แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดูเอกสารกำกับแม่แบบ)

หน้า ๑–๑๕ สารบัญ



หน้าต้น
ไซอิ๋ว เล่ม ๔


ฝ่ายเห้งเจียเมื่อมาจากพระอาจารย์ เดินพลางหัวเราะพลาง มีกิริยาชื่นบาน เข้ามายังหอรับแขก ฝ่ายโป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง เห็นเห้งเจียกลับมา ก็พากันออกมาต้อนรับ จึงถามว่า พี่เห้งเจียกลับมา ทำไมไม่เห็นอาจารย์มาด้วยเล่า พี่ชอบใจอะไรหรือ จึงได้หัวเราะร่าเริงมาดังนี้ เห้งเจียตอบว่า อาจารย์ท่านมีความสำราญของท่านแล้ว โป๊ยก่ายถามว่า ท่านสำราญอย่างไร เห้งเจียว่า พี่กับอาจารย์เดินเข้าไปในพระราชวัง พอถึงที่หอสูง บังเอิญนางกงจู๊ออกมาอยู่บนหอนั้นทิ้งตะกร้อแพรเสี่ยงทายหาคู่ บังเอิญถูกอาจารย์เข้า พระอาจารย์ก็ถูกพวกขันทีกับสาวใช้แห่เอาไปไว้ในพระราชวัง จะอภิเษกให้เป็นราชบุตรเขย อย่างนั้นจะไม่สำราญอย่างไรเล่า โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้น ก็กระทืบเท้าทุบอก พูดว่า น่าเสียดายจริง ๆ หากว่าเราไปด้วย นางกงจู๊ขว้างตะกร้อมาทางนั้นถูกเรา นางก็จะเอาเราไว้เป็นสามี จะมิงามหน้าหรือ แลจะมีความสุขสำราญไม่น้อย อย่างนี้จะหาที่ไหนได้ ซัวเจ๋งได้ฟังดังนั้น ก็ตรงเข้าหยิกเอาแก้มโป๊ยก่าย แล้วพูดว่า ช่างไม่อายแก่ใจเลย พูดออกมาได้ฉะนี้ มีน่าอวดอ้างพูดจาว่า อยากจะได้ผู้หญิงที่รูปงาม หาความพูดโยกโย้ให้เนิ่นช้า ไม่เข้าการ โป๊ยก่ายจึงด่าซัวเจ๋งว่า อ้ายหน้าสีหมอก ไม่รู้จักของดี เห้งเจียจึงด่าโป๊ยก่ายว่า อ้ายหมู มึงอย่าพูดมาก จงรีบเก็บข้าวของรวบรวมไว้ ถ้าอาจารย์จะเรียกให้เข้าไปในวัง จะได้ป้องกันรักษาอาจารย์ โป๊ยก่ายว่า พี่พูดดังนั้นจะมิผิดไปหรือ พระอาจารย์นั้นเธอได้เป็นพระราชบุตรเขยของพระเจ้าแผ่นดินแล้ว เป็นที่สุขสำราญมิใช่หรือ มิใช่ทางป่าทางเขามีภูตผีปิศาจยักษ์ร้ายอะไรที่ไหน จึงจะต้องพิทักษ์รักษาเธอทำไม กำลังโป๊ยก่ายพูดอยู่นั้น ขุนนางรับแขกหน้าหอเข้ามาบอกว่า มีรับสั่งให้ขุนนางมาเชิญท่านทั้งสามเข้าไปในพระราชวัง โป๊ยก่ายจึงถามว่า ท่านทราบหรือไม่ว่า มีรับสั่งให้พวกข้าพเจ้าเข้าไปทำไม ขุนนางรับแขกแจ้งความว่า บัดนี้ นางกงจู๊ออกไปเสี่ยงทายหาคู่ บังเอิญทิ้งตะกร้อไปถูกท่านอาจารย์ เพราะนางจะใคร่ได้พระอาจารย์เป็นสามี เพราะฉะนั้น พระเจ้าแผ่นดินจึงมีรับสั่งให้หาตัวท่านทั้งสามเข้าไปเฝ้า เห้งเจียบอกว่า ให้เธอเข้ามาเถิด ขุนนางผู้ถือรับสั่งจึงเข้ามาข้างใน แลเห็นเห้งเจียก็ลดตัวลงคำนับ ไม่กล้าแลดูหน้าเห้งเจีย ก้มหน้าบ่นพึมพำว่า นี่ผีปิศาจยักษ์มารอะไรก็ไม่รู้ เห้งเจียร้องถามว่า ท่านผู้นั้นมีกิจธุระประการใด ทำไมจึงไม่พูดเล่า มานั่งบ่นพึมพำว่ากระไร ขุนนางผู้นั้นอกใจให้ตึกตักเต้นระวัว สองมือถือลายพระหัตถ์ ปากพูดวุ่นวายเลอะเทอะว่า นางกงจู๊ขอเชิญท่านไปประชุม โป๊ยก่ายว่า ข้าพเจ้าไม่มีหลักคา แลไม่มีอำนาจอาญาจะเฆี่ยนตีท่าน ท่านไม่ต้องกลัว จงค่อย ๆ พูดเถิด เห้งเจียพูดว่า เขาจะกลัวเฆี่ยนตีอะไร เขากลัวหน้าตาเจ้าดุร้ายต่างหาก เจ้าอย่าชักช้า จงรีบรวบรวมข้าวของจูงม้าเข้าไปหาอาจารย์ จะได้คิดอ่านกันต่อไป เห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง ทั้งสามคนพร้อมกันมากับขุนนางที่มาตามเข้าไปยังพระราชวังใน ครั้นถึงพระทวาร เจ้าพนักงานก็เข้าไปกราบทูลพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าแผ่นดินก็โปรดให้พาคนทั้งสามเข้าไปเฝ้า เห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง ทั้งสามเข้าไปยืนเรียงกันอยู่ ทั้งสามหาได้คำนับไม่ พระเจ้าแผ่นดินจึงตรัสถามว่า สานุศิษย์ของท่านเขยทั้งสามนี้ชื่อเรียงเสียงใด อยู่แห่งหนตำบลไหน เหตุใดจึงได้เข้ามาถือบวช จะไปข้างไหน เห้งเจียได้ฟังถามดังนั้น จะใคร่ขึ้นไปให้ใกล้ แต่ขุนนางรักษาองค์ทั้งนั้นร้องห้ามว่า ไม่ควรจะขึ้นไป จะเพ็ดทูลประการใดก็จงอยู่แต่ข้างล่างเถิด เห้งเจียหัวเราะ จึงพูดว่า ถือบวชควรได้ก้าวหนึ่ง ก็ไปก้าวหนึ่ง โป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง ก็พากันเดินตามเห้งเจียไปยืนเรียงกันอยู่ พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นวิตกเกรงจะวุ่นวายกันขึ้น จึงเดินมาร้องห้ามสานุศิษย์ทั้งสามว่า จะพูดจาประการใดก็จงอยู่ข้างล่างเถิด เห้งเจียเห็นอาจารย์ยืนเฝ้าอยู่ดังนั้นมีอาการลำบาก อดไม่ได้ ก็พูดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า พระเจ้าแผ่นดินมีความหมิ่นประมาทตน เมื่อหวังใจอยากจะได้อาจารย์ของข้าพเจ้าไว้เป็นเขยแล้ว ทำไมจึงให้เธอยืนเฝ้าอยู่อย่างนี้ ธรรมดาโลกถ้าจะเป็นบุตรเขย จะนั่งเฝ้าไม่ได้หรือ พระเจ้าแผ่นดินได้ยินเห้งเจียพูดดังนั้นตกประหม่า ให้มีพระทัยครั่นคร้าม จะใคร่เสด็จกลับเข้าข้างใน แต่วิตกเกรงจะเสียทางราชการ จึงอุตส่าห์แข็งพระทัยประทับอยู่ แล้วมีรับสั่งให้ขันทียกเก้าอี้มาตั้ง นิมนต์ให้พระถังซัมจั๋งนั่ง เห้งเจียเห็นดังนั้น จึงทูลว่า ข้าพเจ้าเดิมอยู่ทิศบูรพา เมืองเง่าล่ายก๊ก ตำบลเขาฮวยก๊วยซัว บิดาคือฟ้า มารดาคือดิน ศิลาแยกออกเกิดตัวข้าพเจ้า ครั้นเติบใหญ่ได้ไปหาผู้วิเศษเรียนคุณวิทยาการได้สำเร็จ แล้วกลับมาอยู่ที่ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋อง ลงในทะเลใหญ่ปราบพระยานาค ขึ้นบนเขากำจัดสัตว์ร้ายแลปิศาจ รับตำแหน่งเป็นขุนนางที่ตั้งซีเทียนไต้เซีย ทุก ๆ วันประชุม เล่นแก่เทพบุตร อยู่สำราญสนุกทุกทิวาราตรีกาล กระทำการผิดเมื่อเวลาเลี้ยงโต๊ะชมพู่ทิพย์ พระพุทธเจ้าจับขังไว้ที่ใต้เขาเง้าเห้งซัว ทรมานอดอยากอยู่ห้าร้อยปี ท่านอาจารย์จะไปไซทีอาราธนาพระธรรม พระโพธิสัตย์กวนอิมสั่งให้ถอดข้าพเจ้าออกพ้นภัย จึงได้เข้าบวชถือเพศทางสมณะเป็นสัมมาทิฐิ ฉายาเดิมข้าพเจ้าชื่อ หงอคง แลเห้งเจีย ดังนี้ พระเจ้าแผ่นดินได้ฟังเห้งเจียกล่าวประวัติปรากฏดังนั้น ก็เสด็จลงจากบัลลังก์มาลูบไล้พระถังซัมจั๋ง แล้วตรัสว่า เป็นนิสัยอันใหญ่ยิ่งที่ข้าพเจ้าได้มาพบท่านเขย มีศิษย์สาวกเทวดาอย่างนี้หาที่ไหน พระถังซัมจั๋งก็ขอบคุณ แล้วเชิญให้เสด็จขึ้นประทับบนพระที่นั่งดังเดิม พระเจ้าแผ่นดินจึงตรัสถามต่อไปว่า ท่านผู้ไหนเป็นสานุศิษย์ที่สอง โป๊ยก่ายยื่นหน้าร่าเริงพูดว่า ข้าพเจ้าชาติปางก่อนเป็นมนุษย์ มีจิตแก่กล้าไปด้วยราคจริต มิได้รู้สึกโทษ เวลานั้น บังเอิญพบผู้วิเศษอายุได้ห้าสิบปีเศษ ได้ชี้แจงแสดงธรรมให้ฟัง จึงได้เปลื้องปลดซึ่งความหลง ก็ตามอาจารย์ไปปฏิบัติได้สิบหกปี สำเร็จภาคตามประสงค์ เหาะเหินเดินอากาศได้ พึ่งพระเดชพระคุณพระสยมภูวญาณเง็กเซียงฮ่องเต้ ทรงตั้งให้เป็นที่แม่ทัพเรือที่ผ่องง่วนโซ่ย เป็นผู้บังคับการในลำแม่น้ำทีฮ้อ ก็เป็นความสุข เหตุมีความผิดด้วยเมื่อเวลาเลี้ยงโต๊ะชมพู่ทิพย์ เสพสุราทิพย์ให้มึนเมาจนลืมสติไปหยอกนางเทพธิดา จึงต้องปรับโทษถอดจากที่ขุนนางแม่ทัพ ให้จุติลงมาในมนุษยโลก บังเอิญเข้าปฏิสนธิในท้องแม่สุกร อาศัยอยู่ที่เขาฮกกิมซัว ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตกระทำการหยาบช้าต่าง ๆ เวลาหนึ่ง ได้พบพระโพธิสัตว์กวนอิมโปรดเทศนาชี้แจง จึงได้กลับใจถือเพศบวชปฏิบัติทางสมณธรรม พบพระอาจารย์จะไปไซที อาราธนาธรรมที่ประเทศไซที จึงได้ตามมาเป็นสานุศิษย์ ฉายาเดิม ตือหงอเหนง แลโป๊ยก่าย ดังนี้ พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟัง มีพระทัยหวั่นหวาด ไม่อาจจะแลดูหน้าโป๊ยก่าย โป๊ยก่ายก็ยกศีรษะร่าเริงขึ้นแกว่งกวัด หูก็ชันขึ้นพัดโบกไปมา แลหัวเราะก๊ากใหญ่ พระถังซัมจั๋งวิตกเกรงว่า พระเจ้าแผ่นดินจะตกพระทัย จึงตวาดห้ามโป๊ยก่ายว่า จงสำรวมอิริยาบถ อย่ากระทำให้วุ่นวายไป หาสมควรไม่ โป๊ยก่ายก็พนมมือสำรวมจิตยืนเฝ้าอยู่เป็นปรกติ พระเจ้าแผ่นดินทรงถามว่า สานุศิษย์ที่สามนั้นเป็นอย่างไรจึงได้เข้าถือเพศบวช ซัวเจ๋งพนมมือทูลว่า ข้าพเจ้าเป็นปุถุชน กลัวความเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร จึงได้เที่ยวสืบเสาะตามละเมาะ เกาะ แลเขา หาอาจารย์เพื่อเรียนธรรมอันระงับดับความฟุ้งซ่านตั้งจิตรักษาอยู่เนือง ๆ มิได้ขาด อยู่มาวันหนึ่ง พบอาจารย์ผู้วิเศษสอนวิชาญาณอันแกล้วกล้า ข้าพเจ้าตั้งใจปฏิบัตินานวัน ก็ได้สำเร็จภาค เหาะเหินเดินอากาศได้ จึงขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ กระทำความเคารพเง็กเซียงฮ่องเต้ พระองค์ได้ทรงโปรดชุบเลี้ยงตั้งให้เป็นขุนนางราชองครักษ์ เหตุเมื่อวันหนึ่ง เทพยดากำลังประชุม ข้าพเจ้ายกคนโทแก้ววิเศษถวายเง็กเซียงฮ่องเต้ บังเอิญพลาดมือตกแตก พระองค์จึงปรับโทษถอดจากที่ขุนนาง สาปให้ลงมาในมนุษยโลก ทรมานทุกข์อยู่ในแม่น้ำลิ้วซัวฮ้อ กระทำกรรมสร้างเวรอยู่เนืองนิตย์ มาวันหนึ่ง พบพระโพธิสัตว์กวนอิมชี้แจงชักนำ จึงได้รับศีลปฏิบัติ ภายหลังมาพบพระอาจารย์มาจากเมืองไต้ถัง จึงได้ตามมาเป็นสานุศิษย์ ฉายาเดิม หงอเจ๋ง ชื่อ ซัวเจ๋ง

พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังดังนั้น มีพระทัยครั่นคร้าม แลทั้งโสมนัสยินดีที่บุตรได้สามีเป็นผู้มีอภินิหาร เวลานั้น พอพนักงานเข้ามาทูลว่า วันขึ้นสิบสองค่ำเป็นวันมหามงคล ควรจะทำการได้ พระเจ้าแผ่นดินจึงตรัสถามว่า วันนี้เป็นวันอะไร ขุนนางโหรจึงทูลว่า วันนี้เป็นวันขึ้นแปดค่ำ เป็นวันดี ควรประชุมซึ่งนักปราชญ์ พระเจ้าแผ่นดินมีความยินดี จึงรับสั่งให้ขุนนางกรมวังชำระปัดกวาดในพระราชอุทยานแลห้องหอไว้สำหรับจะได้จัดการวิวาหมงคล แล้วรับสั่งให้เชิญอาจารย์กับสานุศิษย์เข้าไปพักพระราชทานอุทยานก่อน เมื่อถึงเวลาแล้ว จะได้จัดการอภิเษกสยุมพร ขุนนางก็ไปจัดสวนดอกไม้ตามรับสั่งทุกประการ ส่วนพระเจ้าแผ่นดินเมื่อรับสั่งเสร็จแล้วก็เสด็จเข้าข้างใน

ฝ่ายข้าราชการก็พากันไปจัดการต่าง ๆ ตามรับสั่ง เสร็จแล้วจึงนิมนต์พระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสามเข้าไปพักในพระราชอุทยาน เวลาจวนค่ำ เจ้าพนักงานก็จัดน้ำร้อนน้ำชามาถวายพระถังซัมจั๋ง แลจัดเครื่องโต๊ะมาเลี้ยงศิษย์ทั้งสาม โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็มีความยินดี แล้วพูดว่า วันนี้ จะต้องกินให้อิ่มเต็มที่ เครื่องโอชารสทั้งคาวแลหวานที่จัดมาเลี้ยงนั้นโป๊ยก่ายก็กินจนท้องกาง ครั้นกินเสร็จแล้ว เจ้าพนักงานก็ปูลาดอาสนะที่นอนหมอนมุ้งแลจุดโคมตะเกียง

ฝ่ายพระถังซัมจั๋ง เวลากลางคืน ผู้คนสงบแล้ว จึงบ่นว่า เห้งเจียอ้ายชาติลิงไม่มีดี ทุก ๆ ทีทำให้เราได้ความยากลำบากดังนี้ จะตรงเข้าไปขอเปลี่ยนหนังสือก็แล้วกัน จะมิได้มีเหตุยากลำบากอย่างนี้เลย เจ้าทำไมจึงมุ่งหมายให้เราไปที่หอนั้น บัดนี้ เกิดเหตุการณ์ขึ้นดังนี้แล้ว เจ้าจะคิดต่อไปอย่างไรเล่า เห้งเจียหัวเราะแล้วจึงพูดว่า ท่านอาจารย์เคยพูดว่า มารดาของท่านเดิมมาก็ได้ทำอย่างนี้เหมือนกัน เป็นแบบแผนมาแต่โบราณ ข้าพเจ้าคิดถึงคำของท่านเจ้าวัดเป๊ากิมเสียนยี่ เพราะฉะนั้น จึงเข้าไปให้ใกล้หอเพื่อจะได้พิจารณาดูให้รู้ว่า จะเท็จหรือจริง ข้าพเจ้าได้พิเคราะห์ดูเจ้าเมืองเห็นสีพระพักตร์มัวหมอง แต่ยังมิได้เห็นนางกงจู๊นั้นว่า จะเป็นประการใด พระถังซัมจั๋งถามว่า เห้งเจียจะใคร่เห็นนางกงจู๊นั้นด้วยจะมีกิจธุระประการใดหรือ เห้งเจียตอบว่า แม้ว่าข้าพเจ้าได้เห็นนางกงจู๊แล้ว จะพิเคราะห์ดูด้วยทิพจักษุอันพิเศษ ก็อาจรู้ได้ว่า ร้ายหรือดี เราจึงจะได้คิดกลอุบายต่อไปได้ พระถังซัมจั๋งถามว่า ก็เวลานี้เขาจะใคร่เอาอาตมภาพไว้เป็นเขย จะคิดอย่างไรเล่าจึงจะพ้นไปได้ เห้งเจียตอบว่า คอยรอให้ถึงวันขึ้นสิบสองค่ำ เข้าประชุมการเอิกเกริกวิวาหการ นางกงจู๊ก็คงออกมาไหว้บิดามารดาเป็นแน่ ข้าพเจ้าจะแอบดูอยู่ข้างอาจารย์ หากว่านางกงจู๊เป็นหญิงแท้ อาจารย์ก็รับเป็นสามีนางแลอยู่เป็นเจ้านายเขาเถิด พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็มีความโกรธ จึงด่าว่า อ้ายชาติลิง เจ้าช่างหาความชั่วร้ายมาให้เราดังนี้ เหมือนคำโป๊ยก่ายพูดว่า สิบชั้นฟ้า เราขึ้นมาได้เก้าชั้นแล้ว เจ้าอาความสามหาวมาพูดแชเชือดังนี้ ควรแลหรือ หากว่าพูดอย่างนี้ต่อไป เราจะภาวนาให้ถึงใจของเจ้า เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ คุกเข่าลงต่อหน้าพระถังซัมจั๋ง พูดว่า พระอาจารย์อย่าได้ภาวนาเลย ไว้รอคอยเวลาแต่งงาน ข้าพเจ้าจะสำแดงเดชาอานุภาพพาพระอาจารย์ออกให้พ้นภัยจงได้ อาจารย์กับศิษย์สนทนากันอยู่จนเวลาสามยาม โป๊ยก่ายว่า เราพักนอนเสียก่อน เวลารุ่งเช้าจึงค่อยคิดอ่านต่อไป พูดดังนั้นแล้วก็ต่างคนก็ต่างไปหลับนอน ครั้นเวลารุ่งสว่าง พระเจ้าแผ่นดินเสด็จออกที่ขุนนาง แลเห็นประตูพระราชวังเปิดทุกประตู พวกขุนนางก็พากันเข้าเฝ้า พระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสามก็มาเฝ้า พระเจ้าแผ่นดินจึงรับสั่งให้เจ้าพนักงานจัดโต๊ะตระเตรียมให้พรักพร้อมคอยเวลาวันขึ้นสิบสองค่ำ จะได้ทำการวิวาหมงคล วันนี้ เป็นแต่ได้จัดเครื่องโต๊ะที่จะเลี้ยงฮูเบ๊เป็นการรื่นเริง แลให้เจ้าพนักงานรับแขกเชิญศิษย์ทั้งสามไปพัดที่หอรับแขกนอก ให้จัดเครื่องโต๊ะเลี้ยงเธอทั้งสาม แลให้มีมโหรีขับกล่อมทั้งสองแห่ง โป๊ยก่ายได้ฟังพระเจ้าแผ่นดินตรัสดังนั้น จึงยืนขึ้นพูดว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบ พวกข้าพเจ้าตั้งแต่มาเป็นศิษย์ แต่เวลาหนึ่งก็มิได้ห่างไกลกัน วันนี้ จะรับพระราชทานเครื่องเลี้ยงในสวน ต้องให้พวกข้าพเจ้าไปด้วย อีกสองวันท่านอาจารย์ก็จะเป็นบุตรเขยของพระองค์ ถ้าไม่โปรดดังนั้น ธุรการของพระองค์ก็จะไม่สำเร็จเป็นแน่

ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดิน เมื่อได้ทรงฟังโป๊ยก่ายทูลดังนั้น ทรงพระราชดำริในพระทัยว่า โป๊ยก่ายรูปร่างดุร้าย หากไม่ผ่อนผันตามใจบ้าง ก็จะก่อการวุ่นวายขึ้น อาจกระทำให้เสียการไปได้ ทรงพระดำริดังนั้นแล้ว จึงผ่อนตาม รับสั่งให้เจ้าพนักงานจัดโต๊ะที่ในสวนเป็นสองโต๊ะ โต๊ะหนึ่งเป็นที่พระองค์กับพระถังซัมจั๋ง โต๊ะที่สองให้สานุศิษย์ทั้งสาม โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี คำนับขอบคุณพระเจ้าแผ่นดิน อาจารย์กับศิษย์ก็พากันกลับไปยังที่พัก พระเจ้าแผ่นดินจึงรับสั่งให้ขันทีฝ่ายในตระเตรียมเครื่องโต๊ะแลห้องหอ กับสาวใช้นางในให้แต่งตัวรอ วันขึ้นสิบสองค่ำจะได้แต่งการอภิเษก ครั้นรับสั่งเสร็จแล้ว จึงแต่งพระองค์พร้อมด้วยพระถังซัมจั๋งกับขุนนางตามเสด็จไปยังพระราชอุทยานก่อน ครั้นถึงจึงชวนพระถังซัมจั๋งเที่ยวชมดอกไม้ในสวนหลวงเป็นที่สำราญพระราชหฤทัย ครั้นขุนนางเจ้าพนักงานจัดเครื่องโต๊ะเสร็จแล้ว ก็มาเชิญพระองค์เข้าประทับโต๊ะ พระเจ้าแผ่นดินจึงจับมือพระถังซัมจั๋งพาขึ้นบนหอเย็น ประทับโต๊ะ เห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง ก็พากันขึ้นหอที่สอง พร้อมกันเข้านั่งโต๊ะ ต่างก็รับประทานตามสบาย

ฝ่ายพนักงานดนตรีก็บรรเลงเพลงพิณพาทย์ขับร้องประสานเสียงไพเราะยิ่งนัก เวลานั้น พระถัมซัมจั๋งเห็นพระเจ้าแผ่นดินมีความจงรักภักดีดังนั้น ก็ไม่รู้ที่ว่า จะแก้ไขประการใด ต้องจำใจทำหน้าชื่นอกตรมไปตามการ เวลานั่งอยู่นั้น พระถังซัมจั๋งเหลือบไปเห็นฉากอันหนึ่งแขวนอยู่ริมฝาผนังมีโคลงสี่ฤดู ก็คิดแต่ในใจว่า คำโคลงนี้ชะรอยจะเป็นฝีปากขุนนางฝ่ายอาลักษณ์แต่ง พระเจ้าแผ่นดินเห็นพระถังซัมจั๋งเพ่งพินิจดูโคลง จึงตรัสถามว่า ท่านเห็นจะเป็นจินตกวีพอใจแต่งกาพย์กลอนโคลงพากย์ฉันท์อยู่บ้างหรือ หากว่าไม่ซ่อนความรู้ ขอเชิญแต่งโคลงหรือกลอนให้ชมสักบทหนึ่ง ฝีปากจะเป็นประการใดบ้าง อันที่จริงพระถังซัมจั๋งพิศดูโคลงก็เพลินไป ครั้นเห็นพระเจ้าแผ่นดินมีพระทัยจงรัก แลรับสั่งให้แต่งโคลง ก็เผลอตัว จึงอ่านโคลงแก้กลอนเก่าบทที่หนึ่งว่า ยิดฟ้วนจุ๊ยเซียวต๋ายตี้กุน แปลว่า อากาศน้ำแห้งธรณีเรียบ ว่า เป็นกริยาอากาศเดือนสามเดือนสี่ พระเจ้าแผ่นดินได้ฟังดังนั้น ก็มีพระทัยยินดียิ่งนัก ตรัสสรรเสริญว่า นักปราชญ์แท้ สมควรเป็นพระราชบุตรเขย จึงรับสั่งให้พวกดนตรีบรรเลงเพลงสรรเสริญ

ฝ่ายเห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง กินเลี้ยงอยู่หอที่สอง เห็นพระถังซัมจั๋งกับพระเจ้าแผ่นดินอยู่หอที่หนึ่ง โป๊ยก่ายเป็นคนสันดานหยาบคาย ครั้นอิ่มเอิบแล้ว ก็ร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า แสนสนุกแสนสบายจริง ๆ วันนี้ เรากินอิ่มหนำสำราญแล้ว พากันไปนอนเถิด พี่น้องเอ๋ย ซัวเจ๋งพูดว่า พี่โป๊ยก่ายพูดดังนั้นเห็นจะผิดความปฏิบัติ กินอิ่มแล้วทำไมจึงจะพากันไปนอนเล่า โป๊ยก่ายว่า น้องที่ไหนจะรู้เหตุการณ์ คำบุราณท่านย่อมว่า กินแล้วไม่ยืดตัว ในท้องจะอืดลม หายใจไม่สะดวก มักจะเกิดโรค

ฝ่ายพระถังซัมจั๋ง ครั้นสิ้นเวลาประชุม ก็ลาพระเจ้าแผ่นดินมาจากหอเย็นเดินมาที่หอสอง ด่าโป๊ยก่ายว่า อ้ายชาติหมูกินรำ ทำอะไรอย่างนี้ ดุจว่าชาวป่าชาวดง ทำไมจึงต้องร้องอึกทึกไปด้วย ถ้าพระเจ้าแผ่นดินตกพระทัยแล้วจะไม่ลงโทษเอาเราด้วยหรือ โป๊ยก่ายว่า ท่านอาจารย์ไม่ต้องวิตก ไม่มีความผิด เพราะพวกเราเกี่ยวเป็นญาติแก่พระเจ้าแผ่นดิน ที่ไหนจะอาจทำโทษเราได้ คำบุราณเขาย่อมว่า ตีไม่ได้เพราะติดญาติ ด่าไม่ได้เพราะบ้านใกล้เรือนเคียง ข้าพเจ้าทำเล่นนิดหน่อย จะกลัวทำไม พระถังซัมจั๋งได้ฟังโป๊ยก่ายว่าดังนั้น ก็เกิดโทสะ ร้องตวาดไป แล้วบอกเห้งเจียให้ลากอ้ายหัวหมูมานี่ คว่ำลงเฆี่ยนเสียสิบที เห้งเจียตรงเข้าจับโป๊ยก่ายคว่ำลง พระถังซัมจั๋งยกไม้เท้าเฆี่ยนโป๊ยก่าย โป๊ยก่ายก็ร้องเสียอึกทึก แล้วร้องว่า ท่านฮูเบ๊ ขอโทษเถิด ทีหลังข้าพเจ้าไม่ทำอย่างนี้อีกแล้ว พวกพนักงานจัดเครื่องอยู่ที่นั่นได้ยินเสียงร้อง ก็มาขอโทษแก่พระถังซัมจั๋ง พระถังซัมจั๋งก็ยกโทษให้โป๊ยก่าย โป๊ยก่ายผุดลุกขึ้นบ่นว่า พุทโธเอ๋ย ท่านฮูเบ๊ดีแท้ ๆ ยังไม่ทันจะแต่งงาน ก็มาทำอำนาจลงอาญาเฆี่ยนตีเสียแล้ว เห้งเจียมาจับปากโป๊ยก่ายบีบ แล้วห้ามว่า เจ้าอย่าพูดให่มันเลอะเทอะไป จะนอนก็ไปนอนเถิด อาจารย์กับศิษย์ก็พักอยู่ในหอนั้น เช้าก็รับประทานโต๊ะ ค่ำก็นอน ได้สามสี่วัน ครั้นถึงวันขึ้นสิบสองค่ำเป็นวันฤกษ์ดี พวกขุนนางก็เข้ามากราบทูลพระเจ้าแผ่นดินว่า ข้าพระพุทธเจ้าได้จัดตำหนักที่ฮูเบ๊เสร็จแล้ว แลทั้งเครื่องโต๊ะก็จัดเสร็จแล้วทุกประการถึงห้าร้อยโต๊ะ พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังพวกขุนนางทูลดังนั้น ก็ดีพระทัย คิดจะใคร่เชิญพระถังซัมจั๋งเข้านั่งโต๊ะ บังเอิญมีขันทีมาทูลว่า พระมเหสีมีกิจธุระ ขอเชิญพระองค์เสด็จเข้าไปข้างใน พระเจ้าแผ่นดินก็เสด็จเข้าไป แลเห็นสนมนางกำนัลเดินนำพระราชธิดาออกมา พิศดูดังนางเทพอักษรกัญญาลงมาดิน มีพระทัยใสโสมนัสสา พระองค์จึงทรงประทับยังพระที่นั่งตำหนักเจียวเอี้ยงเก๋ง

ฝ่ายพระมเหสีกับสนมนางในก็มาเฝ้าถวายบังคม แล้วก็นั่งตามลำดับ พระเจ้าแผ่นดินจึงตรัสถามนางกงจู๊ว่า ลูกรักของบิดา เมื่อวันขึ้นแปดค่ำ ลูกออกไปเสี่ยงทางทิ้งตะกร้อหาคู่ ก็ถูกท่านถังซัมจั๋ง บิดาเห็นว่า ก็สมความปรารถนาของลูกแล้ว การทั้งปวงบิดาก็ได้จัดพร้อมเสร็จแล้ว วันนี้ ก็ถึงกำหนดจะทำการอภิเษก ลูกควรจะเข้าที่ประชุมเลี้ยงโต๊ะตามกำหนดฤกษ์ นางกงจู๊ได้ฟังพระราชบิดาตรัสดังนั้น จึงทูลว่า ขอพระราชบิดาได้โปรดยกโทษของลูกนี้ด้วย ลูกจะขอกราบทูลถามสักคำหนึ่ง เพราะลูกได้ฟังขุนนางขันทีพูดกันว่า สานุศิษย์ของพระถังซัมจั๋งมีใจดุร้าย ลูกไม่อยากพบปะเธอทั้งสามคน ขอพระบิดาได้โปรดมอบหนังสือเดินทางให้เธอไปเสียให้พ้นเถิด พระเจ้าแผ่นดินตรัสว่า อันความข้อนี้ถ้าลูกไม่กล่าวขึ้นบิดาก็จะลืม เธอทั้งสามนั้นดุร้ายจริงของลูก ทุก ๆ วันก็ให้คนเลี้ยงดูประคับประคองอยู่ในสวนดอกไม้ วันนี้ ควรจะออกที่ขุนนางประทับตราให้หนังสือเดินทางให้เธอออกไปเสียพ้นเมือง จึงค่อยประชุมเลี้ยงโต๊ะต่อภายหลัง จึงจะดี นางกงจู๊ได้ฟังพระราชบิดาว่าดังนั้น ก็มีความยินดี จึงคำนับขอบพระคุณพระราชบิดา พระเจ้าแผ่นดินก็เสด็จออกขุนนาง มีรับสั่งให้เชิญพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสามเข้ามาเฝ้า

ฝ่ายพระถังซัมจั๋งอยู่ในสวน ก็นั่งนับวันนับเวลาอยู่ ครั้นถึงวันขึ้นสิบสองค่ำ ยังไม่ทันจะสว่าง จึงนั่งปรึกษากันแก่ศิษย์ทั้งสามว่า พรุ่งนี้ถึงกำหนดวันขึ้นสิบสองค่ำแล้ว เราจะคิดอ่านประการใดดี เห้งเจียพูดว่า ข้าพเจ้าคะเนว่า เจ้าแผ่นดินนั้นมัวหมองก็จริง แต่ยังไม่ซึมทราบ ยังพอจะแก้ไขได้ แต่ยังหาได้เห็นหน้านางกงจู๊ไม่ ถ้าได้เห็นแล้ว ข้าพเจ้าคิดดูก็คงจะรู้ได้ว่า เท็จหรือจริง แล้วจึงจะได้ลงมือ ขอพระอาจารย์จงวางใจเสียเถิด อย่าได้มีความวิตกเลย เธอคงจะให้หาตัวพวกข้าพเจ้าเพื่อจะได้ให้หนังสือเดินทางให้ออกไปเสียให้พ้น พระอาจารย์อย่าได้ขัดขืน จงผ่อนผันไปตามการ ข้าพเจ้าจะแปลงกายคอยกระซิบบอกเหตุการณ์ แลคอยระวังรักษาอาจารย์อยู่มิให้เป็นอันตรายได้ กำลังสนทนากันอยู่ดังนั้น ก็พอขุนนางที่ถือรับสั่งมาเชิญ เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ไปเถิด ๆ จึงรวบรวมเก็บข้าวของหาบคอนตามขุนนางทั้งสองนั้นเข้าไปเฝ้ายังหน้าพระลาน พระเจ้าแผ่นดินทอดพระเนตรเห็น จึงตรัสเรียกเห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง ทั้งสามคนเข้ามาใกล้ แล้วจึงเรียกหนังสือมา จะประทับตราให้ ทั้งเสบียงอาหารที่จะเดินทางก็จัดให้ไปพร้อม จึงตรัสว่า ถ้าไปถึงเขาเล่งซัว อาราธนาพระคัมภีร์กลับมาได้แล้ว จะพระราชทานบำเหน็จรางวัลให้จงหนัก อย่าได้มีความห่วงใยเลย เห้งเจียได้ฟังพระเจ้าแผ่นดินตรัสดังนั้น ก็กระทำคำนับขอบคุณ จึงให้ซัวเจ๋งส่งหนังสือมา แล้วก็นำขึ้นถวายต่อพระหัตถ์ พระเจ้าแผ่นดินรับหนังสือมา แล้วคลี่ออกทอดพระเนตร แล้วก็ประทับตราลงในฉบับนั้น แล้วจึงเอาทองคำสิบแท่ง เงินยี่สิบแท่ง ประทานให้เป็นกิริยาว่า พอพระทัย โป๊ยก่ายเข้าไปรับเงินกับทองแล้ว ก็พร้อมกันทั้งสามคำนับขอบคุณ แล้วถอยกลับออกไป พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงเดินเข้ามายึดมือเห้งเจียไว้ แล้วถามว่า จะไปจริงหรือ เห้งเจียเอานิ้วสะกิดมือพระอาจารย์สามที แล้วขยิบตาให้ไป แล้วจึงพูดว่า อาจารย์จงอยู่ให้สบายเถิด พวกข้าพเจ้าจะไปอาราธนาพระคัมภีร์ ได้แล้วจะกลับมาเยือน พระถังซัมจั๋งจึงปล่อยมือเห้งเจีย พี่น้องทั้งสามก็พากันออกจากพระราชวัง เห้งเจียก็เดินไปยังที่หอรับแขกเมือง พวกขุนนางรับแขกก็พากันออกมาต้อนรับเข้าไปเลี้ยงน้ำร้อนน้ำชา เห้งเจียจึงสั่งโป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง ว่า น้องทั้งสองจงอยู่ในห้อง อย่าออกไปให้ผู้ใดเห็น ถ้าจะมีผู้ไต่ถาม ก็จงผันแปรพูดจากลบเกลื่อนไป อย่าให้รู้เท่าความจริงของเราได้ แต่เราจะไปคอยช่วยอาจารย์ เห้งเจียว่าดังนั้นแล้ว จึงถอนขนเพชรออกหนึ่งเส้น เป่าคาถาแปลงเป็นรูปเห้งเจียนั่งอยู่กับโป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง ที่ในหอรับแขก รูปจริงเห้งเจียก็เหาะขึ้นบนอากาศ แปลงเป็นแมลงผึ้งตัวหนึ่ง แล้วก็บินเข้าไปในพระราชวัง แลไปก็เห็นพระอาจารย์นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยพระเจ้าแผ่นดิน หน้าตาไม่มีความสบาย เห้งเจียก็โผลงจับที่ริมหูพระถังซัมจั๋ง กระซิบพูดเบา ๆ ว่า พระอาจารย์ ข้าพเจ้ามาแล้ว อย่าวิตกไปเลย พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้น ก็ค่อยมีความสว่างใจออกไป สักประเดี๋ยวพวกขันทีก็มาทูลว่า ขอเชิญพระองค์เสด็จเข้าที่เถิด การทั้งปวงก็พร้อมเพรียงแล้ว พระมเหสีกับพระราชบุตรีก็คอยอยู่พร้อมแล้ว ขอพระองค์จงเชิญฮูเบ๊เข้าในพิธีการเถิด พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังขุนนางกราบทูลดังนั้น ก็มีพระทัยยินดี จึงเสด็จจากพระที่นั่งนำพระถังซัมจั๋งเข้าไปในพระราชมนเทียรใน



ขึ้น ตอน ๙๕