หน้า ๒๙–๔๐ สารบัญ
ฝ่ายพระถังซัมจั๋งจึงถวายพระพรลา จะใคร่รีบไป พระเจ้าแผ่นดินทรงอาราธนาไว้เลี้ยงโต๊ะอีกห้าหกวัน แล้วจัดทองคำถวายสองร้อยแท่ง แลแก้วแหวนอัญมณีต่าง ๆ ถวายตอบแทนแก่ศิษย์ทั้งสาม อาจารย์กับศิษย์ก็มิได้รับ กลับถวายคืนเข้าท้องพระคลังหลวง พระเจ้าแผ่นดินรับสั่งให้ขุนนางจัดราชรถส่งพระอาจารย์กับศิษย์ทั้งสาม เวลานั้น พระเจ้าแผ่นดิน กับขุนนาง แลราษฎร ก็ตามออกมาส่งจนนอกเมือง แลข้างหน้านั้นพระสงฆ์ทั้งหลายก็คอยคำนับส่ง แลไม่คิดจะกลับแต่สักองค์เดียว เห้งเจียเห็นดังนั้น ก็ร่ายพระคาถาบันดาลเป็นลมพัดมืดมัวเป็นหมอกควันบังตาคนทั้งหลายเหล่านั้นจนแลไม่เห็น อาจารย์กับศิษย์จึงได้หนีพ้นไปได้ อาจารย์กับศิษย์ทั้งสามมาในเวลานั้นเป็นเดือนหกเข้าฤดูคิมหันต์ กลางวันก็เดิน กลางคืนก็หาที่พัก เดินมาประมาณครึ่งเดือน แลไปข้างหน้าก็เห็นป้อมกำแพงเมือง พระถังซัมจั๋งถามเห้งเจียว่า กำแพงเมืองข้างหน้านั้นจะเป็นเมืองใดตำบลใด เห้งเจียตอบว่า ไม่ทราบ โป๊ยก่ายหัวเราะแล้วพูดว่า หนทางนี้พี่ก็เคยมาถึงแล้ว ทำไมจึงพูดว่า ไม่รู้เล่า เห็นจะพูดหลอกลวงพวกข้าพเจ้าเล่าดอกกระมัง เห้งเจียด่าว่า อ้ายชาติหมู พูดไม่ตรึกตรอง ได้ข้ามมาถึงก็จริง แต่มาทางอากาศ มิได้ลงแผ่นดิน เมื่อไม่มีธุระอะไร ก็มิได้ไต่ถาม จึงมิได้รู้เรื่อง จะมาหลอกลวงเอาประโยชนผลอะไร พูดกันพลางเดินมาตามถนนใหญ่ แลไปที่กำแพงเห็นตาเฒ่าสองคนนั่งพูดกันอยู่ พระถังซัมจั๋งสั่งให้ศิษย์ทั้งสามคนยืนรออยู่ ส่วนตัวพระถังซัมจั๋งเดินเข้าไปใกล้ปราศรัยถามว่า ท่านผู้เฒ่าทั้งสอง ข้าพเจ้าอยากจะใคร่ทราบว่า ที่ตำบลนี้เรียกว่า เมืองอะไร แลในที่นี้จะมีคนใจบุญกุศลศรัทธาบ้างหรือไม่ รูปปรารถนาจะใคร่บิณฑบาตอาหารกินสักมื้อหนึ่งด้วย เฒ่าทั้งสองตอบว่า ตำบลนี้เรียกว่า เมืองตั้งท่ายฮู้ หลังเมืองนี้มีบ้านหนึ่งเรียกว่า ตี้เล่งกุ้ย แม้ว่าท่านอยากจะบิณฑบาตจังหันฉัน ก็นิมนต์ไปเถิด ตรงไปทางนี้มีป้ายข้างทิศตะวันตก หันหน้าไปข้างทิศตะวันออกมีประตูบ้าน เจ้าของบ้านชื่อ ญ่วนหลายเศรษฐี เธอมีศรัทธากล้าหาญ ถวายทานแก่สงฆ์วันละหมื่นรูป เหมือนเช่นท่านมาแต่ทางไกลเป็นอาคันตุกะอย่างนี้ก็ตามแต่จะต้องการเถิด นิมนต์ไปเถิด ข้าพเจ้าจะเสียเวลาพูดกัน พระถังซัมจั๋งก็ลาสองเฒ่ากลับไปบอกแก่สานุศิษย์ แล้วก็พากันตรงไป เวลาที่เดินมาตามทางใหญ่ พวกชาวเมืองก็พากันมาแวดล้อมดู ที่บางคนก็กลัวจนตัวสั่นแลคิดสงสัยไปต่าง ๆ พระถังซัมจั๋งเห็นผู้คนกลุ้มกันมากมายดังนั้น จึงร้องสั่งสานุศิษย์ว่า จงสำรวมระวังกิริยาอย่าให้ฟุ้งซ่าน เห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง ได้ยินอาจารย์สั่งดังนั้น ต่างคนก็เดินก้มหน้าสำรวมอินทรีย์ มิได้เหลียวซ้ายแลขวา ครั้นอาจารย์กับศิษย์พากันเดินมาพอสุดทางถนนใหญ่ แลไปที่ประตูเห็นมีอักษรใหญ่สี่ตัวว่า ไม่ขัดขืนสงฆ์ พระถังซัมจั๋งเห็นแล้วก็พยักหน้าพูดว่า ประเทศไซทีเป็นพุทธภูมิ คำพูดไว้ไม่ผิด โป๊ยก่ายเห็นแล้วก็จะตรงเข้าไป เห้งเจียร้องห้ามว่า อ้ายกินรำ หยุดก่อน รอให้มีคนออกมาไต่ถามให้ได้ความแล้วจึงค่อยเข้าไป อาจารย์กับศิษย์ก็พากันนั่งพักอยู่ บัดเดี๋ยว มีบุรุษหนุ่มน้อยผู้หนึ่งเดินออกมา มือหนึ่งถือตะกร้า มือหนึ่งถือคันชั่ง แลเห็นคนทั้งสี่ก็ตกใจทิ้งสิ่งของที่ถือวิ่งหนีหกล้มลุกคลุกคลานกลับเข้าไปในบ้าน ร้องบอกนายว่า ข้างนอกมีพระสงฆ์สี่รูปหน้าตาแปลกประหลาดจริง ๆ
ฝ่ายเข่าญ่วนหลายเศรษฐี เวลานั้นกำลังถือไม้เท้าเดินบริกรรมภาวนาเจริญพระพุทธคุณอยู่ในลานบ้าน เมื่อได้ยินบ่าวมาบอกดังนั้น ก็รีบไปรับ เห็นอาจารย์กับศิษย์สามคน ก็มิได้เกรงกลัวครั่นคร้าม ร้องว่า เชิญท่านเข้ามาเถิด พระถังซัมจั๋งก็เดินเข้าไป เศรษฐีเดินนำหน้าเข้ามาในตรอกเล็ก เศรษฐีจึงชี้ว่า หอนี้เป็นที่บูชาพระพุทธเจ้า ที่สอง บูชาพระธรรม ที่สาม สำหรับพักพระสงฆ์ ที่ต่อไปนั้นเป็นที่ข้าพเจ้า กับบุตร ภรรยา แลญาติพี่น้อง อยู่ พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็มีความสรรเสริญ จึงครองผ้าเรียบร้อย แล้วก็ขึ้นไปนมัสการพระพุทธพระธรรม เศรษฐีจึงนิมนต์ให้เปลื้องผ้ากาสาวพัสตร์ แล้วก็นั่งสนทนากัน ศิษย์ทั้งสามก็เข้ามาพร้อมกัน เศรษฐีจึงให้คนใช้จูงม้าไปผูกไว้ที่เฉลียงแลเก็บหาบข้าวของไปไว้เรียบร้อย แล้วเศรษฐีจึงถามถึงเหตุการณ์ที่จะมาธุระนั้น พระถังซัมจั๋งจึงพูดว่า อาตมภาพมาจากเมืองไต้ถังข้างทิศตะวันออก โดยมีรับสั่งของพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ให้อาตมภาพมายังเขาเล่งซัวนมัสการพระพุทธเจ้าขออาราธนาพระไตรปิฎก วันนี้ มาถึงตำบลนี้ ทราบว่า ท่านเศรษฐีมีจิตศรัทธา อาตมภาพจึงเข้ามาโดยประสงค์จะบิณฑบาตจังหันสักมื้อหนึ่ง แล้วก็จะลาไป
ฝ่ายเศรษฐีได้ทราบความดังนั้น ก็มีใจโสมนัสยินดีเป็นที่ยิ่ง แล้วหัวเราะ พูดว่า ข้าพเจ้าแซ่ เข่า ชื่อ ต้ายดวน อายุได้หกสิบปี ได้ตั้งใจอธิษฐานเลี้ยงพระสงฆ์หมื่นองค์ มาถึงวันนี้ได้ยี่สิบสี่ปี พึ่งได้เก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบหกรูป ยังขาดอยู่สี่รูปจะได้หมื่นหนึ่ง มาวันนี้ ท่านทั้งสี่ลงมาจากฟ้าสี่รูป ก็พอครบจำนวนของข้าพเจ้าที่อธิษฐานไว้ ขอท่านผ่อนพักสักเดือนหนึ่งก่อน ข้าพเจ้าจะทำการครบกำหนดหมื่นองค์ เมื่อเสร็จธุรการฉลองแล้ว ข้าพเจ้าจะให้คนใช้ของข้าพเจ้าเอาเกี้ยวหามไปส่งท่าน ตั้งแต่นี้ไประยะทางแปดร้อยเส้นเศษ ไม่สู้ไกลนัก พระถังซัมจั๋งได้ฟังเศรษฐีว่าดังนั้น มีความยินดี ก็ยอมพักอยู่
ฝ่ายเศรษฐีจึงให้คนใช้ผ่าฟืนหาบน้ำแลจัดแจงหุงต้มเครื่องคาวหวานที่จะถวายพระสงฆ์ ผู้คนทำการงานอึกทึก ก็ตกใจถึงท่านยายเศรษฐี จึงถามว่า พระสงฆ์มาแต่ข้างไหนหรือ คนใช้บอกว่า มีพระสงฆ์สี่รูปดูประหลาด ท่านตาถามเธอ เธอบอกว่า อยู่เมืองไต้ถัง พระเจ้าแผ่นดินให้ไปเขาเล่งซัวอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม มาถึงบ้านเรานี้ไม่รู้ว่า ทางมาจะไกลสักเท่าใด เพราะฉะนั้น ท่านตาจึงสั่งพวกข้าพเจ้าให้จัดแจงทำเครื่องแจคาวหวานถวายพระสงฆ์ ยายเศรษฐีได้ฟังก็มีความรื่นเริงดีใจ จึงเรียกบ่าวให้เอาเสื้อผ้ามาผัด ครั้นจัดแจงแต่งตัวนุ่งห่มแล้วก็ออกมาดู พวกคนใช้บอกว่า ท่านแม่ดูได้แต่องค์เดียว ยังมีสามรูปนั้นดูไม่ได้ รูปดุร้ายนักทั้งน่าเกลียดน่ากลัวดูประหลาดุจลงมาจากฟ้า ท่านยายจึงพูดว่า ถ้ากระนั้น จงรีบไปบอกแก่ท่านตาให้ทราบก่อน คนใช้ก็รีบไปบอกแก่เศรษฐีว่า ท่านยายจะออกมา พระถังซัมจั๋งได้ฟังก็ลงจากอาสน์ ท่านยายเศรษฐีก็พอมาถึงหน้าหอ แลไปเห็นพระถังซัมจั๋งมีลักษณะอันงาม หันไปแลเห็นเห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง รูปร่างมิใช่คนธรรมดา แม้ว่าจะเป้นคนอยู่เบื้องบนลงมาก็จริง แต่ดูรูปก็ให้ครั่นคร้ามในใจ ยายเฒ่าพิจารณาดูแล้วก็ลดกายลงกระทำคำนับ พระถังซัมจั๋งก็ย่อตัวปราศรัยถามทักว่า ลำบากแก่ท่านยายมาก ๆ ยายเฒ่าจึงถามสามีว่า ท่านทั้งสามนั้นทำไมจึงไม่นั่งเสมอกัน โป๊ยก่ายชิงตอบว่า ข้าพเจ้าทั้งสามนี้เป็นสานุศิษย์ เสียงโป๊ยก่ายพูดขึ้นคำหนึ่งดุจภูเขาจะพัง ทำให้ยายเฒ่าตกใจไหวหวั่นครั่นคร้าม กำลังพูดกันอยู่นั้น แลเห็นหนุ่มน้อยนักเรียนสองคนเดินขึ้นมาลดกายลงทำเคารพต่อพระถังซัมจั๋ง พระถังซัมจั๋งแลเห็นก็ตกใจ ย่อตัวลงปราศรัยถามทัก เศรษฐีลุกเดินมาจับบุตรทั้งสองแล้วบอกว่า สองคนนี้บุตรของข้าพเจ้าเอง คนใหญ่นามเรียกว่า เข่าเหลียง คนเล็กเรียกว่า เข่าต๊ง อยู่ที่โรงเรียน พึ่งกลับมากินข้าวกลางวัน ทราบว่า ใต้เท้ามานี่ จึงได้มานมัสการ พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี สรรเสริญว่า ชอบแล้ว ๆ อยากให้มีความเจริญต้องทำการกุศลแลเล่าเรียนให้รอบรู้ขนบธรรมเนียม นักเรียนทั้งสองจึงถามบิดาว่า ท่านอาจารย์นี้อยู่ถึงไหนมา ท่านเศรษฐีหัวเราะแล้วพูดว่า มาจากทางไกลอยู่ ณ เมืองไต้ถังข้างทิศตะวันออก พระเจ้าแผ่นดินมีรับสั่งให้ไปที่เขาเล่งซัวอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม
นักเรียนทั้งสองพูดว่า ข้าพเจ้าได้ดูในหนังสือลิ้มกวงกิว่า ในใต้หล้านี้มีสี่ทวีป ทวีปสี่ทิศ ทิศที่เราอยู่นี้เรียกว่า ประจิมทิศ ท่านมาจากทิศบูรพา กว่าจะมาถึงนี่ไม่ทราบว่า สักกี่ปีแล้ว พระถังซัมจั๋งหัวเราะแล้วตอบว่า อาตมภาพเดินมา ทรมานความทุกข์มากวันมากคืน แลต้องถูกปิศาจร้ายราวี ที่กันดารต่าง ๆ เหลือที่จะพรรณนาให้สิ้นสุดได้ แต่รวมจำที่เดินนั้นคิดได้สิบสี่ปี จึงได้มาถึงตำบลนี้ นักเรียนทั้งสองได้ฟังพระถังซัมจั๋งว่าดังนั้นจึงสรรเสริญว่า ท่านอาจารย์เป็นผู้วิเศษสำเร็จภาค จึงได้มาดังนี้ กำลังสนทนากันอยู่ พวกคนใช้ก็ยกเครื่องจังหันแจมาถวาย ท่านเศรษฐีจึงให้ท่านยายกบับุตรทั้งสองกลับบ้าน เศรษฐีจึงนิมนต์พระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ฉันอาหาร เครื่องแจทั้งคาวหวานจัดหาล้วนแต่สิ่งที่โอชารส มีเครื่องเทียบแลเพิ่มเติมทุก ๆ สิ่ง โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็ดีใจ กินดุจลมพัดหอบเมฆ อาจารย์กับศิษย์กระทำภัตกิจเสร็จแล้ว พระถังซัมจั๋งก็ลุกออกมาจากที่ มีความสรรเสริญขอบคุณเศรษฐีที่สุด แลจะใคร่ขอลาไป เศรษฐีพูดว่า ท่านอาจารย์จงยั้งหยุดพักก่อน คำโบราณท่านย่อมว่า ต้นยากปลายง่าย คอรอข้าพเจ้าทำการฉลองแล้ว ข้าพเจ้าจะจัดการส่งท่านโดยความปรกติ พระถังซัมจั๋งได้ฟังเศรษฐีอ้อนวอนดังนั้นโดยความเลื่อมใสศรัทธา ก็ไม่รู้จะขัดอย่างไรได้ จึงได้ยอมพักอยู่ห้าหกวัน เศรษฐีจึงตั้งพิธีแลนิมนต์พระสงฆ์ยี่สิบสี่รูปสวดมนตร์ฉลอง
ฝ่ายพระสงฆ์ทั้งหลายก็จัดแจงทำตามกิริยาพิธีธรรมสามวันสามคืนเสร็จแล้ว
ฝ่ายพระถังซัมจั๋งเห็นการเสร็จแล้ว จิตเป็นห่วงที่จะไปยังเขาเล่งซัว จึงปราศรัยแก่ท่านเศรษฐี ท่านเศรษฐีคำนับแล้วพูดว่า อาจารย์ทำไมรีบร้อนจะไปนัก หรือทำการหลายวันจะไม่สบายใจดอกกระมัง พระถังซัมจั๋งตอบว่า อาตมภาพได้รับความปฏิบัติของท่านเศรษฐีโดยความเอื้อเฟื้อ ไม่รู้ว่า จะได้สิ่งใดตอบแทนสนองพระเดชพระคุณ ไม่มีความรำคาญขัดข้องแต่อย่างใดเลย แต่เมื่อพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เสด็จมาส่งอาตมภาพ ได้ตรัสถามว่า เวลาใดจึงจะได้กลับเมือง อาตมภาพได้ทูลผิดไปว่า สามปี โดยเหตุที่ไม่ทราบว่า หนทางจะลำบากยากเย็นถึงเพียงนี้ มาถึงวันนี้ก็ได้สิบสี่ปีแล้ว จะอาราธนาพระธรรมได้หรือมิได้ก็ไม่รู้ ทั้งเวลากลับก็จะถึงสิบสองสิบสามปีอีกดังนี้ จะไม่มีความผิดคาดหมายไปหรือ ขอท่านได้อนุกูลให้ข้าพเจ้าไปเถิด ถ้าได้พระธรรมแล้ว จะกลับมาอยู่สักกี่เวลาก็ได้ โป๊ยก่ายได้ฟัง อดพูดไม่ได้ จึงพูดออกด้วยเสียงอันดังว่า อาจารย์คิดผิดไปเสียแล้ว ไม่ผ่อนตามใจคน ท่านก็เป็นผู้มั่งมีใหญ่โต ทั้งตั้งใจอธิษฐานถวายสังฆทานแก่สงฆ์ถึงหมื่นรูปก็ครบแล้ว แลจะมีจิตศรัทธานิมนต์ไว้ ควรจะอยู่สักปีหนึ่งก็จะไม่ต้องเป็นทุกข์อะไร จะรีบเร่งไปทำไม ไม่อยู่กินให้พอ จะเที่ยวไปขอเขากินนั้นจะดีอย่างไร พระถังซัมจั๋งได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้น จึงตวาดว่า หาความคิดมิได้ เห็นแต่จะกิน มิได้คิดที่จะได้มรรคผล เพราะฉะนั้น เป็นมนุษย์แล้วแลจะต้องกลับเป็นเดรัจฉานเพราะความอยากความปรารถนาในสันดานแห่งตน เจ้าจะใคร่อยู่กินให้สบายก็จงอยู่เถิด พรุ่งนี้ข้าจะไป เห้งเจียเห็นอาจารย์มีสีหน้ามัวหมองดังนั้น ตรงมาเอากำหมัดทุบศีรษะโป๊ยก่ายทีหนึ่ง แล้วด่าว่า อ้ายชาติหมู ไม่รู้ดีแลชั่ว ทำให้อาจารย์โกรธเคืองแค้นใจ โป๊ยก่ายไม่อาจพูดอะไรต่อไป
ฝ่ายเศรษฐีเห็นอาจารย์กับศิษย์วุ่นวายกันดังนั้น ก็หัวเราะ แล้วพูดว่า ท่านอาจารย์อย่าร้อนใจ วันนี้ จงพักก่อน พรุ่งนี้ ข้าพเจ้าจัดแจงขอแรงชาวบ้านมาพร้อมกัน จะได้แห่ส่งท่านไป เวลาเมื่อเศรษฐีกำลังพูดอยู่นั้น ท่านยายเฒ่าก็มาถามว่า ท่านอาจารย์มาพักอยู่ที่นี่กี่วันแล้ว พระถังซัมจั๋งตอบว่า อาตมภาพมาพักอยู่ได้สิบห้าวันแล้ว ยายเฒ่าพูดว่า ครึ่งเดือนนี้เป็นส่วนกุศลของท่านตา ข้าพเจ้ามีทรัพย์สินเล็กน้อย จะขออธิษฐานทำแจถวายสักครึ่งเดือน ยายเฒ่าพูดยังไม่ทันจะขาดคำลง บุตรชายชื่อ เข่าเหลียง เข่าต๊ง ทั้งสองคนเข้ามาพูดว่า ท่านอาจารย์ บิดาข้าพเจ้าทำแจถวายสงฆ์ยี่สิบปี ก็ยังไม่เคยพบท่านผู้วิเศษ วันนี้ มาพบท่านผู้วิเศษทั้งสี่มาถึงบ้านข้าพเจ้า ก็เปรียบดุจเรือนแฝกมีแสงสว่าง ข้าพเจ้ายังเด็ก เล่าเรียนน้อย ก็เคยฟังในคัมภีร์มรรคผลว่า ตาทำ ตาก็ได้ของตา ยายทำ ยายก็ได้ของยาย ใครไม่ทำ ผู้นั้นก็ไม่ได้ บิดามารดาข้าพเจ้าอยากได้กุศล พี่น้องข้าพเจ้าก็อยากได้กุศลบ้าง มีทรัพย์บ้างเล็กน้อย จะขอทำถวายท่านอาจารย์สักครึ่งเดือน การทำบุญเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าทั้งหลายจะพร้อมกันไปส่งท่านอาจารย์ไป พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้น จึงพูดว่า ท่านตาท่านยายนิมนต์ ยังรับไม่ได้เป็นอันขาด จะรับนิมนต์ท่านทั้งสองไม่ได้ วันนี้ กำหนดแน่จะลาไป อย่าถือผิดข้าพเจ้าเลย หากมิฉะนั้น ก็มีโทษที่ผิดรับสั่ง ก็ถึงที่ตายเหมือนกัน
ฝ่ายท่านยายกับบุตรเห็นเธอไม่รับนิมนต์เป็นแน่แล้ว ก็มีความโกรธว่า เราตั้งใจนิมนต์เธอไว้ เธอก็ไม่ยอมอยู่ จะใคร่ไปก็ไปเถิด จะอ้อนวอนทำไมให้ป่วยการปากลำบากใจ พูดดังนั้นแล้ว แม่ลูกก็พากันกลับไป ฝ่ายเศรษฐีเห็นอาจารย์กับสานุศิษย์มีความเศร้าหมอง ก็ไม่อาจอ้อนวอนให้อยู่ จึงออกไปที่ห้องเสมียนสั่งให้เขียนจดหมายเชิญพวกเพื่อนบ้านใกล้เคียงกันในวงศ์ญาติว่า เวลาพรุ่งนี้ จะส่งท่านอาจารย์ถังซัมจั๋งไป สั่งให้พวกโรงครัวจัดเครื่องโต๊ะให้พรักพร้อม แลให้จัดหาม้า ล่อ กับธงเทียว แลเครื่องพิณพาทย์มโหรีสีซอฆ้องกลองแลขับร้อง แลให้นิมนต์พระสงฆ์พวกหนึ่งมาในกำหนดวันพรุ่งนี้ ถวายข้าวสงฆ์เสร็จ จะได้ส่งท่านอาจารย์ถังซัมจั๋ง เสมียนทนายรับคำสั่งแล้ว ก็ไปจัดการตามสั่ง ครั้นเวลาพลบค่ำ ก็พากันไปพักหลับนอน พวกพนักงานของเศรษฐีก็จัดการจนรุ่งสว่าง ทุกสิ่งทุกอย่างก็พร้อมเสร็จทั้งสิ้น
ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับศิษย์ทั้งสามคนลุกขึ้นเก็บรวบรวมข้าวของใส่หาบสำรองจะออกเดิน เศรษฐีก็มานิมนต์ไปที่โรงใหญ่ข้างบ้าน ในนั้นจัดเครื่องโต๊ะแจไว้พร้อมทั้งคาวหวาน จัดที่สูงต่ำตามลำดับ เศรษฐีนิมนต์อาจารย์กับศิษย์เข้านั่งที่แล้ว พวกวงศ์ญาติใหญ่น้อยกับแขกบ้านใกล้ไกลที่เศรษฐีเชิญมานั้นพร้อมกันแล้ว ก็ต่างคนนมัสการพระถังซัมจั๋งทุก ๆ คน พระถังซัมจั๋งก็ลาเศรษฐี ฝ่ายคนทั้งหลายที่มานั้นก็พากันตามหลังพระถังซัมจั๋งมายังที่ประตูนอกแลไปตามทาง จัดแจงถือธงทิวแลม้าล่อฆ้องกลองรออยู่พร้อมกันคอยรอท่า พอพระถังซัมจั๋งออกมา ก็โห่ร้องตีม้าล่อฆ้องกลองขึ้นอึกทึกโกลาหล พวกผู้คนหญิงใหญ่น้อยตามหลังแห่ห้อมล้อมมา ยังพวกหญิงชายชาวเมืองผู้ใหญ่เด็กพากันมาดูตามสองข้างทาง นั่งยืนยัดเยียดเบียดกันตลอดมา เวลานั้น เศรษฐีคุกเข่ายอมถวายไทยทานส่งพระถังซัมจั๋ง สิ้นทรัพย์เป็นอันมาก หาผู้ใดจะทำเสมอมิได้ มีทั้งพวกขับร้องสรรเสริญเป็นเพลงกลอนต่าง ๆ แลทั้งมีพระสงฆ์ตามส่งสวดมนตร์แลคาถาต่าง ๆ ตามไปส่งด้วย เป็นระยะทางประมาณสองร้อยเศษ เศรษฐีจัดคนล่วงนำไปตั้งเลี้ยงน้ำร้อนน้ำชา ครั้นถึง เศรษฐีก็นิมนต์พระถังซัมจั๋งเข้าหยุดพัก เศรษฐียกถ้วยน้ำชามาประเคนให้พระถังซัมจั๋ง น้ำตาคลอตา แล้วพูดว่า แม้ท่านไปอาราธนาพระธรรมกลับมาแล้ว นิมนต์ท่านแวะบ้านข้าพเจ้าให้จงได้ จะเป็นที่พอใจข้าพเจ้าสมแก่ที่มีศรัทธาเลื่อมใส พระถังซัมจั๋งปราศรัยขอบคุณเศรษฐีเป็นที่ยิ่ง พูดว่า อาตมภาพไปถึงเขาเล่งซัวอาราธนาพระธรรมได้แล้ว ก็คงจะยกกุศลผลทานของท่านใหญ่ยิ่ง หากเวลากลับ อาตมภาพจะแวะขอบคุณท่าน ครั้นสั่งเสียกันเสร็จธุระแล้ว พระถังซัจั๋งก็ลาเศรษฐีออกเดินไปประมาณทางไกลได้สี่ร้อยเส้นเศษ เวลานั้นก็จวนค่ำ พระถังซัมจั๋งพูดว่า เวลาก็จวนค่ำ จะหาที่พักแห่งใดดี โป๊ยก่ายพูดเสียงดังขึ้นว่า เครื่องขบฉันก็มีพร้อม ตึกรามห้องหอก็มีสำรองไว้ให้อยู่ ไม่อยู่ไม่กิน อยากแต่จะไปให้ได้ เดี๋ยวนี้จะไปหาที่ไหนอีกเล่า พระถังซัมจั๋งได้ฟังโป๊ยก่ายว่าดังนั้น จึงด่าว่า อ้ายสัตว์เดรัจฉาน ยังจะมาขัดเคืองเสียดายอะไรอยู่อีก คำโบราณท่านย่อมว่า แม้เป็นสุขสำราญก็จริง แต่มิใช่บ้านเรือนของเรา จะอยู่นานก็ไม่ควร รอเราพากันไปเขาเล่งซัวพบพระพุทธเจ้าขออาราธนาพระธรรมได้ แล้วกลับไปเมืองไต้ถัง จะทูลแก่พระเจ้าแผ่นดินขอเอาเครื่องเสวย จะกินสักกี่ปีหรือจะกินให้จนท้องแตกก็ตามแต่ใจ เจ้าหัวใจสัตว์ จะให้เจ้าเป็นปิศาจผีตายอยาก โป๊ยก่ายได้ฟังพระอาจารย์ด่าดังนั้น ก็หัวเราะแต่ในใจ ไม่อาจโต้ตอบออกไปอีก เห้งเจียแลเห็นที่ข้างทางมีห้องเล็ก ๆ สองสามห้อง จึงพูดแก่อาจารย์ว่า ที่ตรงนั้นเห็นจะพักได้ พูดดังนั้นก็พากันเดินไปดู แลเห็นเป็นประตูเก่า ข้างบนมีป้ายเก่ามีอักษรสี่ตัว คือ ฮัวกองเห้งอี พระถังซัมจั๋งก็ลงจากม้า พูดว่า ฮัวกอง นามนี้คือพระปฏิมากรที่บูชา ในนี้คงจะมีศาลา จึงพากันตรงเข้าไปข้างใน เห็นห้องหอเซทรุดหักพังไปทั้งสิ้น ไม่เห็นมีผู้คน เงียบสงัด หญ้าแลเถาวัลย์ขึ้นพันรกเลี้ยว เห็นดังนั้นแล้วก็คิดจะถอยออกมาไปหาที่อื่น ก็บังเอิญมืดฟ้ามัวฝน ฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่ จนไม่รู้ที่ว่า จะหลบหนีไปทางไหน มีห้องพังอยู่ข้างนั้น ก็แอบเข้าไปหนีฝน พากันระงับเงียบ ไม่อาจพูดเสียงดัง กลัวว่าจะมีปิศาจยักษ์ร้าย นั่งนอนไม่เป็นสุขทั้งคืน