แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดูเอกสารกำกับแม่แบบ)

หน้า ๘–๒๙ สารบัญลง



พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ครองราชสมบัติได้สี่สิบสองปี ไม่มีพระราชบุตร จึงมอบราชสมบัติให้พระเจ้าซ้องเอ็งจงฮ่องเต้ พระราชนัดดา ครองแผ่นดินทำนุบำรุงราษฎรสืบเชื้อพระวงศ์ต่อไป พระเจ้าซ้องเอ็งจงฮ่องเต้ครองราชสมบัติได้สี่ปีก็มอบราชสมบัติให้พระเจ้าซ้องซินจงฮ่องเต้ พระเจ้าซ้องซินจงฮ่องเต้ครองราชสมบัติได้สิบแปดปีก็มอบราชสมบัติให้พระเจ้าซ้องเตียดจงฮ่องเต้สืบต่อมา พระเจ้าซ้องเตียดจงฮ่องเต้นั้นครองราชสมบัติอยู่ ณ เมืองเปียนเหลียง ยังมีชายผู้หนึ่งแซ่กอ ชื่อยี่ เดิมเป็นบุตรเศรษฐีอยู่ในเมืองเปียนเหลียง ครั้นอยู่มา เศรษฐีบิดามารดากอยี่ตาย ญาติพี่น้องก็ไม่มี กอยี่ผู้นั้นได้เล่าเรียนวิชาความรู้ดีทุกอย่าง แต่ฝีเท้าเตะตะกร้อนั้นไม่มีผู้ใดสู้ได้ ชาวเมืองเรียกกอยี่ว่า กอกิว เป็นคนคบเพื่อนมาก เที่ยวประจบประแจงไป เห็นผู้คนเขาทำสิ่งใดก็เข้าช่วยทำได้ทุกอย่าง พอได้อาศัยเลี้ยงชีวิต แต่กอกิวนั้นไม่รู้จักว่าสัตย์ซื่อกตัญญูและผู้มีคุณประการใด จนชาวบ้านชาวเมืองออกระอาไม่มีผู้ใดให้อาศัย

ยังมีเศรษฐีคนหนึ่งแซ่เหง ชื่อมิได้ปรากฏ มีบุตรชายคนหนึ่งเที่ยวคบเพื่อนล้างผลาญเงินทองของบิดาเป็นอันมาก แล้วชักชวนเอากอกิวไปอยู่ด้วย เศรษฐีบิดาแจ้งว่า บุตรนั้นคบเพื่อนล้างผลาญเงินทองเสียมาก ก็ไปฟ้องต่อผู้รักษาเมืองไคฮองฮู้ว่า บุตรของข้าพเจ้าไปคบเอากอกิวมาล้างผลาญเงินทองเสียเป็นอันมาก ผู้รักษาเมืองก็ไปจับเอาตัวบุตรเศรษฐีกับกอกิวมาเฆี่ยนยี่สิบที แล้วก็ให้บ่าวไพร่ขับไล่ออกจากเมืองไป กอกิวถูกเฆี่ยนและต้องขับไล่ได้รับความอัปยศหนัก ก็อุตส่าห์เดินไปเมืองลิมฮวยจิว เห็นมีโรงบ่อนแห่งหนึ่ง เจ้าของโรงชื่อ ลิวซีก๋วน กอกิวเข้าไปอาศัยยอมตัวให้ใช้สอยอยู่ ลิวซีก๋วนเจ้าของโรงบ่อนนั้นก็ให้กอกิวอาศัยอยู่ด้วยเป็นอันดี

ฝ่ายพระเจ้าซ้องเตียดจงฮ่องเต้ถึงปีก็บวงสรวงเทพยดา เห็นว่า บ้านเมืองมีความสุข จึงรับสั่งกับขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยว่า เดิมเราบวงสรวงเทพยดาไว้ บัดนี้ บ้านเมืองก็มีความสบาย คนที่ต้องเวรจำอยู่ในเมืองหลวงและหัวเมืองทั้งหลายที่โทษเล็กน้อยไม่สำคัญก็ให้ปล่อยเสีย ขุนนางเจ้าพนักงานก็มีหนังสือรับสั่งไปถึงหัวเมืองทั้งปวงตามกระแสพระราชดำริ ให้ม้าใช้ถือแยกกันไปทุก ๆ เมือง เจ้าเมืองทั้งหลายแจ้งความแล้วก็ทำตามหนังสือรับสั่งทุกประการ

ฝ่ายกอกิวนั้นอยู่กับลิวซีก๋วนได้สามปี แจ้งความว่า คนซึ่งต้องโทษบ้างเล็กน้อยโปรดปล่อยทุก ๆ เมือง ก็มีความยินดี จึงคิดว่า เดิมเรามีโทษต้องไล่ออกจากเขตแดนเมืองหลวง บัดนี้ สิ้นโทษแล้ว จำเราจะเข้าไปเมืองหลวงเยี่ยมเพื่อนของเราดูให้รู้ว่าดีร้ายประการใด คิดแล้วกอกิวก็เข้าไปแจ้งแก่ลิวซีก๋วนว่า ข้าพเจ้าจะขอลาท่านกลับไปเมืองเปียนเหลียงเยี่ยมเยียนพวกพ้องเพื่อนฝูงจะอยู่ดีหรือประการใด ลิวซีก๋วนว่า เจ้าจะไปก็ดีแล้ว เราจะมีหนังสือไปถึงตังเจียงสือเพื่อนของเราตั้งโรงขายเครื่องยาอยู่ริมสะพานกิมเลียงเกี๋ยในเมืองหลวง เจ้าจงเอาหนังสือไปให้ แล้วจะได้พำนักอาศัยอยู่กับเขา กอกิวก็ยินดี ลิวซีก๋วนจึงเขียนหนังสือมาส่งให้ กอกิวรับหนังสือคำนับลาตรงมายังตังเกียเมืองหลวง ครั้นไปถึงโรงขายเครื่องยาริมสะพานกิมเลี่ยงเกี๋ยก็เอาหนังสือไปส่งให้ ตังเจียงสือรับหนังสือฉีกผนึกออกอ่าน มีความว่า หนังสือลิวซีก๋วนพวกพ้องมีมาให้ช่วยอุปถัมภ์กอกิวด้วย ตังเจียงสือจึงคิดว่า กอกิวนี้เป็นคนไม่มีกตัญญู จะอยู่กับเราเห็นจะไม่ได้ นานไปก็จะพาบุตรหลานเราเชือนแชเสียไป ครั้นไม่รับกอกิวไว้ก็เกรงใจลิวซีก๋วน จำจะต้องรับไว้แล้วจึงค่อยผ่อนผันต่อไป คิดแล้วก็เชิญกอกิวเข้าไปข้างใน จัดโต๊ะและสุรามาเลี้ยงกัน แล้วกอกิวอยู่กับตังเจียงสือได้สิบวัน ตังเจียงสือก็คิดอุบายหยิบเอาเสื้อกางเกงใหม่ออกมาให้กอกิวแล้วพูดว่า เราก็หากินเล็กน้อยพอเลี้ยงบุตรภรรยา ซึ่งท่านจะมาอยู่ด้วยกับเรานั้นไม่มีผลประโยชน์สิ่งใดเลย และตัวท่านก็ประกอบด้วยสติปัญญาและฝีมือ ควรจะทำราชการให้มีชื่อเสียงปรากฏไว้ในแผ่นดิน เราก็มีพวกพ้องเป็นขุนนางอยู่คนหนึ่ง จะเขียนหนังสือไปฝากฝังเจ้าไว้ จะได้ทำราชการ นานไปข้างหน้าชื่อเสียงจะได้ปรากฏกับเขาบ้าง เจ้าจะเห็นประการใด กอกิวได้ฟังก็ดีใจว่า ท่านสงเคราะห์ข้าพเจ้าดังนั้นแล้ว ถ้าข้าพเจ้าได้ดี มิได้ลืมพระคุณเลย ตังเจียงสือก็ส่งเสื้อ กางเกง กับหนังสือให้กอกิว แล้วจัดคนใช้ไปส่ง กอกิวก็รับหนังสือ เสื้อ กางเกง คำนับลาไปกับคนใช้ของตังเจียงสือ ครั้นถึงบ้านหักสือ ขุนนางฝ่ายบุ๋น คนใช้ก็พากอกิวเข้าไปคำนับ ส่งหนังสือให้หักสือ แล้วคนใช้ก็กลับไป หักสือ ขุนนางฝ่ายบุ๋น รับหนังสือฉีกผนึกออกอ่านแจ้งความว่า หนังสือของตังเจียงสือมีมาฝากฝังให้ช่วยทำนุบำรุงกอกิว หักสือจึงคิดว่า กอกิวคนนี้ไม่มีหลักแหล่ง เป็นแต่เที่ยวประจบประแจงพอได้เลี้ยงชีวิตเท่านั้น ซึ่งเราจะเลี้ยงทำนุบำรุงไว้ก็เห็นไม่มีประโยชน์สิ่งใดเลย ครั้นจะไม่รับไว้ ก็คิดถึงตังเจียงสือด้วยเป็นคนรักใคร่ชอบอัชฌาสัยกันมาแต่ก่อน จะต้องรับไว้แล้วก็ค่อยผ่อนผันต่อไป คิดแล้วก็เรียกกอกิวเข้าไปข้างใน จัดที่ให้พักอยู่พอสมควร ครั้นรุ่งขึ้นเช้า หักสือสั่งให้บ่าวไพร่หาข้าวปลาอาหารมาเลี้ยง กอกิวกินแล้ว หักสือจึงพูดกับกอกิวว่า เจ้าจะมาอยู่กับเรานี้ก็ไม่มีราชการสิ่งใด เรามีเพื่อนขุนนางอยู่คนหนึ่งพอจะพูดจาฝากฝังกันได้ เราจะมีหนังสือให้ถือไปถึงเฮงจินเค่งฮู่ม้า เป็นน้องเขยของพระเจ้าซ้องเตียดจงฮ่องเต้ คงจะชุบเลี้ยงให้เจ้ามียศศักดิ์สืบไป กอกิวก็ดีใจ หักสือเขียนหนังสือส่งให้กอกิวแล้วสั่งบ่าวว่า ให้นำกอกิวไปหาเฮงจินเค่ง กอกิวรับหนังสือคำนับลาออกเดินไปกับคนใช้ของหักสือ ครั้นถึงบ้านเฮงจินเค่งก็นำกอกิวเข้าไปเอาหนังสือส่งให้เฮงจินเค่ง คนใช้ของหักสือก็กลับมา เฮงจินเค่งรับหนังสือคลี่ออกอ่านแจ้งความแล้วพิจารณาดูลักษณะกอกิวก็รักใคร่ เรียกกอกิวเข้าไปข้างใน สั่งบ่าวไพร่จัดที่ให้กอกิวอยู่ตามสมควร กอกิวก็ประจบประแจงให้เฮงจินเค่งใช้สอยอยู่ทุกเวลามิได้ขาด เฮงจินเค่งก็มีความเมตตารักใคร่กอกิวมากขึ้น

ครั้นถึงวันแซยิดก็จัดการทำบุญให้ทาน ขุนนางข้าราชการก็มาช่วยเฮงจินเค่งจัดการ พร้อมแล้วก็ให้ขุนนางไปเชิญตวนอ๋องมากินโต๊ะ ตวนอ๋องนั้นเป็นราชบุตรที่สิบเอ็ดของพระเจ้าซ้องซินจงฮ่องเต้ และเป็นพระอนุชาของพระเจ้าซ้องเตียดจงฮ่องเต้ ตวนอ๋องนี้เป็นนักเลงรู้การเล่นทุกอย่าง ครั้นขุนนางไปเชิญ ตวนอ๋องก็มาที่บ้านเฮงจินเค่ง เฮงจินเค่งออกไปรับเชิญเข้ามาพูดจาสนทนากันข้างใน ให้ยกโต๊ะและสุรามาเลี้ยงขุนนางที่มาช่วยราชการ ตวนอ๋องกับเฮงจินเค่งนั้นก็กินโต๊ะเสพสุราอยู่ด้วยกัน ครั้นกินโต๊ะแล้ว ตวนอ๋องเข้าไปในห้องหนังสือของเฮงจินเค่ง เห็นสิงโตแกะด้วยหยกคู่หนึ่งสำหรับทับกระดาษเขียนหนังสืองดงามดี ก็หยิบสิงโตนั้นมาดูแล้วถามเฮงจินเค่งว่า สิงโตหยกนี้ช่างที่ไหนทำจึงได้งดงามหนักหนา เฮงจินเค่งได้ฟังก็คิดว่า ตวนอ๋องอยากได้ จึงว่า สิงโตหยกนี้ของทำมาแต่โบราณ ยังมีของคู่กันอีกสิ่งหนึ่งเป็นหยกสำหรับพาดพู่กันงดงามดี ผู้ที่แกะสิงโตกับหยกพาดพู่กันนี้เป็นฝีมือเดียวกัน ถ้าท่านจะต้องประสงค์แล้ว เวลาพรุ่งนี้ ข้าพเจ้าจะใช้คนเอาไปให้ที่วังท่าน ตวนอ๋องได้ฟังก็ยินดี พูดจากันแล้วตวนอ๋องกลับมาวัง ครั้นรุ่งเช้า เฮงจินเค่งก็เอาสิงโตหยกกับหยกพาดพู่กันมาใส่หีบลายทอง เอาแพรมาห่อหุ้มดีแล้ว ก็ใช้กอกิวเอาไปให้ตวนอ๋อง กอกิวรับหีบใส่สิ่งของคำนับลาตรงมาถึง เห็นตวนอ๋องเตะตะกร้ออยู่ กอกิวก็เข้าไปยืนแอบดูอยู่ข้างหนึ่ง ตะกร้อนั้นก็จำเพาะตรงมาข้างกอกิว กอกิวก็ทำท่าทางแล้วเตะ ตะกร้อก็ตรงไปหาตวนอ๋อง ตวนอ๋องเห็นกอกิวเตะตะกร้อดีจึงถามว่า เจ้านี่มาแต่ข้างไหน กอกิวบอกว่า เฮงจินเค่งใช้ข้าพเจ้าเอาหยกสิงโตกับหยกพาดพู่กันมาให้ท่าน กอกิวส่งหีบลายทองให้ ตวนอ๋องก็รับไปส่งให้คนใช้เอาไปเก็บไว้ แล้วตวนอ๋องถามว่า เจ้านี้ชื่อไร จึงได้เตะตะกร้อดี กอกิวบอกว่า ข้าพเจ้าแซ่กอ ชื่อกิว แต่ก่อนก็ได้ฝึกหัดเล่นตะกร้ออยู่บ้าง ตวนอ๋องว่า มาเตะด้วยกัน เราขอชมดูสักหน่อย กอกิวว่า ข้าพเจ้าไม่ควรเตะตะกร้อกับท่าน ตวนอ๋องว่า เราไม่ถือดอก มาเล่นด้วยกันเถิด กอกิวก็เข้าเตะตะกร้อด้วยตวนอ๋อง กอกิวนั้นชำนาญในการเตะตะกร้อไม่มีผู้เสมอ ยักย้ายเป็นกระบวนเตะต่าง ๆ ตวนอ๋องกับคนทั้งปวงเห็นก็พากันสรรเสริญว่า กอกิวเตะตะกร้อดีไม่มีผู้ใดสู้ได้ ตวนอ๋องชอบใจ เรียกกอกิวเข้าไปในบ้าน ให้นั่งที่สมควร แล้วพูดจาเกลี้ยกล่อมไว้ไม่ให้กลับไป กอกิวก็อยู่กับตวนอ๋องคืนหนึ่ง

ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้า ตวนอ๋องก็ให้คนใช้ไปเชิญเฮงจินเค่งมาจัดโต๊ะและสุราเลี้ยง เฮงจินเค่งกินเสร็จแล้ว ตวนอ๋องจึงพูดว่า กอกิวที่ท่านใช้ให้เอาของมาให้เรานั้น เรามีจิตรักใคร่อยากจะได้ไว้ใช้สอย จึงได้เชิญท่านมา เฮงจินเค่งตอบว่า ซึ่งท่านมีความเมตตาจะชุบเลี้ยงกอกิวนั้น ข้าพเจ้ามีความยินดีนัก เฮงจินเค่งก็ให้กอกิวอยู่กับตวนอ๋อง เฮงจินเค่งก็ลากลับมา ตวนอ๋องนั้นมีใจรักใคร่ จะไปไหนก็เรียกเอากอกิวไปด้วย ถึงเวลาชวนกันมาเตะตะกร้ออยู่ทุกเวลามิได้ขาด

ฝ่ายพระเจ้าซ้องเตียดจงฮ่องเต้ครองราชสมบัติสืบมาหามีพระราชบุตรไม่ ทรงประชวรลง โรคกำเริบมากขึ้น ก็เสด็จสู่สวรรคต พระราชวงศานุวงศ์กับขุนนางทั้งปวงประชุมพร้อมกันจัดหีบมาใส่พระศพ แล้วก็ทำการฝังไว้ตามอย่างธรรมเนียมศพพระมหากษัตริย์ เสร็จแล้วขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงปรึกษาเห็นพร้อมกันก็ยกตวนอ๋องขึ้นครองราชสมบัติทรงพระนาม พระเจ้าซ้องฮุยจงฮ่องเต้ (พระเจ้าซ้องฮุยจงฮ่องเต้นั้นคือเง็กเซ็งกาจูมู๊ยเปียวเตากุนเซียนจุติมาเกิด) ครั้นพระเจ้าซ้องฮุยจงฮ่องเต้ได้ราชสมบัติแล้วก็ไม่มีเหตุการณ์สิ่งใด

อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้าซ้องฮุยจงฮ่องเต้จึงตรัสกับกอกิวว่า จะตั้งแต่งให้เจ้าเป็นขุนนาง ความชอบสิ่งใดก็ยังไม่มี จะให้จดชื่อเจ้าไว้ในบัญชีก่อน ถ้ามีความชอบสิ่งไรจึงจะตั้งแต่ให้ ตรัสแล้วเสด็จเข้าข้างใน กอกิวก็กลับไปที่อยู่ของตัว ถ้าพระเจ้าซ้องฮุยจงฮ่องเต้เสด็จไปไหน กอกิวเป็นคนรักษาพระองค์ตามเสด็จไปทุกครั้ง ครั้นอยู่มาประมาณครึ่งปี พระเจ้าซ้องฮุยจงฮ่องเต้จึงรับสั่งตั้งให้กอกิวที่เตียนสวยฮูไทอวย ขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายทหาร ได้ว่ากล่าวบังคับบัญชาขุนนางนายทหารเป็นอันมาก

ครั้นถึงวันดี กอกิวซึ่งเป็นที่กอไทอวยก็เข้าในพระราชวังไปยังตำแหน่งที่ของตัว ตรวจตราขุนนางนายทหารและทหารเลวซึ่งตัวได้บังคับบัญชานั้นทุกเวลามิได้ขาด เวลาวันหนึ่ง เงเจียง โต๊วกุน กำกุน เบเปี้ย โป๊วเบีย ขุนนางในตำแหน่ง ก็พากันมาคำนับ กอไทอวยตรวจดูบัญชีเห็นขาดอยู่ชื่อหนึ่งซึ่งเป็นครูฝึกหัดทหารแปดสิบหมื่นนั้นไม่เห็นมา จึงถามขุนนางเหล่านั้นว่า เฮงจินครูทหารทำไมจึงไม่มา ขุนนางเหล่านั้นแจ้งว่า เมื่อวันก่อน เฮงจินมาบอกว่าป่วยไว้ จึงไม่ได้มา กอไทอวยได้ฟังเช่นนั้นก็โกรธพูดว่า เหตุไฉนจึงไม่มาให้ตรวจตรา ถือดีอย่างไรแกล้งมาบอกป่วย เราหาเชื่อไม่ ให้ทหารไปเอาตัวเฮงจินมา ทหารก็คำนับลารีบไปบ้านเฮงจิน

ฝ่ายเฮงจินครูทหารบุตรภรรยาไม่มี มีแต่มารดาอายุได้หกสิบปีเศษ เฮงจินนั้นป่วยอยู่ที่บ้าน พอทหารคนใช้ของกอกิวไปแจ้งความว่า ที่ไทอวยนั้นพระเจ้าซ้องฮุยจงฮ่องเต้ตั้งให้กอกิวเป็นขึ้นใหม่แล้ว วันนี้ ไทอวยไปตรวจตราบัญชี ขุนนางในตำแหน่งที่ไทอวยก็พากันไปพร้อมอยู่ที่สนามทุกคน เว้นแต่ตัวท่านไม่ได้ไป ไทอวยตรวจไปถึงชื่อท่านเรียกหาตัวไม่ได้ ขุนนางทั้งหลายบอกว่า ท่านป่วย มาไม่ได้ ไทอวยโกรธนัก ให้ข้าพเจ้ามาเอาตัวไป เชิญท่านไปหาเสียสักหน่อยเถิด ถ้าไม่ไป ข้าพเจ้าก็จะมีความผิด

เฮงจินได้ฟังก็อุตส่าห์เดินมาถึงบ้านกอไทอวย คุกเข่าคำนับ แล้วก็ยืนอยู่ กอไทอวยจึงถามว่า เจ้านี้ชื่อเฮงจิน เป็นครูทหารหรือเป็นบุตรผู้ใด เฮงจินบอกว่า ข้าพเจ้าเป็นบุตรเฮงเซง บิดาข้าพเจ้าเป็นครูทหาร เดี๋ยวนี้ บิดาถึงแก่กรรมเสียแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้รับที่ต่อมา กอไทอวยแจ้งว่า เป็นบุตรเฮงเซง ก็นึกได้ว่า เฮงเซงคนนี้เดิมได้ตีเอาเรา เรามีความแค้นเคืองอยู่ ครั้งนี้ จะทำแก่เฮงจินผู้เป็นบุตรแก้แค้นแทนเฮงเซงที่ได้กระทำแก่เราให้ได้ จึงพูดว่า บิดาของตัวเดิมเป็นคนขายเครื่องยาอยู่แต่ก่อน เข้ามารับเป็นครูฝึกหัดเพลงอาวุธ จะมีสติปัญญาสักเพียงใด ผู้ซึ่งนำเข้ามาถวายนั้นไม่พิจารณาดูให้ละเอียด จึงได้เอาคนเช่นนี้มาแต่งตั้งให้เป็นครูฝึกหัดทหาร ไม่ควรเลย ตัวเจ้าถือดีอย่างไรวันนี้จึงไม่มาให้เราตรวจตรา แกล้งบอกป่วยเสียนั้น มีโทษผิดมาก สั่งให้ทหารจับตัวเฮงจินเฆี่ยนเสีย

เฮงจินได้ฟังก็ตกใจตะลึงนิ่งอยู่ พวกนายทหารที่เฮงจินได้ฝึกหัดสั่งสอนนั้นก็อ้อนวอนกอไทอวยว่า ท่านอย่าเพิ่งเฆี่ยนตีเฮงจินครูข้าพเจ้าเลย ด้วยเป็นวันแรกออกตรวจตรา ถ้าเฆี่ยนตีกันเข้าแล้วก็จะเสียฤกษ์ไป กอไทอวยจึงว่า ถ้าดังนั้น วันนี้เราจะอดโทษไว้ เวลาอื่นจึ่งจะชำระใหม่

เฮงจินได้ฟังก็ดีใจ เงยหน้าดูกอไทอวยก็จำได้จึงคิดว่า กอกิวนี้เป็นคนประจบประแจง อาศัยเขาอยู่กิน วันหนึ่ง ไปลองฝีมือกับบิดาเรา บิดาเราก็ตีเอากอกิวเจ็บปวดอยู่นาน บัดนี้ กอกิวมาเป็นขุนนางนายทหารใหญ่ได้ว่ากล่าวเราด้วย กอกิวจะแก้แค้นแทนบิดาเราเป็นแน่ คิดแล้วก็ลากลับบ้านแจ้งความให้มารดาฟังทุกประการแล้วก็ร้องไห้ มารดาว่า เขาอาฆาตมาดร้ายอยู่ดังนี้ จะต้องหลบหลีกไปให้พ้นภัยก่อน เฮงจินตอบว่า มารดาพูดก็ควรแล้ว แต่จะไปอยู่แห่งใด ที่จะสำนักอาศัยก็ไม่มี จึงรำลึกได้ว่า เก็งเลียดเซียงก๋งอยู่ที่เมืองเอียนอันฮู้ ทหารของเก็งเลียดเซียงก๋งนั้นก็มาฝึกหัดเพลงอาวุธกับเรามิได้ขาด จำจะหนีไปอยู่กับเก็งเลียดเซียงก๋ง ณ เมืองเอียนอันฮู้ มารดาจะเห็นเป็นประการใด มารดาก็เห็นชอบ จึงเก็บรวบรวมของพอสมควร แล้วก็คิดจะหนีไปในเวลากลางคืนวันนั้น

ฝ่ายกอไทอวยครั้นเฮงจินกลับไปแล้วก็ให้เตี้ยซา ลีสี ทหารคนใช้คอยตามไประวังสอดแนมอยู่ที่บ้านเฮงจิน กลัวว่า เฮงจินจะหลบหลีกไปเสีย พรุ่งนี้จะเอาตัวมาชำระไม่ได้ ทหารทั้งสองนายก็ตามมาคอยระวังดูอยู่ที่ริมประตูบ้านเฮงจิน

ฝ่ายมารดาเฮงจินเห็นจึงพูดกับเฮงจินผู้บุตรว่า มีทหารมาเฝ้าอยู่ดังนี้ ทำไมจึงจะหนีออกจากบ้านไปได้ เฮงจินว่า มารดาอย่าตกใจ ข้าพเจ้าจะคิดแก้ไขเอง ครั้นเวลาเย็น เฮงจินก็เรียกเตี้ยซา ทหารที่กอไทอวยใช้มาระวังอยู่นั้น เข้าไปข้างใน แล้วพูดว่า เรามีธุระอยู่สิ่งหนึ่งอยากจะใคร่พบเจ้า ปรารถนาจะให้ช่วยสงเคราะห์ด้วย เดิมเราบนเจ้าตักงักเปียวที่ศาลประตูทิศตะวันออกไว้ บัดนี้ เราค่อยหายป่วยขึ้น จะไปแก้สินบน เจ้าจงไปบอกเฮียก๋งว่า เวลาพรุ่งนี้แต่เช้าเราจะไปไหว้เจ้า ให้เฮียก๋งเปิดประตูศาลเจ้าแต่เช้า แล้วเจ้าจงคอยเราอยู่ที่ศาลเจ้านั้นเถิด พรุ่งนี้เช้าจึงพบกัน เตี้ยซาได้ฟังก็จนใจ ครั้นจะไม่ไปก็ไม่ได้ ด้วยเฮงจินเป็นครูฝึกหัดมาก่อน ก็คำนับลาไปคอยท่าอยู่ที่ศาลเจ้าประตูเมืองทิศตะวันออกตามคำสั่ง แล้วเฮงจินก็เรียกลีสีทหารอีกคนหนึ่งเข้าไปบอกว่า เดิมเราได้บนเจ้าไว้ เจ้าจงเอาเงินไปซื้อศีรษะสุกรและเป็ดไก่จัดแจงให้สำเร็จ แล้วเอาไปคอยท่าเราที่ศาลเจ้าตังงักเปียวข้าวประตูเมืองทิศตะวันออก เราจะไปไหว้เจ้าแก้สินบนแต่เช้า อย่าให้ทันชาวบ้านรู้ พูดแล้วก็ส่งเงินให้ ลีสีรับเงินคำนับลาไปจัดไว้คอยท่าตามสั่งทุกประการ เฮงจินล่อลวงทหารสองนายให้ไปเสียจากประตูบ้านได้สมคิดแล้ว ก็รวบรวมทรัพย์สิ่งของแล้วจัดม้ามาเตรียมไว้ พอเวลาค่ำ ดึกประมาณสามยามเศษ ก็เอาทรัพย์สิ่งของเงินทองผูกเข้ากับคอม้า แล้วให้มารดาขึ้นหลังม้า เฮงจินก็เดินตามหลังม้าพามารดาหนีออกจากบ้านมาทางประตูเมืองข้างทิศตะวัตกไปเมืองเอียนอันฮู้

ฝ่ายเตี้ยซา ลีสี ทหารสองนายจัดสิ่งของไปคอยท่าเฮงจินอยู่ที่ศาลเจ้าแต่เวลาเย็นจนรุ่งเช้าก็ไม่เห็นเฮงจินมา เตี้ยซาสั่งให้ลีสีเฝ้าของไว้ เตี้ยซาก็ตรงมาที่บ้าน ไม่พบเฮงจิน มารดาเฮงจินก็หายไป เตี้ยซาสำคัญว่าไปข้างไหน ก็นั่งคอยท่าอยู่จนเวลาเย็น ลีสีไม่เห็นเตี้ยซากลับมาก็ทิ้งสิ่งของเสีย ตามมาพบเตี้ยซานั่งคอยอยู่ จึงถามเตี้ยซาว่า เฮงจินไปข้างไหน เตี้ยซาบอกว่า ไม่รู้เลย มารดาของเฮงจินก็หายไปด้วยกัน ทหารสองนายนั่งคอยจนเวลาค่ำ ก็ไม่เห็นเฮงจินกับมารดากลับมา ไปเที่ยวถามตามบรรดาพวกพ้องของเฮงจินก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าไปข้างไหน เตี้ยซา ลีสี ก็ตกใตกลัวกอไทอวยจะทำโทษ คิดจะหนีไปก็มีความอาลัยถึงบุตรภรรยาญาติพี่น้องยิ่งนัก ก็ต้องกลับไปแจ้งความกับกอไทอวยว่า เฮงจินกับมารดาอพยพหนีไป ข้าพเจ้าเที่ยวติดตามอยู่วันหนึ่งก็ไม่พบ หารู้ว่าจะไปแหงใดไม่ กอไทอวยได้ฟังก็โกรธจึงพูดว่า เฮงจินพามารดาหนีไป เราจะจับเอาตัวมาให้ได้ กอไทอวยก็เขียนหนังสือไปถึงหัวเมืองทั้งปวงว่า ถ้าพบปะเฮงจินกับมารดาเฮงจินให้จับตัวส่งเข้ามาเมืองหลวง เขียนหนังสือแล้วก็ให้ทหารถือแยกย้ายกันไปทุก ๆ เมือง

ฝ่ายเฮงจินกับมารดาหนีพ้นจากตังเกียเมืองหลวงไปได้เดือนเศษ เฮงจินจึงพูดกับมารดาว่า เราออกจากบ้านมาก็นานแล้ว ถึงผู้ใดไล่ตามมาจับก็คงไม่พบ เราอย่ารีบเร่งเดินนักเลย

มารดาได้ฟังก็ยินดีและว่า เจ้าเห็นจะพ้นภัยแล้ว ก็ตามใจเถิด เวลาวันนั้น ถึงที่สำนักก็ไม่ได้หยุด เดินเลยไปจนมืดค่ำ เห็นมีไฟสว่างอยู่ข้างหน้า ก็พามารดาตรงเข้าไปเห็นบ้านเรือนเป็นแถวกัน เฮงจินตรงเข้าไปที่บ้านนั้น ร้องถามเจ้าของบ้านว่า ข้าพเจ้าเดินเลยสำนักมาแล้ว จะเดินต่อไปก็มืดค่ำ ข้าพเจ้าจะขออาศัยท่านสักคืนหนึ่ง เงินทองจะคิดให้พอ เวลาเช้าก็จะลาท่านไป ผู้เฒ่าเจ้าของบ้านร้องบอกมาว่า จะอาศัยสักคืนหนึ่งก็ได้ จงเข้ามาเถิด เฮงจินจูงม้าเข้าไปผูกไว้ในบ้านเก็บข้าวของไว้ดีแล้วก็พามารดาเข้าไปคำนับผู้เฒ่า ผู้เฒ่าจึงถามว่า ท่านพากันมาแต่ไหน แซ่ไร ชื่อใด เฮงจินแกล้งบอกว่า ข้าพเจ้าแซ่เตี้ย ไปค้าขายอยู่ที่เมืองหลวงขาดทุนไม่มีกำไร บัดนี้ ข้าพเจ้ากับมารดาจะไปหาพี่น้องที่เมืองเอียนอันฮู้ เดินมาถึงนี่ก็มืดค่ำ จึงได้มาอาศัยท่าน ผู้เฒ่าว่า ไม่เป็นไร สั่งบ่าวไพร่ให้จัดห้องให้นอน แล้วให้เอาม้าไปผูกไว้ตามสั่ง มารดาเฮงจินเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย โรคเก่าที่เคยเป็นกำเริบขึ้นก็นอนคราง ครั้นรุ่งเช้า ผู้เฒ่าเจ้าของบ้านเดินมาที่ห้องได้ยินเสียงคนนอนครางแต่ยังหลับอยู่ จึงปลุกให้ลุกขึ้น เฮงจินตื่นเปิดประตูออกมา ผู้เฒ่าถามว่า เจ้าหรือนอนคราง เฮงจินบอกว่า มารดาข้าพเจ้าเดินทางมาเหนื่อย โรคเก่ากำเริบ จึงได้นอนคราง ผู้เฒ่าเจ้าของบ้านว่า มารดาเจ้าป่วยอยู่ก็อย่าเพิ่งไปเลย หมอของเราที่นี่มี จะให้รักษาโรค หายแล้วจึงค่อยไปเถิด เฮงจินได้ฟังก็ยินดี พักอยู่ที่นั่นสี่ห้าวัน รักษามารดาหายเป็นปกติแล้ว เฮงจินเดินไปที่หลังบ้านดูม้า เห็นหญ้าฟางมีกินบริบูรณ์อยู่ ก็เดินกลับมา เห็นชายผู้หนึ่งอายุประมาณสิบแปดปีรำเพลงอาวุธอยู่ เฮงจิงยืนดูแต่ไม่รู้ว่าผู้ใด เฮงจินจึงพูดว่า เพลงอาวุธท่านฝึกหัดมาก็มีอยู่ แต่ยังสู้คนมีฝีมือเข้มแข็งไม่ได้ ถ้าข้าพเจ้าสั่งสอนแนะนำให้อีกก็คงจะดีขึ้นกว่านี้ ซือจิน บุตรเจ้าของบ้าน ได้ฟังก็โกรธ จึงพูดว่า ท่านนี้มาติเตียนเรา ตัวท่านจะมีฝีมือดีอย่างไร จงมาลองเพลงอาวุธกับเราดูเล่นสักหน่อย พูดแล้วก็ตรงเข้ามาจะอากระบองตีเฮงจิน พอผู้เฒ่าบิดาเห็นก็ร้องห้ามว่า ทำอะไรเช่นนั้น ซือจินผู้บุตรบอกว่า เฮงจินมาติเตียนข้าพเจ้าว่าไม่ดี ข้าพเจ้าอยากจะทดลองฝีมือ ผู้เฒ่าบิดาจึงถามเฮงจินว่า เจ้ารู้เพลงอาวุธอยู่หรือ เฮงจินบอกว่า ข้าพเจ้ารู้อยู่บ้าง ผู้เฒ่านั้นจึงพูดกับบุตรว่า เจ้าเอาท่านผู้นี้เป็นครูเถิด ซือจินตอบว่า ถ้ามีฝีมือเข้มแข็งกว่า ข้าพเจ้าจึงจะเอาเป็นครู มาลองฝีมือกันก่อน ซือจินถือกระบองตรงเข้ามา เฮงจินเกรงผู้เฒ่าบิดา ไม่อาจทดลอง ผู้เฒ่าพูดว่า เจ้าอย่าเกรงใจเลย จงทดลองกันดูเถิด ซือจินก็ตรงเข้ามาเอากระบองตี เฮงจินจับกระบองกระชากหลุดจากมือ ตัวซือจินเซไปจะล้มลง เฮงจินก็เข้าประคองไว้ ผู้เฒ่าบิดาเห็นก็ยินดี จึงเรียกซือจินบุตรมาคำนับยอมเอาเฮงจินเป็นครู ผู้เฒ่าจึงถามเฮงจินว่า เจ้าฝึกหัดเพลงอาวุธมาแต่ไหน จึงได้มีฝีมือเข้มแข็งนัก เฮงจินจึงบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อ เฮงจิน เป็นครูทหารแปดสิบหมื่นในเมืองหลวง กอไทอวยคนใหม่มีใจเจ็บแค้นบิดาข้าพเจ้า จะเอาตัวข้าพเจ้าไปทำโทษจึงได้พามารดาหนีมาพบท่าน และท่านได้มีพระคุณแก่เราเป็นที่สุด ข้าพเจ้าจะฝึกหัดให้บุตรท่านทดแทนคุณซึ่งมีแก่ข้าพเจ้ามาก ผู้เฒ่าได้ฟังว่าเป็นครูทหารหลวงก็ยินดีนัก พูดว่า ตัวข้าพเจ้าชื่อ ซือไทก๋ง มาตั้งอยู่ที่ตำบลซือเกชึงช้านานแล้ว ที่ตำบลนี้มีบ้านอยู่ห้าร้อยเศษ บุตรข้าพเจ้านี้อยากจะฝึกหัดแต่เพลงอาวุธ มารดาห้ามก็ไม่ฟัง จนมารดาตรอมใจตาย ข้าพเจ้าก็ต้องตามใจให้ฝึกหัด ครั้งนี้มาพบท่านดีแล้ว ท่านจงช่วยฝึกหัดให้บุตรข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าจะทดแทนคุณท่าน เฮงจินว่า ข้อนั้นไม่เป็นไร อย่าได้วิตกเลย ซือไทก๋งก็ดีใจสั่งให้จัดโต๊ะและสุรามาเลี้ยงเฮงจินกับมารดา แล้วเฮงจินก็ฝึกหัดเพลงอาวุธต่าง ๆ ให้ซือจิน บุตรซือไทก๋ง ทุกเวลามิได้ขาด

ฝ่ายผู้รักษาเมืองฮัวอิมกุ้ยแจ้งว่า ซือไทก๋งเป็นคนสัตย์ซื่อ ใจก็โอบอ้อมอารี จึงตั้งให้ซือไทก๋งเป็นที่นายอำเภอผู้ใหญ่บ้านที่ตำบลซือเกชึง ตั้งแต่นั้นมา ราษฎรที่ตำบลซือเกชึงก็ทำมาหากินเป็นปกติ เฮงจินฝึกหัดเพลงอาวุธให้ซือจินครึ่งปี ซือจินชำนิชำนาญในการเพลงอาวุธต่าง ๆ แล้ว เฮงจินจึงพูดกับซือจินว่า เราฝึกหัดสั่งสอนก็ชำนิชำนาญดีแล้ว เราจะลาเจ้าไปหาเก็งเลียดเซียงก๋งที่เมืองเอียนอันฮู้ก่อน ซือจินศิษย์จึงว่า ท่านจงอยู่กับข้าพเจ้าก่อนเถิด ไว้ให้นาน ๆ จึงค่อยไป เฮงจินว่า ไม่ได้ ถ้ารู้ไปถึงกอไทอวยก็จะพาท่านลำบากด้วย ซือจินจึงไปแจ้งกับบิดาว่า เฮงจินครูข้าพเจ้าจะไปเสียแล้ว ซือไทก๋งมาว่ากล่าว เฮงจินก็ไม่ฟัง ซือไทก๋งจึงเอาเงินมาให้เฮงจินร้อยตำลึงเป็นรางวัล เฮงจินไม่รับเงิน ซือไทก๋งพูดว่า ท่านมาสั่งสอนบุตรข้าพเจ้าจนชำนิชำนาญ ไม่มีสิ่งใดทดแทนสนองคุณท่าน จงเอาเงินนี้ไปซื้อกินตามทางเถิด ท่าจะไปทางยังไกลนัก เฮงจินเสียไม่ได้ ก็รับเงินคำนับลา ซือไทก๋งก็ให้บ่าวไพร่ตามไปส่งจนพ้นเขตแดน แล้วเฮงจินกับมารดาก็เดินตรงไปหาเก็งเลียดเซียงก๋ง ณ เมืองเอียนอันฮู้

ฝ่ายซือจินนั้นครั้นเฮงจินครูไปแล้วก็ซักซ้อมเพลงอาวุธต่าง ๆ อยู่ที่บ้านจนชำนิชำนาญคล่องแคล่วดี ครั้นอยู่นานมา ซือไทก๋งบิดาป่วยหนักลง ซือจินหาหมอมารักษา โรคก็ไม่คลายหายขึ้น กลับทรุดหนักลงไปอีก ซือไทก๋งก็ถึงแก่ความตาย ซือจินจัดหาหีบมาใส่ศพทำกงเต๊กเซ่นไหว้แล้วก็เอาศพบิดาไปฝังตามยศศักดิ์นายอำเภอผู้ใหญ่บ้าน ตั้งแต่นั้นมา ซือจินมิได้คาดคิดจะค้าขาย คิดแต่จะชักชวนพวกพ้องมาซักซ้อมฝีมืออยู่เป็นนิจ มาวันหนึ่ง ถึงฤดูร้อน ซือจินนั่งอยู่ในบ้านไม่สบาย ก็เอาเก้าอี้ออกไปนั่งอยู่ที่ชายป่าหน้าบ้านลมพัดเย็น ๆ ซือจินเห็นเหมือนกับคนแอบต้นไม้ ก็ร้องตวาดว่า ผู้ใด แล้วเดินไปดู เห็นลีกิดแอบอยู่ก็จำได้ว่า ลีกิดเป็นคนเที่ยวยิงสัตว์ต่าง ๆ ในป่ามาขายให้เรามิได้ขาด สองสามวันนี้ไม่เห็นลีกิดยิงสัตว์ป่ามาขาย ซือจินจึงถามลีกิดว่า เจ้าไปข้างไหน จึงได้มาแอบอยู่ที่นี่ ลีกิดว่า ข้าพเจ้าจะมาหาคนในบ้าน ครั้นมาพบท่านอยู่ก็ไม่อาจจะเข้าไป ซือจินถามว่า สองสามเวลานี้ไม่เห็นยิงเนื้อมาขาย หรือกลัวว่า เราจะไม่มีเงินซื้อ ลีกิดว่า เนื้อในป่าไม่มี เที่ยวยิงไม่ได้ จึงไม่ได้เอามาขายให้ท่าน ซือจินว่า ในป่าตำบลนี้ก็กว้างใหญ่ สัตว์อื่น ๆ ถมไป ยิงไม่ได้เลยหรือ ลีกิดว่า ท่านไม่รู้หรือว่า ที่เขาเซียวฮัวซัวนี้มีนายโจรอยู่สามคน ที่หนึ่งชื่อ จูบู๊ ที่สองชื่อ ตันตัด ที่สามชื่อ เอียชุน สามนายนี้ตั้งเกลี้ยกล่อมซ่องสุมได้ไพร่พลไว้หลายร้อยคอยตีปล้นราษฎรอยู่เนือง ๆ มิได้ขาด ผู้รักษาเมืองฮัวอิมกุ้ยจึงบ่นว่า ถ้าผู้ใดจับนายโจรได้ จะให้เงินสามพันตำลึง ข้าพเจ้าจึงไม่อาจไปยิงเนื้อมาขายท่าน ซือจินว่า เราได้ยินข่าวเล่าลือมาช้านานแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดไปปราบปรามโจรได้ จะทำประการใดดี แล้วสั่งลีกิดว่า ถ้าเวลาอื่นยิงได้เนื้อสิ่งใดจงเอามาขายให้เราเถิด ลีกิดก็คำนับลากลับมาบ้านของตัว

ซือจินกลับเข้าบ้านสั่งคนใช้ให้จัดโต๊ะไว้เป็นอันมาก แล้วให้ไปเชิญตามบรรดาพวกพ้องที่อยู่ตำบลซือเกชึงมากินโต๊ะพร้อมกัน ซือจินจึงพูดว่า พวกโจรมาตั้งอยู่ที่เขาเซียวฮัวซัวคอยตีปล้นราษฎรอยู่เป็นนิจ ตั้งแต่วันนี้ไป พวกเราทั้งหลายจงรู้ทั่วกัน ถ้าโจรมาตีพวกเราแล้ว ก็ให้ตีม้าล่อขึ้นเป็นสัญญา ถ้าได้ยินเสียงม้าล่อก็ให้ถือเครื่องศัสตราวุธมาให้พร้อมกันจับตัวโจรให้จงได้ คนทั้งหลายพูดว่า ข้าพเจ้าไม่รู้จักการงาน ถ้าท่านสั่งประการใดก็จะทำตามสั่งทั้งสิ้น ชวนกันกินโต๊ะเสพสุราแล้วก็กลับมาบ้านจัดเครื่องศัสตราวุธไว้พรักพร้อมทุกคน ถ้าได้ยินม้าล่อก็จะได้ตรูกันไป

ฝ่ายจูบู๊นายโจรเป็นคนชาวเมืองเต็งเฮียงคุ้ย อาวุธสำหรับมือถือกระบี่สองเล่ม ฝีมือไม่เข้มแข็ง เพลงอาวุธก็ไม่ชำนาญ มีแต่สติปัญญาคิดอ่านดี ตันตัดนายโจรที่สองเป็นคนชาวเมืองเงียบสีกุ๊ย ถือทวนเป็นอาวุธสำหรับมือ สติปัญญาไม่มี ฝีมือกำลังก็ไม่เข้มแข็ง เอียชุนนายโจรที่สามเป็นชาวเมืองโปวจิว อยู่ตำบลไฮ้เลียงกุ้ย ถือง้าวสำหรับมือ สามนายนั่งสนทนากันอยู่ จูบู๊จึงพูดว่า ได้ยินข่าวเล่าลือมาว่า เขาบนจับตัวเราสามคน ถ้าทหารหลวงยกกองทัพมา เราจะสู้รบต้านทานเขาได้หรือ ด้วยเสบียงอาหารก็ขัดสน เราจะคิดไปตีปล้นที่ตำบลไหน จะได้เอาไว้เป็นกำลังต่อไป ตันตัดจึงบอกว่า ท่านพูดก็ถูกดอก จะต้องไปยืมเสบียงอาหารที่เมืองฮัวอิมกุ้ย ลองดูผู้รักษาเมืองจะคิดอ่านประการใด เอียชุนว่า ที่เมืองฮัวอิมกุ้ยนั้นขัดสน เสบียงอาหารไม่บริบูรณ์ เราไปตีปล้นเมืองโปวเสียกุ้ยดีกว่า ไพร่พลทหารก็น้อย คงสมความปรารถนา ตันตัดจึงว่า เมืองโปวเสียกุ้ยผู้คนน้อย เสบียงอาหารเงินทองก็ขัดสน จะว่าดีอย่างไร สู้เมืองฮัวอิมกุ้ยไม่ได้ ผู้คนมั่งมี เสบียงอาหารเงินทองมาก เราเห็นดีกว่า เคียชุนว่า ท่านไม่รู้หรือ ถ้าจะไปตีเมืองฮัวอิมกุ้ย ก็ต้องไปทางตำบลบ้านซือเกชึง ที่ตำบลบ้านซือเกชึงนั้นมีซือจินคนหนึ่งสติปัญญาดีฝีมือเข้มแข็งนัก ที่ไหนจะให้เราไปตีได้ ตันตัดได้ฟังก็โกรธ จึงพูดว่า แต่ซือจินคนเดียวก็เกรงกลัว ถ้าทหารหลวงยกมาจะต่อสู้เขาอย่างไรเล่า เอียชุนว่า ท่านอย่าประมาท ซือจินคนเดียวไม่มีใครสู้ได้ จูบู๊ว่า เราได้ยินเขาเล่าลือมาว่า ซือจินสติปัญญาดี ฝีมือเข้มแข็งนัก อย่าไปเลย ตันตัดว่า ท่านทั้งสองมากลัวซือจินนักหนา มิใช่ซือจินสามหน้าหกมือถืออาวุธมาก เราจะได้กลัว นี่ก็เป็นคนเหมือนกัน ท่านทั้งสองอย่ากลัวไปเลย เราจะไปตีปล้นตำบลบ้านซือเกชึงก่อน ทีหลังจึงค่อยยกไปตีเมืองฮัวอิมกุ้ย พูดแล้วก็เรียกไพร่พลทหารมาพร้อม ตันตัดขึ้นม้าคุมทหารออกจากเขาตรงไปตำบลบ้านซือเกชึง

ฝ่ายซือจินกับราษฎรชาวบ้านจัดหาเครื่องศัสตราวุธไว้พรักพร้อมแล้ว พอมีผู้มาบอกกับซือจินว่า นายโจรที่เขาเซียวฮัวซัวนั้นคุมไพร่พลเมืองตรงมาเกือบจะถึงตำบลบ้านเราอยู่แล้ว ซือจินได้ฟังก็สั่งให้ตีม้าล่อสัญญาขึ้น ราษฎรชาวบ้านซือเกชึงได้ยินเสียงม้าล่อต่างคนก็ถือเครื่องศัสตราวุธตรงมาประชุมพร้อมกันอยู่ที่บ้านซือจิน ซือจินเห็นชาวบ้านมาพร้อมแล้วก็แต่งตัวขึ้นม้านำชาวบ้านออกมาคอยท่าพวกโจรอยู่ที่ต้นทางตำบลซือเกขึง ตันตัดนายโจรคุมไพร่พลประมาณร้อยเศษตรงมาถึง เห็นซือจินขี่ม้ายืนสกัดทาง ก็เข้ามาทำทีจะคำนับ ซือจินเห็นก็ร้องตวาดว่า พวกเจ้านี้มีแต่เที่ยวตีปล้นราษฎรให้ได้ความเดือดร้อน มีโทษเป็นอันมาก ตันตัดตอบว่า เราไม่มาทำอันตรายท่าน ที่เขาเราอยู่นั้นขัดสนด้วยเสบียงอาหาร หมายว่าจะไปยืมที่เมืองฮัวอิมกุ้ย จะต้องอาศัยทางเดิน ถ้าเราไปยืมเสบียงอาหารมาได้ ก็จะทดแทนคุณท่าน ซือจินว่า เจ้าอย่าพูดเลอะเทอะไปเลย เดิมบิดาเราก็เป็นนายอำเภอรับราชการได้เบี้ยหวัดเงินเดือนอยู่เสมอมิได้ขาด ต้องมีความกตัญญูซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน เจ้าจะมาล่อลวงเราไปกระทำข่มเหงราษฎรนั้นไม่ได้ เราคิดว่า จะไปจับตัวพวกเจ้ามาทำโทษ บัดนี้ เจ้ามาถึงแล้ว เราจะต้องจับตัวไว้ ถ้าแม้นปล่อยให้ไป ราษฎรชาวบ้านก็จะได้ความเดือดร้อน ตันตัดว่า ท่านพูดเช่นนั้นไม่ควร มิใช่เราจะมาเบียดเบียนทำร้ายท่านเมื่อไร จะขออาศัยทางเดินไปมาเท่านั้น ซือจินว่า แต่ตัวเราก็ยอมดอก แต่เพื่อนของเรามีอยู่คนหนึ่งเขาไม่ยอม ตันตัดถามว่า ผู้ใดที่ไม่ยอม ซือจินว่า ง้าวที่เราถืออยู่นี้แหละเขาไม่ยอม ตันตัดก็โกรธ ขับม้าเข้าใกล้ ซือจินเอาง้าวฟัน ตันตัดเอาอาวุธขึ้นปัดป้องไว้ ซือจินเอาง้าวปัดทวนตันตัดหลุดจากมือ ซือจินขับม้าสะอึกเข้าไปจับตัวตันตัดได้ส่งให้ชาวบ้านมัดไว้ พวกโจรเห็นนายเสียทีก็ตกใจแตกหนีกระจายไป ซือจินเห็นพวกบริวารโจรหนีไปสิ้นแล้ว ก็เอาตัวตันตัดมาจำขังไว้ คิดว่า ถ้าจับนายโจรสองคนได้พร้อมกัน จึงจะส่งตัวไปให้ผู้รักษาเมืองทำโทษ ราษฎรชาวบ้านเห็นซือจินจับตัวตันตัดนายโจรได้ก็ดีใจสรรเสริญซือจินว่า มีฝีมือเข้มแข็ง ควรเป็นนายบ้านนายอำเภอได้

ฝ่ายจูบู๊ เอียชุน นายโจรทั้งสองห้ามตันตัดไม่ฟัง เห็นตัดตัดคุมไพร่พลมาก็มีความวิตก จึงให้พวกโจรตามไปฟังข่าวดูว่าจะเป็นประการใด พอพวกโจรเดินมาตามทางพบโจรบริวาร โจรเหล่านั้นหนีมาบอกว่า ตันตัดเสียที ซือจินจับตัวไว้ได้ ก็พากันกลับไปแจ้งความกับจูบู๊ เอียชุน จูบู๊ เอียชุน จึงว่า เราห้ามก็ไม่ฟังจึงได้เป็นดังนี้ ไม่รู้ที่จะคิดประการใดเลย เอียชุนว่า เราทั้งสองไปสู้รบกับซือจินให้เห็นฝีมือ ถ้ามีชัยชนะก็คงช่วยตันตัดออกมาได้ จูบู๊ว่า ซือจินสติปัญญาว่าดีฝีมือเข้มแข็ง เราสองคนจะไปช่วยกันก็เห็นจะไปสู้รบต้านทานซือจินไม่ได้ อย่าไปเลย คิดหาอุบายล่อลวงให้ชอบกล จึงจะแก้ไขช่วยตันตัดมาได้ เอียชุนจึงถามว่า อุบายประการใด จูบู๊กระซิบบอกว่า เราสองคนจงไปด้วยกันเถิด อย่าเพิ่งรู้ความคิดของเราเลย จูบู๊กับเอียชุนสองนายก็ชวนกันมาที่บ้านซือเกชึง ชาวบ้านเห็นนายโจรทั้งสองเดินมาก็ไปแจ้งกับซือจินว่า นายโจรมาอีกแล้ว ซือจินก็ตีม้าล่อสัญญา พวกราษฎรชาวบ้านมาพร้อมกัน ซือจินก็ขึ้นม้านำหน้าตรงมาเห็นโจรทั้งสองไม่ได้ขี่ม้า ซือจินก็หยุดม้ายืนอยู่ จูบู๊กับเอียชุนเห็นซือจินนั่งอยู่บนหลังม้า สองนายโจรตรงเข้าไปคุกเข่าคำนับแล้วร้องไห้พูดว่า เดิมข้าพเจ้าสามคนได้สาบานกันไว้ว่า ถ้าตายเป็นประการใดก็ต้องตายด้วยกัน ข้าพเจ้านี้พวกขุนนางกดขี่ข่มเหงจนเหลือทนจึงได้หนีมาเป็นโจรอยู่ที่เขานี้ ท่านจับเอาตัวพวกข้าพเจ้ามาคนหนึ่ง ข้าพเจ้าทั้งสองก็ยอมตาย ซึ่งตัวข้าพเจ้าทั้งสามนี้ไม่เหมือนเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย แต่ใจก็คล้ายคลึงกัน ไหน ๆ ท่านจับมาได้คนหนึ่ง ข้าพเจ้าทั้งสองก็ยอมตายด้วยกัน ท่านจงเอาข้าพเจ้าทั้งสามไปส่งเถิด คงได้รางวัลความชอบมาก ซือจินเห็นร้องไห้ดังนั้นจึงคิดว่า โจรสามคนนี้มีความสัตย์ซื่อกตัญญูต่อกัน ครั้นเราจะเอาไปส่ง คนทั้งหลายก็จะเลื่องลือว่า ไม่ใช่ชายชาติทหาร เห็นแก่รางวัลและความชอบ เป็นคนมีฝีมือเข้มแข็งไม่ได้ คิดแล้วก็เรียกนายโจรทั้งสองเข้าไปในบ้าน สั่งให้ราษฎรกลับไปที่อยู่ตามเดิม ซือจินก็พานายโจรทั้งสองเข้าไปข้างใน นายโจรทั้งสองก็คุกเข่าคำนับตรงหน้าพูดว่า ท่านจงเอาตัวข้าพเจ้าทั้งสามคนส่งไป ณ เมืองฮัวอิมกุ้ยเถิด ซือจินจึงว่า เราเกิดมาเป็นชายชาติทหาร ก็รักผู้มีฝีมือและสติปัญญาด้วยกัน ครั้นจะเอาเจ้าทั้งสามไปส่ง ชื่อเสียงของเราก็จะไม่ปรากฏว่ามีฝีมือเข้มแข็ง เห็นแก่เงินทองและความชอบ ซึ่งเจ้าทั้งสามมีความกตัญญูต่อกัน เรามีความเมตตา จะปล่อยตัวให้ไปตามแต่สติปัญญาเจ้าเถิด

จูบู๊ว่า ถ้าท่านปล่อยตัวข้าพเจ้าทั้งสามไป รู้ถึงท่านผู้ใหญ่เข้า ตัวท่านจะมีความผิด ได้ความลำบากเพราะพวกข้าพเจ้า ขอท่านเอาตัวข้าพเจ้าทั้งสามไปส่งเสียเถิด จะได้พ้นภัย ความชอบและรางวัลของท่านก็จะมีเป็นอันมาก ซึ่งท่านจะมารับทุกข์ของข้าพเจ้านั้นไม่ควร ซือจินว่า ข้อนั้นไม่เป็นไร เราจะปล่อยให้ไป ท่านอย่าพูดมากไปเบย ซือจินก็ให้ผู้คุมไปเอาตัวตันตัด ตันตัดมาถึงจึงคำนับซือจินตามธรรมเนียม ซือจินก็ให้จัดโต๊ะมาเลี้ยงนายโจรทั้งสาม เสร็จแล้ว นายโจรทั้งสามก็ลากลับมายังเขาเซียวฮัวซัวตามเดิม อุบายของจูบู๊นายโจรนี้เรียกว่า โควเกย แปลว่า ทุกข์เสียก่อนจึงกลับได้สุข

ฝ่ายจูบู๊ กับตันตัด เอียชุน กลับไปถึงเขาแล้วจึงพูดกันว่า ถ้าเราไม่คิดอุบายอย่างนี้ ที่ไหนตันตัดจะออกได้ ซือจินนั้นใจคอก็ดี จำเราจะเอาสิ่งของไปตอบแทนคุณเขาจึงจะควร พูดกันแล้วต่างคนคิดหาของแต่สิ่งไรก็ไม่ได้ จึงปรึกษากันว่า เราไม่มีอะไรจะเอาไปตอบแทนคุณซือจิน มีแต่ทองคำหนักสามสิบตำลึงเอาไปให้พอเป็นทางไมตรีไว้ก่อน จะมิดีหรือ สามนายปรึกษาเห็นพร้อมกันก็เอาทองคำหนักสามสิบตำลึงไปให้ซือจินในเวลากลางคืน คนใช้รับทองคำคำนับลาตรงมาหาซือจินแจ้งความว่า นายโจรทั้งสามใช้ให้ข้าพเจ้าเอาทองคำหนักสามสิบตำลึงมาตอบแทนบุญคุณท่าน แล้วหยิบเอาทองออกส่งให้ ซือจินจึงคิดว่า ครั้นเราจะไม่รับไว้ นายโจรทั้งสามคงระแวงว่า เราจะคิดอ่านประการใด จำจะรับไว้ดีกว่า คิดแล้วก็รับเอาทองคำไว้ จัดโต๊ะมาเลี้ยงคนใช้ แล้วคนใช้ก็คำนับลามาแจ้งความกับนายโจรทั้งสามให้ฟังทุกประการ นายโจรก็มีความยินดี เที่ยวตีปล้นหากินอยู่เนือง ๆ ครั้นอยู่มาประมาณยี่สิบวัน นายโจรทั้งสามเที่ยวตีปล้นได้พลอยอย่างดีเม็ดใหญ่ ก็ให้คนใช้เอาให้ซือจิน ซือจินรับไว้ เลี้ยงดูคนใช้แล้วก็กลับไป ซือจินจึงคิดว่า นายโจรมีใจเอาสิ่งของเงินทองมาให้เรามิได้ขาด จำจะหาของตอบแทนบ้างจึงจะควร คิดแล้วซือจินก็ไปเที่ยวซื้อแพรต่วนอย่างดีมาจ้างช่างตัดเสื้อสามตัว เสร็จแล้ว ครั้นเวลาค่ำ ก็ให้เฮงสีกับคนใช้เอาเสื้อแพรต่วน กับเนื้อแพะสามตัวมาต้มแกงให้ดี แบ่งปันเป็นสามส่วน เอาไปให้นายโจร เฮงสีกับคนใช้รับเสื้อกับของคำนับลามาในกลางคืน ครั้นไปถึงเขา ก็เข้าไปหานายโจรทั้งสามแจ้งความว่า ซือจินใช้ให้เอาสิ่งของมาให้ท่าน นายโจรนั้นรับสิ่งของยินดียิ่งนัก สั่งให้จัดโต๊ะมาเลี้ยงคนใช้ของซือจิน แล้วคนใช้ก็ลากลับมาบ้าน ตั้งแต่นั้นมา ซือจินกับนายโจรทั้งสามรักใคร่สนิทไปมาหากันอยู่ประมาณครึ่งปี

ฝ่ายซือจิน ครั้นจวนจะถึงเดือนแปด ขึ้นสิบห้าค่ำ เป็นสารทจีน ก็สั่งให้บ่าวไพร่จัดหาเครื่องโต๊ะและสุราอย่างดีไว้ แล้วเขียนหนังสือให้เฮงสีไปเชิญนายโจรทั้งสามนั้นมากินโต๊ะเสพสุราวันสารทจีน กลางคืนจะได้ชมเดือนสนทนากัน เฮงสีคำนับลาไปถึงก็เอาหนังสือส่งให้ นายโจรรับหนังสือฉีกผนึกออกอ่านแจ้งความก็สลักหลังหนังสือว่า ถ้าถึงวันสารท ข้าพเจ้าทั้งสามจะไปคำนับท่าน สลักหลังหนังสือแล้วก็เอาเงินห้าตำลึงมาให้เป็นรางวัลกับเฮงสี จัดโต๊ะดูแล เสร็จแล้ว เฮงสีรับหนังสือกับเงินคำนับลาเดินทางมาประมาณสิบลี้ เฮงสีเมาสุราเดินไม่ได้ เห็นใต้ต้นไม้ร่มก็แวะเข้านอนหลับไป ในเวลานั้น ลีกิดซึ่งเป็นนายพรานเที่ยวยิงเนื้อยังไม่ได้ จึงไปพบเฮงสีนอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้ ก็จำได้เป็นคนอยู่บ้านซือเกชึง เผชิญเป็นกรรมของเฮงสีจะถึงที่ตาย ซือจินผู้นายจะต้องตกทุกข์ได้ยากพลัดพรากไปจากบ้าน เทพดาจึงดลใจให้ลีกิดเข้าพยุงตัวเฮงสีจะให้กลับไปบ้าน ก็พยุงขึ้นไม่ไหว ลีกิดเห็นในไถ้ของเฮงสีมีเงินก็สงสัย จึงนึกว่า เฮงสีไปไหนมาจึงมีเงินมาก จำจะแก้ออกดู เฮงสีเมาสุราไม่รู้ตัว ลีกิดแก้ไถ้ออกดูเห็นมีหนังสือก็หยิบมาอ่านใจความว่า ซือจินเขียนหนังสือไปเชิญจูบู๊ ตันตัด เอียชุน นายโจรทั้งสาม มากินโต๊ะวันกลางเดือนแปดสารทจีน ครั้นแจ้งความดั่งนั้นแล้วจึงคิดว่า เมื่อเดิมเราให้หมอดูว่าจะดีร้ายประการใด หมอทายไว้ว่า เราจะได้เงินกับจะมีความชอบ เราจึงคิดว่า เป็นคนเที่ยวยิงเนื้อ จะได้เงินมีความชอบอย่างไร คิดไม่เห็นเลย ก็วันนี้ เรามาพบของสำคัญ เห็นจะเหมือนหมอนั้นทายดอกกระมัง ผู้รักษาเมืองฮัวอิมกุ้ยบนไว้ว่า ถ้าผู้ใดจับนายโจรสามคนได้จะให้เงินสามพันตำลึง คิดแล้วลีกิดจึงเอาเงินกับหนังสือนั้นมา บอกความกับผู้รักษาเมืองฮัวอิมกุ้ยทุกประการ

ฝ่ายเฮงสี ครั้นสร่างเมาตื่นขึ้นมาไม่เห็นเงินกับหนังสือก็ตกใจ เที่ยวหาสำคัญว่า ตกอยู่ตามทาง เดินกลับไปหาก็ไม่ได้ จึงคิดว่า ถ้าเรากลับไปบอกซือจินตามจริงก็จะขัดเคืองเรา จะต้องแก้ไขอย่าให้ซือจินโกรธได้ คิดแล้วกลับไปแจ้งความกับซือจินว่า ข้าพเจ้าเอาหนังสือไปให้ นายโจรดีใจรับคำว่าจะมา เขาจะตอบหนังสือ ข้าพเจ้าตอบว่า หนทางก็ไกล ท่านอย่าตอบเลย ฉวยว่าตกลงตามทางมีผู้เก็บได้จะเกิดความ นายโจรทั้งสามจึงไม่ตอบหนังสือกลับมา ซือจินได้ฟังก็ยินดี ครั้นถึงวันสารทก็จัดการที่จะเลี้ยงดูไว้พร้อม

ฝ่ายจูบู๊ กับตันตัด เอียชุน ถึงกำหนดก็ชวนกันเดินมากับทหารประมาณสามสิบคน ถึงตำบลบ้านซือเกชึง ซือจินก็ออกมารับ เชิญนายโจรทั้งสามเข้าไปข้างใน สั่งให้ปิดประตูเสียไม่ให้ผู้ใดเห็น สี่นายก็ขึ้นไปนั่งบนเหลาสูงกินโต๊ะเสพสุราสนทนากันไปจนเวลากลางคืน

ฝ่ายผู้รักษาเมืองฮัวอิมกุ้ยนั้น ครั้นลีกิดเอาหนังสือไปบอกความว่า ซือจินคบกับพวกโจร เชิญมากินโต๊ะเสพสุรา ก็โกรธยิ่งนัก จึงสั่งนายทหารทั้งสองว่า ให้จัดไพร่พลไว้ ให้ลีกิดนำไปล้อมบ้านซือจินจับนายโจรทั้งสามกับตัวซือจินมาในเวลาค่ำวันนี้ให้ได้ ทหารสองนายคำนับลามาจัดไพร่พลเครื่องศัสตราวุธไว้พร้อมเสร็จ ครั้นเวลาค่ำ ลีกิดก็นำนายทหารทั้งสองกับไพร่พลออกจากเมืองฮัวอิมกุ้ยตรงมาถึงตำบลซือเกชึงจนถึงบ้านซือจิน นายทหารทั้งสองก็คุมไพร่พลเข้าล้อมบ้านซือจินไว้แน่นหนา



ภาพ[1] สารบัญขึ้น



ภาพสมัยราชวงศ์หมิง
วงตะกร้อที่วังตวนอ๋อง



เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ แก้ไข

  1. ภาพเพิ่มโดยวิกิซอร์ซ




ตอน ๑ ขึ้น ตอน ๓