หน้า ๓๙–๔๘ สารบัญ
ฝ่ายลูตัดหนีออกจากเมืองอุยจิวได้ก็รีบเดินไปประมาณครึ่งเดือนเศษถึงตำบลงันมึงกุ้ย แขวางเมืองไต้จิว เข้าไปในเมือง เห็นผู้คนตั้งร้ายขายของต่าง ๆ เป็นอันมาก ลูตัดเดินไปตามถนนเห็นคนยืนเป็นหมู่ก็แวะเข้าไปดู ลูตัดไม่รู้จักหนังสือ มีชายผู้หนึ่งอ่านหนังสือที่ปิดอยู่นั้นใจความว่า ลูตัดเป็นขุนนางนายทหารตำแหน่งที่เรียกว่า ทีหัด อยู่เมืองอุยจิว ตีแต้โต๋วตายแล้วหนีมา ถ้าผู้ใดรู้จักจับตัวได้จะให้เงินพันตำลึง ลูตัดได้ฟังก็สะดุ้งใจเดินถอยห่างออกไป พอกิมโล้เดินออกมาเที่ยวเล่นเห็นลูตัดก็จำได้ ตรงเข้ากอดตัวลูตัดไว้ แกล้งเรียกว่า เตียตัวกอ แปลว่า พี่แซ่เตีย ไปไหนมา ก็ฉุดมือลูตัดไปให้พ้นผู้คน แล้วพูดกับลูตัดว่า ท่านช่างกล้าหาญนัก ไม่รู้บ้างหรือ ผู้รักษาเมืองไต้จิวเขียนหนังสือวาดรูปท่านมาปิดไว้ จะให้จับตัวส่งไปเมืองอุยจิว ซึ่งท่านมีพระคุณกับข้าพเจ้าเป็นที่ยิ่ง ข้าพเจ้าไม่ลืมบุญคุณเลย มาพบท่านเข้าวันนี้มีความยินดีนัก ลูตัดได้ฟังดังนั้นก็จำได้ว่า กิมโล้ที่เราช่วยปล่อยมา จึงได้เกิดความขึ้นเพราะกิมโล้ จึงถามกิมโล้ว่า ท่านพาบุตรสาวมาว่าจะไปตังเกียเมืองหลวง หรือไฉนจึงมาอยู่เมืองนี้เล่า กิมโล้บอกว่า แต่แรกข้าพเจ้าคิดว่า จะเดินทางไปเมืองหลวงตังเกีย ครั้นมาใกล้เมืองไต้จิวพบพวกพ้องของข้าพเจ้าคนหนึ่งเคยอยู่ที่ตังเกียด้วยกัน บัดนี้ เขามาตั้งโรงค้าขายอยู่ที่เมืองไต้จิว ชวนข้าพเจ้าไปอยู่ด้วย แล้วชักนำให้บุตรสาวข้าพเจ้ามีผัวชื่อ เตียอวนเงยเศรษฐี ข้าพเจ้าจึงได้อยู่กับบุตรสาวที่เมืองนี้ ยังไม่ได้ไป ลูตัดก็ยินดี พูดว่า ท่านมีที่พึ่งพอให้ความสุขก็ดีแล้ว แต่เราหนีมาเพราะความเรื่องท่าน เวลานั้น ไปพบแต้โต๋ว เราจึงได้ทุบตีแต้โต๋วตายแล้วก็หนีมา กิมโล้ว่า ขอเชิญท่านไปพักสนทนากันเล่นที่บ้านข้าพเจ้าก่อน บุตรสาวของข้าพเจ้าก็คิดจะสนองพระคุณท่านอยู่มิได้ขาด เศรษฐีสามีของบุตรสาวข้าพเจ้านั้นก็อยากฝึกหัดเพลงอาวุธต่าง ๆ เชิญท่านไปบ้านกับข้าพเจ้าเถิด กิมโล้ก็พาลูตัดมาถึงบ้าน เชิญเข้าไปข้างใน จัดที่ให้นั่ง แล้วก็ร้องเรียกนางชุยเหลียนบุตรสาวมาบอกว่า ท่านผู้มีคุณกับเรามาถึงบ้าน เจ้าไปคำนับโดยเร็ว นางชุยเหลียนได้ฟังก็รีบออกมาคำนับลูตัด กิมโล้จึงได้จัดหาโต๊ะแลสุรามาเลี้ยงลูตัด นั่งพูดจากันอยู่จนเวลาเย็น
ฝ่ายเตียอวนเงยเศรษฐีมาจากบ้านภรรยาใหญ่จะมาหานางชุยเหลียน เห็นลูตัดนั่งกินโต๊ะเสพสุราอยู่ก็สำคัญว่าเป็นชู้กัน จึงไปเรียกผู้คนบ่าวไพร่มาประมาณยี่สิบคนตรงมาถึงบ้านที่นางชุยเหลียนอยู่ ก็เข้าล้อมร้องว่า จับตัวให้ได้ ลูตัดตกใจออกมาดูเห็นผู้คนมาก ก็ถือกระบองคอยป้องกันรักษาตัวไว้ กิมโล้เห็นก็ห้ามว่า อย่าเพิ่งวุ่นวายก่อน แล้วเดินออกไปบอกกับเตียวอวนเงยเศรษฐีว่า ผู้มีคุณคนนี้ที่นางชุยเหลียนภรรยาท่านเล่าให้ฟัง ไม่ใช่ผู้อื่นดอก อย่าวุ่นวายเลย เตียอวนเงยเศรษฐีได้ฟังก็สั่งให้บ่าวไพร่กลับไป แล้วเตียอวนเงยก็เข้าไปคำนับลูตัด ลูตัดเห็นจึงถามกิมโล้ว่า ผู้ใด กิมโล้บอกว่า ชื่อเตียอวนเงยเศรษฐี เป็นสามีนางชุยเหลียนบุตรสาวข้าพเจ้าเอง ลูตัดได้ฟังก็รับคำนับเป็นอันดี เตียอวนเงยจึงพูดว่า ซึ่งท่านมีคุณกับบิดาและภรรยาของข้าพเจ้านั้น ก็เหมือนมีคุณกับข้าพเจ้าด้วย วันนี้ ได้มาพบท่านเป็นบุญหนักหนา พูดแล้วก็ให้บ่าวไพร่ไปจัดโต๊ะและสุรามาเลี้ยง ลูตัดก็เล่าความซึ่งตีแต้โต๋วตายให้ฟังทุกประการ แล้วลูตัดกับเตียอวนเงยก็สาบานเป็นพี่น้องกัน เวลาคืนวันนั้น ลูตัดนอนอยู่ที่บ้านกิมโล้ ครั้นรุ่งเช้า เตียอวนเงยชวนลูตัดไปที่บ้านภรรยาใหญ่ตำบลชิดโปชวน ครั้นถึง เตียอวนเงยก็ชวนลูตัดเข้าไปในบ้าน จัดที่ให้นั่ง คำนับกัน แล้วก็จัดโต๊ะและสุรามาเลี้ยงลูตัดเป็นอันดี ลูตัดพักอยู่ที่บ้านเตียอวนเงยเจ็ดแปดวัน กิมโล้ไปบอกลูตัดว่า มีคนมาสอดแนมดูที่บ้านข้าพเจ้า จะจับตัวท่าน บัดนี้ แจ้งว่า ท่านมาอยู่กับเตียอวนเงยที่ตำบลนี้แล้ว เขาจะมาจับตัวท่านให้ได้ ลูตัดว่า ถ้าเขามาจับต้องไปกับเขา เตียอวนเงยว่า ท่านพูดดังนั้นไม่ควร ครั้นจะปล่อยให้ท่านไปเสียก็มีความอาลัยนัก แต่ข้าพเจ้าเห็นอุบายอยู่อย่างหนึ่งพอจะพักอาศัยคุ้มภัยอันตรายได้ แต่กลัวท่านจะไม่ยอม ลูตัดว่า ถ้าท่านเมตตาเห็นควรแล้ว ข้าพเจ้าก็จะทำตาม เตียอวนเงยว่า เดิมปู่และบิดาของข้าพเจ้าได้เรี่ยไรเงินทำบุญไว้ที่วัดเขาเงาไทซัวเป็นอันมาก ที่วัดนั้นมีหลวงจีนแปดร้อยองค์ ตั้งแต่นี้ไปทางประมาณสามสิบลี้ หลวงจีนเจ้าวัดเขาเงาไทซัวเรียกข้าพเจ้าว่า ซี่จู๊ เปรียบเหมือนเจ้าของวัด เมื่อก่อนนั้น ข้าพเจ้าได้บนไว้ว่า จะพาพวกพ้องมาบวชเป็นหลวงจีนอยู่วัดนี้สักองค์หนึ่ง แต่ยังไม่มีผู้ใดเขาจะยอมบวช ถ้าท่านยอมบวชเป็นหลวงจีนไปอยู่วัดเขาเงาไทซัวแล้ว จะขัดสนเงินทองสิ่งของอันใดข้าพเจ้าจะสงเคราะห์ ท่านกับข้าพเจ้าก็ได้อยู่ใกล้กัน เตียอวนเงยว่าดังนี้เพราะกฎหมายเมืองจีน คนโทษถึงที่ตายถ้าหนีไปบวชได้ก็พ้นโทษภัยทั้งสิ้น ลูตัดได้ฟังก็คิดว่า ถ้าเราจะหนีต่อไปก็ไม่มีที่พำนักอาศัย ครั้นจะหลบหลีกซ่อนตัวอยู่กับเตียอวนเงยเศรษฐีก็คงไม่พ้นภัย ไหน ๆ เราก็ได้ทำผิดแล้ว บวชเสียก็ดีดอก คิดดังนั้นจึงพูดกับเตียอวนเงยว่า ซึ่งท่านเมตตามาแนะนำให้นั้น ข้าพเจ้าก็ยอมตามคำท่าน จงได้จัดหาสิ่งของให้พร้อมเถิด เตียอวนเงยสั่งให้จัดสิ่งของไว้พร้อมเสร็จ
ครั้นรุ่งเช้า เตียอวนเงยก็พาตัวลูตัดกับสิ่งของทั้งปวงไปที่วัดเขาเงาไทซัว
ฝ่ายหลวงจีนตีจินเจ้าวัดแจ้งว่า เตียอวนเงยเจ้าของวัดมา ก็เรียกหาศิษย์ทั้งปวงออกมาต้อนรับเชิญ เตียอวนเงยก็เข้าไปข้างใน แล้วหลวงจีนตีจินเจ้าวัดถามเตียอวนเงยว่า ท่านมาหาข้าพเจ้าด้วยธุระสิ่งอันใดหรือ จึงได้เอาของมาเป็นอันมาก เตียอวนเงยบอกว่า ข้าพเจ้ามีธุระอยู่อย่างหนึ่ง เดิมได้บนไว้ว่า จะบวชพวกพ้องให้อยู่ที่วัดนี้สักองค์หนึ่ง ซึ่งสิ่งของนั้นก็จัดหาไว้พรักพร้อมแล้ว แต่ยังไม่มีผู้ใด บัดนี้ ข้าพเจ้ามีน้องอยู่คนหนึ่งชื่อ ลูตัด ตั้งใจจะมาบวช จึงได้พามา ท่านจงสงเคราะห์ข้าพเจ้าด้วย หลวงจีนตีจินเจ้าวัดได้ฟังจึงตอบว่า ถ้าตั้งใจจะมาบวชแล้วก็ไม่เป็นไร ข้าพเจ้าจะจัดแจงบวชให้ ท่านอย่าวิตกเลย หลวงจีนศิษย์ทั้งปวงเห็นหน้าลูตัดดุร้ายน่ากลัว เข้าไปกระซิบแก่ท่านอาจารย์ว่า คนที่จะบวชเห็นจะไม่ใช่คนดี คงหลบหลีกหนีมาแต่เมืองใดเป็นแน่ ถ้าท่านรับไว้ก็จะพากันลำบากทั้งสิ้น หลวงจีนตีจินเจ้าวัดได้ฟังศิษย์ทั้งหลายว่ากล่าว ก็ลุกออกมาอาบน้ำชำระตัวสิ้นราคี แล้วก็จุดธูปเทียนขึ้นบูชาพระ นั่งพิจารณาดูลูตัดว่าจะเป็นคนดีร้ายประการใด ด้วยหลวงจีนตีจินเจ้าวัดนั้นเป็นผู้วิเศษอาจล่วงรู้การงานทั้งปวง ครั้นนั่งพิจารณาดูอยู่ครู่หนึ่งก็รู้ความชัด จึงบอกกับศิษย์เหล่านั้นว่า ลูตัดนี้เป็นคนซื่อตรง ดาวบนฟ้ามาจุติ นานไปก็จะได้สำเร็จเหมือนกัน เจ้าทั้งหลายไม่รู้จักสิ่งใด เห็นแต่หน้าตาดุร้ายก็ว่าเป็นคนพาล ซึ่งเจ้าทั้งหลายอยู่ในวัดนี้สู้ลูตัดคนเดียวก็ไม่ได้ ศิษย์ทั้งหลายได้ฟังก็คิดว่า ท่านอาจารย์นี้เห็นว่า เตียอวนเงยเศรษฐีมีเงินทองมาก เกรงใจเขา ถ้าเป็นคนของเศรษฐีก็ดีทั้งสิ้น คิดแล้วก็ไม่อาจจะว่ากล่าวประการใด หลวงจีนตีจินเจ้าวัดเรียกลูตัดเข้าไปโกนผมสำเร็จก็บวชลูตัดเป็นหลวงจีน ตั้งชื่อใหม่เรียกว่า หลวงจีนลูตีซิม แล้วสั่งสอนให้ประพฤติการที่จะรักษาศีลต่าง ๆ ต่อไป หลวงจีนลูตีซิมก็จำคำสั่งสอนไว้ทุกประการ เตียอวนเงยนั่งสนทนากับหลวงจีนตีจินเจ้าวัดและหลวงจีนลูตีซิมด้วยประการต่าง ๆ เวลาค่ำวันนั้น เตียอวนเงยก็นอนค้างอยู่ที่วัดเขาเงาไทซัว
ครั้นเวลารุ่งเช้า เตียอวนเงยจึงลาหลวงจีนเจ้าวัดและหลวงจีนลูตีซิมกลับมา หลวงจีนเจ้าวัดกับหลวงจีนลูตีซิมก็ตามมาส่งจนนอกวัด เตียอวนเงยก็เรียกหลวงจีนลูตีซิมสั่งว่า ข้าพเจ้าจะลาท่านกลับไป แต่การสิ่งใดท่านจงประพฤติให้ดี อย่าให้เหมือนเมื่อยังไม่ได้บวช ถ้าจะต้องการใช้สอยสิ่งของอันใดก็ให้ไปเอาเถิด สั่งแล้วก็คำนับลาไป หลวงจีนเจ้าวัดกับหลวงจีนลูตีซิมก็กลับเข้าวัด ครั้นมาถึงที่อยู่แล้ว หลวงจีนลูตีซิมก็เข้านอน ศิษย์เหล่านั้นชวนกันว่า หลวงจีนลูตีซิมไม่ท่องหนังสือสวดมนตร์เอาแต่เล่น หลวงจีนลูตีซิมก็ทุ่มเถียงเอา ศิษย์เหล่านั้นจึงไปฟ้องต่อหลวงจีนเจ้าวัดว่า หลวงจีนลูตีซิมเอาแต่นอน ไม่ได้เล่าเรียนหนังสือสวดมนตร์เลย หลวงจีนเจ้าวัดว่า ช่างเถิด อย่าไปว่ากล่าวเขาเลย ศิษย์ทั้งหลายก็พากันนิ่งเสีย ตั้งแต่นั้นมา ไม่มีผู้ใดว่ากล่าวได้ ครั้นอยู่มาประมาณห้าเดือนเศษ หลวงจีนลูตีซิมจึงคิดว่า เรามาอยู่นี่ก็นานแล้ว ไม่ได้กินสิ่งใด อดอยากหนักหนา เตียอวนเงยก็ไม่เห็นเอาหมูเป็ดไก่และสุรามาให้กินบ้างเลย คิดแล้วก็ไม่มีความสบาย เดินออกไปนั่งเล่นที่ศาลาหน้าวัด ยังมีชายผู้หนึ่งหาบถังสุราเดินมาถึงศาลาหน้าวัดก็หยุดหาบลง หลวงจีนลูตีซิมเห็นถังก็ถามว่า ท่านหาบถังอะไรมา ชายนั้นบอกว่า ในถังนั้นสุราอย่างดี หลวงจีนลูตีซิมถามว่า ถังหนึ่งจะขายเท่าไร ชายนั้นตอบว่า ท่านไม่รู้หรือ ชาวบ้านเหล่านี้อยู่ในบังคับหลวงจีนตีจินเจ้าวัดทั้งสิ้น หลวงจีนเจ้าวัดสั่งไว้ว่า ไม่ให้ผู้ใดขายสุราให้หลวงจีนในวัดนี้ ถ้าผู้ใดขายสุราให้หลวงจีนก็จะทำโทษเฆี่ยนตี ซึ่งตัวข้าพเจ้านี้หลวงจีนเจ้าวัดให้เงินไปทำทุนขายสุรา ข้าพเจ้าซื้อสุรามาก็ขายให้แก่คนที่ทำงานอยู่ในวัดสำหรับหามหลวงจีนไปแห่งใด ๆ จะขายสุราให้ท่านนั้นไม่ได้ หลวงจีนเจ้าวัดรู้ก็จะเฆี่ยนตีขับไล่ข้าพเจ้าเสีย ข้าพเจ้าจะไปอยู่ที่ไหนได้ หลวงจีนลูตีซิมถามว่า เจ้าไม่ขายจริง ๆ หรือ ชายผู้นั้นว่า เอาไปฆ่าเสียก็ไม่ขาย พูดแล้วก็หาบถังสุราวิ่งหนีไป หลวงจีนลูตีซิมไล่ตามทัน ก็ยึดคานไว้ เอาเท้าถีบชายผู้นั้นล้มลง หลวงจีนลูตีซิมก็เปิดถังสุรากินจนสิ้นถังหนึ่ง แล้วจึงบอกกับชายผู้นั้นว่า พรุ่งนี้ไปเอาเงินที่วัดเถิด ชายผู้นั้นจึงคิดว่า ถ้าไปเอาเงินที่วัด ท่านหลวงจีนเจ้าวัดก็คงรู้ว่าเราขายสุรา คงจะทำโทษเฆี่ยนตีเรา แล้วก็จะเอาเงินทุนไปเสียสิ้น จำจะหนีไปเสียดีกว่า คิดแล้วก็ลุกขึ้นไม่ได้โต้ตอบประการใด หาบถังสุราขึ้นบ่าหนีไป หลวงจีนลูตีซิมเดินกลับมาเมาสุรามากทวีขึ้นก็ตรงเข้าไปในวัด ศิษย์ที่รักษาประตูวัดเห็นหลวงจีนลูตีซิมเมาสุรา จึงห้ามว่า อย่าเข้าไปเลย ท่านอาจารย์ประกาศไว้ว่า หลวงจีนรูปใดเสพสุราเข้ามาในวัด จะเฆี่ยนตีสี่สิบที แล้วจะไล่เสีย ถ้าท่านจะเข้ามา พวกข้าพเจ้าก็จะถูกเฆี่ยนด้วย จงไปเสียเถิด หลวงจีนลูตีซิมไม่ฟัง ขืนเข้าไปในวัด ศิษย์ทั้งสองจึงไปเรียกพวกลูกศิษย์เหล่านั้นถือกระบองมาห้าม หลวงจีนลูตีซิมไม่ฟัง ก็เข้ากลุ้มรุมตี หลวงจีนลูตีซิมแย่งกระบองได้ ตีศิษย์เหล่านั้นเจ็บปวดไปหลายคน หลวงจีนผู้กำกับองค์หนึ่งก็เข้าไปฟ้องหลวงจีนตีจินเจ้าวัดว่า หลวงจีนลูตีซิมเสพสุราเมาเที่ยวทุบตีศิษย์เจ็บปวดเป็นหลายคน หลวงจีนเจ้าวัดก็มาห้ามไว้ไม่ให้ทุบตีกัน แล้วว่ากับหลวงจีนลูตีซิมว่า ตั้งแต่วันนี้ เจ้าอย่าทำต่อไป หลวงจีนลูตีซิมคุกเข่าคำนับบอกว่า ศิษย์เหล่านี้ข่มเหงข้าพเจ้านัก นี่หากว่าเกรงท่าน ไม่กระนั้นข้าพเจ้าจะตีให้ตายสิ้น หลวงจีนเจ้าวัดก็ให้ศิษย์พยุงหลวงจีนลูตีซิมไปนอน แล้วศิษย์เหล่านั้นก็มาแจ้งกับอาจารย์ว่า เมื่อเดิมจะมาบวช ข้าพเจ้าได้ห้ามไว้แล้ว บัดนี้ หลวงจีนลูตีซิมอยู่ในวัดนี้อย่างไรได้ หลวงจีนเจ้าวัดว่า อย่าอื้ออึงไป เห็นแก่เตียอวนเงยเศรษฐีเถิด ซึ่งหลวงจีนลูตีซิมนี้นานไปภายหน้าความรู้วิชาสิ่งใดชำนิชำนาญก็จะได้สำเร็จเป็นเซียน เจ้าทั้งหลายอย่าวุ่นวายเลย ศิษย์เหล่านั้นก็หัวเราะว่า ท่านอาจารย์ช่างเห็นว่าหลวงจีนลูตีซิมเป็นคนดีไปได้ แล้วต่างคนก็ไปที่อยู่
ครั้นรุ่งเช้า หลวงจีนตีจินเจ้าวัดก็ใช้ให้ศิษย์ไปเรียกหลวงจีนลูตีซิมมาพูดว่า ซึ่งเจ้ามาบวช เราสั่งสอนให้เล่าเรียนถือศีลแปดข้อ เจ้าก็รู้อยู่ เหตุไฉนจึงไปเสพสุราเมามาทุบตีศิษย์ในวัดและพวก ทำการเจ็บป่วยเป็นหลายคน ศิษย์เหล่านั้นก็ไม่คิดจะอยู่ทั้งสิ้น นี่หากว่าเราเห็นแก่เตียอวนเงยเศรษฐีดอก เจ้าจึงได้อยู่ หาไม่เราจะไล่เสีย หลวงจีนลูตีซิมว่า ข้าพเจ้าผิดแล้ว ท่านอย่าถือโทษเลย ตั้งแต่นี้สืบไป ข้าพเจ้าไม่ทำเช่นนั้นอีก ท่านอาจารย์ว่า จะขืนเสพสุราดังกล่าวจะไล่เสีย พูดแล้วก็เอาเสื้อกางเกงที่ดีมาส่งให้ หลวงจีนลูตีซิมรับคำนับลากลับมาที่อยู่ ตั้งแต่นั้น หลวงจีนลูตีซิมก็ไม่อาจทำการล่วงเกินต่อไป อยู่ในวัดได้ห้าเดือนเศษ
อยู่มาวันหนึ่ง หลวงจีนลูตีซิมเดินไปเล่นนอกวัด ได้ยินเสียงผู้คนอื้ออึงก็คิดเห็นว่า คงมีตลาด จำเราจะไปเที่ยวเล่นบ้าง คิดแล้วก็กลับเข้าไปในวัดเดินตรงไปตามทาง เห็นตลาดแห่งหนึ่งมีช่างตีเหล็ก หลวงจีนลูตีซิมเข้าไปถามว่า มีเหล็กดีบ้างหรือไม่ ช่างตีเหล็กเห็นรูปร่างใหญ่โตน่ากลัวก็ตกใจไม่ใคร่จะบอก หลวงจีนลูตีซิมก็ถามอีก ช่างตีเหล็กจึงบอกว่า เหล็กที่ดีมีอยู่ ท่านจะทำสิ่งใดหรือ หลวงจีนลูตีซิมบอกว่า จะตีไม้เท้าอันหนึ่งกับง้าวเล่มหนึ่ง ช่างเหล็กถามว่า ท่านจะตีง้าว จะเอาหนักสักเท่าใด แต่ไม้เท้านั้นไม่เป็นไร ข้าพเจ้าจะตีให้งาม หลวงจีนลูตีซิมบอกว่า ง้าวนั้นจะเอาหนักร้อยชั่ง ไม้เท้านั้นตามแต่จะทำได้เถิด ช่างเหล็กบอกว่า ร้อยชั่งนั้นหนักนัก กลัวท่านจะใช้ไม่ได้ แต่กวนอ๋องครั้นแผ่นดินสามก๊กก็ใช้ง้าวหนักแปดสิบเอ็ดชั่งเท่านั้น หลวงจีนลูตีซิมว่า กวนอ๋องกับเราก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ใช้ง้าวหนักร้อยชั่งไม่ได้หรือ ช่างเหล็กว่า ครั้นข้าพเจ้าทำแล้วท่านใช้ไม่ได้จะป่วยการเปล่าดอกกระมัง เอาแต่ห้าหกสิบชั่งเถิด
หลวงจีนลูตีซิมว่า ถ้ากระนั้น จะให้หนักแต่แปดสิบเอ็ดชั่งเท่าง้าวกวนอ๋องถือ ช่างเหล็กว่า ท่านจะเอาหนักแปดสิบเอ็ดชั่งแล้ว ข้าพเจ้าจะทำให้ดี แต่ไม้เท้านั้นหนักหกสิบสองชั่ง จะหนักเบาประการใด หลวงจีนลูตีซิมว่า ดีแล้ว จะเป็นราคามากน้อยเท่าไร ช่างเหล็กว่า ของสองสิ่งนี้จะเอาแต่ห้าตำลึง หลวงจีนลูตีซิมก็หยิบเงินห้าตำลึงส่งให้แล้วพูดว่า ถ้าทำดีเราจะมีรางวัลให้ท่านอีก ช่างเหล็กรับเงินไว้ บอกกับหลวงจีนลูตีซิมว่า ช้า ๆ หน่อยท่านจึงมาเอา หลวงจีนลูตีซิมก็ลาออกจากโรงเหล็กเดินไปตามถนนเห็นโรงขายสุราและสิ่งของต่าง ๆ ก็ตรงเข้าไปในโรงนั้น บอกเจ้าของว่า จะซื้อสุรากิน เจ้าของโรงสุราว่า พวกข้าพเจ้าที่ตั้งโรงขายสิ่งของต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับท่านอาจารย์วัดเขาเงาไทซัวทั้งแถบ ท่านให้ทุนมาค้าขายและกำชับสั่งไว้ว่า ไม่ให้ขายสุราให้กับหลวงจีน ถ้าแม้ผู้ใดขาย จะเอาตัวไปเฆี่ยน แล้วจะเรียกเอาเงินทุนคืน ซึ่งท่านจะมาซื้อสุรากินนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่ขายให้ หลวงจีนลูตีซิมเดินไปจนท้ายตลาด เห็นโรงขายสุรามีอยู่อีกโรงหนึ่ง ก็เข้าไปบอกเจ้าของสุราว่า เราเดินมาแต่เมืองไกล เหน็ดเหนื่อยหิวนัก จะขอซื้อสุรากินบ้าง เจ้าของสุราสำคัญว่า หลวงจีนมาแต่ไกล ไม่เคยเห็นหน้า ก็ขายสุราให้ หลวงจีนลูตีซิมกินสุราสิ้นหลายสิบชามแล้วถามว่า มีกับแกล้มสิ่งใดบ้าง เจ้าของสุราว่า ไม่มีสิ่งใด หลวงจีนลูตีซิมถามว่า ในกระทะเคี่ยวสิ่งใด เจ้าของสุราว่า เคี่ยวเนื้อสุนัข ท่านเป็นหลวงจีนกินไม่ได้ หลวงจีนลูตีซิมว่า นั่นแหละของชอบใจของเราแล้ว เอามาขายให้เราบ้าง เจ้าของสุราก็เอาขายให้ หลวงจีนลูตีซิมกินสุรากับเนื้อสุนัขจนมึนเมาสิ้นสุราถังหนึ่ง สุนัขสองตัว ก็คิดเงินให้เจ้าของสุรา แล้วออกจากโรงสุรามาถึงศาลาริมวัด ก็เข้านั่งพักอยู่ที่ศาลา จึงคิดว่า แต่เรามาบวชก็นานแล้ว ยังไม่ได้ซักซ้อมมีฝีมือลองดูเลย จำจะซักซ้อมท่าทางไว้ให้คล่องแคล่ว คิดแล้วก็ลุกขึ้นรำเพลงอาวุธต่าง ๆ และหลวงจีนลูตีซิมนั้นยิ่งเมาสุราหนักก็ยิ่งมีกำลังมากขึ้น ตรงเข้าผลักเสาศาลาหักพักลง ศิษย์ในวัดได้ยินเสียงสนั่นก็ชวนกันออกมาดู เห็นหลวงจีนลูตีซิมเมาสุราทำเสาศาลาหัก ก็กลับเข้าไปในวัดปิดประตูเสีย หลวงจีนลูตีซิมเห็นเสาศาลาหักก็จะเดินเข้าไปในวัด ครั้นไปจะถึงประตูวัด เห็นรูปตุ๊กตาจีนก่อด้วยอิฐปูนคู่หนึ่ง ยืนถือกระบองอยู่รูปหนึ่ง รูปหนึ่งยืนหัวเราะอยู่ หลวงจีนลูตีซิมเห็นว่า ตุ๊กตานี้ถือกระบองจะตีเราหรือ ก็วิ่งไปฉุดเอากระดานศาลามาตีตุ๊กตาหน้าประตูหักพักลง เห็นรูปหนึ่งยืนหัวเราะอยู่ก็ว่า เจ้านี้หัวเราะเราทำไม ฉวยเอากระดานทุบรูปตุ๊กตานั้นพังลงอีกรูปหนึ่ง แล้วเดินเข้าไปเห็นประตูวัดปิด ก็ร้องตวาดว่า ถ้าไม่เปิดประตูให้เข้าไป เราจะเอาไฟเผาวัดเสีย ศิษย์เหล่านั้นได้ฟังก็ตกใจ เปิดประตูวัดให้ หลวงจีนลูตีซิมเข้าไปที่หน้าพระทำสิ่งของแตกทำลายเสียเป็นอันมาก ศิษย์เหล่านั้นเห็นก็โกรธ ครั้นจะไปบอกกับท่านอาจารย์ก็กลัวจะไม่เชื่อ จึงไปร้องเรียกตามบรรดาศิษย์ทั้งปวงประมาณสามร้อยเศษถือเครื่องศัสตราวุธตรงจะมาตี หลวงจีนลูตีซิมเห็นก็ลุกขึ้นหักเอาขาโต๊ะที่หน้าพระออกจะสู้รบกับศิษย์เหล่านั้น ศิษย์สามร้อยสู้ฝีมือหลวงจีนลูตีซิมไม่ได้ เจ็บป่วยเป็นหลายคน หลวงจีนตีจินเจ้าวัดได้ยินเสียงอื้ออึงก็ออกมาดูเห็นหลวงจีนลูตีซิมเมาสุราสู้รบกับศิษย์เหล่านั้นอยู่ ศิษย์เหล่านั้นเจ็บป่วยเป็นหลายคน ก็ร้องตวาดว่า หลวงจีนลูตีซิมเสพสุราทำหยาบช้าให้ผิดธรรมเนียมไปอีกแล้ว ศิษย์ทั้งหลายเห็นท่านอาจารย์มาก็พากันสงบอยู่ หลวงจีนลูตีซิมวางขาโต๊ะเข้าไปคุกเข่าคำนับอาจารย์