นเครื่องเลี้ยงชีพ แม้ผู้ที่ทำตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เห็นผู้ใดอดอยากลำบากใจ เพราะอาหารในโลกก็ย่อมมีบริบูรณ์พอเป็นยาวชีวังเพื่อระวังทุกขเวทนาได้ หรือบางทีกระทำให้อิ่มเอิบด้วยปีติปราโมชก็มี เช่นที่ที่ได้ฌานแลสมาธิสมาบัติฉะนั้น ท่านก็ไม่ต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแลกินเนื้อมนุษย์ให้ได้ความกระวนกระวายเล่า
ปิศาจสุกรเมื่อได้ฟังพระกวนอิมพูดแนะนำสั่งสอนโดยทางธรรมเช่นนั้น ดุจดังว่าเวลาตื่นขึ้นจากหลับอันประกอบไปด้วยสติแลความรู้สึก จึงยกมือขึ้นนมัสการแล้วว่า ข้าพเจ้ามีความเชื่ออยากจะปฏิบัติตามธรรมในทางพระพุทธศาสนา แต่ขัดอยู่ด้วยโทษที่ข้าพเจ้าทำผิดเท่าฟ้า ไม่แลเห็นทางที่จะให้พ้นโทษได้
พระกวนอิมจึงพูดต่อไปว่า เรารับคำสั่งของพระพุทธเจ้าให้ไปทางทิศบูรพาประเทศจีน แสวงหาผู้มีความเชื่อในคุณแห่งพระรัตนตรัยให้ข้ามไปเชิญพระคัมภีร์พระพุทธศาสนา คือ พระไตรปิฎก มาประดิษฐานในทิศบุรพประเทศ เจ้าจงสามิภักดิ์เป็นสานุศิษย์ติดตามท่านผู้นั้น เมื่อการสำเร็จดังประสงค์แล้ว จะได้อาศัยคุณความชอบนั้นมาหักล้างลบโทษที่กระทำผิด เราจะช่วยขอให้ตัวเจ้าพ้นโทษ จะไม่ดีกว่าประพฤติชั่วร้ายอยู่อย่างนั้นหรือ
ปิศาจสุกรจึงร้องขึ้นเต็มปากว่า ข้าพเจ้าจะขอติดตามท่านผู้นั้นไป ตามแต่ท่านจะเห็นชอบเถิด
พระกวนอิมจึงยกพระหัตถ์ลูบศีรษะยักษ์สุกรนั้น แล้วก็ให้ยักษ์สมาทานศีลห้า จึงตั้งแซ่แลชื่อให้ตามที่ตัวเป็นมนุษย์ หน้าเป็นสุกร ว่า แซ่ตือ ตือนั้นคือ สุกร หรือหมู นามนั้นเรียกว่า หงอเหนง ครั้นให้แซ่แลชื่อแล้ว จึงให้กินเครื่องกระยาบวช คือ เครื่องแจ ละเว้นซึ่งการทุจริตในกาย วาจา ใจ แล้วสั่งว่า เจ้าจงคอยอยู่ที่นี่ ถ้าผู้จะไปเชิญพระไตรปิฎกคัมภีร์พระพุทธศาสนามาถึงนี้แล้ว เจ้าจงเข้าสามิภักดิ์เป็นศิษย์ติดตามไปด้วย ตัวเจ้าก็จะพ้นทุกข์ได้ความสุขสืบต่อไปภายหน้า
ตือหงอเหนงเมื่อได้รับศีลแลได้ฟังพระกวนอิมชี้แจงให้ฟังทุกประการดังนั้นแล้ว ก็ยกมือขึ้นนมัสการกำหนดไว้ในใจด้วยความยินดีเชื่อถือ พระกวนอิมก็ออกจากที่นั้นไป ตือหงอเหนงก็ตามส่งไปจนสิ้นเขตแดน แล้วก็นมัสการลากลับไปยังสำนักที่อยู่เดิมแห่งตน
ฝ่ายพระกวนอิมกับฮุยไง้พร้อมกันเหาะขึ้นยังกลางอากาศตรงมาทางทิศบูรพา ในเวลานั้น แลเห็นมังกรตัวหนึ่งแขวนอยู่กลางอากาศ มีเสียงร้องเรียกว่า พระจงช่วยข้าพเจ้าด้วย
พระกวนอิมได้เห็นแล้วเหาะเข้ามาใกล้ จึงถามว่า เจ้าเป็นมังกรที่ไหน จึงมาต้องโทษอยู่ที่นี่
มังกรจึงบอกว่า ข้าพเจ้าเป็นบุตรของพระยาเล่งอ๋องชื่อว่า หยุน อยู่ในมหาสมุทรทิศปราจิน ข้าพเจ้ามีความน้อยใจบิดาว่าไม่รักบุตรเสมอกัน เมื่อข้าพเจ้าคิดผิดฉะนี้แล้วจึงได้เอาไฟจุดปราสาทของบิดา ครั้นเพลิงไหม้ปราสาทนั้นเสียแล้ว บิดาข้าพเจ้าจึงไปทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ เง็กเซียงฮ่องเต้ทรงพระพิโรธ ให้จับข้าพเจ้ามาแขวนไว้ในกลางอากาศ พรุ่งนี้ก็จะเอาตัวข้าพเจ้าไปประหารชีวิตเสีย ขอท่านได้กรุณาโปรดช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด
พระกวนอิมได้ฟังมังกรบอกดังนั้น จึงพูดแก่มังกรว่า เจ้าจงคอยเราก่อน เราจะขึ้นไปทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ขอโทษให้ ว่าแล้วก็พยักหน้า ฮุยไง้ก็เหาะตามขึ้นไปยังประตูนำทีหมึง ครั้นถึงก็ตรงเข้าไปยังปราสาทเหลงเซียวเต้ย พระกวนอิมจึงบอกแก่ คู เตียว เทียนซือทั้งสอง ให้นำเฝ้า เทียนซือจึงนำพระกวนอิมเข้าไปยังที่เฝ้า
ครั้นถึง กำลังเง็กเซียงฮ่องเต้ประทับอยู่ พระกวนอิมจึงทูลว่า ขอถวายพระพร อาตมภาพมาทั้งนี้โดยรับสั่งของสมเด็จพระเซ็กเกียมองนิฮุดโจ๊ให้ไปยังทิศบูรพาประเทศจีน แสวงหาผู้ที่มีศรัทธาเลื่อมใสในคุณแห่งพระรัตนตรัยข้ามไปมัชฌิมประเทศเชิญพระปริยัติธรรมทั้งสามปิฎกไปประดิษฐานในประเทศทิศตะวันออก อาตมภาพเหาะมากลางอากาศ พบบุตรพระยาเล่งอ๋องต้องโทษแขวนอยู่กลางอากาศ อาตมภาพขอถวายพระราชกุศลในมหาบพิตร จะขอบิณฑบาตซึ่งชีวิตมังกรผู้นั้นไว้ เพื่อจะได้ใช้ให้ตามไปเป็นพาหนะแก่ผู้จะมาเชิญพระพุทธศาสนาไปประดิษฐานในทิศตะวันออก เพื่อโทษของมังกรตัวนั้นจะได้บรรเทาเบาบางลงบ้าง แลทั้งจะได้กุศลแก่มหาบพิตรด้วย ควรมิควร ขอถวายพระพร
เง็กเซียงฮ่องเต้เมื่อได้ฟังพระกวนอิมถวายพระพรขอโทษมังกร ทรงเห็นเป็นการกุศลแลทั้งเป็นประโยชน์ด้วย จึงรับสั่งแก่ทิเจียงกุนเทพบุตรให้ไปแก้มัดมังกรมอบให้พระกวนอิมไปตามซึ่งพระกวนอิมขอ
พระกวนอิมได้ฟังดังนั้นก็ถวายพระพรลาเง็กเซียงฮ่องเต้พร้อมด้วยทิเจียงกุน เหาะไปยังที่มัดมังกร ครั้นถึง เจียงกุนก็แก้มัดมังกรออก แล้วมอบตัวให้แก่พระกวนอิม เสร็จแล้วก็นมัสการลากลับไปยังดาวดึงส์
ฝ่ายพระกวนอิมจึงสั่งมังกรนั้นว่า จงอาศัยอยู่ในลำแม่น้ำนี้ คอยกว่าคนที่จะมาเชิญพระไตรปิฎกมาทางนี้ จะได้เป็นศิษย์ติดตามไปด้วย
ฝ่ายมังกรครั้นได้รอดชีวิตแล้วก็มีความยินดี จึงถวายนมัสการขอบคุรพระ แล้วจึงพูดว่า ข้าพเจ้าจะคอยอยู่ที่นี้ กว่าท่านผู้นั้นจะมา ว่าแล้วก็นมัสการลาพระกวนอิมกลับไปยังที่อาศัยสำนักนั้นเดิม
ฝ่ายพระกวนอิมครั้นมังกรลากลับไปแล้วจึงชวนฮุยไง้เหาะตรงไปยังทิศบูรพาประมาณสักสองวัน แลไปข้างหน้าเห็นสีรัศมีฟุ้งขึ้นเป็นสีทองระยับงามประหลาดต่าง ๆ ฮุยไง้จึงบอกแก่พระอาจารย์ว่า ที่รัศมีพลุ่งขึ้นมานั้นเห็นจะเป็นภูเขาเง้าเห้งซัว บนยอดเขานั้นมียันต์ปิดอยู่ ยันต์นั้นสมเด็จพระเซ็กเกียมอนิฮุดโจ๊ให้พระออนันมาปิดไว้
พระกวนอิมจึงพูดว่า ที่นี้คือเมื่อเกิดความวุ่นวายเดือดร้อนบนวิมานสวรรค์ คือซีเทียนไต้เซียต้องประจุอยู่ในเขานั้น พระกวนอิมกับฮุยไง้พูดกันแล้วจึงลอยลงที่ภูเขา แล้วจึงเดินมาที่ปิดยันต์นั้น ดูในแผ่นยันต์มีอักษรหกตัว คือ ง่ายมอนิปัดมิฮอง พระกวนอิมดูแล้วจึงทำโคลงเขียนที่แผ่นผาเป็นโคลงที่บท บทที่หนึ่งว่า คำถางเกียวเก้าปุ๊ดฮ่องกง แปลว่า โอ้โอ๋ วานรไม่รักทางดีอยู่ในบังคับ บทที่สองว่า ดิ่งนี้กวงบ๋องซิ้นเองฮ้อง แปลว่า เมื่อปีเป็นบ้าหลังทำอวดเก่ง บทที่สามว่า จือเช่าหงอฮุดอยู่ไล้ขุ่น แปลว่า ต้องด้วยพระองค์เจ้าบังคับอยู่ บทที่สี่ว่า ท้อยิดซือซินจ้ายเหี้ยนกัง แปลว่า ไม่รู้ว่าอันใดจะรอดพ้นกลับดีใหม่
ในเวลาที่พระกวนอิมกับฮุยไง้พูดกันอยู่นั้น ก็ได้ยินถึงเกาซีเทียน เกาซีเทียนติดอยู่ในที่ถิ่นเขา ได้ยินดังนั้น จึงร้องถามขึ้นมาด้วยเสียงอันดังว่า ผู้ใดอยู่บนยอดเขานั้น นินทาข้าพเจ้าด้วยเหตุประการใด
พระกวนอิมได้ยินดังนั้นจึงเดินลงมาที่ตีนขา เที่ยวค้นหาก็หาพบเห็นผู้ใดไม่
ฝ่ายพระภูมิเจ้าที่แลเทพารักษ์ทั้งหลายก็พร้อมกันมานมัสการพระกวนอิม พระกวนอิมจึงถามหมู่เทพยดาว่า เสียงอันใดร้องถามออกมาเมื่อตะกี้ พระภูมิเจ้าที่กับเทพารักษ์จึงบอกว่า เสียงซีเทียนไต้เซียซึ่งตกอยู่ในเขานี้ พูดแล้วก็นำพระกวนอิมกับฮุยไง้ไปยังที่ซีเทียนติดอยู่นั้น
เดิมเมื่อแรกซีเทียนจะติดอยู่นั้น ตัวมือเท้าติดอยู่ในหิน แต่ศีรษะโผล่ออกมาได้เพียงคอ ปากพูดได้ ตัวกระดิกไม่ได้
พระกวนอิมจึงถามว่า แซ่ซึงเจ้าจำเราได้หรือไม่ เกาซีเทียนจึงเหลือบตาดู แล้วยกศีรษะสัปหงกเหมือนคำนับ แล้วพูดว่า ทำไมข้าพเจ้าจะจำท่านไม่ได้ ท่านคือน้ำไฮ้โพ้ท้อซัว คือ พระกวนอิม ขอบพระคุณท่านได้อุตส่าห์มาเยือนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าติดอยู่นานปีนานวันมาแล้ว ไม่มีผู้ใดมาเยือนสักครั้งหนึ่งเลย ท่านจะไปข้างไหนหรือ จึงมาถึงที่นี่
พระกวนอิมจึงตอบว่า เรารับคำสั่งของพระ จะไปยังทิศบุรพประเทศจีน แสวงหาผู้มีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา จะได้ไปนำพระคัมภีร์ไตรปิฎกมาประดิษฐานในฝ่ายทิศบูรพา เพราะฉะนั้น เราจึงต้องเดินข้ามเขามาทางนี้ จึงได้แวะมาเยือนเจ้า
เกาซีเทียนจึงว่า ท่านยูไลมีความดูถูกข้าพเจ้าเหลือเกิน จับข้าพเจ้าครอบติดอยู่ที่นี่ประมาณกว่าห้าร้อยปีแล้ว ไม่กระดิกพลิกแพลงไหวติงได้เลย ขอท่านได้ช่วยข้าพเจ้าด้วยอุบายอันใดก็ตามโดยความกรุณาเมตตาแห่งจิตท่าน พอได้พ้นจากที่นี้ พระคุณของท่านจะอยู่แก่ข้าพเจ้าชั่วฟ้าแลดิน
พระกวนอิมได้ฟังซีเทียนพูดอ้อนวอนดังนั้นจึงพูดว่า โทษของเจ้าเท่าฟ้าแลดิน ถ้าเราช่วยเจ้าออกได้ เกรงว่าเจ้าจะไม่ละพยศร้าย จะทำให้เกิดความวุ่นวายมีเหตุขึ้นอีก เราก็จะพลอยมัวหมองเสียไปด้วย
เกาซีเทียนจึงพูดว่า ข้าพเจ้ารู้สึกตัวกลับใจได้แล้ว แม้ท่านช่วยออกได้แล้ว ข้าพเจ้าจะอยู่ในถ้อยคำของท่านทุกอย่างทุกประการ ขอท่านได้กรุณา ทั้งข้าพเจ้าก็จะถือในทางชอบธรรมตามพระพุทธศาสนากว่าชีวิตข้าพเจ้าจะหาไม่
พระกวนอิมได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดียิ่งนัก จึงพูดแก่เกาซีเทียนว่า เจ้ามีความเห็นชอบคิดกลับใจได้ดังนั้นก็ควรแล้ว แต่เจ้าต้องรอคอยเราอยู่ที่นี่ก่อน ตัวเราจะไปยังประเทศจีน หาผู้ซึ่งมีศรัทธาในพระรัตนตรัยไปเชิญพระไตรปิฎกในประเทศทิศตะวันตก ถ้าคนผู้นั้นมาถึงที่นี่แล้ว คงจะช่วยเจ้าให้ออกจากเขานี้ เจ้าจงตามท่านผู้นั้นไปเป็นสานุศิษย์ ดังนี้จะหรือไม่
เกาซีเทียนได้ฟังพระกวนอิมพูดดังนั้นมีความยินดีเป็นที่สุด จึงพูดว่า ควรแล้ว ข้าพเจ้าจะขอตามไปปฏิบัติในพระพุทธศาสนาด้วย
พระกวนอิมจึงพูดว่า ถ้ากระนั้น เจ้าก็ตั้งอยู่ในทางสัมมาทิฐิแล้ว เราจะตั้งนามเจ้าให้ ซีเทียนจึงตอบว่า ข้าพเจ้ามีชื่ออยู่แล้ว เรียกว่า ซึงหงอคง
พระกวนอิมได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงพูดต่อไปว่า เมื่อเรามาตามทางนั้น มีคนสองคนเข้ารับรักษาศีล เราตั้งนามเรียกชื่อว่า หงอเจ๋ง คนหนึ่ง หงอเหนง คนหนึ่ง ก็เป็นอักษรเดียวกันแก่เจ้า ดีแล้ว เจ้าจะได้ร่วมหนทางไปด้วยกัน ถ้ากระนั้น เราจะรีบไปก่อน
เกาซีเทียนในเวลานั้นก็เกิดปีติโสมนัสแจ่มแจ้งในสันดานเป็นที่ยิ่ง ผงกศีรษะคำนับพระกวนอิมโดยความชื่นชม
ฝ่ายพระกวนอิมออกจากเขาเง้าเห้งซัวด้วยฮุยไง้ เหาะตรงมายังทิศบูรพาไม่ถึงวันก็มาถึงประเทศจีนถึงเมืองเชียงอาน พระกวนอิมกับฮุยไง้ก็สำรวมกิริยาเป็นหลวงจีนมีโรคขี้เรื้อนกุฏฐังควรที่คนทั้งหลายจะพึงเกลียด เสร็จแล้วก็เดินตรงเข้ามายังเมืองเชียงอาน ครั้นเข้าไปในประตูเมืองได้แล้ว เวลาก็จวนค่ำ รีบเดินทางข้ามริมตลาดใหญ่ แลเห็นศาลเจ้าศาลหนึ่ง พระกวนอิมกับฮุยไง้ก็พากันเดินตรงเข้าไปในศาล
ฝ่ายพระภูมิเจ้าที่ แลเจ้าหลักเมือง เจ้ารักษาเมือง กับบริวารทั้งหลาย เห็นพระกวนอิมเข้ามา ต่างก็ตกใจวุ่นวาย พร้อมกันมาคำนับ แล้วพระภูมิจึงให้บริวารไปบอกกันทุก ๆ ศาลให้รู้ทั่วกัน เจ้าต่างศาลทุกศาลครั้นได้ทราบแล้วต่างก็พร้อมกันมาคำนับพระกวนอิม พระกวนอิมจึงสั่งแก่เจ้าทั้งหลายว่า อย่าให้บอกเล่าแก่ผู้ใดให้รู้เหตุว่าเรามา เพราะอาตมภาพรับคำสั่งของสมเด็จพระเซ็กเกียมองนิฮุดโจ๊มาในเมืองนี้ หาผู้ซึ่งประพฤติทางวิสุทธิมรรค จะได้ไปในประจิมทิศเชิญพระคัมภีร์ไตรปิฎกมาประดิษฐานในทิศบูรพา เราขออาศัยศาลสักสองสามวันกว่าธุระจะสำเร็จแล้วก็จะลากลับไป
หมู่เจ้าแลเทพาอารักษ์ทั้งหลายได้ทราบดังนั้นก็มีความยินดี ต่างถวายนมัสการกลับไปยังที่อยู่แห่งตน ๆ
ฝ่ายพระกวนอิมกับฮุยไง้แปลงกายซ่อนเร้นอาศัยในศาลพระภูมิอยู่ต่อมา