หน้า ๑๔๔–๑๕๕ สารบัญ
ฝ่ายเนียสิเกียด ครั้นถึงวันเดือนหก ขึ้นห้าค่ำ สารทจีน ก็จัดโต๊ะและสุราเลี้ยงพวกขุนนางฝ่ายทหารที่ใช้สอยอยู่ในบ้าน เนียสิเกียดกับนางซัวฮูหยินภรรยากินโต๊ะเสพสุราอยู่ข้างใน ครั้นกินโต๊ะสำเร็จแล้ว นางซัวฮูหยินจึงพูดกับเนียสิเกียดว่า บัดนี้ ตัวท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ได้ว่ากล่าวการงานสำเร็จเด็ดขาดอยู่ทั้งสิ้น มีความสุขสบาย ท่านรู้หรือไม่ว่า ผู้ใดชุบเลี้ยง เนียสิเกียดตอบว่า ตัวเรานี้ตั้งแต่เล็กมาก็ได้ร่ำเรียนหนังสือ ฝึกหัดเพลงอาวุธ การทั้งปวงย่อมรู้อยู่บ้าง ซึ่งบิดาของเจ้าได้ชุบเลี้ยงนั้นมิใช่จะลืมพระคุณเสียเมื่อไร บัดนี้ ยังหาถึงแซยิดของบิดาเจ้า ไม่ต่อหกเดือนขึ้นสิบห้าค่ำจึงจะถึง เราก็ได้ให้เขาเอาเงินไปเที่ยวจัดซื้อเพชรพลอยที่อย่างดีมีราคาไว้ได้หลายอย่างแล้ว จะเอาไปช่วยบิดาเจ้า ณ เมืองหลวง เมื่อครั้งก่อนนั้นก็จัดเงินทองของที่มีราคาไปช่วยบิดาเจ้าครั้งหนึ่ง ครั้นไปถึงกลางทาง พวกโจรเข้าแย่งชิงเอาเงินทองสิ่งของไป จนบัดนี้ก็สืบจับตัวยังไม่ได้ การครั้งนี้ซึ่งจะคุมสิ่งของไปช่วยบิดาเจ้านั้นก็ยังไม่เห็นผู้ใด จึงได้วิตกอยู่ นางซัวฮูหยินพูดว่า นายทหารที่เคยใช้สอยไว้วางใจได้ถมเถไป ไหน ๆ ก็เลือกเอาคนหนึ่งเถิด เนียสิเกียดว่า ต่อเมื่อจะถึงกำหนดวันแซยิด จึงจะจัดทหารที่มีฝีมือเข้มแข็งคุมไป เจ้าอย่าวิตกเลย เนียสิเกียดจึงจัดเพชรพลอยไว้คอย ถ้าใกล้จะถึงวันแซยิดของบิดาภรรยาเมื่อไร จะได้ให้นายทหารคุมไปเมื่อนั้น
ฝ่ายซิบุนปิน ผู้รักษาเมืองหุนเสียกุ้ยซึ่งขึ้นอยู่กับเมืองแจ๋เจิวอยู่ฮู้ในแขวงเมืองชัวจังแซ เวลาวันหนึ่ง ออกนั่งยังที่ว่าราชการ ขุนนางฝ่ายทหารและพลเรือนที่นั้นพร้อมกัน ซิบุนปินมีนายทหารฝีมือเข้มแข็งอยู่สองคน คนหนึ่งชื่อ จูตง รูปร่างสูงใหญ่ หน้าแดง หนวดยาว ได้ว่ากล่าวทหารขี่ม้า แต่จูตงนั้นคนทั้งปวงมักเรียกว่า ปีเยียมก๋ง แปลว่า หนวดยาวงามดี ทหารอีกคนหนึ่งชื่อ ลุยเหง หน้าตาดุร้าย รุปร่างสันทัดคน แต่ชาวบ้านให้เรียกชื่อว่า ชะสิดโฮ้ว แปลว่า เสือมีปีก ได้ว่าทหารที่เดินเท้า ซิบุนปินจึงเรียกจูตง ลุยเหง เข้ามาแล้วพูดว่า เราได้ยินข่าวเขาเล่าลือว่า ตำบลเขาที่เนียซัวเปาะนั้นซ่องสุมกันเป็นโจรเที่ยวตีปล้นราษฎรอยู่เนือง ๆ แล้วบังอาจต่อสู้กับทหารหลวง ถ้าจะนิ่งเพิกเฉยเสีย พวกโจรกำราบมากขึ้น ก็จะได้ความลำบาก จำเราจะให้เจ้าทั้งสองคุมทหารไปเที่ยวตรวจตราดู ถ้าจับพวกโจรมาได้ ส่งเข้าไปเมืองหลวง และตำบลที่อยู่ใกล้กับเขาเนียซัวเปาะนั้นมีแม่น้ำแห่งหนึ่งเรียกว่า ตังเคย มีต้นไม้ใบแดงอยู่ต้นหนึ่งเป็นของประหลาด ถ้าเจ้าทั้งสองคุมทหารไปถึงแม่น้ำตังเคยแล้ว จงเก็บเอาใบไม้แดงมาให้เราดูเป็นสำคัญสักใบหนึ่ง จึงจะเชื่อได้ ถ้าหาไม่ ก็จะทำโทษ แต่เมื่อจะไป ให้แยกเป็นสองพวก พวกหนึ่งไปทางประตูทิศตะวันออก พวหนึ่งไปทางประตูทิศตะวันตก จึงจะดี จูตง ลุยเหง นายทหารทั้งสองก็คำนับลามาจัดทหารพวกหนึ่งประมาณสามสิบคนแยกกันไปตามคำสั่ง
ฝ่ายลุยเหงคุมทหารไปทางประตูทิศตะวันออก แล้วเที่ยวตรวจตราไปทุกบ้านจนถึงตำบลตังเคยชึงก็ไม่พบพวกโจร ลุยเหงชวนทหารไปที่แม่น้ำตังเคย เก็บใบไม้แดงต้นนั้นได้ แล้วก็เดินไปอีกสองสามลี้ เห็นมีศาลเจ้าอยู่ริมทางชำรุดทรุดพัง ไม่มีเฮียเก๋งรักษา ลุยเหงจึงคิดว่า ศาลเจ้านี้ไม่มีผู้คน พวกโจรเดินทางไปมาคงจะเข้าอาศัย ประตูจึงปิดอยู่ เวลานี้ก็จวนค่ำ จำจะเข้าไปดู คิดแล้วให้ทหารจุดคบไฟขึ้นพากันเข้าไปในศาล เห็นชายผู้หนึ่งนอนหลับอยู่บนโต๊ะ รูปร่างสูงใหญ่น่ากลัว ลุยเหงจึงพูดว่า ซิบุนปินสติปัญญาดีนัก รู้ว่ามีโจรผู้ร้าย จึงให้เรามาตรวจจับตัว แล้วสั่งให้ทหารเข้าจับชายผู้นั้นมัดไว้แน่นหนาพาเอาตัวมา ลุยเหงจึงพูดกับทหารว่า เวลาวันนี้ก็ยังไม่สว่าง เราพากันไปหยุดพักที่นายอำเภอตำบลตังเคยชึงก่อน คอยให้สว่างดีจึงเอาตัวชายผู้นี้ไป พูดแล้วก็พากันเดินมาถึงตำบลตังเคยชึง
ฝ่ายเตียวไก่ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลตังเคยชึงตั้งแต่ปู่และบิดามาช้านาน เตียวไก่นี้ฝีมือเข้มแข็ง ใจโอบอ้อมอารี มั่งมีทรัยพ์สินมาก ผู้ใดยากจนมาก็ให้เงินทองไปซื้อกินตามทาง บรรดาคนที่มีฝีมือเข้มแข็งเข้าสวามิภักดิ์เป็นพวกพ้องของเตียวไก่ทั้งสิ้น ผู้รักษาเมืองตั้งให้เตียวไก่เป็นนายอำเภอใหญ่อยู่ในตำบลตังเคยชึง ซึ่งเตียวไก่นั้นไม่คิดหาภรรยา ถึงเวลาก็ซักซ้อมเพลงอาวุธอยู่เป็นนิจมิได้ขาด และที่ตำบลตังเคยชึงมีแม่น้ำตังเคยอยู่กลาง ฝั่งโน้นเรียกว่า ตำบลไซเคยชึง คือ บ้านฝั่งตะวันตก ฝั่งนี้เรียกว่า ตำบลตังเคยชึง คือ บ้านฝั่งตะวันออก ซึ่งตำบลไซเคยชึงนั้นเดิมปิศาจดุร้าย ผู้คนเดินทางไปมาริมแม่น้ำ ปิศาจก็จับตัวโยนลงในแม่น้ำตายเสียเป็นอันมาก ราษฎรชาวบ้านไซเคยชึงมีความวิตกไม่รู้ที่จะแก้ไขประการใด มีหลวงจีนรูปหนึ่งไปบอกชาวบ้านไซเคยชึงว่า ให้เอาศิลาเขียวมาก่อเป็นพระปรางค์ไว้ริมฝั่งข้างนี้องค์หนึ่ง ซึ่งปิศาจที่ทำร้ายแก่ผู้คนก็หนีไปอยู่ข้างฝั่งตังเคยชึงทั้งสิ้น ชาวบ้านไซเคยชึงได้ฟังก็ยินดี จึงเอาศิลาเขียวก่อเป็นพระปรางค์ตั้งอยู่ริมฝั่งตามคำหลวงจีนว่า ปิศาจก็หนีข้ามฟากมาทำอันตรายแก่ชาวบ้านตังเคยชึงตายอยู่เนือง ๆ เตียวไก่แจ้งความก็โกรธชาวบ้านไซเคยชึงยิ่งนัก จึงข้ามแม่น้ำไปยกเอาพระปรางค์ขึ้นบ่าแบกมาตั้งไว้ริมฝั่งตังเคยชึง ราษฎรชาวบ้านเห็นฝีมือเตียวไก่เข้มแข็งมีกำลังมากแบกพระปรางค์ข้ามฟากมาได้ ก็ตั้งชื่อเรียกเตียวไก่ว่า ทกทะเทียนอ๋อง ตั้งแต่นั้นมา ชื่อเสียงก็ปรากฏ มีคนเกรงกลัวมากขึ้น
ในขณะนั้น เตียวไก่ยังนอนอยู่ พอเวลารุ่งสว่าง ลุยเหงกับพวกทหารมาหา เตียวไก่ได้ยินเสียงคนปลุกมา สั่งให้เปิดประตูรับลุยเหงเข้าไปในบ้าน พวกทหารจึงเอาตัวผู้ร้ายที่จับมานั้นมัดไว้กับเสาประตูบ้าน แล้วชวนกันเข้าไปในบ้าน เตียวไก่จัดที่ให้ลุยเหงนั่งสมควรแล้วถามว่า ท่านมีธุระสิ่งใด จึงได้มาถึงบ้านข้าพเจ้าแต่เช้า ลุยเหงบอกว่า ผู้รักษาเมืองหุนเสียกุ้ยให้มาตรวจตราจับพวกโจรที่เที่ยวปล้นตีราษฎร
ครั้นข้าพเจ้าเดินมาเหน็ดเหนื่อย จึงได้มาอาศัยท่าน พอหายเหนื่อยก็จะพากันกลับไป เตียไก่ว่า เชิญท่านมาเถิด หาเป็นไรไม่ สั่งให้บ่าวจัดโต๊ะและสุรามาเลี้ยงลุยเหงกับพวกทหาร สำเร็จแล้วเตียวไก่จึงถามลุยเหงว่า ท่านมาเที่ยวตรวจตรา จับได้โจรบ้างหรือเปล่า ลุยเหงว่า ข้าพเจ้าเดินมาถึงศาลเจ้า เห็นชายผู้หนึ่งรูปร่างสูงใหญ่เสพสุราเมานอนหลับอยู่ในศาลเจ้า ข้าพเจ้าเห็นว่า ไม่ใช่คนดี ที่จะเป็นพวกโจรมาอาศัย จึงให้ทหารจับตัวมามัดไว้ที่หน้าบ้านท่าน ครั้นจะเอาตัวไปส่งก็เห็นว่า ยังเช้าอยู่ จึงแวะเข้ามาบอกให้ท่านรู้ด้วย แล้วจะเอาตัวไปส่ง เตียวไก่จึงนึกว่า ผู้ใดหนอมานอนหลับให้เขาจับได้ จำเราจะคิดอุบายปล่อยเสีย คิดแล้วก็พูดว่า ขอบใจท่านนักหนาอุตส่าห์มาบอกให้รู้ พูดดังนั้นก็สั่งให้จัดโต๊ะและสุราไว้ข้างในอีกโต๊ะหนึ่ง จึงพูดกับลุยเหงว่า เชิญท่านไปกินโต๊ะเสพสุราที่ข้างใน จะได้สนทนากันเล่นให้สบาย ลุยเหงเข้าไปกินโต๊ะเสพสุราได้ครู่หนึ่ง เตียวไก่จึงบอกกับลุยเหงว่า ข้าพเจ้าจะไปข้างนอกสักประเดี๋ยว เตียวไก่ก็ออกมาดู เห็นชายผู้นั้นต้องมัดอยู่ รูปร่างสูงใหญ่ ที่แก้มมีไฝดำ เตียวไก่จึงถามว่า เจ้ามาแต่ไหน เราไม่เคยเห็นหน้าเลย ชายผู้นั้นบอกว่า ข้าพเจ้ามาหาพวกพ้อง พอเวลาค่ำก็เข้าไปอาศัยนอนในศาลเจ้า พวกทหารว่า ข้าพเจ้าเป็นโจร จับเอาตัวมา เตียวไก่ถามว่า เจ้าจะมาหาพวกพ้องนั้นเขาชื่อไร ชายผู้นั้นว่า ข้าพเจ้าจะมาหาเตียวไก่ที่เป็นนายอำเภอบ้านตังเคยชึง เตียวไก่จึงถามว่า เจ้าจะมาหาเตียวไก่ด้วยธุระอันใด ชายผู้นั้นว่า เตียวไก่คนนี้ชื่อเสียงปรากฏทั้งแผ่นดิน คนที่มีฝีมือเข้มแข็งก็เข้าสวามิภักดิ์อยู่ด้วยเป็นอันมาก ข้าพเจ้าหมายว่า จะมาบอกลาภกับความสุขให้ เตียวไก่นึกว่า ชายนี้ตั้งใจจะมาหาเรา เผอิญให้เขาจับได้ จำจะแก้ไขเอาออก จึงจะควร คิดแล้วบอกว่า เรานี้แหละคือเตียวไก่ จะช่วยแก้เจ้าไว้ จึงสอนไว้ว่า ถ้าเราเดินออกมากับนายทหาร เจ้าจงเรียกเราว่า อาช่วยด้วย ข้าพเจ้าจากไปหลายปีแล้ว ครั้นมาหาก็จำทางไม่ได้ เดินหลงไปจนมืดค่ำ เห็นมีศาลเจ้าก็เข้าพักอาศัยนอน พวกทหารจับเอาตัวมามัดไว้ ชายนั้นได้ฟังก็ยินดี พูดว่า ท่านช่วยชีวิตข้าพเจ้าไว้ครั้งนี้ไม่ลืมพระคุณเลย เชิญท่านกลับไปเถิด เตียวไก่จึงมากินโต๊ะเสพสุรากับลุยเหงอยู่ประมาณครู่หนึ่ง ลุยเหงก็ลาเตียวไก่เดินออกมา เตียวไก่ตามมาส่งจนถึงประตู ลุยเหงชี้บอกว่า คนที่มัดไว้กับเสาข้าพเจ้าจับมา ชายผู้นั้นก็ทำร้องเรียกว่า อาช่วยด้วย เขาจับข้าพเจ้ามัดไว้ แล้วก็แจ้งความตามคำเตียวไก่สอนทุกประการ เตียวไก่ได้ฟังก็เดินเข้าไปใกล้ ทำเป็นจำได้ แล้วด่าว่าด้วยคำหยาบช้าต่าง ๆ จึงบอกกับลุยเหง นายทหาร ว่า คนนี้บุตรพี่ชาย ข้าพเจ้าเลี้ยงไว้แต่เล็ก ๆ ครั้นมารดาตายก็เที่ยวซัดเซไม่ได้กลับมาบ้านเป็นหลายปี บัดนี้ จะมาหาข้าพเจ้าก็จำทางไม่ได้ หลงไปนอนอยู่ในศาลเจ้า ท่านจึงจับเอาตัวมานี่ หากว่าข้าพเจ้ายังจำไฝที่แก้มได้ ลูกอะไรเช่นนี้ เที่ยวเชือนแชไปช้านาน ว่ากล่าวไม่ได้ ลุยเหงกับพวกทหารเหล่านั้นก็ไม่อาจทำประการใด พากันยืนดูอยู่
เตียวไก่จึงร้องตวาดว่า เหตุไฉนเจ้าเที่ยวเป็นโจรให้ท่านลุยเหงจับมาได้ ชายนั้นร้องว่า ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นโจรดอก เตียวไก่ก็ทำเป็นฉวยไม้กระบองตรงเข้าไปตี ชายนั้นว่า อา อย่าเพิ่งทุบตีเลย จะเล่าให้ฟัง ลุยเหง นายทหาร ก็ห้ามเตียวไก่ว่า ช้าก่อน ฟังดูถ้อยคำของหลานท่านจะว่ากระไร ชายผู้นั้นจึงพูดว่า เมื่อข้าพเจ้าจากไป อายุได้สิบห้าปี ข้าพเจ้าจากบ้าอากว่าสิบปีแล้ว ครั้นข้าพเจ้าจะมาหาอา เวลาคืนนี้กำลังเมาสุรา จึงไปนอนอยู่ที่ศาลเจ้า พวกทหารไม่ถามไถ่ จับเอาตัวมัดไว้ ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นโจรผู้ร้ายเลย เตียวไก่ได้ฟังก็ทำเป็นโกรธ เอากระบอกตีอีก แล้วว่า มาจนถึงบ้านยังไม่เข้ามาหา ไปเที่ยวเสพสุราจนเมา ทำเช่นนี้ชอบแต่ตีเสียให้เกือบตาย ลุยเหงได้ฟังสำคัญว่าจริง จึงพูดกับเตียวไก่ว่า ข้าพเจ้าไม่ทราบเลยว่าเป็นหลานท่าน คิดว่าคนร้ายก็ให้จับเอาตัวมา จึงสั่งให้ทหารแก้มัดเสียโดยเร็ว ทหารก็เข้าแก้ชายผู้นั้นออก แล้วลุยเหงจึงพูดกับเตียวไก่ว่า ท่านอย่าถือโทษข้าพเจ้าเลย จะขอลาไปก่อนแล้ว เตียวไก่ว่า ท่านอย่าเพิ่งไปเลย เตียวไก่จึงสั่งให้ชายผู้นั้นมาคำนับลุยเหง แล้วเตียวไก่ก็เอาเงินให้ลุยเหงสิบตำลึงกับทหารเหล่านั้นพอสมควร ลุยเหงกับทหารก็มีความยินดี ลาเตียวไก่ออกจากบ้านไป เตียวไก่ก็เอาเสื้อกางเกงมาให้ชายผู้นั้นใส่ แล้วถามว่า เจ้าแซ่ไร ชื่อใด อยู่บ้านเมืองไหน ชายผู้นั้นบอกว่า ข้าพเจ้าแซ่ เล่า ชื่อ ตง ปู่และบิดาข้าพเจ้าเป็นชาวเมืองตังโลวจิว ข้าพเจ้ามีไฝอยู่ที่แก้ม คนทั้งหลายเรียกว่า เซียะมอกุ้ย แปลว่า ปิศาจผมแดง ข้าพเจ้ามาครั้งนี้จะบอกลาภกับความสุขให้ท่าน ครั้นเมาสุราก็เข้าไปนอนในศาลเจ้า เขาจึงจับมา ท่านช่วยชีวิตข้าพเจ้าไว้คราวนี้พระคุณเป็นที่ยิ่ง เชิญท่านนั่งบนโต๊ะเถิด ข้าพเจ้าจะกราบไหว้ฉลองพระคุณท่าน เตียวไก่ว่า ข้อนั้นไม่เป็นไรดอก แต่เจ้าจะบอกลาภกับความสุขให้นั้น เหตุการณ์อย่างไร เล่าตงบอกว่า ตัวข้าพเจ้านี้ตั้งแต่เล็กมาก็เที่ยวคบเพื่อนฝูงที่มีฝีมือเข้มแข็ง ได้ยินเขาเล่าลือชื่อเสียงท่านปรากฏไปทั่วทั้งแผ่นดิน คนมีฝีมือเข้มแข็งก็มาสวามิภักดิ์เป็นพวกพ้องของท่านทั้งสิ้น ข้าพเจ้าจึงมาบอกลาภให้ ซึ่งเนียสิเกียดนั้นเป็นขุนนางอยู่ ณ เมืองปักเกีย ตำบลบ้านไต้เม่งฮู้ เนียสิเกียดจัดซื้อเพชรพลอยไว้ถึงสิบหมื่นเหรียญจะเอาไปช่วยชัวเกีย พ่อตา แซยิด ณ เมืองหลวง เดิมชัวเกียทำแซยิดครั้งหนึ่ง เนียสิเกียดจัดทรัพย์สิ่งของเงินทองเป็นอันมากเอาไปช่วยชัวเกีย ครั้นเดินทางไป มีผู้ร้ายมาแย่งชิงเอาเงินทองไปสิ้น จนเดี๋ยวนี้ก็ยังจับโจรผู้ร้ายไม่ได้ มาครั้งนี้ เนียสิเกียดจะให้คนคุมเพชรพลอยเข้าไปอีก ข้าพเจ้าจึงได้มาแจ้งกับท่าน คนที่คุมเพชรพลอยไปนั้นมากสักเท่าไรข้าพเจ้าไม่กลัวเลย ช่วยกันชิงเอาให้จงได้ ด้วยเนียสิเกียดกับพ่อตาเป็นขุนนางกังฉินเที่ยวข่มเหงกดขี่พวกราษฎรเอาเงินทอง จึงได้มีทรัพย์สิ่งของมาก ถ้าท่านกับข้าพเจ้าไปแย่งชิงเอาได้ ถึงเทพยดาฟ้าและดินแจ้งคามก็ไม่เป็น สืบไปภายหน้าโทษทัณฑ์สิ่งใดก็ไม่มีดอก ท่านจะเห็นประการใด เตียวไก่ว่า ขอบใจเจ้าหนักหนา แต่เราจะตรึกตรองดูก่อน ตัวเจ้าเหนื่อยมา จงพักผ่อนเสียให้สบาย แล้วสั่งให้คนใช้พาเล่าตงไปที่สำนักอาศัย แล้วเล่าตงจึงคิดว่า ลุยเหงเอาเงินของเตียวไก่ไปมาก เราจะตามไปทวงเอามา แล้วมองดูเห็นยังวันอยู่ ฉวยได้กระบี่รีบตามไป ใกล้จะทันจึงร้องเรียกว่า ลุยเหง นายทหาร ถ้าจะไปก็เอาเงินสิบตำลึงวางไว้แต่โดยดี แม้นไม่ให้ก็จะได้เห็นฝีมือกัน ลุยเหงเหลียวเห็นชายที่จับไว้นั้น จึงพูดว่า เงินทองของเจ้าที่ไหน อาเจ้าให้ เราจึงได้เอามา นี่เราเห็นกับหน้าอาเจ้า จึงไม่เอาตัวไปส่ง ยังจะตามมาเอาเงินอีกหรือ เล่าตงว่า อาเราไม่เต็มใจให้ เจ้าแกล้งจับตัวเราไป ทำให้อับอายเป็นหนักหนา ลุยเหงก็โกรธ จับอาวุธตรงเข้าสู้รบเป็นหลายสิบเพลงยังไม่แพ้ชนะ ต่างคนว่องไวดี ฝีมือสันทัดกันทั้งสองฝ่าย จะลก่าวถึงโงวหยงเป็นคนชาวบ้านตังเคยชึง เดิมไปเรียนหนังสือเป็นขุนนางที่ซิวจ๋ายฝ่ายบุ๋น ครั้นอยู่มาเห็นว่า บ้านเมืองแปรปรวน จึงได้ฝึกหัดเพลงอาวุธต่าง ๆ ไว้สำหรับตัว คนทั้งหลายเห็นโงวหยงสติปัญญาดี ฝีมือเข้มแข็ง จึงตั้งชื่อเรียกว่า ติโตแช เวลาวันนั้น โงวหยงยืนอยู่ในรั้วบ้าน เห็นลุยเหง นายทหาร สู้รบกับชายผู้หนึ่ง ดูเร็วคล่องแคล่วด้วยกันทั้งสองนาย โงวหยงก็ถือกระบองสั้นสองมือออกจากบ้านมาขวางหน้าลุยเหงกับชายผู้นั้นไว้ แล้วห้ามว่า ท่านทั้งสองอย่าเพิ่งสู้รบกันเลย ฝีมือว่องไวดีทั้งสองฝ่าย เหตุใดจึงสู้กับกับท่านนายทหาร เล่าตงเห็นชายผู้นั้นรูปร่างดี มีหนวดยาว นุ่งห่มเหมือนคนเรียนหนังสือ จึงตอบว่า ไม่ใช่ธุรการของท่านดอก เขาจะสู้รบกันให้เห็นแพ้และชนะ ลุยเหงเห็นโงวหยงมาห้าม ก็เล่าความซึ่งจับชายผู้นี้ได้แต่ต้นจนปลายทุกประการ แล้วว่า ข้าพเจ้าเห็นเป็นหลานของเตียวไก่ จึงจะยกโทษให้ ยังจะตามมาทวงเอาเงินที่เตียวไก่ให้ข้าพเจ้า จึงได้สู้รบกัน โงวหยงได้ฟังจึงนึกว่า เตียวไก่กับเราตั้งแต่เล็กจนใหญ่ได้รักใคร่กันมาช้านาน ซึ่งคนในบ้านและพี่น้องของเตียวไก่เรารู้จักอยู่ทั้งสิ้น เหตุไฉนจึงว่า ชายผู้นี้เป็นหลาน คงจะมีความลับสิ่งใดเป็นแน่ จำเราจะคิดอุบายห้ามปรามให้ลุยเหงไปเสียก่อน จึงค่อยไปถามเตียวไก่ดู คงจะรู้ความ คิดแล้วจึงพูดกับเล่าตงว่า นี่หาควรจะตามมาทวงเงินกับลุยเหงไม่ เตียวไก่ให้เขาแล้วแล้ว เจ้ามาทำดั่งนี้ ไม่ขายหน้าอาเจ้าหรือ เล่าตงว่า ท่านยังไม่เข้าใจ ข้าพเจ้านอนอยู่ในศาลเจ้า แกล้งจับเอาตัวมาว่า เป็นโจรผู้ร้าย ซึ่งเงินสิบตำลึงนี้อาไม่เต็มใจ ข้าพเจ้าจะเอาเงินให้ได้ ถ้าไม่ได้ก็ไม่กลับไป ลุยเหงได้ฟังโกรธว่า เงินสิบตำลึงนี้เตียวไก่ให้เราต่างหาก ซึ่งเจ้าจะมาเอานั้นไม่ได้ แล้วโงวหยงห้ามเล่าตงเท่าไรก็ไม่ฟัง ลุยเหงกับเล่าตงจึงเข้าสู้รบกันอีกครึ่งวันก็หาแพ้ชนะกันไม่ ฝ่ายเตียวไก่แจ้งความจากคนมาบอกก็ตามไปถึงที่วิวาทกัน โงวหยงเห็นเตียวไก่ก็ร้องบอกว่า เราห้ามเท่าไรก็ไม่ฟังเลย เตียวไก่มาถึงก็ทำด่าว่าเล่าตงเป็นอันมาก เล่าตงเห็นเตียวไก่โกรธ ก็ไม่อาจสู้รบต่อไป ลุยเหง นายทหาร จึงพูดกับเตียวไก่ว่า หลานท่านตามมาจะเอาเงิน ข้าพเจ้าไม่ให้ จึงได้สู้รบกัน โงวหยงมาห้าม หลานท่านก็ไม่ฟัง ข้าพเจ้าว่า ถ้าท่านมาเองจึงจะให้เงินคืน เตียวไก่ได้ฟังก็ทำโกรธว่า ลูกเช่นนี้เห็นจะเลี้ยงไม่ได้ ข้าพเจ้าจะเอาตัวไปตีเสียให้แทบตาย ท่านอย่าถือโทษเลย เห็นแก่หน้าข้าพเจ้าเถิด ลุยเหงเห็นเตียวไก่โกรธจะเฆี่ยนตีก็ลากลับไป โงวหยงจึงพูดกับเตียวไก่ว่า ถ้าท่านไม่มา เห็นจะเกิดความใหญ่ ซึ่งชายผู้นี้ฝีมือเข้มแข็งนัก ข้าพเจ้าเห็นว่า ลุยเหงจะสู้ชายนี้ไม่ได้ จึงออกมาห้ามไว้ ถ้าท่านมาช้า ลุยเหงก็คงตาย ชายผู้นี้มาแต่ข้างไหนจึงเรียกท่านว่า อา เตียวไก่ว่า เดิมข้าพเจ้าจะให้คนมาเชิญท่านไปปรึกษาพูดจากัน ครั้นเดินออกมา เด็กบอกว่า เห็นชายผู้หนึ่งถือกระบี่วิ่งมาทางนี้ ข้าพเจ้าจึงตามมาพบท่าน เชิญท่านไปบ้านข้าพเจ้าเถิด จะเล่าเรื่องให้ฟัง แล้วปรึกษาการงานด้วย
โงวหยงได้ฟังก็กลับเข้าไปในบ้าน บอกคนใช้ว่า ถ้าศิษย์ที่เรียนหนังสือมา จงบอกว่า ซินแสมีธุระ เวลาอื่นจึงมาเถิด สั่งแล้วเอากุญแจใส่ห้องเดินมากับเตียวไก่ด้วยกัน ครั้นถึงบ้าน เตียวไก่ก็เชิญโงวหยงเข้าไปข้างใน นั่งที่สมควรแล้ว เตียวไก่บอกว่า ชายผู้นี้ชื่อ เล่าตง เป็นคนชาวเมืองตังโลวจิว ฝีมือเข้มแข็ง จะมาบอกลาภให้ข้าพเจ้า ครั้นเมาสุราก็เข้าไปนอนในศาลเจ้า ลุยเหงจับตัวมาได้ เล่าแต่ต้นจนปลายให้ฟังทุกประการ ข้าพเจ้าคิดอุบายว่า เล่าตงมีใจสามิภักดิ์เป็นพวกพ้องจริง ๆ แจ้งความว่า เนียสิเกียดอยู่ ณ เมืองปักเกีย ตำบลไต้เม่งฮู จัดซื้อเพชรพลอยเงินทองถึงสิบหมื่นเหรียญ จะเอาไปช่วยซัวเกีย พ่อตา ณ เมืองหลวงทำแซยิดวันเดือนหก ขึ้นสิบห้าค่ำ ผู้ซึ่งจะคุมของเข้าไปต้องเดินทางมาทางนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่า เงินทองข้าวของอันนี้มิใช่เนียสิเกียดทำมาหากินซื้อขายโดยสุจริตเมื่อไร ไปเที่ยวข่มเหงกดขี่ราษฎรชาวบ้านเอาเงินทอง จึงได้มีทรัพย์สมบัติมาก เราไปแย่งชิงมาเสีย แล้วจะไปเอากับผู้ใด การอันนี้สมกับข้าพเจ้าฝันว่า ดาวจระเข้หล่นตรงลงมาบนหลังคาเรือนข้าพเจ้า หางดาวจระเข้นั้นมีดาวเล็กอยู่ดวงหนึ่ง แสงสว่างพลุ่งขึ้นไปบนอากาศแล้วหายไป ซึ่งฝันว่า ดาวหล่นลงมานั้นก็เห็นจะดี จึงได้เชิญท่านมาปรึกษาการเรื่องนี้ ท่านจะเห็นประการใด โงวหยงว่า ข้าพเจ้าเห็นชายนั้นมาก็คิดว่า คงตะมีเหตุสักสิ่งหนึ่ง และการอันนี้ก็ควรจะคิดอ่าน แต่คนที่จะต้องใช้นั้นมากก็ไม่ได้น้อยก็ไม่ได้ ในตำบลนี้ไม่เห็นมีผู้ใด ตัวท่าน กับข้าพเจ้า และเล่าตง สามคนนี้ฝีมือจะแข็งแรงสักเท่าไรก็เห็นจะไม่ได้ ต้องแปดคนจึงจะสำเร็จการ เตียวไก่ถามโงวหยงว่า ซินแสดูท่าจะเอาตามดาวที่ข้าพเจ้าฝันหรือ โงวหยงว่า ท่านฝันเห็นดาวจระเข้นี้ก็สำคัญ ดาวจระเข้นั้นจีนเรียกว่า ปักเต๊า ปัก แปลว่า ทิศเหนือ เต๊า แปลว่า ดาว ข้าพเจ้าเห็นว่า คนทิศเหนือจะมาช่วย พูดแล้วก็นิ่งตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งรำลึกได้ จึงบอกกับเตียวไก้ว่า มีอยู่สามคนเป็นพี่น้องกัน ฝีมือเข้มแข็ง ไม่กลัวตาย เห็นจะต้องไปบอกคนทั้งสามนี้มาช่วย จึงจะสมความปรารถนา เตียวไก่ถามว่า ชายสามคนนั้นแซ่ไร ชื่อใด อยู่บ้านตำบลไหน โงวหยงบอกว่า อยู่ตำบลบ้านเจี๊ยะเกียดชวน ในแขวงเมืองเจ๋จินฮู้ แซ่ อวน ชื่อ เซียวยี คนทั้งปวงเรียกว่า ลิบตีไทสวย คนหนึ่ง ชื่อ อวนเซียวเหงา ชาวบ้านเรียกว่า ตอเมี้ยยี่หนึง คนหนึ่ง ชื่อ อวนเซียวชิด ชาวบ้านเรียกว่า อัวะเงียมหลอ ชื่อหนึ่ง เป็นพี่น้องกัน ข้าพเจ้าก็ได้ไปอยู่ที่บ้านเป็นหลายวัน แต่พี่น้องสามคนนั้นไม่ได้ร่ำเรียนหนังสือ แต่พูดจาการสิ่งใดสัตย์ซื่อมั่นคง จะต้องไปชักชวนมา จึงจะสำเร็จ เตียวไก่ว่า ข้าพเจ้าได้ข่าวเล่าลือมาว่า พี่น้องสามคนนี้ซื่อตรงฝีมือก็ดี บัดนี้ ยังอยู่ที่ตำบลเจี๊ยะเกียดชวน หนทางไกลประมาณร้อยลี้เศษ จะให้คนไปเชิญมาพูดจาปรึกษากัน ท่านจะเห็นประการใด โงวหยงว่า ถ้าคนอื่นเห็นจะไม่มา ข้าพเจ้าต้องไปชักชวน จึงจะได้ เตียวไก่ก็ดีใจ ถามว่า ท่านซินแสจะไปเมื่อไรเล่า โงวหยงว่า เวลาค่ำวันนี้จึงจะไป เตียวไก่ก็สั่งให้จัดโต๊ะมาเลี้ยงโงวหยงกับเล่าตง และเตียวไก่ก็กินโต๊ะเสพสุราอยู่ที่นั่น โงวหยงจึงพูดกับเล่าตงว่า หนทางเมืองปักเกียจะไปตังเกียเมืองหลวงก็มีอยู่หลายทาง ไม่รู้ว่า จะเดินทางไหน จะต้องสืบข่าวให้รู้แน่ จะได้คิดการไว้คอยท่า เล่าตงว่า เวลาค่ำวันนี้ ข้าพเจ้าจะไปเมืองปักเกียสืบสวนดูให้รู้แน่ จึงจะกลับมา โงวหยงว่า ถ้ากระนั้นก็ดีแล้ว แต่วันแซยิดต่อเดือนหก ขึ้นห้าค่ำ เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นเดือนห้า ข้างขึ้น อีกหลายสิบวันจึงจะถึงกำหนด ท่านจงรออยู่ก่อน คอยให้ข้าพเจ้าไปพูดจาชวนคนทั้งสาม แล้วท่านจึงไป
เตียวไก่ได้ฟังก็เห็นชอบ จึงพูดกับเล่าตงว่า เจ้าจงคอยท่าอยู่ที่บ้านเราก่อน ให้ท่านซินแสไปหาคนทั้งสามกลับมา จึงค่อยไป พูดแล้วก็กินโต๊ะเสพสุราด้วยกันจนเวลาค่ำ โงวหยงก็ลาเตียวไก่ออกจากบ้าน เดินไปเวลากลางคืนจนรุ่งขึ้นกลางวัน ถึงตำบลเจี๊ยะเกียดชวน บ้านอวนเซียวยี เห็นมีเรือจอดอยู่สี่ห้าลำ กับแหและอวนที่สำหรับหาปลาตากอยู่หน้าบ้าน มีเรือนอยู่ริมน้ำเป็นหลายหลัง จึงร้องถามว่า อวนเซียวยีอยู่หรือไปข้างไหน
ฝ่ายอวนเซียวยีสามพี่น้องตั้งบ้านเรือนอยู่ริมฝั่งใกล้เคียงกันกับตำบลเขาเนียซัวเปาะ เที่ยวหาปลาในแม่น้ำเลี้ยงชีวิตอยู่เป็นนิตย์ เวลาวันนั้น ไม่ได้ไปเที่ยวหาปลา ได้ยินเสียงคนร้องเรียก จึงเดินออกมาดู เห็นโงวหยงก็ยินดี ถามว่า ท่านซินแสจะไปไหน หรือมาหาข้าพเจ้า ก็เชิญเข้าไปข้างในเถิด จัดที่ให้นั่งแล้วจึงพูดว่า นานนักหนาไม่ได้เห็นท่านเลย วันนี้ ท่านมาหาข้าพเจ้าด้วยธุระวิ่งใดหรือ โงวหยงบอกว่า เรามีธุระอยู่อย่างหนึ่งจะมาปรึกษาท่าน อวนเซียวยีว่า การงานสิ่งใดจงบอกให้ทราบเถิด โงวหยงจึงพูดเป็นคำนัยว่า ตั้งแต่เราไม่ได้มาหาท่านประมาณสองปีเศษ มีพ่อค้าเชิญเราไปเป็นซินแสสอนหนังสือบุตร แต่พ่อค้านั้นจะซื้อปลาทองตัวใหญ่สักเก้าตัวสิบตัว เราจึงมาปรึกษากับท่าน
อวนเซียวยีได้ฟังก็หัวเราะ แล้วพูดว่า นานนักหนา วันนี้ ท่านอุตส่าห์มา เชิญไปกินโต๊ะเสพสุราให้สบายเสียก่อน จึงค่อยปรึกษาหารือกัน โงวหยงว่า เราก็หมายจะมากินโต๊ะเสพสุราพูดเล่นให้สบาย ไม่แจ้งว่า อวนเซียวเหงา น้องท่าน อยู่หรือไม่ อวนเซียวยีว่า อวนเซียวเหงา น้องข้าพเจ้า ไม่อยู่ ไปเที่ยวเล่น ซึ่งจะกินโต๊ะเสพสุรานั้นต้องลงเรือข้ามฟากไปกินที่โรงเตี๊ยมฟากโน้น ถ้าข้ามฟากไปแล้ว คงจะพบอวนเซียวเหงา จึงชวนโงวหยงลงเรือข้ามฟากไป เห็นอวนเซียวชิด น้องที่สาม แจวเรือมา อวนเซียวยีร้องถามว่า เห็นอวนเซียวเหงาไปข้างไหน อวนเซียวชิดก็แจวเรือเข้าไปใกล้ โงวหยงเห็นอวนเซียวชิดก็ร้องถามว่า ท่านไปไหนมา เรามีธุระจะปรึกษากับท่านทั้งสาม เชิญไปกินโต๊ะเสพสุราด้วยกันเถิด อวนเซียวชิดเห็นโงวหยงก็ยินดี จึงถามว่า ซินแสไปไหนไม่เห็นหน้าเลย เชิญท่านไปเสพสุราด้วยกันให้สบาย แล้วอวนเซียวชิดก็รีบแจวเรือไปถึงบ้านมารดา อวนเซียวยีถามมารดาว่า อวนเซียวเหงาอยู่หรือไปข้างไหน มารดาบอกว่า สองสามวันนี้อวนเซียวเหงาไมได้ไปหาปลา เที่ยวเล่นเบี้ยเสียจนสิ้น ฉวยได้เข็มทองของมารดาสำหรับปักผม ลงเรือไปเมื่อสักครู่นี้เอง อวนเซียวยีได้ฟังก็ลงเรือแจวกลับมาบอกกับโงวหยงซินแสว่า ข้าพเจ้าไปเล่นเบี้ยครั้งไรไม่เคยได้สักครั้งหนึ่ง คราวนี้ก็เสียจนไม่มีจะเล่น โงวหยงจึงนึกว่า สามพี่น้องคนนี้เล่นเบี้ยเสียกำลังขัดสนอยู่ การที่เราคิดมาคงสมความปรารถนา คิดแล้วก็เหลียวไปเห็นอวนเซียวเหงาถือเบี้ยอีแปะพวกหนึ่งจะลงเรือมา ก็ร้องถามว่า เราเที่ยวตามท่านก็ไม่พบ เชิญท่านไปกินโต๊ะเสพสุราด้วยกันเถิด อวนเซียวเหงาเห็นโงวหยงก็ดีใจ รีบแจวเรือไปถึงโรงเตี๊ยม ให้เจ้าของโรงจัดและสุรามา สี่นายก็เสพสุรากินโต๊ะพูดจาตามสบาย โงวหยงครั้นจะพูดความลับขึ้นก็ไม่ได้ เห็นผู้คนไปมามาก จึงคิดว่า เวลาค่ำวันนี้ จะต้องค้างที่บ้านอวนเซียวยี จึงพูดได้ คิดแล้วก็กินโต๊ะพูดจากันตามสบาย จนเวลาเย็นก็ชวนกันจะกลับมา โงวหยงว่า เวลาค่ำวันนี้ เราจะค้างอยู่ที่บ้านท่าน จะได้ปรึกษากัน ว่าแล้วก็เอาเงินออกซื้อสุราสิ่งของต่าง ๆ กลับมาบ้าน อวนเซียวยีให้ภรรยาจัดหาสิ่งของพร้อม เวลาจวนค่ำก็ชวนกันกินโต๊ะเสพสุราทั้งสี่นาย โงวหยงว่า ท่านอยู่ตำบลนี้ จะหาปลาทองตัวใหญ่ไม่ได้หรือ อวนเซียวยีว่า ซึ่งแถวแม่น้ำนี้ทำเลก็น้อย จะหาปลาอย่างว่าไม่ได้ ที่แม่น้ำริมเขาเนียซัวเปาะนั้นกว้างใหญ่ ปลาทองจึงจะมี โงวหยงว่า แม่น้ำก็ตลอดถึงเขาเนียซัวเปาะ ไปเที่ยวหาไม่ได้ หรือมีผู้บังคับไม่ให้ไปหาปลาถึงตำบลเขาเนียซัวเปาะหรือ